กลพรายใจ (วางแผงแล้ว สนพ.สื่อวรรณกรรม)
ความรักครั้งนี้...มีผีอยู่เบื้องหลัง

วาทการ เสียชีวิตอย่างกะทันหันในวัยยี่สิบปี แต่เพราะยังมีห่วง วิญญาณของเขาจึงขอร้องต่อมัจจุราชว่าจะยอมไปเกิดใหม่ เมื่อเห็นพี่สาวทั้งสองมีความรักมั่นคง

โดยเฉพาะ มัญชรี พี่สาวคนกลางที่จู่ๆต้องออกจากงานเชฟ เพราะเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้น แถมยังมีเหตุให้ต้องใกล้ชิดกับ เหมกร คาสโนว่าตัวพ่อที่เกลียดสุดชีวิต แม้แสงออร่าจะบ่งบอกว่าทั้งสองเป็นเนื้อคู่ หากดูเหมือนว่าชายหนุ่มและหญิงสาวจะไม่เคยลงรอยกันเลยสักครั้ง

เป็นเหตุให้วิญญาณน้องชายผู้แสนดีอย่างวาทการต้องคิดหา แผนเร่งรัดหัวใจ เพื่อทำให้คู่กัดหันมารักกัน ก่อนจะต้องไปเกิดใหม่ตามสัญญาที่ให้ไว้กับมัจจุราช งานใหญ่ขนาดนี้ วาทการจะทำสำเร็จไหมเนี่ย!
Tags: บุลินทร, เหมกร, มัญชรี, วาทการ, วรัท, สริตา, กลพรายใจ, ร้ายฝากรัก

ตอน: ตอนที่ 2

ตอบคอมเม้นไว้ในตอนที่แล้วนะครับ ตอนนี้เราจะไปยมโลกด้วยกัน พร้อมแล้วไปอ่านกันได้เลยครับ อ่านเสร็จแล้ว อย่าลืมทักทายกัน หรือฝากข้อคิดเห็นไปด้วยนะครับ ^^







ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า เชฟสาวจึงขับรถกลับมาถึงบ้าน เมื่อรั้วไม้ระแนงเปิดออก หล่อนก็พาเจ้ากระบะบุโรทั่งสีฟ้าเข้าไปจอดที่ใต้ถุนบ้านทรงไทยหลังขนาดกลางที่รายล้อมด้วยต้นไม้น้อยใหญ่อย่างคุ้นเคย ข้างๆ กันนั้นมีรถเก๋งซีดานสีขาวของพี่สาวจอดอยู่ก่อนแล้ว


ถึงแม้รถของฝ่ายหลังจะไม่ได้ใหม่มาก แต่ก็ดูดีกว่ารถหล่อนอยู่หลายขุม เพราะเจ้ากระบะคันเก่าน่าจะเอาไปปลูกผักบุ้งได้แล้ว


“จริงๆ พี่มะปรางไม่ต้องรอเปิดประตูบ้านให้กีวี่ก็ได้นะคะ นี่ก็ดึกมากแล้ว” มัญชรีหันไปบอกอย่างกลัวว่าพี่สาวจะตื่นไปทำงานไม่ทัน


สริตา พี่สาวคนโตของหล่อน ทำงานเป็นคุณครูอนุบาลอยู่ที่โรงเรียนไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้าน คนมักจะเปรียบเทียบหล่อนกับพี่สาวอยู่เสมอ เพราะคนพี่เรียบร้อย น่ารัก ส่วนคนน้องดูกระโดกกระเดก พูดจาก็ไม่อ่อนหวานเท่าไหร่ แถมยังชอบแต่งตัวปอนๆ ทั้งๆ ที่มีใบหน้าหวานใสไม่แพ้พี่สาว


“ไม่ต้องได้ไงจ๊ะ ตอนนี้เรามีกันแค่สองคนแล้วนะ ถ้าน้องสาวของพี่ยังไม่กลับถึงบ้าน พี่จะนอนหลับสนิทได้ไง” สริตาโอบเอวน้องสาวด้วยความรัก ก่อนจะเดินขึ้นบ้านพร้อมกัน


ประกายในดวงตาของคนฟังทอแสงอ่อนวูบลง เมื่อได้ยินคำพูดของพี่สาว เมื่อก่อนนั้นครอบครัวของหล่อนมีกันทั้งหมดห้าคน ใช้ชีวิตสงบเรียบง่ายที่บ้านหลังนี้อย่างมีความสุข ก่อนที่ห้าปีที่แล้วพ่อและแม่จะเสียชีวิต ขณะขับรถกลับจากการสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย และชนประสานงาเข้ากับรถบรรทุกอ้อย ทำให้สริตาต้องกลายเป็นเสาหลักของบ้านมาตั้งแต่ตอนนั้น


พี่สาวคนโตเดินตามรอยเท้าบุพการีด้วยการเป็นครู ส่วนมัญชรีรักการทำอาหารเหมือนย่า เพราะตอนเด็กๆ หล่อนขี้โรค หาหมอเท่าไหร่ก็ไม่หาย พ่อแม่จึงส่งให้ไปอยู่กับย่าที่มีความรู้ด้านยาสมุนไพรดูแล ก่อนจะแข็งแรงมาจนถึงทุกวันนี้


ย่าเป็นคนชอบทำอาหาร และหล่อนก็เข้าไปขลุกอยู่ในครัวด้วยเป็นประจำ ทำให้รักการทำอาหารอย่างไม่รู้ตัว จากเดิมที่พ่อแม่หมายมั่นว่าจะให้ลูกๆ เป็นครูทั้งหมด ก็ต้องล้มเลิกความคิด เมื่อลูกสาวคนกลางเบนเข็มไปเรียนทำอาหาร


ความรู้สึกสูญเสียถูกตอกย้ำอีกครั้ง เมื่อเดือนที่แล้ววาทการ น้องชายคนสุดท้องของครอบครัวจากไปโดยไม่มีใครคาดคิด ตอนเข้าไปช่วยคนที่กำลังจะกระโดดตึกฆ่าตัวตายที่มหาวิทยาลัย และโชคร้ายพลัดตกลงมาเสียเอง


มันทำให้มัญชรีตระหนักว่า คนที่หล่อนรักอาจจากไปเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้นการเอาใจใส่ดูแล ใช้ชีวิตกับคนที่รักให้คุ้มค่าจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด


“ถ้าข้าวยังอยู่ พี่มะปรางคงไม่ต้องลำบากแบบนี้นะคะ” เชฟสาวยิ้มด้วยความแห้งแล้ง


“นั่นสินะ เมื่อก่อนเวลากีวี่กลับบ้านดึกๆ ทีไร ข้าวก็จะเป็นคนมาเปิดประตูให้ทุกครั้งเลย” ปากยิ้ม ทว่าแววตาหม่นหมองไม่แพ้กัน


มัญชรีไม่อยากเศร้า หากก็อดไม่ได้ นึกถึงตอนที่น้องชายยังอยู่ เวลาหล่อนและสริตาเศร้า วาทการก็มักจะเข้ามาเย้าหยอกให้พวกหล่อนยิ้มและหัวเราะอยู่เสมอ


“คิดถึงข้าวจังเนอะ” สริตาบอกพลางนึกถึงภาพของหล่อนและน้องทั้งสองตอนไปเที่ยวทะเลด้วยกันเมื่อเร็วๆ นี้ มันคือช่วงเวลาแห่งความสุขครั้งสุดท้ายที่ได้อยู่ด้วยกัน


มัญชรีสวมกอดพี่สาวแน่น เอ่ยปลอบโยนว่า


“ถึงตอนนี้ข้าวจะไม่อยู่กับเราแล้ว แต่ข้าวอาจจะกำลังมองเราอยู่ก็ได้นะคะ แล้วข้าวก็คงจะรู้สึกเหมือนกันว่า โชคดีที่พี่มะปราง กีวี่ และข้าวได้เกิดมาเป็นพี่น้องกัน”


วิญญาณของวาทการที่ยืนมองพี่สาวอยู่ไม่ห่าง ยิ้มด้วยความตื้นตัน หัวใจของเขาเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นบีบเค้นจนจุกแน่นที่หน้าอก


“ใช่ครับ ข้าวดีใจที่ได้เกิดมาเป็นน้องของพี่มะปรางกับพี่กีวี่” ในน้ำเสียงนั้นห่วงหา แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก


“พี่มะปราง พี่มะปรางได้ยินเสียงใครหรือเปล่าคะ?” มัญชรีขมวดคิ้วเรียวเข้าหากัน ก่อนผละจากพี่สาว มองรอบตัวอย่างฉงน


“เสียงใครจ๊ะ พี่ไม่ได้ยินอะไรเลย”


“แต่กีวี่ได้ยินจริงๆ นะคะ” เชฟสาวยืนยันคำเดิม หล่อนรู้สึกเหมือนเสียงอะไรแว่วเข้าหู หากก็ไม่ชัดเจนนัก


“พี่ว่ากีวี่คงง่วงนอนมากจนหูแว่วแล้วละ รีบไปพักผ่อนดีกว่า พี่ก็ง่วงแล้วเหมือนกัน” สริตาชวน


หากมัญชรีเงียบคล้ายจะรอฟังอะไรบางอย่างอยู่ครู่ ก่อนจะหมดความสนใจในที่สุด เพราะความง่วงเข้าครอบงำ


“ค่ะ กีวี่คงหูแว่วไปเองนั่นแหละ”


เมื่อมาถึงห้องนอนได้ เชฟสาวก็ล้มตัวลงบนเตียงนุ่ม ไม่ถึงหนึ่งนาที ก็เข้าสู่นิทราอันแสนสุข หลังจากที่เหนื่อยล้าจากเรื่องต่างๆ มาตลอดทั้งวัน






วาทการขึ้นมานั่งทอดถอนใจบนหลังคาบ้าน สายลมปลายฤดูหนาวพัดมากระทบผิวกายเป็นระลอกๆ เย็นเยียบไปถึงกลางขั้วหัวใจ เวลานี้เขารู้สึกทั้งเหงา อ้างว้าง และโดดเดี่ยว ตั้งแต่เสียชีวิต เขาก็ทำได้เพียงยืนมองพี่สาวทั้งสองคน และแอบยิ้มเศร้าๆ ทำได้เพียงเท่านั้น เพราะไม่มีวันที่จะพูดคุยกับคนที่เขารักได้อีกแล้ว


วิญญาณหนุ่มสะดุ้ง เมื่อเงาร่างของใครบางคนปรากฏขึ้นข้างๆ เมื่อเห็นว่าเป็นเวทิตา มัจจุราชสาวที่คุ้นเคย จึงแหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าเช่นเดิม


“มาทำไมเงียบๆ ครับ คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ” วาทการแกล้งบ่นอย่างไม่จริงจังนัก ดูเหมือนหล่อนจะเป็นคนเดียวที่พูดคุยกันได้ ทำให้เขาคลายเหงาลงบ้าง


“คนเหรอ? อ้อ นายคงคิดว่าตัวเองเป็นคนอยู่ ถึงได้ทำเป็นกระต่ายตื่นตูมเหมือนคน แค่นี้ทำตกใจ” มัจจุราชสาวว่าคล้ายอยากจะเตือนความจำพลางหัวเราะแหะ


“คุณก็คงคิดว่าตัวเองเป็นผี ถึงได้ชอบหายตัวไปมาเหมือนผี” วาทการพูดด้วยประโยคคล้ายๆ กัน ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ใบหน้าคมขาวราบเรียบ


“แหม เดี๋ยวนี้ล้อเล่นนิดหน่อยไม่ได้เหรอ รู้สึกว่าตั้งแต่นายเป็นวิญญาณเนี่ย จะซีเรียสขึ้นเยอะเลยนะ ไม่เหมือนตอนแรก ปากพล่อยชะมัด หาว่าฉันเป็นคนบ้า แล้วไงล่ะ ตอนนี้ยังจะเถียงอีกไหม ว่าฉันไม่ใช่มัจจุราช” เวทิตาอดหมั่นไส้ไม่ได้


กว่าหล่อนจะทำให้ชายหนุ่มหยุดโวยวายและเข้าใจว่าเขาตายไปแล้วจริงๆ ก็ต้องใช้เวลาหลายวันทีเดียว โชคดีที่เขายอมรับได้ในที่สุด


หากยังไม่ทันขาดคำ วาทการก็ถามขึ้นด้วยคำถามเดิมๆ ว่า


“วินนี่ ผมตายไปแล้วจริงๆ เหรอ ผมไม่ได้กำลังอยู่ในรายการเรียลลิตี้แหกตา หรือว่าแคนดิดอะไรใช่ไหม”


“นายข้าว นี่หนึ่งเดือนแล้วนะ นายยังไม่เชื่ออีกเหรอว่าตัวเองตายแล้ว” มัจจุราชสาวว่าอย่างเหนื่อยใจ หล่อนอยากจะอัดเทปเอาไว้ แล้วเปิดให้อีกฝ่ายฟังให้ขึ้นใจจริงๆ เพราะไม่อยากจะตอบคำถามเดิมๆ


วิญญาณหนุ่มหัวเราะอย่างขมขื่น เอ่ยว่า


“ผมก็แค่อยากถาม ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำตอบมันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” ในน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด


หากเวทิตาก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร จึงไม่ปลอบ ในเมื่อการเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นเรื่องที่มัจจุราชอย่างหล่อนเห็นว่าธรรมดามาก


“แล้วไม่ต้องถามฉันอีกนะ ขี้เกียจตอบแล้ว”


“ครับ” เขารับคำเบาๆ และเงียบไป


แม้วาทการจะไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเป็นเรื่องจริง หากมันก็เป็นไปแล้ว และไม่อาจพลิกผลันได้


มัจจุราชและยมโลกในจินตนาการของเขากับความเป็นจริงนั้นต่างกันลิบลับ!






หลังจากที่วาทการเสียชีวิต เวทิตามารับวิญญาณของเขาตามหน้าที่ และพาเดินผ่านทางเชื่อมยมโลกไปยังสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสายอเวจี


ตอนนั้นเขางุนงง ทำอะไรไม่ถูก สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินนี้หรือ คือที่ๆ จะนำเขาไปสู่ยมโลก เพราะบรรยากาศภายในนั้นเหมือนสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่เขาเคยเห็นไม่มีผิด ผู้คนเดินขวักไขว่มาพร้อมกับเสียงจ้อกแจ้กจอแจ และเสียงประกาศที่คุ้นเคยไม่ผิดเพี้ยน


พนักงานทุกคนล้วนแต่งกายด้วยเครื่องแบบสีดำ ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น มีลูกน้อง หัวหน้า ไม่ต่างจากระบบการทำงานของโลกปัจจุบัน


เวทิตาทิ้งเขาไว้ข้างๆ กำแพง ก่อนจะเดินไปต่อแถวซื้อเหรียญโดยสาร ตอนนั้นผู้หญิงในชุดเดรสลูกไม้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หันมาฉีกยิ้มให้เขา หน้าตาของหล่อนดูซีดเซียวราวกับไม่มีเลือดในร่างกาย ขอบตาดำคล้ำจัด รอยยิ้มนั้นยังทำให้ขนลุกเกรียวอย่างไม่มีสาเหตุ


ครู่ต่อมา เวทิตากลับมาพร้อมเหรียญโดยสารและผู้ชายที่แต่งกายเหมือนหล่อน วาทการเพิ่งจะสังเกตว่าบนอกเสื้อด้านซ้ายมีรูปนกพิราบสีแดงกางปีกปักอยู่ พูดกันสองสามคำ ผู้ชายร่างสูงใหญ่กำยำก็พาผู้หญิงในชุดเดรสลูกไม้เดินจากไป เวทิตาหันมาบอกเขาให้ไปเช่นกัน


หล่อนเดินนำอย่างว่องไว มุ่งหน้าไปทางเดียวกันกับที่หญิงสาวหน้าตาซูบเซียวและผู้ชายคนนั้นเดินไปเมื่อครู่ บรรยากาศระหว่างทางโรยตัวไปด้วยความเงียบสงัด อึมครึม มีเพียงแสงอ่อนๆ จากเชิงเทียนรูปดอกไม้ประหลาด หนามแหลมของมันราวกับจะทิ่มแทงผู้ที่เดินผ่านไป วาทการอยากจะเอ่ยถามให้คลายความสงสัย หากก็ไม่กล้าขึ้นมาเฉยๆ


ในที่สุดก็มาถึงชานชาลา รถไฟฟ้าเที่ยวสุดท้ายเข้าเทียบท่า ทุกคนก็เดินเข้าไปจับจองที่นั่งที่ยืน ใช้เวลาเพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้นก็มาถึงปลายทาง


ตึกยมโลกที่หญิงสาวบอก ดูคล้ายตึกออฟฟิศทั่วไปในกรุงเทพฯ นั่นทำให้เขายังไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่หล่อนพูดจะเป็นจริง วาทการยังยึดมั่นในความคิดที่ว่า หล่อนกำลังเล่นตลกอะไรกับเขาอยู่แน่ๆ หากก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ ทำให้เขามาไกลได้ขนาดนี้โดยไม่ขัดขืน


เวทิตานำเขาขึ้นมาที่ชั้นเก้าร้อย ใช่…เขาไม่ได้ดูผิด มันคือชั้นเก้าร้อยจริงๆ เมื่อมองลงไปยังเบื้องล่าง วาทการเห็นเพียงเมฆหมอกหนาสีดำทะมึน ภาพนั้นทำให้ขนลุกขึ้นมาดื้อๆ


หญิงสาวเรียกเขาไปยังแผนกลงทะเบียนวิญญาณใหม่ วาทการมองป้ายชื่อแผนกครั้งแล้วครั้งเล่าสลับกับหน้าหล่อน และถามว่านี่คืออะไรกัน หากอีกฝ่ายไม่ตอบ ลากเขาเข้าไปด้านใน


เจ้าหน้าที่ร่างท้วมยื่นเอกสารให้เขาปึกหนึ่ง บอกให้กรอกให้เรียบร้อย เนื้อความในเอกสารไม่ต่างจากเอกสารลงทะเบียนนักศึกษาที่เขาเคยทำ มีให้กรอกทั้งชื่อจริง นามสกุล ชื่อเล่น วันเกิด และ…


วันเสียชีวิต!


วาทการรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว มันเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของเขา เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ แล้วทำไมเขาจะต้องมากับหล่อนเพื่อเล่นอะไรบ้าๆ นี้ด้วย ชายหนุ่มขว้างกระดาษปึกหนาทิ้งอย่างโมโหจัด ก่อนจะเดินปึงปังออกจากห้องไป


เวทิตาวิ่งตามเขามาแทบไม่ทัน หล่อนฉุดรั้งเขาเอาไว้ด้วยแรงมหาศาล จนวาทการไม่อยากเชื่อว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะมีแรงมากมายถึงขนาดนี้


หล่อนย้ำว่าเขาตายไปแล้วจริงๆ และไม่ว่าเขาจะถามกี่ครั้ง เวทิตาก็ตอบอย่างเดิม หล่อนพาเขาไปยังห้องสมุดภายในตึกสูง และฉายภาพบนจอทีวีให้วาทการดู หญิงสาวบอกว่าเป็นการถ่ายทอดสดบรรยากาศจากนรก ตอนนั้นเขาอยากจะหัวเราะดังๆ เรื่องมันชักจะบ้าไปกันใหญ่แล้ว และเขาก็บ้ามากเหมือนกันที่ยอมมาไกลขนาดนี้


ภาพในจอทีวีขนาดใหญ่ ผู้ชายรูปร่างกำยำสองคนโยนผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกแร้งจิกทึ้งจนผิวหนังเหวอะหวะเข้าไปในไมโครเวฟ ก่อนจะทำการอบจนไหม้เกรียมเหลือแต่กระดูก แล้วโยนให้สุนัขกิน ไม่นานโครงกระดูกนั้นก็กลับมีเนื้อหนังขึ้นมาอีกครั้ง เจ้าของร่างที่มีแผลแดงฉานไปด้วยเลือดร้องขอชีวิต หากชายสองคนไม่นำพา โยนร่างนั้นเข้าไปในเตาไมโครเวฟอีกครั้ง และทำเหมือนครั้งแรก ครั้งแล้วครั้งเล่า


น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง


ตอนนั้นวาทการรู้สึกอึ้งไม่น้อย เพราะภาพที่เห็นเหมือนจริงจนไม่น่าเชื่อ ก่อนที่จะเห็นการลงโทษอีกหลายอย่างตามมา และสุดท้ายสิ่งที่ทำให้เขาต้องตะลึง จอทีวีขนาดใหญ่พลันเปลี่ยนเป็นภาพตอนเขากำลังซ้อมดนตรีอยู่กับเพื่อน ก่อนที่วาทการจะวิ่งออกไปบนชั้นดาดฟ้าของตึก เพื่อช่วยนักศึกษาที่อกหักและกำลังจะกระโดดฆ่าตัวตายที่มหาวิทยาลัย


ตอนนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก วาทการพยายามจะเข้าไปล็อกตัวช่วยเหลือเพื่อนร่วมสถาบัน หากในจังหวะนั้นคนที่กำลังจะกระโดดตึกเบี่ยงตัวหลบ ทำให้เขาพลาดตกลงมาจากตึกสิบสองชั้น และเสียชีวิตทันที


และนั่นก็ทำให้ชายหนุ่มต้องยอมรับว่าเวทิตาไม่ได้หลอกเขา การจะทำภาพกราฟฟิกให้เหมือนได้ขนาดนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ๆ


เขาตายไปแล้ว…ตายไปแล้วจริงๆ


ราวกับเลือดทั้งหมดถูกสูบออกไปจากร่างกาย วินาทีนั้นความรู้สึกหลากหลายถาโถมเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างไม่ปราณี ทั้งตกใจ ประหลาดใจ เสียใจ กลัว กังวล คิดถึงคนที่รัก


หญิงสาวบอกเขาว่าเป็นธรรมดาที่คนตายจะจำไม่ได้ และไม่รู้ตัวว่าเสียชีวิตไปแล้ว เนื่องจากทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน


วาทการเซื่องซึมไปหลายวัน เวทิตาปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวในห้องพักที่จัดไว้ ก่อนที่จะกลับมารับไปที่แผนกลงทะเบียนวิญญาณใหม่อีกครั้ง เมื่อชายหนุ่มอาการดีขึ้น


เขาค่อยๆ ทำใจทีละน้อย แม้สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นยากที่จะยอมรับ หากมันก็เกิดขึ้นจริงๆ แล้ว ในเมื่อเขาไม่อาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้ วาทการจึงเริ่มปรับทัศนคติ และเรียนรู้ที่จะอยู่กับชีวิตแบบวิญญาณ หลังจากลงทะเบียนวิญญาณใหม่แล้ว ชายหนุ่มก็ได้ไปรายงานตัวต่อแผนกสืบสวนความดีความชั่วตามกระบวนการ


การพูดคุยกันกินเวลาเกือบทั้งวัน เมื่อออกมาเวทิตาพาเขาไปนั่งเล่นที่ทุ่งดอกไม้แห่งความตาย ชื่อดูเหมือนจะน่ากลัว หากพอไปถึงจริงๆ กลับไม่เป็นอย่างที่คิด มันสวยงาม น่าค้นหา เป็นความวิจิตรที่แฝงเร้นด้วยความลึกลับ


‘เดี๋ยวนี้เขาไม่ใช้กระทะทองแดงแล้วเหรอวินนี่’ วาทการทำหน้าสยดสยอง เมื่อนึกถึงภาพการถ่ายทอดสดวันนั้น


‘โอ๊ย เลิกใช้ไปตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว สมัยนี้ไม่มีใครมานั่งก่อไฟให้เมื่อยหรอกนะ ใช้ไมโครเวฟสะดวกกว่า’ เวทิตานึกขันที่อีกฝ่ายไม่รู้อะไรเอาเสียเลย หากก็ยังดีที่เขาเริ่มทำใจได้


‘แล้ว…พวกที่เป็นชู้กับชาวบ้านล่ะ ยังปีนต้นงิ้วอยู่ไหมครับ’ ชายหนุ่มถามต่ออย่างสนใจ พลางนึกถึงวิธีทำโทษที่เขาเคยเห็นในละครทีวี


‘อันนั้นยังมีอยู่เหมือนเดิม อ้อ แต่ว่าตอนนี้หนามแหลมขึ้นนะ เพราะเป็นต้นงิ้วจีเอ็มโอ ทางกระทรวงเกษตรของยมโลกตัดต่อพันธุกรรมมาให้ใช้เพื่อการลงโทษโดยเฉพาะ คืออะไรที่มันดีแล้ว เราก็พยายามรักษาไว้ แต่อะไรที่มันล้าสมัย ก็ต้องเปลี่ยนแปลง พวกเราชาวยมโลกไม่เคยยึดติด ถ้าทำแล้วดีกว่าเดิม ไม่เหมือนโลกของนายหรอกนะ ที่ทุกคนกลัวการเปลี่ยนแปลงจนเกินไป แทนที่จะก้าวไปข้างหน้าเพื่อเจอสิ่งที่ดีกว่า กลับต้องย่ำอยู่กับที่อย่างน่าเสียดาย’


‘อืม จริงด้วย โดยเฉพาะประเทศไทยที่น่าจะพัฒนาไปมากกว่านี้ แต่กลับต้องย่ำอยู่กับที่ ปีไหนๆ ก็ยังเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่เหมือนเดิม และไม่มีวี่แววว่าจะหนีจากคำนี้ได้ง่ายๆ เสียด้วยสิ’


‘ศีลธรรมตกต่ำมากด้วย พ่อฉันเคยเล่าให้ฟังนะว่าสมัยก่อนนู้น วิญญาณที่ว่าเลว ยังไม่เท่าสมัยนี้เลย เลวกว่าเยอะ เพราะคนไม่กลัวบาป ขยันสร้างกรรมมากขึ้น ภาระหนักก็มาตกอยู่ที่มัจจุราชอย่างเราเนี่ยแหละ กว่าจะส่งวิญญาณลงนรกได้ แทบลมจับเลย’


การที่มีวิญญาณเลวๆ มากขึ้นทุกวัน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ยมโลกยอมเปิดรับมัจจุราชรุ่นใหม่ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่รับเฉพาะอายุสี่ร้อยปีขึ้นไปเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีการจัดระบบการทำงานให้รวดเร็ว กระชับมากยิ่งขึ้นอีกด้วย


แม้การดูแลวิญญาณของวาทการจะเป็นงานแรกของหล่อน หากเวทิตาก็เริ่มรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของบิดาได้ดีทีเดียว


‘แล้วผมจะต้องตกนรกหรือเปล่า’ วาทการหันมาถามเสียงจริงจัง


‘อันนี้ฉันก็ไม่รู้ รอดูผลการสืบสวนแล้วกัน’






“แล้วนี่ทำไมคุณถึงไม่ไปทำอย่างอื่นบ้าง มาตามผมตลอดไม่เบื่อเหรอวินนี่”


“อ้าว ถามได้ ก็ฉันมีหน้าที่ดูแลวิญญาณของนายนี่ เกิดนายทำอะไรแผลงๆ ขึ้นมา ฉันต้องเป็นคนรับผิดชอบ ถ้ารุนแรงมากอาจจะถึงขั้นโดนปลดจากการเป็นมัจจุราชเลยก็ได้ ดังนั้นกันไว้ก่อนดีกว่า” เมื่อพูดจบ เวทิตาก็นึกถึงพี่ริคกี้ มัจจุราชสุดหล่อฝีมือฉกาจแห่งยมโลก พี่เลี้ยงส่วนตัวผู้ช่วยฝึกฝนให้หล่อนเป็นมัจจุราชที่ดี และสอบเข้าบรรจุได้สำเร็จ


“ผมไม่ทำอะไรอย่างที่คุณว่าหรอกน่า รับรองได้”


“แน่ใจ? ไหนลองท่องกฎห้าข้อที่เราตกลงกันไว้ให้ฉันฟังซิ” เวทิตาถามอย่างไม่อยากเชื่อ พี่ริคกี้สอนว่าอย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคนเด็ดขาด แม้คนๆ นั้นจะกลายเป็นผีแล้วก็เถอะ เพราะหล่อนอาจจะจนใจเองทีหลังโดยไม่รู้ตัว


“ผมท่องทุกวันจนจำขึ้นใจแล้ว” วาทการบ่ายเบี่ยง


“งั้นก็ท่องจนมันขึ้นสมองไปเลย” มัจจุราชสาวว่าอย่างรำคาญ ตั้งแต่ดูแลวิญญาณของวาทการมาตลอดหนึ่งเดือน ไม่มีวันไหนที่หล่อนและเขาจะลงรอยกันได้เลย “ท่องเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นฉันจะพานายกลับยมโลก จะได้ไปเกิดใหม่สักที” เวทิตาขู่ และหวังว่าเขาคงไม่ลืมข้อตกลงที่เคยให้ไว้


“ก็ได้ๆ” ชายหนุ่มพยักหน้าจำยอม เขาไม่ลืมสัญญา หากการท่องกฎพวกนี้ทุกวันมันน่าเบื่อจริงๆ นี่นา


“ดีมาก” หญิงสาวยิ้มและดีดนิ้วเปาะอย่างพอใจ


“หนึ่ง…อย่าหลอกหลอนคนอื่นโดยไม่มีเหตุผล สอง…อย่ายุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทุกชนิด”


“เช่นอะไร?”


“การใบ้หวย”


“เยี่ยม…ต่อไป”


“สาม…อย่าทะเลาะกับวิญญาณด้วยกัน สี่…อย่าพยายามฝืนชะตาชีวิตของใคร และข้อห้าสำคัญที่สุด…อย่าขัดคำสั่งใดๆ ของมัจจุราชผู้ดูแล พอใจหรือยังครับคุณวินนี่”


“อืม ก็จำแม่นดีนี่ แต่อย่าลืมสัญญาที่นายให้ไว้กับฉันด้วยนะว่า ถ้าครบสี่เดือนเมื่อไหร่ ไม่ว่าพี่สาวทั้งสองคนของนายจะมีความรักมั่นคงหรือไม่ นายจะยอมไปเกิด” เวทิตาทวงถาม เพราะเรื่องการดูแลวิญญาณให้ตลอดรอดฝั่งเป็นหน้าที่สำคัญของมัจจุราชอย่างหล่อนมาก


“ผมสัญญาครับ” วิญญาณหนุ่มตอบด้วยแววตามั่นคง


หลังจากรอผลจากแผนกสืบสวนความดีความชั่วอยู่หลายวัน เจ้าหน้าที่ก็นำแฟ้มสรุปผลของวาทการมาให้ เวทิตาพบว่าจากผลของการกระทำทั้งหมด ชายหนุ่มมีความดีมากกว่าความชั่ว ทำให้เขาต้องไปเกิดใหม่อีกครั้ง เพื่อชดใช้กรรมที่เคยก่อไว้ในอดีต


‘แล้วผมจะเกิดเป็นอะไร คุณบอกได้หรือเปล่า’ วาทการถามด้วยใบหน้ากังวล เกิดเป็นสุนัขหรือแมวยังพอทน แต่หากเกิดเป็นกิ้งกือ ไส้เดือน เขาคงบ้าตาย แต่พอถึงตอนนั้นคงไม่ได้บ้าตาย เพราะอาจโดนคนฆ่าหรือเอาไปเป็นเหยื่อตกปลาเสียก่อน


‘ฉันไม่รู้หรอกนะ เรื่องนี้เป็นงานของแผนกส่งออกวิญญาณ ฉันมีหน้าที่แค่ส่งต่อให้เท่านั้น หลังจากหมดความรับผิดชอบ ส่งนายเรียบร้อย ฉันก็ต้องไปดูแลวิญญาณดวงใหม่ตามที่ได้รับมอบหมายแทน’


‘วินนี่ ผมยังไม่อยากไปเกิดใหม่ตอนนี้ ผมเป็นห่วงพี่สาว’ ใบหน้าคมขาวของวาทการเต็มไปด้วยความเครียดขึ้งอย่างที่เวทิตาไม่เคยเห็นมาก่อน


‘แล้วจะให้ฉันทำยังไง ในเมื่อแผนกสืบสวนความดีความชั่วระบุออกมาแล้วว่านายจะต้องไปเกิดใหม่’ มัจจุราชสาวส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ แค่งานแรกที่เจอ หล่อนก็รู้สึกเหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก แล้วถ้าเกิดเจอวิญญาณที่เฮ้วๆ กวนๆ เหมือนที่พี่ริคกี้และพ่อบอก หล่อนจะไม่เป็นลมเลยหรือนี่


‘ผมไม่ได้หมายความว่าจะไม่ไปเกิดใหม่นะครับ แค่ขอดูแลพี่สาว จนกว่าพวกเขาจะมีความรักมั่นคง แล้วผมจะยอมไปเกิดใหม่โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งนั้น’ วิญญาณหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


‘แล้วนานแค่ไหน ที่พี่สาวของนายจะเจอความรักมั่นคง หนึ่งปี สองปี หรือว่าสิบปี’


วาทการยังไม่ละความพยายาม


‘โธ่ วินนี่ ช่วยผมเถอะนะ ถ้าต้องไปเกิดใหม่จริงๆ ผมก็อยากจะไปอย่างสบายใจ มัจจุราชอย่างคุณน่าจะรู้ดีว่าการที่วิญญาณไปเกิดใหม่ ทั้งที่ยังไม่หมดห่วง มันเป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ’


‘บอกว่าไม่ได้ๆ ไม่เข้าใจหรือไง’


‘อ๋อ จริงสินะ ลืมไปว่าพวกมัจจุราชไม่มีหัวใจ คงไม่เข้าใจความรู้สึกรักและผูกพัน ไม่รู้ว่าการต้องจากคนที่เรารักไปมันเป็นยังไง สิ่งที่ผมขอ มันมากไปตรงไหนเหรอวินนี่ แค่ขอให้ได้เห็นคนที่ผมรัก มีความรักที่มั่นคง มีคนที่จริงใจดูแลเขาเท่านั้นเอง’


ไม่ว่าจะขอร้องอย่างไร เวทิตาก็ไม่ยอมตกลง มัจจุราชสาวพาตัววาทการไปยังแผนกส่งออกวิญญาณทันที


‘วินนี่พาวิญญาณของวาทการมารายงานตัวค่ะ’ หล่อนแจ้งความจำนงต่อเจ้าหน้าที่แผนก


ตามปรกติ ไม่มีวิญญาณดวงไหนสามารถไปเกิดได้ทันที เพราะต้องรอช่วงเวลา และจังหวะที่เหมาะสม วิญญาณเหล่านั้นอาจจะต้องอยู่ในยมโลกอีกไม่น้อยกว่าสองเดือน หรือบางครั้งเป็นสิบๆ ปีก็มี และวาทการเองก็ต้องรออีกสี่เดือนข้างหน้า จึงจะเป็นเวลาของเขา


เวทิตาพาชายหนุ่มไปที่บ้านพัก ที่ทางแผนกส่งออกวิญญาณจัดไว้ให้ หากวาทการก็ดึงดัน หยุดอยู่หน้าประตู ไม่ยอมเข้าไป


‘วินนี่ เห็นไหมว่าผมมีเวลาตั้งสี่เดือน’


‘เฮ้อ ฉันนึกว่านายจะล้มเลิกความตั้งใจแล้วนะ’ มัจจุราชสาวถอนหายใจยาว


‘ไม่ครับ ผมยังยืนยันคำเดิม ถ้าในสี่เดือนนี้ ผมจะกลับไปที่บ้าน จะเป็นไปได้ไหม ผมสัญญานะว่าถ้าครบกำหนดสี่เดือนแล้ว ผมจะยอมไปเกิดใหม่ทันที’ วาทการอ้อนวอนด้วยแววตาละห้อย หวังว่าอีกฝ่ายจะเห็นใจเขาบ้าง


‘ที่จริงมันก็ทำได้ ถ้าดำเนินการอย่างถูกต้อง แต่ฉันไม่รับรองนะ ว่าคำร้องขอของนายจะผ่านการเห็นชอบจากสภามัจจุราชหรือเปล่า’


‘จริงเหรอครับ งั้นคุณช่วยผมนะวินนี่ แล้วผมจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้เลย’ วิญญาณหนุ่มเอ่ยอย่างมีความหวัง


‘อืมๆๆ ช่วยก็ช่วย’


ในที่สุดเวทิตาก็ทนความดึงดันของวาทการไม่ไหว มัจจุราชสาวตัดสินใจไปปรึกษาริคกี้ มัจจุราชพี่เลี้ยงเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น และด้วยความดีที่วาทการเคยทำมา สภามัจจุราชจึงลงมติให้เขาทำตามที่ร้องขอได้ หลังจากที่เวทิตายื่นใบขอความเห็นชอบเข้าไป แต่ก็มีข้อแม้ว่าหล่อนจะต้องรับผิดชอบทุกอย่าง หากมีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น






“แล้วตอนนี้ความรักของพี่สาวนายเป็นไงบ้าง” เวทิตาถามขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป


วาทการถอนหายใจยาว ก่อนจะตอบเสียงเพลียๆ


“ยังไม่มีวี่แววว่าพี่สาวของผมจะเจอความรักมั่นคงเลยครับ”


พี่สาวคนโต มีคนมาจีบอยู่เนืองๆ แต่คนที่มาจีบเป็นพ่อหม้ายชีกอ ที่เข้ามาแทะโลมสนุกปากไปวันๆ ส่วนพี่สาวคนกลาง ตั้งแต่เล็กจนโต เขาก็ไม่เคยเห็นมีแฟนเลย อาจจะเป็นเพราะบุคลิกภายนอกที่ดูไม่อ่อนหวานเหมือนผู้หญิงทั่วไปกระมัง และถ้าใครรู้ว่าหล่อนมีของสะสมเป็นมีดทำอาหาร หาใช่ตุ๊กตาน่ารักๆ ไม่ ผู้ชายที่ไหนก็คงหนีหมด


“อ้อ นึกออกแล้ว” วิญญาณหนุ่มโพล่งขึ้น


“นึกอะไร? นึกอะไรออก” ถามอย่างอยากรู้ ตาโตเป็นประกายระริก


“เมื่อกี้ผมตามพี่กีวี่ไปที่ทำงานครับ ตอนที่พี่กีวี่จะกลับ เขาเจอผู้ชายคนนึง แล้วตอนที่อยู่ใกล้ๆ กันมีแสงอะไรก็ไม่รู้ ฉายออกมาจากตัวพี่สาวของผมกับผู้ชายคนนั้น” วาทการเล่าอย่างตื่นเต้น เพราะไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน


“ประกายแสงสีอะไร?”


“สีชมพูอมม่วงครับ มันคืออะไรเหรอวินนี่”


เวทิตาได้ยินคำตอบก็กรี๊ดเสียงดัง


“มันคือแสงออร่าเนื้อคู่! พี่สาวของนายเจอเนื้อคู่แล้วล่ะ แถมยังเป็นคู่แท้ด้วย รู้ไหมว่าปรกติแสงออร่าสีชมพูอมม่วงไม่ค่อยฉายออกมาจากใครหรอกนะ ถึงแม้ผู้ชายกับผู้หญิงคู่นั้นจะเป็นเนื้อคู่กัน นอกจากจะเป็นคู่แท้ตั้งแต่ภพก่อน”


“ภพก่อน?” วาทการย่นหัวคิ้วเข้าหากัน เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเหมือนเรื่องราวในละครไม่มีผิด แต่มาถึงตอนนี้ คงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้แล้วละ เพราะตั้งแต่เสียชีวิต เขาก็เจอสิ่งที่เกินความคาดหมายมากมาย ดังนั้นหากจะมีอีกสักเรื่อง ก็คงจะไม่แปลก


“ใช่ แสงออร่ามีหลายสี และแต่ละสีจะมีความหมายต่างกัน แต่ของพี่สาวนาย ออร่าเนื้อคู่ชัดๆ” หล่อนทำท่าตื่นเต้นราวกับเจอเนื้อคู่เอง


“แต่มันเชื่อได้แน่เหรอวินนี่ ตอนที่ผมเห็นแสงออร่าเนื้อคู่ สองคนนั้นเขาทะเลาะกันแทบเป็นแทบตายเลยนะ แล้วจะลงเอยกันยังไง”


“ได้สิ ถ้าไม่เชื่อก็คอยดูแล้วกัน” เวทิตากอดอก บอกอย่างมั่นใจ สีของแสงออร่าไม่มีวันผิดพลาด ถ้าจะพลาดก็มีโอกาสแค่ 0.0000001 ในร้อย “นายข้าว เป็นอะไร” มัจจุราชสาวมองหน้าวาทการ สีหน้าของเขาดูแปลกๆ ชอบกล


“ตาขวาผมกระตุก”


“หา?” เวทิตาเลิกคิ้วเรียวขึ้น


“ตามความเชื่อ ตาขวากระตุกเป็นลางร้าย วินนี่ คุณรู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น” วาทการถามด้วยแววตาเป็นกังวล


“รู้แล้วจะได้อะไร” หล่อนไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมคนบนโลก แม้กระทั่งดวงวิญญาณอย่างวาทการถึงอยากรู้เรื่องที่จะเกิดในอนาคตกันนัก


“ได้สิ ถ้าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ผมจะได้ป้องกัน หรือไม่ก็ทำให้มันไม่รุนแรงมากเกินไป”


“ฉันบอกแล้วไงว่าอย่าพยายามเปลี่ยนแปลงหรือฝืนโชคชะตาของใคร อะไรจะเกิดก็ปล่อยมันไป โชคชะตาลิขิตมาแล้ว ไม่มีใครแก้ไขได้หรอก แม้แต่นายยังทำไม่ได้ แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้ยังไง” เวทิตาบอกเสียงกังวาน ก่อนจะหายวับไปราวกับอยากจะตัดความรำคาญ ทิ้งให้วาทการครุ่นคิดอยู่ผู้เดียวว่าลางบอกเหตุนั้นหมายถึงอะไรกัน!


โปรดติดตาม...



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ค. 2554, 18:19:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 มิ.ย. 2555, 00:05:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 2285





<< ตอนที่ 1   ตอนที่ 3 >>
บุลินทร 2 พ.ค. 2554, 18:29:26 น.
อย่าลืมกด LIKE หรือฝากข้อความให้กำลังใจด้วยนะครับ ^^


Gingfara 2 พ.ค. 2554, 19:08:44 น.
อ๊ายๆๆๆๆอยากรู้แล้วว่าจะเป็นไงต่อ


lovemuay 2 พ.ค. 2554, 19:31:46 น.
เดี๋ยวนี้นรกไฮเทคนะคะ อิอิ


Setia 2 พ.ค. 2554, 23:43:48 น.
น่าจะสนุกนะคะ ชอบต้นงิ้วจีเอ็มโอ กับใช้ไมโครเวฟแทนกระทะอ่ะ ฮาดี


ปูสีน้ำเงิน 3 พ.ค. 2554, 00:00:04 น.
ชักสนุกมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ


บุลินทร 3 พ.ค. 2554, 17:20:35 น.
คุณ Gingfara
เดี๋ยวจะรีบมาลงต่อนะครับ ^^

คุณ lovemuay
นรกยุคใหม่ ฉีกทุกฏที่เคยมี หวังว่าจะชอบนะครับ ^^

คุณ Setia
นั่งอ่านความเห็นของคนอ่านแล้วก็หายเหนื่อย ดีใจที่ชอบครับ ^^

คุณ ปูสีน้ำเงิน
ตอนต่อไปมารอลุ้นกันนะครับ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ^^

คนอื่นๆ ถ้าเข้ามาอ่านแล้ว ทักทายกันได้นะครับ
d(^O^)b


แมวเหมียวก้อย 3 ก.ค. 2554, 23:37:51 น.
นรกพัฒนาไปไกลกว่าประเทศไทยอีก ฮ่าๆๆ

จะเกิดลางร้ายอะไรน้ออ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account