เมียใหม่(สำนักพิมพ์ sugar beat)
ใครที่ชอบตบแล้วจูบ จูบแล้วตบ พบกับเมียคนนี้ได้ ทั้งแรง ทั้งเหวี่ยง...เพื่อทวงความเป็นเมีย!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 1

ตอนที่ 1

‘แน่ใจหรือใหม่ ว่าจะเลือกทำแบบนี้’

เสียงของป้ามลดังแว่วเป็นระยะ ขณะที่มองกระดาษแผ่นหนึ่งในมือตนเอง ต้นเหตุซึ่งทำให้พี่สาวของหล่อนต้องยึดถือไว้เป็นที่ตั้งทั้งกายทั้งหัวใจ จนถูกพันธนาการไว้ ราวกับโซ่ตรวนจองจำ

คงไม่มีใครรู้ดีไปกับทุกสิ่งในเรื่องราวที่เกิดขึ้น ได้ดีไปกว่ามาลาตีกับป้อมปราบ แต่ถึงอย่างไร มิรันตีก็เชื่อสนิทใจในคำบอกเล่าของผู้เป็นป้า

ทะเบียนสมรสแผ่นนี้ ไม่มีใครรู้ว่ามาลาตีไปอำเภอกับผู้ชายคนนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไมถึงยินยอมไปเซ็นพยานรัก โดยไม่ปริปากบอกใครสักคำ

มิรันตีอยากจะพูดแทนพี่สาวของหล่อน ว่าผู้ชายคนนั้นมันหลอกลวงใช่หรือไม่...เพราะถ้าจะจดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องทั้งทางกฎหมาย และทางวัฒนธรรมประเพณีจริง ทุกอย่างต้องเปิดเผย ไม่ใช่ปิดบังหลบๆซ่อนๆแบบนี้

แต่จะทวงความเป็นธรรมกับคนที่ตายไปแล้วได้อย่างไร เพราะมันก็คงไม่มีคำตอบ นอกเสียจากคนที่ยังอยู่

‘ไอ้ฉันก็ไม่ใช่ว่าจะงกจะอะไรหรอกนะ แต่ที่ยายหมอกมันยอมไปจดทะเบียนกับผู้ชายลับๆแบบนี้ ฟันธงได้เลย ว่ามันสองคนต้องมีอะไรต่อมิอะไร มากกว่าความเป็นผัวเป็นเมียกันแล้ว’

มิรันตีแย้งแทนพี่สาว ซึ่งไม่อาจมาโต้ตอบ ‘พี่หมอกอาจจะไม่ได้ทำอย่างที่ป้าคิดก็ได้’

‘ชิชะ...วันนี้เกิดจะมาทำตัวพิลึกพิลั่น มองโลกในแง่ดีแบบพี่สาวซะอย่างนั้น ยายใหม่เอ๊ย...ลองคิดดูสิ ที่พี่สาวแกเป็นได้ขนาดนี้ ก็เพราะไม่ใช่ว่ารักว่าหลงไอ้ผู้ชายเฮงซวยพรรค์นั้นหรอกเหรอ...อ้อ แล้วไอ้ที่มันไปบวมอยู่ในท้องพี่สาวแก มันงอกออกมาเหมือนเมล็ดถัวเขียวรึไงยะ ของอย่างนี้ ไม่ต้องพูดก็รู้กันหมดแล้ว’

มาลาตีพยายามฆ่าตัวตาย ด้วยการกรีดข้อมือในหนแรก อีกทั้งตั้งใจจะกรอกน้ำยาล้างห้องน้ำลงในลำคอ ดีว่าผู้เป็นป้ามาพบและขัดขวางได้ทัน หลังจากแพทย์ได้ตรวจร่างกาย หลังจากช่วยชีวิตแล้ว จึงพบว่ามีทารกน้อยอาศัยอยู่ในครรภ์ นับว่าเป็นเรื่องตกตะลึงสำหรับหล่อนกับป้านัก ต่างคนต่างอุทานด้วยความตกใจ เมื่อแพทย์ที่มาแจ้งข่าว มีสีหน้ากระอักกระอ่วน

‘คนไข้กำลังจะมีเด็กครับ’

ป้ามลรีบออกตัวทันที เมื่อดึงมือมิรันตีออกมาพูดกันตามลำพัง ‘รึว่าจะเอาเด็กออกดีล่ะยายใหม่’

‘ไม่นะป้า...ยังไงเด็กคนนั้นก็เป็นหลานใหม่’

‘แต่แกไม่เห็นรึไง ว่าตอนนี้ยายหมอกมันไม่สามารถจะดูแลตัวเองได้เต็มร้อย จะเป็นแม่คนได้ยังไง แล้วถ้าลูกเกิดมาพิกงพิการ แขนขาดไปข้าง ขาขาดไปข้าง จะทำยังไง’

เสียงป้ามลดังจนเกือบเป็นตวาด หากมิรันตีก็เถียง ‘ถึงเวลานั้น ใหม่จะเลี้ยงเอง’

‘เลี้ยงเด็กคนนึง มันไม่ใช่เหมือนเลี้ยงปลาหางนกยูงนะโว้ย ไม่ใช่ว่าพอไม่ให้อาหาร มันก็หากินเอาเองได้ อยู่ได้เป็นอาทิตย์เป็นเดือน โดยกินพวกลูกน้ำมั่ง พวกตะไคร่มั่ง’

‘ป้ามล นี่มันคนทั้งคนเลยนะคะ ไม่ใช่ปงไม่ใช่ปลา จะเอาไปเปรียบกันได้ยังไง’

‘ก็เพราะว่าไม่ใช่น่ะสิ ฉันถึงจะเตือนสติแก ถ้าเราไม่พร้อม จะเอาห่วงผูกคอทำไมกัน ลำพังแค่เลี้ยงแกสองคนให้โตมาขนาดนี้ ฉันก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด หนี้สินก็ท่วมหัว จนปวดกบาลไปหมดแล้ว พอแกสองคนโตขนาดที่จะเลี้ยงดูตัวเองได้ ฉันก็หวังจะเอาไว้เป็นที่พึ่ง ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ก็แก่เฒ่า แต่นี่ยังไม่ทันไร ยายหมอกก็ต้องมาประสบกับเคราะห์กรรมอะไรก็ไม่รู้’

ถึงตรงนี้ ป้ามลถอนใจหนักยิ่งขึ้น ‘ฉันก็ต้องไปขายของที่ตลาดทุกวัน จะมีใครมาดูแลพี่สาวแกล่ะยายใหม่ ถ้าขืนฉันไม่ไป ก็ได้อดตายกันพอดี’

‘ป้าอย่าคิดว่าเราจะต้องจนตรอก ขนาดไม่มีทางออกสิคะ ในเมื่อพี่หมอกจำเป็นจะต้องหาคนมาดูแล ใหม่ก็ไม่เห็นว่าใครจะดีเท่ากับป้า นะคะป้า...เลิกไปขายผักที่ตลาด ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด นับจากวันนี้ ใหม่จะเป็นคนจัดการเอง รับรองว่าป้าไม่ต้องออกแม้แต่สลึงเดียว’

ป้ามลกระแทกตัวลงนั่งข้างหลานสาว สีหน้าวิตกเห็นชัด ‘แล้วหมอเขาจะยอมให้เราเอาเด็กไว้อย่างนั้นเหรอ คงไม่มีใครอยากเสี่ยงเก็บเอาเด็กไว้ ทั้งที่แม่ของมันอาจจะเดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายตอนไหนบ้างก็ไม่รู้’

‘จะยอมหรือไม่ยอม มันอยู่ที่เราต่างหากจ้ะป้า ใหม่จะคุยกับหมอเอง’

มิรันตีคว้ากระดาษสีขาวแผ่นนั้นไปจากมือผู้เป็นป้า แล้วเก็บตัวอยู่ในห้องนอนอย่างครุ่นคิดมาตลอดคืน ตัดสินใจซ้ำๆหลายครั้ง หากก็ไม่อาจสลัดภาพอันวนเวียน ซึ่งเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ความเจ็บช้ำของมาลาตีได้เลย

ในเมื่อผู้ชายคนนั้นมันตายไปแล้ว เพราะฉะนั้น ครอบครัวของมันก็ต้องเป็นคนชดใช้!

มิรันตีบอกกับตนเองซ้ำไปมา ตั้งใจแน่วแน่ ว่าราตรีนี้ในบ้านหลังเล็ก แถวย่านชานเมือง จะเป็นคืนสุดท้ายที่หล่อนจะนอนหลับอยู่ในคราบมิรันตี

นับแต่เช้าของวันใหม่...หล่อนจะไปทวงทุกสิ่ง ที่พี่สาวหล่อนควรจะได้

..................................................

“นี่มันข่าวบ้าบออะไรกัน งานศพลูกชายฉันก็เผาไปตั้งสองสามวันแล้ว อีพวกหนังสือพิมพ์เฮงซวยมันถึงไม่ยอมหยุดลงข่าวของนังนั่นสักที”

คุณปานระพีปาหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในมือลงไปยังกรอบประตู ทิศที่สาวใช้ประจำบ้านยืนอยู่จนหลบแทบไม่ทัน แล้วก็กวาดฉบับที่เหลือซึ่งกองซ้อนกันบนโต๊ะไม้หล่นลงไปกองกับพื้นระเนระนาด หันไปขึงตาใส่สาวใช้ หวังระบายอารมณ์

เด็กหวานได้แต่ก้มหน้างุดมองลงแต่พื้น ขณะกำลังเก็บหนังสือพิมพ์บนพื้น เพราะรู้ดีแก่ใจว่าอารมณ์ของผู้เป็นนายหญิงแห่งบ้านนั้น ถ้าลองได้โมโหโกรธา มักไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เป็นต้องได้กราดเกรี้ยวใส่ใครสักคนที่อยู่ใกล้ ไม่เว้นแม้แต่ลูกกับสามี

พอเด็กหวานทำเฉย ลมพายุที่หมุนวนก็ค่อยเบาลง หันไปสั่งสาวใช้ ซึ่งหลบมุมไปยืนตัวลีบอยู่ข้างผนังห้อง “ไปตามแม่สายใจมาได้แล้ว บอกให้ตั้งโต๊ะอาหารเช้าตอนนี้ ฉันไม่รอแล้ว ใครมันจะลงมากินหรือไม่กิน ก็ช่างปะไร”

คุณปานระพีหมายถึงคนในบ้านทั้งหมด ด้วยเวลานี้เป็นช่วงเจ็ดโมงเช้า ซึ่งถือเป็นเวลาอาหารเช้าของครอบครัว อันประกอบไปด้วยตัวท่านกับสามีคือคุณทยุต แล้วก็ลูกชายตนอีกสอง ลูกเลี้ยงติดสามีอีกหนึ่ง ซึ่งล้วนเป็นชายทั้งหมด

ทว่าเช้าวันนี้ บนโต๊ะอาหารที่จัด คงจะต้องขาดไปหนึ่งที่ จากห้าเหลือสี่ ดังนั้นเมื่อสั่งเด็กหวานไปบอกให้นางสายใจมาจัดโต๊ะ แม้จะพูดกระแทกกระทั้นไปแล้ว แต่พอสิ้นคำ ความรู้สึกว่า ‘ขาด’ ก็เข้ามาครอบคลุมจิตใจ

นางสายใจช่วยเด็กหวานลำเลียงอาหารเช้ามาวางบนโต๊ะไม้มะค่าเนื้อดีสีน้ำตาลเข้ม ซึ่งลงเงาจนมันวับ ด้านบนมีแผ่นกระจกใสตัดเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เท่ากับความกว้างของโต๊ะ จานแต่ละชุดที่วางตามตำแหน่งมีของสามีกับลูกชายคนเล็กจัดเหมือนกัน กล่าวคือเป็นขนมปังปิ้งหนึ่งแผ่น เนยแข็งวางเคียง ไข่ดาวสุก และไส้กรอกทอด กลิ่นหอมฉุย ส่วนของตนนั้นทานเพียงขนมปังแผ่นทาแยมรสผลไม้กับน้ำชาร้อนๆสักถ้วย ส่วนลูกเลี้ยงกับลูกชายคนโตจะดื่มเพียงกาแฟดำคนละถ้วยเหมือนกัน

แล้ววันนี้คุณปานระพีก็ยังให้นางสายใจชงกาแฟดำมาเผื่อ วางไว้ที่เดิมตรงหน้าเก้าอี้ ซึ่งเคยเป็นที่นั่งของป้อมปราบ ประหนึ่งว่าเขายังอยู่ ไม่ได้ล้มหายตายจากไปไหน

แม้ว่าอาการสะอื้นไห้จากการสูญเสียลูกชายคนโต จะซาลงไปนับจากวันแรกที่รู้ข่าวจนจัดการเผาศพ เก็บขี้เถ้าเรียบร้อย ผ่านมาสามวันแล้วก็ตาม ทว่าความรู้สึกอาวรณ์ของหัวอกแม่ก็ยังติดตรึงอยู่ไม่รู้หาย

คุณปานระพีซึ่งนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารเพียงคนเดียว เหม่อมองไปยังถ้วยกาแฟตรงหน้า ‘ที่นั่ง’ ของป้อมปราบ ควันโชยขึ้นเป็นสาย กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟช่างทำให้เศร้าหมองยิ่งนัก ทว่าเมื่อเบือนหน้าหลบ กลับต้องพบกาแฟอีกหนึ่งถ้วยของลูกเลี้ยงตั้งเด่นอยู่หน้าเก้าอี้ของคนผู้นั้น ความเกลียดชังในน้ำหน้าก็แล่นริ้วขึ้นลอยตามสายโชยเหนือถ้วยกาแฟ

ทำไมต้องเป็นตาป้อม แทนที่จะเป็นมัน!

เสียงร่ำร้องในหัวอกมันก้องกังวาน กลับหยุดกึกทันควันเมื่อเสียงปรเมศ ลูกชายคนเล็กดังขึ้น ขณะถอยเก้าอี้แล้วกระแทกตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด

“ทำไมแม่ไม่เรียกผม ทั้งที่รู้ว่าวันนี้ผมมีสอบแต่เช้า แล้วถ้าผมไปสอบไม่ทัน แม่จะมาโทษว่าผมขี้เกียจไปสอบไม่ได้นะครับ”

ผู้เป็นมารดาตวัดสายตามองลูกคนเล็กด้วยอารมณ์หงุดหงิดตกค้าง ตวาดกลับเสียงดุ “แกนี่มันยังไงกัน โตจนป่านนี้ เรียนอีกไม่กี่ปีก็จะจบปริญญาตรีอยู่แล้ว กับอีแค่รับผิดชอบเรื่องเรียนของตัวเอง ยังทำไม่ได้ แล้วอย่างนี้เรื่องธุรกิจการค้าของที่บ้าน จะฝากความหวังไว้กับแกได้ยังไง เป็นเพราะอย่างนี้ไงล่ะ พ่อแกถึงได้มองไม่เห็นหัว เอะอะก็เรียกหาแต่ตาทีปต์”

พูดชื่อลูกเลี้ยงขึ้นมาก็กัดฟันกรอด และด้วยคำเปรียบเทียบนั้น ปวเรศจึงลุกพรวด ไม่แตะอาหารในจานแม้ชิ้นเดียว หันไปคว้ากระเป๋าเป้ด้านข้างเก้าอี้ แล้วหุนหันออกไปจากห้อง ไม่สนเสียงก่นด่าตามหลังแต่อย่างใด

“มันเป็นซะอย่างนี้ไงล่ะ เกิดเป็นลูกเทวดา พูดให้คิดก็ไม่รู้จักคิด”

เสียงคุณปานระพีดังพอให้ผู้ที่นั่งอยู่บนรถเข็นได้ยิน คุณทยุตเอ่ยแย้งเสียงเรียบ “เพราะเธอเลี้ยงลูกตามใจต่างหากล่ะ มันถึงได้เอาแต่ใจตัว ไม่เคยเห็นหัวใครในบ้าน”

คุณปานระพีเม้มปากสนิท แต่เพียงประเดี๋ยวเดียว พอเห็นบุคคลอีกผู้หนึ่ง ซึ่งชังน้ำหน้าเป็นผู้จับรถเข็นให้สามีเข้ามา จึงรีบเถียงเสียงเขียว “ใช่สิคะ ลูกของฉันแต่ละคน มันประจบประแจงไม่เป็น พอมันทำอะไรนิดอะไรหน่อย คุณก็หาว่ามันเอาแต่ใจ แต่ถ้าเป็น...”

ยังไม่ทันได้พาดพิงทีปต์จนจบประโยค คุณทยุตก็ขัดขึ้นเสียงเข้มไม่แพ้กัน “เพราะเธอเป็นอย่างนี้ไงล่ะ ตาปืนมันถึงได้เลียนแบบนิสัย ลอกเธอมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน”

ผู้เป็นภรรยาตบโต๊ะปึง!

ลุกขึ้นยืนคล้ายจะอาละวาด “คุณกำลังต่อว่าฉัน”

คุณทยุตเข้าประจำที่เช่นเดียวกับทีปต์ ซึ่งนั่งลงบนเก้าอี้ข้างบิดา ทำเป็นหูทวนลม ไม่รู้ไม่เห็นต่อวิวาทะบนโต๊ะอาหารแต่เช้า เลื่อนถ้วยกาแฟของตน สูดกลิ่นหอมเล็กน้อย และค่อยๆจิบอย่างใจเย็น

“ไม่มีใครเขาต่อว่าเธอได้หรอก ถ้าเธอไม่หยุดกิริยาแบบนี้ แล้วรู้จักสำรวมให้มันสงบเสงี่ยมสมกับที่ชาวบ้านชาวช่องเขาให้เกียรติเรียกว่าคุณนาย”

คำเปรียบเปรยทำเอาคุณปานระพีหน้าชา หันไปมองลูกเลี้ยง เห็นวางตัวเฉย ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนสามีเอาไม้หน้าสามกระแทกกลางแสกหน้า เหมือนโดนหมิ่นศักดิ์ศรีของภรรยาต่อหน้าผู้อื่น แต่ยังดีที่คุณทยุตคงรู้เท่าทันนิสัยเมียตน จึงยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามเพื่อหย่าศึก

“พอเถอะ นั่งลงแล้วทานอาหารเช้ารองท้องจะดีกว่า ผมขี้เกียจมานั่งถกเถียงเธอแต่เช้า ปล่อยให้บ้านเราได้สงบเสียบ้าง ตั้งแต่ตาป้อมตายไป ผมก็ไม่เห็นว่าคุณจะลดหรือเลิกอารมณ์ขี้โมโหนี้สักที ดูเหมือนมันจะมากขึ้น จนบ้านจะลุกเป็นไฟอยู่แล้ว”

เมื่อสามีเอ่ยถึงป้อมปราบ ความเดือดดาลที่อัดแน่นในอกก็ปะทุขึ้นอีก จึงขยับเก้าอี้ด้านหลังอย่างแรง ปราดไปคว้าหนังสือพิมพ์เมื่อครู่ขึ้นมาทั้งปึก แล้วกระแทกลงข้างจานอาหารสามีอย่างไม่เกรงใจ

“คุณก็ลองดูเอาเองสิคะ ว่าฉันสมควรที่จะอยู่เฉย แล้วสงบปากสงบคำอย่างที่คุณพูดไหม ในเมื่อพวกหนังสือพิมพ์ มันยังเขียนข่าวถึงการตายของตาป้อมกับนังผู้หญิงชั้นต่ำคนนั้นแบบนี้”

ผู้เป็นสามีหยิบฉบับบนสุดขึ้นมากางดูตรงกรอบข่าว กวาดสายตาอ่านอย่างลวกๆ แล้วก็ถอนใจ วางมันลงที่เดิมตรงหน้า เมื่อมองดูทีปต์ เห็นเขาสนใจในหนังสือพิมพ์เหล่านั้น เจ้าตัวจึงเลื่อนไปให้เขาอ่านด้วยกัน

“คุณจะไปสนข่าวที่พวกหนังสือพิมพ์เขียนทำไมล่ะ อะไรจริงอะไรเท็จก็ไม่รู้”

ทีปต์กางแต่ละฉบับอ่านอย่างละเอียด โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์หัวสีฉบับในมือ ซึ่งหน้าข่าวด้านล่าง ในกรอบเท่าภาพถ่าย มีรูปสตรีชุดสีแดงเพลิง กำลังก้าวอาดๆลงมาจากบันไดศาลาวัดในงานศพป้อมปราบคืนหนึ่ง ประกายแสงจากแฟลชวูบวาบ ฉายชัดจนดวงหน้ายามมืดดูเด่นโพลง ราวกับกุหลาบบานสะพรั่งยามราตรี

“เป็นยังไง เห็นแล้วอึ้งเหมือนฉันไหม ลองอ่านเนื้อข่าวข้างในดูสิ คุณจะได้หูตาสว่าง ไม่กล่าวหาว่าฉันเป็นบ้าเป็นบออยู่ฝ่ายเดียว” เสียงคุณปานระพีติดจะเยาะ กล่าวต่อ “มันให้สัมภาษณ์กับนักข่าวด้วย ว่ามันเป็นเมียตาป้อมอย่างถูกกฎหมาย และมันจะมาทวงสิทธิ์ของมัน”

ชายต่างวัยสองคนนิ่งฟังสตรีตรงหน้า ไม่แย้งคำใด ครู่หนึ่งคุณทยุตก็เอ่ยขึ้นขณะหันไปคว้าแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่ม “ก็ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นเมียของตาป้อมจริง แล้วคุณจะทำยังไง”

เสียงคุณปานระพีแผดสูงขึ้น เปลี่ยนจากนั่งเป็นยืนอีกครั้ง “ไม่มีทาง!...ฉันไม่มีวันรับนังนั่นมาเป็นลูกสะใภ้ของฉันเด็ดขาด ผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้า อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันไม่คู่ควรกับลูกชายของฉันสักนิดเดียว”

คุณทยุตได้แต่ส่ายหัว หันไปทางบุตรชายในสายเลือด เห็นแววตาเขายังคงจ้องภาพในหน้าข่าว คล้ายกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก จึงกลับมามองภรรยาตน ซึ่งยังคงกราดเกรี้ยวไม่หยุด ราวกับเชื้อไฟที่รอวันคุโชน มีคนมาจุดประกายอีกครา

“มันเป็นต้นเหตุ ทำให้ตาป้อมต้องตาย มันต่างหากที่ควรจะรับผิดชอบ”

.........................................................

คุณปานระพีกำมือตนเองแน่น กัดริมฝีปากจนเจ็บ นึกถึงใบหน้าผู้หญิงคนนั้นที่ประกาศเสียงกร้าวว่าคือ ‘เมีย’ ของป้อมปราบ พร้อมกับใบทะเบียนสมรส หลักฐานสำคัญที่นำมาแสดงตัว โปรยให้แขกเหรื่อที่มาร่วมงานรับรู้ จนกลายเป็นการฉีกหน้าตน นักข่าวต่างรุมประโคมเขียนถึงในหนังสือพิมพ์หลายฉบับติดๆกันจนถึงวันนี้

มองไปทางสามีกับลูกเลี้ยง ยิ่งรู้สึกได้ถึงความโดดเดี่ยว ชีวิตซึ่งเคยฝากความหวังไว้กับบุตรชายคนโต มันละล่องปลิวไกลออกไปเหมือนสายป่านขาดจากลมบน

ทีปต์ดื่มกาแฟหมดถ้วย หันไปบอกบิดาด้วยสีหน้าราบเรียบ เหมือนไม่อินังขังขอบกับเรื่องราวหรือถ้อยคำเผ็ดร้อนที่แม่เลี้ยงกำลังออกโรงเล่นงิ้ว

“ผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับคุณพ่อ เดี๋ยวช่วงบ่ายผมจะกลับเข้ามาอีกครั้ง คุณพ่ออยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ ผมจะได้แวะซื้อติดมือเข้ามา...แล้วคุณน้าล่ะครับ”

ท้ายประโยคเขาหันไปถามแม่เลี้ยง บิดาจึงมองลูกชายด้วยแววตาอ่อนโยน รับรู้ว่าลูกคนนี้ตั้งแต่เล็กจนโต นิสัยที่เอาใจใส่ผู้อื่นไม่เคยเปลี่ยนยังคงเสมอต้นเสมอปลาย และเป็นเช่นนี้กับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่แม่เลี้ยงซึ่งตั้งป้อมรังเกียจ

“พ่อไม่อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรอก แต่ถ้าจะซื้ออะไรเข้ามา ก็เลือกที่ลูกชอบละกัน”

คุณปานระพีไม่ตอบ เมินหน้าไปทางอื่น ไม่นึกญาติดี ด้วยรู้สึกว่าลูกเลี้ยงผู้นี้ช่างหาเรื่องอื่นมาพูดขัดอารมณ์ที่กำลังกรุ่นโกรธต่อข่าวผู้หญิงคนนั้น จึงหันไปพูดกับสามีแทน “ได้ทีก็ปะเหลาะกันเข้าไป”

ทีปต์ทำเป็นหูทวนลม ลุกขึ้นคว้าเสื้อสูทสีเทาจากเด็กหวานขึ้นพาดแขน กล่าวขอตัวไปทำงาน แล้วเดินลับหายออกจากห้องรับประทานอาหาร ซึ่งอยู่ในส่วนด้านหลัง เชื่อมไปยังห้องโถงกลางที่ใช้เป็นส่วนรับแขกด้านหน้า

เขาวางกระเป๋าเอกสารไว้เบาะหลัง เสื้อสูทนั้นใส่ไม้แขวน และในมือยังคงถือหนังสือพิมพ์ฉบับเมื่อครู่ติดมาด้วย เขาโยนมันลงเบาะข้างหน้า ก่อนจะเคลื่อนรถยนต์ทรงยุโรปสีดำคันหรูออกไปจากบ้าน

เรื่องแม่เลี้ยงไม่ชอบขี้หน้าเขา แล้วแขวะด้วยคำเจ็บแสบนั้น เขาฟังมันจนชินหู และทำเป็นไม่ใส่ใจอย่างที่บิดาขอเสมอมา จึงไม่ได้โกรธเคืองท่าน...แต่เรื่องหนึ่งที่ทำให้เขาเข้าข้างและเห็นไปในทิศทางเดียวกัน จนถึงกับคิดว่าออกจะเห็นใจ และนึกสงสารท่านก็คือ เรื่องของผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ในข่าวหนังสือพิมพ์

เขาเองก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ไปถึงงานศพป้อมปราบในช่วงที่หล่อนกำลังถูกนักข่าวกดชัตเตอร์รัวถ่ายรูป เขาได้แต่มอง เพราะรูปลักษณ์ภายนอกอันสวยสะดุดตา และการแต่งกายชุดสีแดงสดในบรรดาแขกผู้ร่วมงานจำนวนมาก ซึ่งเน้นแต่งดำเป็นหลัก ความเป็นจุดเด่นตรงนั้นต่างหาก ที่ทำให้เขาจ้องมองหล่อน

ถ้าเขารู้สักนิดว่าหล่อนผู้นั้น มีจุดประสงค์ใดในการไปเยือนงานศพป้อมปราบ เขาคงจะหมดความอดทน ไปกระชากแขนเอาความอย่างถึงที่สุด...นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหน้าหล่อน และเช้าวันนี้ เขาก็ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นหล่อนอีกครั้ง

รถยนต์ของเขาขับออกมาจากรั้วบ้านกำลังพ้นปากซอย จะเลี้ยวมุ่งสู่ถนนใหญ่ ขณะหมุนพวงมาลัยรถ ปรากฏว่ามีรถแท็กซี่คันหนึ่งถอยมาจากถนนด้านหน้าอย่างเร็ว

โครม!

หน้ารถเขาชนกับท้ายรถแท็กซี่ จนต้องเหยียบเบรกจนมิด เสียงล้อรถบดถนนดังก้อง ศีรษะเขาทิ่มเข้ากับพวงมาลัยรถ รู้สึกเจ็บเล็กน้อย...นี่ยังนับว่าโชคดีที่รถเขาขับไม่เร็วนัก แต่เห็นทีคงต้องลงไปต่อว่าและคุยกันยาวกับรถแท็กซี่คันนั้น

ฝ่ายแท็กซี่ที่ลงมาดู เอ่ยขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ทำให้เขาลดอารมณ์ฉุนไปไม่น้อย แต่ก็ต้องปรับอารมณ์แทบไม่ทัน เมื่อจู่ๆ ประตูรถทางด้านหลัง มีผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้โดยสาร ก้าวขาลงมา หล่อนแต่งตัวสวยพริ้ง เมื่อได้มองเต็มสองตา ช่างรู้สึกคุ้นในหน้าชอบกล

แต่ยังไม่ทันได้นึกว่าเคยคุ้นกับหล่อนที่ไหน เจ้าตัวก็แหวใส่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “ยังไงกันคะพี่แท็กซี่ แล้วนี่มาขับรถชนกันแบบนี้ แล้วฉันต้องรอไหม ฉันยิ่งรีบๆอยู่”

คนขับแท็กซี่มัวแต่อึกอักตอบ “คงต้องเคลียร์กับเจ้าของรถก่อนจ้ะหนู น่าจะเสียเวลาบ้าง”

“โอ๊ย! ฉันไม่คอยหรอกนะ ฉันเป็นแค่ลูกค้าเรียกใช้บริการ ถ้ายังไงก็ตกลงกันเอาเองเถอะ ฉันจะรีบไป” หล่อนหันขวับมาจ้องเขา ทั้งที่ยังสวมแว่นตาดำกรอบแดง แล้วกล่าวโทษ “คุณก็ขับรถไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างเลยหรือไง ไม่เห็นหรือว่ารถเขากำลังถอย”

เมื่อโดนต่อว่า ทั้งที่เขาไม่ผิด ทีปต์จึงต่อคำ “คุณพูดเห็นแก่ตัวนี่ครับ รถที่คุณนั่งเป็นฝ่ายถอยมาชนผม ผิดเต็มๆ แถมยังวิ่งคร่อมเลนส์แบบนี้ เดี๋ยวรอเจ้าหน้าที่ตำรวจมา แล้วค่อยตกลงกันก็ได้”

เจ้าของแท็กซี่พูดเสียงอ่อย “คุณครับ อย่าให้มีเรื่องมีราวเลยครับ ผมมันคนหาเช้ากินค่ำ ลำพังเงินติดตัวก็มีไม่กี่บาท ผมดู สภาพเสียหายที่เกิดขึ้นจากรถคุณแล้ว น่าจะตกลงกันได้นะครับ”

“ถ้าพูดดีๆอย่างคุณ ผมก็ไม่ถือสาหรอกครับ แต่คนที่พูดจาหาเรื่องแบบผู้หญิงคนนี้ต่างหาก” เขาชี้นิ้วไปทางหล่อน “หน้าตาก็ดีอยู่หรอกครับ แต่ปากแบบนี้ เห็นทีจะต้องมีเข็มกับด้ายเอาไว้ติดตัว”

หล่อนเข้าใจความหมายที่เขาพูดได้ดี ด้ายกับเข็มจะเอาไว้ทำอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่เย็บปาก...ดังนั้นจึงตรงรี่หวังจะทุบตัวเขา ยังดีว่าเขารับข้อมือสองข้างนั้นไว้ทัน และกำมันแน่น “เดี๋ยวผมจะแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายอีกกระทงดีไหมครับ คุณจะได้มีเอี่ยวด้วยงานนี้”

พูดจบจึงแกล้งดึงร่างหล่อนให้ขยับมาใกล้ชิด จนได้กลิ่นอ่อนๆจากเรือนกาย เผลอสูดดมเข้าไป ประหนึ่งหล่อนคือช่อดอกไม้...แต่หล่อนก็รั้นเกินกว่าจะยอมอยู่ภายใต้วงแขนเขา จึงสะบัดแขนเต็มแรง

“ฉันต่างหาก ที่จะเป็นฝ่ายแจ้งตำรวจว่าคุณกำลังคิดจะลวนลามฉัน ในที่สาธารณชน”
คนที่อยู่ในบริเวณนั้นเริ่มมองมาเป็นตาเดียว หล่อนคงนึกอาย จึงเดินลิ่วกลับไปที่รถแท็กซี่คันนั้น และออกคำสั่งเสียงเฉียบขาด “พี่เปิดท้ายรถให้ด้วย ฉันจะเอาของลงจากรถ”

หล่อนไม่ฟังอีร้าค่าอีรมอันใด คว้ากระเป๋าสัมภาระทั้งหมดลงกองกับพื้น และเปิดกระเป๋าสตางค์ ควักจ่ายเป็นค่ารถให้แท็กซี่เสียงเขียว “ฉันจ่ายเกินตั้งเท่าตัว คงจะพอค่ารถที่ฉันนั่งมาหรอกนะ”

แล้วหล่อนก็หิ้วสัมภาระเดินย้อนกลับไปทางด้านหลังรถเขา เรียกแท็กซี่อีกคันที่ผ่านมาพอดี ขึ้นรถได้ก็สั่งให้เลี้ยวเข้าซอยที่เขาเพิ่งจะออกมา

................................................................

เมื่อลูกเลี้ยงไปพ้นหน้าพ้นตา คุณปานระพีกลับเข้าประจำที่นั่งตามเดิม อารมณ์เกรี้ยวกราดเมื่อครู่อ่อนลง แต่ไม่อาจระงับคำที่ล้นอยู่ในอกได้

“คุณรักลูกลำเอียง ตอนที่คุณประสบอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้ คนที่วิ่งวุ่นดูแลคุณกว่าใคร ก็คือฉันกับตาป้อม ถ้าคุณไม่เรียกตัวตาทีปต์กลับมาจากอังกฤษ ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเห็นหัวลูกชายสุดที่รักของคุณตอนไหน”

สามีตอบอย่างละเหี่ยใจ “คุณนี่ก็แปลก ชอบฟื้นฝอยหาตะเข็บอยู่เรื่อย ในเมื่อคุณเองไม่ชอบขี้หน้าตาทีปต์ ผมก็ส่งลูกไปเรียนต่อโท หวังจะให้ห่างกันสักพัก เวลาตาทีปต์เรียนจบ ก็จะได้กลับมาทำงานได้เต็มภาคภูมิ ถ้าเขาไม่นึกอยากจะสานต่อการค้าของครอบครัวเรา ก็จะได้ให้เงินก้อนไปลงทุนทำธุรกิจของเขาเอง เวลาได้ดิบได้ดี คุณจะได้ไม่ต้องมาค่อนขอดเกี่ยวกับเงินทองในส่วนกลางของครอบครัว หาว่าผมให้ไม่เท่ากัน”

“แล้วทำไมคุณถึงให้ตาทีปต์กลับเข้ามาดูแลตลาดสดของครอบครัว ควบคู่ไปกับตาป้อม มิหนำซ้ำยังแบ่งอำนาจและหน้าที่ให้เท่าๆกัน ทั้งๆที่ตาป้อมควรจะมีสิทธิ์ขาดตรงนั้นคนเดียว เพราะตลอดเวลาเกือบสองปีที่ตาทีปต์ไปอยู่เมืองนอก คนที่คุณไว้ใจให้เข้าไปบริหารงานแทนคุณ ก็เป็นตาป้อมมาก่อนคนเดียว”

ยิ่งพูด ดูเหมือนความอัดอั้นคับคาใจประสมความตัดพ้ออย่างน้อยใจก็ผุดขึ้นมาเป็นระลอก สามีเองก็เข้าใจในข้อนั้น แต่ท่านก็มีเหตุผล

“คุณพูดถูก ผมเคยให้อำนาจในการตัดสินใจไว้ในมือตาป้อมคนเดียว แล้วเป็นยังไงล่ะ ตัวเลขจากกำไรมันลดลงฮวบฮาบในระยะเวลาแค่สองปี”

ภรรยาเถียงทันควันข้างๆคูๆ “ไม่ขาดทุนก็ดีถมไป”

“ธุรกิจ การค้าที่ครอบครัวเรามีกินมีใช้ทุกวันนี้ ไม่ใช่การขายของเด็กเล่นนะคุณ ในเมื่อตาป้อมบริหารงานได้ไม่เต็มร้อย ผมก็จำเป็นจะต้องลดความเสี่ยง เรียกสิทธิ์นั้นกลับมาไว้ในมือตามเดิม แต่คุณก็รู้ ตอนนี้ผมมันเป็นคนแก่พิการแค่คนนึง ที่ไร้ประสิทธิภาพ ช่วยเหลือตัวเองก็ลำบาก ลำพังจะเดินก็ยังทำไม่ได้ ต้องนั่งอยู่แต่ในรถเข็น เพราะเหตุนี้ไง ผมจึงตัดสินใจเรียกตัวให้ตาทีปต์กลับมาสานต่อในงานที่เป็นส่วนของผม เพราะขืนปล่อยให้ตาป้อมทำคนเดียวอย่างสองปีแรก มีหวังการค้าของเรามีแต่คำว่าเจ๊งรอท่า”

เมื่อพูดไประยะหนึ่ง ผู้เป็นสามีก็แสดงความคิดส่วนตนหวังให้ภรรยารับรู้ แต่ดูเหมือนคุณปานระพีจะไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ “ยังไงคุณก็รักลูกเมียเก่าของคุณมากกว่าลูกชายของฉันทั้งสองคนอยู่ดี รวมถึงคนรักเก่าของคุณนั่นอีกคน เห็นผ่านมากี่ปีๆ ก็ไม่เคยลืมหน้า”

“ผมว่าคุณระงับสติอารมณ์ให้มันเข้าที่เข้าทางดีกว่านะ อย่าได้เที่ยวพาลไม่ฟังอีร้าค่าอีรมแบบนี้ เราสองคนอยู่กินกันจนลูกโตเป็นหนุ่ม อายุก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว ผมไม่เคยนอกใจคุณสักครั้ง เรื่องเมียเก่าของผม ในเมื่อเธอตายไปแล้ว คุณจะไปกล่าวพาดพิงอีกทำไมกัน รวมถึงเรื่องของผู้หญิงคนอื่นด้วย อย่าหยิบยกมาพูดถึงอีก เพราะเธอคนนั้นก็ตายไปแล้วเหมือนกัน”

คุณทยุตวางช้อนส้อมในมือลง โดยที่อาหารเช้ามื้อนี้แตะไปเพียงเล็กน้อย เพราะยามนี้ความอยากในรสอาหารมันชืดกร่อยจนร่างกายตื้อไปหมด เขาจึงเรียกหานางสายใจ

“พาผมลงไปนั่งเล่นในสวนหน้าบ้านสักหน่อย”

เขาสั่งยังไม่ทันจบความ นางสายใจเดินเข้ามายืนด้านหลังรถเข็น เสียงกริ่งหน้าประตูรั้วกระหน่ำดังติดกัน ความเคียดขึ้งที่สะสมเรื่องต่างๆ เมื่อไม่ได้อย่างใจ ก็หันไปตวาดกับเด็กหวาน ซึ่งนั่งหลบอยู่มุมห้อง เพื่อรอให้เรียกใช้

เมื่อลงที่สามีไม่ได้ สาวรับใช้จึงรับกรรมไป

“มานั่งทำเซ่ออยู่ได้ หูหนวกรึไงกันยะ หน้าไหนมันมากดกริ่งรัวจนจะพังแหล่มิแหล่อยู่แล้ว ไปดูซะไป ไป๊” ท่านทำมือไล่สาวใช้ด้วยความหงุดหงิด

สักพักเดียวเด็กหวานก็วิ่งหน้าตื่นกลับเข้ามา พูดละล่ำละลักแทบไม่เป็นคำ “คุณนายขา...แย่แล้วค่ะ...คือว่า ผู้หญิงคนนั้น”

เด็กหวานหอบจนตัวโยน พูดช้าไม่ทันใจ เพิ่มความโมโหให้ผู้เป็นนาย “ลิ้นมันจุกปากหรือยังไง ค่อยๆพูด ผู้หญิงที่ไหนมา”

คนถูกถามก้มหน้าตอบ เสียงสั่นด้วยความกริ่งเกรง “ผู้หญิงชุดแดงค่ะ ที่ลงในข่าวหนังสือพิมพ์”

....................................................................................



พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 พ.ค. 2555, 20:42:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 พ.ค. 2555, 20:42:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1656





<< บทนำ   ตอนที่ 2 >>
นาถลดา 12 พ.ค. 2555, 20:54:27 น.
ชอบป้ามล 555+ ไม่ใช่ทัศนคติของแกนะ แต่ชอบสำนวนการพูดแก มันแลดูได้ใจมาก ^^


พู่ไหมบุรามฉัตร 16 พ.ค. 2555, 20:01:53 น.
ขอบคุณจร้าคุณนาถ


อริสา 30 พ.ค. 2555, 06:43:49 น.
มาตามด้วยคนค่ะ นางเอกแรงได้ใจ อิอิ


พู่ไหมบุรามฉัตร 3 มิ.ย. 2555, 16:06:13 น.


องุ่น 4 มิ.ย. 2555, 20:44:58 น.
นางเอกแรงได้ใจจริงๆ


พู่ไหมบุรามฉัตร 5 มิ.ย. 2555, 17:51:33 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account