กลพรายใจ (วางแผงแล้ว สนพ.สื่อวรรณกรรม)
ความรักครั้งนี้...มีผีอยู่เบื้องหลัง

วาทการ เสียชีวิตอย่างกะทันหันในวัยยี่สิบปี แต่เพราะยังมีห่วง วิญญาณของเขาจึงขอร้องต่อมัจจุราชว่าจะยอมไปเกิดใหม่ เมื่อเห็นพี่สาวทั้งสองมีความรักมั่นคง

โดยเฉพาะ มัญชรี พี่สาวคนกลางที่จู่ๆต้องออกจากงานเชฟ เพราะเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้น แถมยังมีเหตุให้ต้องใกล้ชิดกับ เหมกร คาสโนว่าตัวพ่อที่เกลียดสุดชีวิต แม้แสงออร่าจะบ่งบอกว่าทั้งสองเป็นเนื้อคู่ หากดูเหมือนว่าชายหนุ่มและหญิงสาวจะไม่เคยลงรอยกันเลยสักครั้ง

เป็นเหตุให้วิญญาณน้องชายผู้แสนดีอย่างวาทการต้องคิดหา แผนเร่งรัดหัวใจ เพื่อทำให้คู่กัดหันมารักกัน ก่อนจะต้องไปเกิดใหม่ตามสัญญาที่ให้ไว้กับมัจจุราช งานใหญ่ขนาดนี้ วาทการจะทำสำเร็จไหมเนี่ย!
Tags: บุลินทร, เหมกร, มัญชรี, วาทการ, วรัท, สริตา, กลพรายใจ, ร้ายฝากรัก

ตอน: ตอนที่ 1




ในที่สุดห้องครัวที่แสนจะวุ่นวายและอึกทึกครึกโครมก็สงบลง เมื่อถึงเวลาเลิกงาน เชฟและลูกมือช่วยกันเก็บกวาดเศษอาหาร ล้างเครื่องครัว รวมทั้งถูพื้นจนสะอาดหมดจดด้วยความขมีขมัน


“พี่กีวี่ ผมไปก่อนนะครับ” ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูง ตาตี่อย่างชาวไทยเชื้อสายจีนหันมาลา เมื่อนำเครื่องครัวที่ล้างแล้วขึ้นผึ่งบนชั้นพักเสร็จ


ตอนนี้เชฟคนอื่นๆ และลูกมือในครัวต่างกำลังทยอยกันกลับ หลังจากหมดความรับผิดชอบในส่วนของตัวเอง


“จ้า แล้วเจอกันพรุ่งนี้” มัญชรีที่กำลังล้างมีดทำครัวอยู่พยักพเยิด ใบหน้ายังมีรอยยิ้ม แม้จะยืนขาแข็งอยู่หน้าเตามาตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน หากตั้งแต่จำความได้ เชฟสาวก็ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยหรือท้อ เพราะอาชีพนี้เลยสักครั้ง


“กลับคนเดียวได้นะพี่”


“เฮอะ ทำไมจะไม่ได้ พูดยังกับฉันเป็นเด็กสามสี่ขวบงั้นแหละ รีบกลับได้แล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปมหา’ลัยไม่ทันหรอก” เจ้าของร่างโปร่งระหงว่าพร้อมเชิดจมูก “อ้อ อย่าลืมที่บอกล่ะ เรียนทำอาหารจะเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ตอนนี้เรียนปริญญาตรีให้จบก่อน พ่อแม่จะได้ไม่บ่นด้วย”


“ไม่ลืมหรอกครับ ผมเชื่อพี่กีวี่” เกริกไกรพยักหน้ารับคำ


มัญชรีเรียนจบทางด้านอาหารและโภชนาการ ก่อนจะไปสมัครเรียนทำอาหารยุโรปที่สถาบันแห่งหนึ่งตามความฝัน พอจบหลักสูตรก็ได้ใบประกอบวิชาชีพเชฟมาอย่างตั้งใจ


หล่อนได้เปรียบคนอื่นอยู่มาก เพราะมีความรู้ด้านกระบวนการผลิต สุขาภิบาล และโภชนาการอาหารที่สั่งสมมาอย่างลึกซึ้ง จนปัจจุบันได้ทำงานในโรงแรมที่จัดว่ามีชื่อพอสมควร โดยการชักชวนของคุณอาคม คณะกรรมการบริหารของโรงแรม เพราะฝ่ายนั้นได้ลิ้มรสฝีมือการทำอาหารของหล่อนในงานเลี้ยงอำลารัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เมื่อประมาณสองเดือนก่อนแล้วติดใจขึ้นมา


ตอนนี้ถือได้ว่าชีวิตในวงการเชฟของหล่อนกำลังโลดแล่นอย่างสวยงามทีเดียว แน่นอนว่าความฝันสูงสุดของมัญชรีก็คือการทำงานในโรงแรมระดับห้าดาวของประเทศเหมือนเชฟหลายๆ คน


เมื่อก่อนหญิงสาวก็ไม่ต่างจากเกริกไกรที่อยากเป็นเชฟจนตัวสั่น ร่ำๆ จะลาออกจากมหาวิทยาลัยมาเรียนทำอาหารอยู่ทุกวัน ทั้งที่เพิ่งเรียนอยู่แค่ชั้นปีที่สองเท่านั้น เพราะคิดว่าการเรียนในมหาวิทยาลัยไม่จำเป็นสำหรับอาชีพในอนาคต ถ้าทำอาหารเก่ง ใครๆ ก็อยากจ้างไปทำงาน หากช่างเป็นความคิดที่โง่เขลาเบาปัญญาสิ้นดี


เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มพูดอะไรคล้ายๆ ตัวเองในอดีต มัญชรีจึงจัดการเทศนาเด็กอ่อนหัดผู้แสนจะอวดเก่งไปชุดใหญ่ ดีที่อีกฝ่ายไม่ได้เป็นบัวใต้น้ำ ที่ไม่เคยรู้ซึ้งในรสพระธรรม เพราะหลังจากได้ฟัง เกริกไกรก็ตัดสินใจจะเรียนต่อให้จบ และในระหว่างนั้นจะมาเก็บชั่วโมงทำครัวที่นี่ เพื่อนำไปยื่นสมัครเรียนทำอาหารที่สถาบันมีชื่อเสียงของประเทศ


“กลับดีๆ ล่ะ” หล่อนโบกมือลา


“ครับผม” เกริกไกรยิ้มกว้าง


หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เชฟสาวก็มาถึงลานจอดรถที่เงียบสงัดในเวลาต่อมา หล่อนเดินตรงไปยังจุดหมายคือรถกระบะบุโรทั่งที่จอดไว้ช่องสุดท้าย หากยังไม่ทันจะถึงรถ ความเย็นเฉียบก็แล่นขึ้นมาที่ใบหน้า ก่อนจะกระจายไปทั่วร่างกาย


ผู้ชายกับผู้หญิงยืนจูบกันอยู่!


หล่อนจะบ้าตาย ทำไมไม่รู้จักอายผีสางเทวดากันบ้างนะ ถ้าเป็นฝรั่ง แม่จะไม่ว่าเลยสักคำ แต่นี่เป็นคนไทยแท้ๆ น่าจะรักษาประเพณีที่ดีงามหน่อย


มัญชรีถลาไปแอบหลังเสาต้นหนึ่ง ด้านสองคนนั้นก็จูบกันต่ออย่างดุเดือดไม่มีทีท่าว่าจะหยุด นี่คงคิดว่าดึกๆ แล้วจะไม่มีคนสินะ ถึงได้กล้าทำประเจิดประเจ้อขนาดนี้ เสียดาย…หน้าตาก็ดี พูดแล้วคันไม้คันมือ อยากจะปาอึใส่ให้วงแตก


“เอ๊ะ…แล้วทำไมฉันต้องมาหลบด้วยเนี่ย” หญิงสาวพ่นลมหายใจพรืดๆ ราวกับจมูกเป็นท่อไอเสีย ก่อนขยี้ผมจนยุ่งไปทั้งหัว


หล่อนจะอายทำไมกัน ในเมื่อคนทำต่างหากที่สมควรอาย


“นาน่า ผมว่ากลับเถอะนะ ดึกมากแล้ว” เสียงทุ้มของผู้ชายคนนั้นดังขึ้น


“เดี๋ยวสิคะ นาน่ายังไม่หายคิดถึงแดนเลย” ผู้หญิงที่อยู่ในชุดเดรสสีเขียวมะนาวเอ่ยเสียงหวาน ตอนนี้แม่นั่นคงกำลังทำหน้าแสนงอนอยู่แน่ๆ


หล่อนเกลียดหน้าตาแบบนี้ที่สุด และไม่คิดจะทำกับใครด้วย


“อยู่ด้วยกันตั้งสามชั่วโมง ยังไม่หายคิดถึงผมอีกเหรอ…ฮึ”


เสียงหวานปานน้ำผึ้งเดือน…เดือนอะไรก็ช่างเถอะ หล่อนขี้เกียจจะคิด รู้แค่ว่าตอนนี้อยากจะอ้วกออกมา หากไม่เสียดายอาหารที่กินเข้าไป จริงๆ มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของหล่อนหรอกนะ แต่ขอหมั่นไส้นิดนึงหน่อยเถอะ


“ถ้างั้นพรุ่งนี้แดนต้องพานาน่าไปซื้อกระเป๋าคอลเล็คชั่นใหม่ของ…” เจ้าหล่อนบอกยี่ห้อของกระเป๋าที่มัญชรีรู้ว่าราคาแพงระยับ แม้จะไม่ได้ติดตามวงการแฟชั่นมากเท่าไหร่


“โอเคครับ” ชายหนุ่มรับปากทันควันราวกับสามารถเสกเงินใช้ได้เอง เงินค่ากระเป๋านั้นน่ะ หล่อนใช้ได้เกือบปีเลยนะจะบอกให้


ครู่ต่อมามัญชรีก็ได้ยินเสียงรถแล่นออกไป หล่อนถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เมื่อนึกว่าจะได้กลับบ้านเสียที หากในขณะที่หญิงสาวกำลังจะโผล่หน้าออกไป ก็ต้องชักเท้ากลับมาแทบไม่ทัน เมื่อเจ้าของร่างสูงหันหน้ามาพอดี


“จ้า…น้องฟาง เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเย็นเจอกันนะจ๊ะ” เขากรอกเสียงหวานลงไปในโทรศัพท์มือถือ


“คนอะไร เจ้าชู้ชะมัด ควันท่อไอเสียรถยายนาน่ายังไม่ทันจาง มียายน้องฟางเพิ่มมาอีกเหรอเนี่ย น่าสงสารผู้หญิงพวกนั้นจริงจริ๊ง เฮ้อ” หล่อนบ่นพึมแล้วเอานิ้วอุดหู เพราะไม่อยากฟังคำโกหกพกลมจากปากผู้ชายคนนั้น


เมื่อรู้สึกว่าเสียงเงียบไปแล้ว มัญชรีจึงค่อยๆ โผล่หน้าออกไป แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้น


“คุณแอบฟังผมอยู่เหรอ!”


หญิงสาวขนลุกเกรียวไปทั้งตัว เมื่อพบว่าผู้ชายคนเมื่อครู่มายืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมยังจ้องตาเขม็งเหมือนอยากจะกัดคอหล่อนอย่างไรอย่างนั้น


มัญชรีกระพือแพขนตาที่ไม่ได้ปัดมาสคาร่าใส่ผู้ชายคนนั้นปริบๆ ไม่ใช่เพราะตะลึงในความหล่ออะไรหรอกนะ แต่หล่อนกำลังพยายามรวบรวมสติให้ได้อยู่ต่างหาก และเมื่อสติมาปัญญาก็เกิด หล่อนขยับปากบอกออกไปว่า


“จะบ้าเหรอ ใครมาแอบฟังคุณไม่ทราบ” ลองดูสิ ถ้าปฏิเสธเสียงแข็งแบบนี้แล้ว เขาจะมาไม้ไหนกับหล่อนอีก แหม…ทำยังกับหล่อนอยากจะแอบฟังตายล่ะ แค่นี้ก็ระหายหูระคายตาจะแย่อยู่แล้ว อีกอย่างหล่อนไม่ใช่คนสอดรู้สอดเห็นเสียหน่อย


“ก็คุณไง เมื่อกี้คุณเห็นแล้วก็ได้ยินทั้งหมดใช่ไหม” พอเห็นหน้าชัดๆ แล้ว คนตัวสูงตรงหน้าหล่อนจัดว่าหน้าตาดีเหมือนกัน ใบหน้าของเขาดูคมคายโดดเด่น โดยเฉพาะจมูกที่โด่งเป็นสันนั้น หล่อนดูออกว่าไม่ได้ทำศัลยกรรมมา แถมดวงตาวาวๆ ยังมีประกายระยิบระยับชวนมองอีก


แต่ว่า…เสียดายที่นิสัยแย่มาก มาก…ถึงขนาดว่าหล่อนสามารถลาก ก.ไก่ไปได้ไกลถึงใต้สุดแดนสยามทีเดียวละ เลยทำให้หน้าตาดีๆ ของเขาติดลบโดยพลัน เพราะยังไงนิสัยก็จีรังยั่งยืนกว่าหน้าตา


“พูดอะไรของคุณ ฉันไม่รู้เรื่อง” หล่อนเถียงกลับพลางเชิดหน้า


“อย่ามาปากแข็ง ผมเห็นชัดๆ ว่าคุณอยู่ตรงนี้นานแล้ว”


“เปล๊า ฉันเพิ่งมาเมื่อกี้” หญิงสาวปฏิเสธเสียงสูงปรี๊ด


“แล้วทำไมคุณทำลับๆ ล่อๆ”


“เอ่อ…ก็”


“จะพูดอะไรคิดดีๆ ก่อนนะครับ” เจ้าของร่างสูงยิ้มขบขัน เมื่อเห็นอาการลนๆ ของหล่อน


หญิงสาวพยายามคิดหาข้อแก้ตัว


“ก็…แหวนฉันตก กลิ้งไปไหนก็ไม่รู้ นี่ๆ คุณมาก็ดีแล้ว ช่วยหาหน่อยสิ ไปไหนเนี่ย” มัญชรีทำท่าก้มหาสิ่งที่หล่อนว่า ก่อนจะทำเนียนชักชวนคนแปลกหน้าให้ช่วยกัน


“คุณโกหก” เขามองหล่อนอย่างไม่วางตา


“จะบอกว่าตัวเองอ่านความคิดคนอื่นได้งั้นเหรอ โธ่…ความสามารถแบบนั้นมันก็มีแต่ในละครเท่านั้นแหละคุณ” มัญชรียังเฉไฉไปได้เรื่อยๆ ทั้งที่สายตาของหล่อนล่อกแล่กออกอย่างนั้น


“นี่ คุณจะยอมรับดีๆ หรือต้องให้ผมทำแบบเมื่อกี้ก่อน” เจ้าของผมสีดำขลับเอ่ยเสียงเข้มอย่างเอาจริง ดวงตาพราวจนมัญชรีแอบหวั่นนิดๆ


หล่อนรีบเดินหนีเขาทันที


“คุยกับคุณนี่เสียเวลาจริงๆ”


“เดี๋ยว…คุณจะไปไหน ไม่หาแหวนแล้วเหรอครับ” ชายหนุ่มยังเดินตามมาติดๆ


มัญชรีทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ ทำไมเขาถึงเป็นผู้ชายที่เข้าใจอะไรยากอย่างนี้นะ


“พูดไม่รู้เรื่องหรือไง”


“อะ…”


เชฟสาวยกมือชี้หน้า เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเถียง


“พวกคุณมายืนจูบกันในที่สาธารณะเอง ถ้าพูดพล่อยๆ ว่าฉันมาแอบดูอีกล่ะก็ ฉันชกปากคุณแน่” มัญชรีกำหมัดขึ้นขู่อย่างเอาจริง มองเขาด้วยแววตาดุๆ จนฝ่ายนั้นนึกกลัว


ชายหนุ่มยกมือขึ้นระดับอกเป็นสัญญาณบอกให้หล่อนหยุด


“โอเคๆ ผมยอมก็ได้” ก้มหัวน้อยๆ เมื่อเห็นหญิงสาวเริ่มเดือดขึ้นมา


“เข้าใจอย่างนั้นก็ดี เที่ยวมากล่าวหาคนอื่นอยู่ได้”


“งั้นเปลี่ยนคำถาม คุณมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่” เจ้าของคิ้วหนาดวงตาคมกริบถามต่อเสียงนุ่ม


“ก็ตั้งแต่ที่คุณจูบกับแม่นั่นราวกับจะกลืนกินกันเข้าไป แล้วก็ตอนที่คุณโทร.หาผู้หญิงอีกคนนั่นแหละ” เชฟสาวกอดอกและหันหน้าไปทางอื่น ไม่อยากมองผู้ชายเจ้าชู้ให้เสียลูกกะตา


“นั่นมันตั้งแต่ต้นจนจบเลยนี่ครับ” เขาเอ่ยเสียงสูง


“เปล่า ฉันไม่เห็นตอนคุณอยู่ในห้องกับแม่นั่น อย่างนี้ไม่ได้เรียกว่าตั้งแต่ต้นจนจบ” หล่อนตวัดสายตาไปมองเขาอย่างรังเกียจ


“อะไรของคุณ ไปกันใหญ่แล้ว ผมไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คุณคิดสักหน่อย” ฝ่ายนั้นประท้วงเล็กๆ เมื่อโดนหล่อนว่าให้ หากจริงๆ แล้วคงรับไม่ได้มากกว่า ที่หล่อนพูดถึงเรื่องร้ายๆ ของเขา


“แต่ทำมากกว่าที่ฉันคิดสินะ ผู้ชายอย่างคุณคงเห็นผู้หญิงเป็นแค่ของเล่น เวลาใหม่ๆ ก็ชื่นชม รักดังชีวี แต่พอเบื่อก็โยนทิ้งอย่างไม่ใยดี คนแบบนี้น่าจะตายๆ ไปเสียให้หมด จะได้ช่วยลดโลกร้อน” หญิงสาวเสียดสีอย่างเจ็บแสบ และก็ทำให้แววตาของชายหนุ่มวาววามขึ้นมาได้ “โถๆๆ พอฉันพูดความจริง ถึงกับรับไม่ได้เลยเหรอ”


“คุณรู้ได้ไงว่าผมเห็นผู้หญิงเป็นของเล่น ผมไม่เคยบังคับผู้หญิงพวกนั้นหรอกนะ ทุกคนเต็มใจที่จะคบกับผม ผมได้ เขาก็ได้ ผมสนุก เขาก็สนุก ผมผิดตรงไหนครับ” เขายักไหล่อย่างไม่ยี่หระต่อคำด่าของหญิงสาว วันนี้เขาแค่มาดูนาน่าเดินแบบ แล้วก็เปิดห้องร้องเพลงกันต่อเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรอย่างที่หล่อนคิดสักนิด


“นี่…คุณคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ ถ้าคุณจะเปลี่ยนความคิดตอนนี้ก็ยังไม่สายหรอกนะ ไหนๆ คุณก็มีแค่ยายนาน่ากับน้องฟางอะไรนั่นแค่สองคน เอ่อ…ใช่ไหม” ประโยคสุดท้าย มัญชรีถามอย่างไม่แน่ใจเท่าไหร่ เพราะบางทีเขาอาจจะมีมากกว่านี้ก็ได้


“ใช่ ผมไม่เคยคบผู้หญิงเกินครั้งละสองคนหรอกครับ”


เขายิ้มที่มุมปากนิดๆ เหมือนจะโอ้อวด แต่มัญชรีไม่คิดว่าเป็นเรื่องน่าอวดตรงไหน เขาเห็นผู้หญิงเป็นเครื่องดื่มชูกำลัง ที่ไม่ควรดื่มเกินวันละสองขวดหรือไงนะ


“เชื่อตายล่ะ” หญิงสาวเบ้ปาก คนอย่างนายนี่ต้องมีเยอะกว่าสองแน่ๆ


“อ๊ะ พูดงี้ หรือว่าคุณอยากจะมาเป็นคนที่สาม ผมโอเคนะ” ชายหนุ่มยักคิ้วหลิ่วตาใส่อย่างเจ้าชู้ “เราคุยกันมาตั้งนาน ลืมแนะนำตัวเลย ผมชื่อเหมกรนะครับ หรือจะเรียกว่าแดนก็ได้”


มัญชรีส่ายหน้าน้อยๆ ใครอยากจะรู้จักชื่อนายกัน นี่คงกะจะให้หล่อนแนะนำตัวกลับสิท่า ไม่มีทางที่หล่อนจะหลงกล


“ชื่ออะไรนะ นายเห็บหมาเหรอ คนอะไรชื่อแปลกจัง” หล่อนหัวเราะอย่างขบขันในใจ


“เหมกรครับ…เหมกร” เขาทำหน้ากระอักกระอ่วน ก่อนจะเน้นชื่อให้ฟังทีละคำ


“เหรอ แล้วไง ฉันต้องแนะนำตัวกลับไหม” หล่อนเอียงคอถามด้วยน้ำเสียงกวนๆ ไม่ได้อยากจะคบค้าสมาคมด้วยเลยสักนิด


“อ้าว ถามได้ ต้องสิครับ ตามหลักมารยาทสากล เวลามีใครแนะนำตัว เราก็ต้องแนะนำตัวกลับรู้ไหม” นายเหมกรจอมกะล่อนอ้างไปนู่น


“ไม่ ฉันเป็นคนไทย ดังนั้นฉันจะใช้หลักมารยาทไทย” หล่อนยกเรื่องมารยาทขึ้นมาอ้างเช่นกัน


“ต่างกันตรงไหน ไม่ว่ามารยาทไทยหรือฝรั่ง เวลามีคนมาแนะนำตัว เราก็ต้องแนะนำตัวกลับทั้งนั้นแหละครับคุณผู้หญิง” ดูเหมือนว่าการกวนประสาทหล่อนจะเป็นเรื่องสนุกสำหรับเขาเสียเหลือเกิน แต่บอกไว้เลยนะว่าหล่อนไม่ได้สนุกด้วยเลยสักนิด


“มารยาทที่บ้านฉันก็ได้ ครอบครัวฉันบอกว่าไม่ควรแนะนำตัวกับคนแปลกหน้า แล้วยิ่งเป็นคุณ ฉันยิ่งไม่ควรใหญ่ เพราะคนอย่างคุณไว้ใจไม่ได้เลย ลาก่อน” พูดจบมัญชรีก็เดินตรงไปยังยานพาหนะคันเก่าคร่ำของหล่อน


หากเหมกรก็ไม่วายพูดจากวนโมโหตามมาอีก


“ถึงผมจะไม่รู้จักชื่อคุณ แต่หวังว่าคุณจะไม่ลืมชื่อผมนะครับ”


มัญชรีหันไปแยกเขี้ยวใส่ ถอยรถออกจากที่จอด ก่อนจะขับพรืดออกไป โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาของ "บุคคลที่สาม" ยืนมองหล่อนและชายหนุ่มอยู่นานแล้ว


โปรดติดตาม...



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 เม.ย. 2554, 22:30:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2555, 00:05:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 2252





<< บทนำ   ตอนที่ 2 >>
บุลินทร 29 เม.ย. 2554, 22:33:20 น.
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่มอบให้นะครับ ^^


ปัณณรี 30 เม.ย. 2554, 08:39:22 น.
ตามติดมาส่งกำลังใจให้น้องค่ะ ^^"


Gingfara 30 เม.ย. 2554, 18:10:29 น.
ชอบค่ะ ชอบแนวนี้ด้วย
ตามเป็นกำลังใจนะคะ


anOO 30 เม.ย. 2554, 23:42:17 น.
"บุคคลที่สาม" เอ ใครหว่า


บุลินทร 1 พ.ค. 2554, 15:36:35 น.
ขอบคุณพี่อุ้ยที่มาให้กำลังใจครับ / คุณ Gingfara ดีใจที่ชอบนะครับ อย่าลืมติดตามต่อไปนะ จะเขียนให้ดีที่สุด เพื่อผู้อ่านครับ / คุณโอ บุคคลที่สามเป็นใคร ตอนหน้าได้รู้แน่นอนครับ อิอิ เรื่องนี้มาแหวกแนวเลย ไม่เคยเขียนแบบกึ่งๆ แฟนตาซีมาก่อน มาลองดูกันครับว่าจะเป็นยังไง


ผู้อ่านท่านอื่นคุยกันได้นะครับ ใครเมาอ่านแล้วบ้าง ^^


แมวเหมียวก้อย 3 ก.ค. 2554, 22:41:41 น.
เจอกันครั้งแรกก็ปะทะคารมกันหนุกแล้ว

ใครเป็น บุคคลที่สามน้าา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account