เมียใหม่(สำนักพิมพ์ sugar beat)
ใครที่ชอบตบแล้วจูบ จูบแล้วตบ พบกับเมียคนนี้ได้ ทั้งแรง ทั้งเหวี่ยง...เพื่อทวงความเป็นเมีย!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 2

ตอนที่ 2

คำว่า ‘ผู้หญิงชุดแดง’ ทำเอาสีโลหิตในหน้าของคุณปานระพีเข้มขึ้น มันผะผ่าววูบวาบประหลาด ราวกับอังอยู่หน้าเตาไฟ ลมเย็นที่พัดโชยผ่านผ้าม่านบริเวณบานประตูขนาดยาวจรดพื้น กลายเป็นลมร้อนระอุในใจ มันอ้าวเสียจนอึดอัด มือสั่น ปากสั่น จนยากระงับ

“มันอยู่ที่ไหน แกไปไล่มันเดี๋ยวนี้”

เด็กหวานเสียงสั่นพร่ากว่าเก่า “หนูบอกแล้วค่ะ แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ฟัง”

เป็นดังคำที่สาวรับใช้พูด ผู้มาเยือนไม่สนใจว่าเจ้าของบ้านแห่งนี้จะต้อนรับหรือไม่ หล่อนยื้อประตูเหล็กบนรางเลื่อนให้เปิดกว้าง เมื่อสาวรับใช้ตั้งท่าจะปิด ทันทีที่รู้ว่าหล่อนเป็นใคร แต่แรงของเด็กวัยสิบห้า ตัวเล็กกระจิริด แถมยังผอมบางจนตัวจะปลิวตามลม หรือจะสู้อีกฝ่ายซึ่งสูงกว่า แรงมากกว่า จึงจำเป็นต้องละทิ้งจากบานประตู แล้ววิ่งโร่มาฟ้องนาย

คุณปานระพีพรวดไปจากห้องรับประทานอาหาร ก้าวฉับๆถึงประตูหน้าบ้าน บานกระจกใสสี่เหลี่ยมกว้างถูกเลื่อนมาซ้อนกัน ความโล่งจากชานไม้ซึ่งตกแต่งเป็นระเบียงไว้นั่งเล่น มีเพียงต้นตะแบกสูงซึ่งแผ่กิ่งก้าน โตล้อไปกับตัวบ้านผ่านช่องไม้ซึ่งเจาะไว้ บดบังเพียงเล็กน้อย เมื่อรถแท็กซี่รับจ้างเข้ามาจอดเทียบถึงขั้นบันไดหน้าสุด

สตรีที่ก้าวลงมาจากตอนหน้ารถ โผล่กายพ้นมาจากลำต้นตะแบกซึ่งกันไว้ เห็นเพียงแวบเดียว ผู้เป็นเจ้าของบ้านแทบเนื้อเต้น หล่อนผู้นั้นจงใจสวมเสื้อผ้าสีแดงเพื่อ ‘ข่ม’

มิรันตีสวมกระโปรงสั้นถึงโคนขา เผยให้เห็นความกลมกลึงในทุกสัดส่วนช่วงล่าง เช่นเดียวกับท่อนบน คือเสื้อคอวีผ่าลึกและห่าง เผยให้เห็นความอิ่มเนื้ออิ่มอก รัดรูปแขนกุดเข้ากับชุด ตัวเสื้อเป็นแพรเนื้อมันสีกุหลาบตัดเด่นกับผิวขาวราวน้ำนม อีกทั้งเครื่องประดับล้วนเข้าชุด ไม่ว่าจะเป็นต่างหู สร้อยคอ เรือนแหวนที่นิ้ว

กระเป๋าสะพายซึ่งคล้องบ่า ก็เป็นหนังแก้วเนื้อดีเช่นเดียวกับรองเท้าส้นสูงหัวแหลม แสดงถึงความมีรสนิยมในการเลือกซื้อเสื้อผ้า แม้ว่าในใจผู้มองสำรวจจะคะเนว่าคงเป็นเสื้อผ้าที่ราคาถูก หาซื้อได้ตามตลาดนัด

ประกายตาของมิรันตียามถอดแว่นกันแดดสีดำกรอบแดงออก มันวาววาบติดจะเยาะอยู่ในที บนเครื่องหน้ารูปไข่เนียนหมดจด หล่อนไว้ผมเคลียบ่า งอนตรงปลายเล็กน้อยแบบทรงสวอน ทาเปลือกตาสีเนื้ออ่อน ขณะเขียนคิ้วให้โก่งด้วยสีน้ำตาล รับกับขนตาซึ่งเป็นแพงอนถูกดัดให้โค้งและลงมาสคาร่าเข้ากัน ความ ‘จัด’ บนใบหน้าเน้นไปที่ริมฝีปากอิ่มบนและล่างทาสีลิปสติกแดงแจ๊ด

คุณปานระพีเผลอมอง ‘อริ’ ผู้มาเยือนด้วยแววตาสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ลงความเห็นอย่างดูถูกผู้อื่นด้วยคำนำหน้าว่า ‘อี’ และต่อท้ายอาชีพอย่างหมิ่นในศักดิ์ศรีมิรันตีว่า ‘โสเภณี’

รถแท็กซี่ตรงหน้าแล่นออกจากบ้านไปแล้ว เหลือแต่สตรีผู้วางมาดอย่างโก้ ยืนเด่นข้างกองสัมภาระอีกสองใบ สิ่งที่ทำให้คุณปานระพีตะลึงตะลาน คือหล่อนยกมือสวัสดีอย่างนอบน้อม ประหนึ่งนางงามผู้เข้าประกด ความชดช้อยในกิริยาอันเสแสร้ง ทำให้ผู้สูงวัยกว่าแทบจะกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง

“สวัสดีค่ะ คุณแม่ขา”

เสียงมิรันตีอ่อนหวานอย่างมีจริต เงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาอีเดียด จีบปากจีบคอพูดต่อ “วันนี้คุณแม่ออกมาต้อนรับหนูด้วยตัวเองเลยหรือคะ”

“ใครว่าฉันต้อนรับแกยะ ฉันไม่ใช่ม่งไม่ใช่แม่ของแก อย่ามาดัดจริตนับญาติกันหน่อยเลย แล้วก็ไม่ต้องมายกมือไหว้หรอกนะ แกกองเอาไว้ตรงที่แกยืนอยู่นั่นล่ะ”

“ต๊าย...ตาย คุณแม่ขา ทำไมพูดกับหนูแบบนั้นล่ะคะ” หล่อนขบฟัน เม้มริมฝีปาก และตอกกลับแบบนิ่มๆ ด้วยน้ำเสียงฉอเลาะ แต่ความหมายของคำนั้นไปคนละทาง “หนูก็ไม่อยากไหว้ให้เสียมือหรอกค่ะ แต่เห็นว่าเราสองคนคงจะต้องพบหน้าค่าตากันทุกวัน หนูก็อยากจะเข้าหาผู้ใหญ่ ให้คุณแม่ได้เห็นว่าหนูก็เป็นคนนอบน้อม มีสัมมาคารวะ”

พูดจบ มิรันตียิ้มในหน้า ทว่าอีกฝ่ายกำมือเน้น ริมฝีปากเป็นเส้นตรง แววตาเอาเรื่อง “แกไม่ต้องสาระแนทำตัวเป็นผู้ดี คนชั้นต่ำอย่างแก กำพืดไพร่ อย่าริเผยอตัวมาเทียบคนอย่างฉันหน่อยเลย”

คำกระแนะกระแหนของอีกฝ่าย ทำเอาหน้ามิรันตีร้อนวูบ ควันแทบออกหู เมื่อถูกเยาะในเรื่องชาติตระกูล แต่หล่อนก็ไม่ยอมจนคำ จึงตอกหน้าอย่างไม่ไว้ทีแบบแต่แรก “ขอโทษนะคะ คุณแม่ขาเอาอะไรมาวัดว่าเป็นผู้ดี หรือเป็นไพร่ ถ้าจะเอาเรื่องการแต่งตัว หนูก็คิดว่าตัวของหนู ยังสาว ยังสวย และก็ยังสดกว่าคุณแม่มาก แต่ถ้าจะเอาเรื่องเงินทอง หนูก็คิดว่า ต่อจากนี้ไป หนูอาจจะมีพอๆกับคุณแม่ หรือบางทีเผลอๆอาจจะมีมากกว่าก็ได้ เพราะยังไงซะ สมบัติของคุณป้อม ก็ต้องเป็นของหนูทั้งหมด แล้วบางที สมบัติของคุณแม่ ไม่วันใดก็มาวันนึง คงจะต้องยกให้หนู”

“อีไพร่!” คุณปานระพีสบถคำอย่างเหลืออด

“เดี๋ยวๆสิคะ หนูยังพูดไม่ทันจบ ยังมีอีกสิ่งนึง ที่บางทีอาจจะวัดความเป็นผู้ดี ความเป็นไพร่ได้ชัดมากกว่าทุกสิ่งที่หนูพูดมา ก็คือคำพูดกับกิริยาที่คุณแม่แสดงออก หนูว่าไม่เห็นมันจะต่างจากที่หนูพูดออกไปสักนิดเดียว คำก็ไพร่ สองคำก็ไพร่...ในเมื่อคุณแม่ก็ใช้วาจาไม่ต่างจากหนูนัก อย่างนี้ก็เทียบเท่ากับว่า คุณสมบัติของหนู จะเป็นไพร่หรือเป็นผู้ดี คุณแม่ก็คงไม่ต่างกัน”

ผู้เป็นเจ้าของบ้านคำรามอยู่ในคอ ไม่นึกว่าจะถูกผู้หญิงที่เกลียดชังมาด่าเอาปาวๆเช่นนี้ แต่ยิ่งท่านใช้วาจาเผ็ดร้อนเท่าไหร่ ดูเหมือนอีกฝ่ายก็จะยอกย้อนวาจาให้เจ็บแสบไม่แพ้กัน ดังนั้นจึงยอมสงบคำลง แล้วแผดเสียงสั่นด้วยวิธีการขับไล่แทน

“ใครใช้ให้แกมาเหยียบที่นี่ แกไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น ฉันจะเรียกตำรวจมาจับแกโยนออกไป นังหวาน แกไปโทร.เรียกตำรวจมาซิ”

ท้ายประโยคคุณปานระพีหันไปสั่งเด็กหวานซึ่งนั่งตัวลีบอยู่ที่กรอบประตู ตัวยังสั่นงันงก เพราะไม่เคยเห็นการประคารมครั้งไหนของผู้เป็นนายกับคนอื่น แรงเท่าครั้งนี้ กับลูกกับสามี ต่อให้อารมณ์ร้าย อย่างเก่งก็เป็นเพียงคำเสียดแทง แต่หนนี้ ถ้อยวาจาของคุณปานระพี ไม่มีคำว่า ‘ผู้ดี’ หลงเหลืออย่างที่ผู้อื่นนับถือ

ยังไม่ทันที่เด็กหวานจะถอยกรูด เมื่อผู้ออกคำสั่งตวาดซ้ำ...คุณทยุตซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็น เลื่อนล้อเข้ามาขวางอย่างเร็ว

“ค่อยพูดค่อยจากันสิคุณ ไม่เห็นจะต้องให้เรื่องถึงโรงถึงศาล แค่ข่าววันก่อน ลงหนังสือพิมพ์ติดกันไม่รู้ตั้งกี่ฉบับ ยังอับอายไม่รู้จักพออีกหรือไง มีอะไรเราก็ค่อยมาตกลงกันอย่างสันติวิธี ไม่ดีกว่าหรอกหรือ”

ภรรยาหันขวับมาจ้องสามีเขม็ง ตาวาวอย่างเอาเรื่อง “คนชั้นต่ำอย่างมัน ไม่เห็นจะต้องลดตัวไปเจรจาสักนิด”

คุณทยุตดกันฟันกรอด ส่ายหน้าหนี ไม่สนคำภรรยา หันไปทางคู่กรณีของภรรยาแล้วกล่าวด้วยคำพูดราบเรียบ ดูไม่ออกถึงความคิดภายในแม้แต่น้อย

“เชิญเข้าไปคุยกันข้างในบ้านก่อนเถอะหนู เห็นทีเราคงต้องทำความเข้าใจกันนาน ยืนตรงนี้นอกจากจะเมื่อยขาแล้ว คงต้องคอแห้ง หาน้ำเย็นดื่มให้ชื่นใจก่อนเถอะ”

คำเชิญของคุณทยุต ทำเอาภรรยาหน้าแดงจัด เป็นริ้วๆเหมือนถูกแส้ม้าฟาดหน้า ได้แต่เดินกระทืบเท้าอย่างขัดใจ กลับไปด้านใน

สงครามร้อน...กำลังจะกลายเป็นสงครามเย็น

...................................................................

คำเชิญของชายผู้เป็นประมุขประจำบ้าน ทำให้ภรรยาหน้าเป็นจวัก ส่วนมิรันตียิ้มระรื่นชื่นบาน ก้าวแรกที่เหยียบขึ้นบันได จึงรู้สึกฮึกเหิม เหมือนมือข้างหนึ่งกำธงแห่งชัยชนะกวัดไกวไปพร้อมกัน แต่ก็ต้องถอนเท้ากลับ เมื่อถึงขั้นสุดท้าย ในระยะเสมอกับเด็กหวาน เห็นตั้งท่าจะหนีกลับเข้าไปในบ้าน หล่อนจึงขานเรียก

“นี่เธอ กำลังจะเดินไปไหน”

สาวใช้ร่างเล็กหันมามองแบบไม่ยอมก้มหัว ตอบเสียงห้วน ตีคำเสมอนาย “ฉันจะเข้าไปข้างใน มีอะไรไม่ทราบ”

มิรันตีกัดฟันกรอด เห็นแววรำไร ว่าสาวใช้ผู้นี้อยู่ฝั่งเดียวกับนาย และมองหล่อนเป็นศัตรู แต่หล่อนก็ไม่หวั่นหวาด ต่อให้เด็กหวานกระด้างกระเดื่องเพียงไร หล่อนก็มีวิธีกำราบให้อยู่หมัด เพียงแต่หนนี้ยังเป็นแค่ยกแรก จึงสั่งสอนแค่เบาะๆ

“ก่อนจะกลับเข้าไปเลียแข้งเลียขาเจ้านาย เธอไปยกกระเป๋าสัมภาระของฉันตรงโน้นขึ้นตามมา แล้วยกให้มันดีๆล่ะ ของในกระเป๋าฉันมีราคามากกว่าเงินเดือนในกระเป๋าเธอหลายเดือน”

ผู้เป็นบ่าวประจำบ้านลังเล “ทำไมฉันต้องทำตามที่คุณพูด ในเมื่อคนบ้านนี้ไม่ต้อนรับ อีกเดี๋ยวเดียว คุณนายก็ต้องเฉดหัวคุณกระเด็นออกจากบ้าน”

มิรันตีหัวเราะในลำคอ มือกอดอก ไม่นึกว่าจะต้องประกาศศึกตั้งแต่เจ้านายยันคนรับใช้ ดูเอาเถอะ มันช่างยอกย้อนด้วยฝีปากไม่แพ้คำของนายมัน เห็นทีจะต้องประกาศิตด้วยคำสั่งเด็ดขาด

“เธอเลือกเอาละกัน ว่าจะยกกระเป๋าของฉันเข้าไปข้างใน แล้วหุบปากซะ...หรือว่าจะทำตัวเป็นศัตรูกับฉัน ก็วางกระเป๋าพวกนั้นไว้ตรงเดิมนั่นล่ะ จะได้รู้ว่าใครกันแน่ ที่ต้องกระเด็นออกจากบ้านนี้ ระหว่างฉันซึ่งเป็นเมียเจ้านายของเธอ กับเธอซึ่งเป็นแค่คนใช้” หล่อนส่งสายตาคมกริบ จ้องหน้าของเด็กหวานจนตัวสั่นอย่างกับลูกนก

“หนู...หนูไม่กล้า กลัวคุณนาย”

เด็กหวานเริ่มอึกอักกับคำขู่ของฝ่ายผู้มาเยือน ด้วยแววตาจริงจัง มิรันตีจึงได้ที สำทับอีกครั้ง “ถ้าเธอรู้จักเลือกข้างให้ถูกทาง ไม่ก่อหวอดกับฉัน เดี๋ยวฉันจะขอเธอมาดูแลฉันส่วนตัว ตกลงไหม”

มิรันตีหวังดึงศัตรูมาเป็นพวก แม้วิธีการใช้คำพูดอาจจะ ‘แข็ง’ แต่หล่อนเชื่อว่า คนประเภทนี้ ขั้นแรกต้องทำให้ยำเกรงเสียก่อน ถัดไปจึงจะใช้น้ำเย็นเข้าลูบ

แล้วมันก็ได้ผล เมื่อมิรันตีสาวเท้าตามไปยังโถงกลางห้อง โดยเด็กหวานถือกระเป๋าหนึ่งใบขนาดกลาง กับลากล้อใบขนาดเขื่องตามมาต้อยๆ

ไปถึงตรงส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่น เอาไว้รับแขก คุณทยุตขยับจากเก้าอี้รถเข็น ลงไปนั่งยังโซฟาสีครีมตัวยาว ซึ่งตั้งเป็นตัวแอลอยู่กลางห้อง มีคุณปานระพีนั่งเฉียงอยู่คนละมุม คล้ายกันท่าไม่ให้ที่ว่างแก่หล่อน

“คุณปาน ขยับมานั่งข้างๆผมตรงนี้”

ผู้เป็นสามีออกคำสั่งเฉียบขาด และเหมือนว่าตัวคุณปานระพีเอง คงนึกเกรงใจสามีอยู่บ้าง แม้ไม่ง่ายอย่างจับวาง แต่เจ้าตัวก็ยอมย้ายที่แต่โดยดี โดยคุณทยุตเชื้อเชิญให้มิรันตีลงนั่งยังมุมเดิมที่ภรรยาเขยิบมา

มิรันตีใช้สายตาสำรวจภายในบ้านอย่างเร็ว เห็นได้ถึงความโอ่โถง สะดวกสบาย เครื่องเรือนแต่ละชิ้นเป็นงานสมัยใหม่ ตั้งอยู่ในมุมที่เหมาะสม ตัวผนังห้องเน้นทาสีครีมสลับกับสีควันบุหรี่ ส่วนกระจกใสเท่าผนังห้อง ซึ่งอยู่หลังชุดรับแขก ติดผ้าม่านสีน้ำตาลเข้ม โดยวางเบาะแนวยาวชั้นเตี้ยอีกทอดหนึ่ง ทุกตัวจะมีหมอนอิงวางซ้อนกันหลายใบ มีทั้งที่เป็นสีเดียวกับเบาะรองนั่ง และสีเข้มอย่างช็อกโกแลต เข้ากับชุด

เมื่อเหลือบตากลับมายังผนังด้านหลังชายวัยกลางคน เห็นชัดว่ากำจัดความเรียบชืดตรงส่วนนั้น ด้วยการตกแต่งชั้นเก็บหนังสือ สูงจรดเพดานซึ่งทำไว้โปร่งโล่งตา

นางสายใจลงนั่งคลานเข่า พร้อมกับวางน้ำสีแดงคั้นจากกระเจี๊ยบ ไว้ตรงหน้าเจ้านายทั้งสองและแขกผู้มาเยือน มิวายคุณปานระพียังแค่นด้วยคำตระหนี่ในน้ำใจ

“ใครให้ป้าเอาน้ำกระเจี๊ยบมาเสิร์ฟ ไปเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าก็พอ”

คุณทยุตโบกมือไล่ หันไปตำหนิสายตาภรรยา “อย่าเป็นคนเค็มไปหน่อยเลย”

ดูเหมือนยามนี้คุณปานระพีจะหยิบจับ สั่งอะไรเป็นติดลบไปเสียหมด นั่นยิ่งทำให้มิรันตีแอบนึกกระหยิ่มยิ้มย่อง เยาะอยู่ในรอยยิ้มบางๆที่คิดว่าเก๋ไม่น้อย

เมื่อคนทั้งคู่หันกลับมามอง หล่อนจึงทำความเคารพด้วยการไหว้ที่กระชดกระช้อย ราวกับเพิ่งออกมาจากวัง เป็นการคิดไว้ล่วงหน้าแต่แรกแล้ว ถ้าได้พบประมุขของบ้านเมื่อไหร่ จากการสืบข่าวภายในมาก่อน คนที่หล่อนจะเข้าถึงและคาดหวังได้การยอมรับมากที่สุด ก็คือชายผู้นี้

“หนูชื่ออะไรล่ะ แล้วที่หนูมาวันนี้ ต้องการข้อตกลงอะไรบ้าง”

คำทักทายของคุณทยุตไม่อ้อมค้อม ถามเจตจำนงของมิรันตีแบบรวบรัด ยิ่งทำให้เข้าทางหล่อนได้ชะงัดนัก

“หนูชื่อใหม่ค่ะ ชื่อจริงว่ามาลาตี นามสกุลเดิมที่เคยใช้ คือ จิตวัฒนา แต่หลังจากที่หนูจดทะเบียนกับคุณป้อมแล้ว เห็นทีว่าหนูควรจะมีสิทธิ์ใช้นามสกุลเดียวกับสามี ใช่ไหมคะ”

คำแนะนำตนดูยืดยาวก็จริง ทว่าได้ใจความครบถ้วน แต่ยังไม่ทันสาธยายถึงจุดประสงค์การมา คุณปานระพีก็ขัดคอขึ้นอย่างหมั่นไส้

“แกอย่ามาสมอ้างใช้นามสกุลของตระกูลฉัน เดี๋ยวมันจะแปดเปื้อนเสียหาย เป็นกาลี”

มิรันตีปากไว ยอกย้อนไม่ลงรอย “ขอโทษนะคะ แต่ก่อนคุณแม่ก็ไม่ได้ใช้นามสกุลของคุณพ่อ มันจะต่างจากกรณีของหนูยังไงคะ”

คุณปานระพีลุกขึ้น ชี้นิ้วด่ากราด ศึกสงบได้เพียงประเดี๋ยว ก่อไฟลุกโชนขึ้นอีกจนได้ “แกถือดียังไง อย่าเอาฉันไปเปรียบกับแก”

คุณทยุตยกมือขึ้นห้ามทั้งสองฝ่าย น้ำเสียงแสดงความอ่อนใจ “เอาล่ะหนูใหม่ เรามาพูดจาให้ดีต่อกัน มันน่าจะสบายใจทั้งสองฝ่ายไหม ส่วนคุณปานก็รู้จักระงับคำเอาไว้บ้างสิ พูดไม่ดีแบบนี้ เด็กมันก็ย้อนเข้าตัวให้ แล้วจะมาดีดดิ้นต่อหน้า ผมว่ามันชักจะเกินรับแล้วนะ”

เมื่อโดนตำหนิทั้งสองฝ่าย กองไฟจึงสงบลง ทว่ามิได้มอดดับ ควันไฟยังโชยกรุ่น ลอยตลบอบอวล พอเงียบเสียงเป็นปกติ คุณทยุตจึงซักถามต่อ “แล้วตกลงว่าหนูมาหาที่นี่ หนูต้องการอะไร”

มิรันตีเผยยิ้มกว้างเต็ม กลีบปากสีแดงสดขยายอย่างได้ที เริ่มปรับวิธีการพูด ไม่ให้กราดเกรี้ยวแบบแต่แรกที่สื่อสารกับคุณปานระพี “จริงๆแล้ว หนูก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าสิทธิ์ที่หนูควรจะได้รับจากสามีหรอกค่ะ หนูขอเพียงแค่ให้คุณทั้งสองคน ยอมรับในตัวหนูว่าเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย”

คุณทยุตฟังเงียบๆ แล้วก็โพล่งถามขึ้นมา ต้องการตกลงกันด้วยเหตุและผล

“ทางเราไม่เคยรับรู้เรื่องราวของหนูมาก่อน บอกตามตรง ทั้งผมแล้วก็ภรรยา ไม่มีใครทันตั้งตัว ตาป้อมไม่เคยพูดถึงเรื่องของหนูให้ฟัง จนกระทั่งวันที่เกิดเรื่องนั่นล่ะ ทุกอย่างมันรวดเร็วเกินกว่าหัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่จะตั้งรับ”

“หนูรู้ค่ะ ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันเร็ว...เร็วเสียจนหนูเองก็ไม่ทันตั้งตัว และยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้” แววตามิรันตีหม่นลงในตอนท้าย นั่นเป็นด้วยหล่อนกำลังนึกถึงสภาพของพี่สาวในตอนนี้

“ไม่รู้ว่าหนูเคยทราบมาก่อนหรือเปล่า เรื่องที่ตาป้อมนั้นมีคู่หมั้นคู่หมายอยู่ก่อนแล้ว”

คำถามกึ่งบอกเล่าของคุณทยุต ทำเอามิรันตีหยุดกึก สบตาท่านตรงๆ เพราะเรื่องที่กล่าวมานั้น หล่อนไม่รู้มาก่อนเลย “หมายความว่ายังไงคะ”

คุณปานระพีอดไม่ได้ จึงสาธยายฉอดๆ “แน่ใจหรือยะว่าแกไม่รู้ ตาป้อมน่ะ เขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว ชื่อหนูวาว อีกไม่กี่เดือนก็จะแต่งงานกันเป็นฝั่งเป็นฝา ถ้าไม่มีแกมาเป็นมารขัดขวางความสุขของลูกชายฉัน แต่อย่างว่าล่ะนะ ในชีวิตแกคงจะไม่เคยเจอผู้ชายที่ดีครบทุกอย่างเหมือนตาป้อม พอได้ทีก็รีบคว้าไว้ อยากได้จนตัวสั่น ฉันรู้หรอกว่าแก ตั้งใจจะจับลูกชายของฉัน ไม่อย่างนั้น วันนั้นเขาคงไม่กล้ามาเถียงฉัน จน...จน...”

คุณปานระพีแน่นในอก ไม่อาจต่อความตามที่รู้สึกได้ เมื่อต้องเอ่ยถึงการทะเลาะเบาะแว้งในหนสุดท้ายอย่างหนัก แล้วมันก็นำพาให้แม่ลูกต้องพรากจากกันถาวร

แวบนั้น มิรันตีนึกไปถึงหัวอกพี่สาว...หรือนั่นจะเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดปมอันวุ่นวาย แต่จะให้นึกเห็นใจแม่สามี ก็หาใช่ เมื่อคิดจะเดินหน้าแล้ว อย่างไรคนเช่นหล่อน ก็จะไม่มีวันหวนย้อนกลับหลังเด็ดขาด

......................................................

“หัวเด็ดตีนขาด ฉันก็ไม่มีวันยอมให้แม่นี่ย้ายมาอยู่ในบ้านของเราหรอกนะคะคุณทยุต คุณอย่าไปหลงลม เชื่อเรื่องที่มันกุขึ้นเพื่อมาหลอกเราหน่อยเลย กับอีแค่กระดาษแผ่นเดียว มาอ้างตัวว่าเป็นทะเบียนสมรส มันอาจจะไปทำปลอมที่ไหนก็ได้”
คุณปานระพีแผดเสียงอย่างไม่นึกเกรงใจสามี ดังเช่นความอดทนฟังที่มีมาอยู่พักหนึ่ง ทันทีที่มิรันตีบอกจุดประสงค์ของการมาถึงที่นี่

‘หนูจะขอคุณสองคนย้ายเข้ามาอยู่บ้านนี้’

คุณทยุตได้ฟังคำขอ ก็นั่งเอนหลังพิงพนัก ใช้ความคิดอย่างหนัก ขณะจับจ้องว่าที่ลูกสะใภ้ รอยกังวลไม่อาจซ่อนได้มิดชิด แต่ก็ไม่ถึงกับเปิดเผย ยิ่งคำพูดของภรรยาเข้ามาสะกิดใจ ท่านก็ยิ่งต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนมากขึ้น

มิรันตีเองก็รู้ในข้อนั้นดี ใบทะเบียนสมรสซึ่งยื่นเป็นหลักฐาน ถูกเพ่งพินิจในมือชายวัยกลางคน “ใบจริงหนูขอท่านเก็บไว้กับตัวนะคะ ขอให้ดูแค่ใบถ่ายเอกสาร เพราะหนูเกรงว่า...” หล่อนปรายตาไปยังคุณปานระพีอย่างไม่ไว้ใจ

“แล้วผมจะเชื่อหนูได้เต็มร้อยแค่ไหน ว่าไม่มีการทำปลอมขึ้นมา อย่างที่มีคนกล่าวหาหนู”

มิรันตีชั่งใจครู่เดียว จึงคว้ากระเป๋าสะพายสีแดงแปร๊ดข้างตัว มือขยุกขยิกค้นสิ่งที่ถามหา ดึงโบสีชมพูเหลือบทองซึ่งพันไว้รอบ แล้วคลี่ออกยื่นส่งให้คุณทยุต เมื่อท่านรับปากว่า

“หนูไว้ใจผมได้ ผมจะไม่ยอมเสียเกียรตินามสกุลของผม ด้วยการฉีกใบสมรสของหนูกับตาป้อมทิ้ง อย่างที่หนูคิดเด็ดขาด แล้วอีกอย่าง เอกสารใบจริงก็ยังมีอยู่ที่อำเภอ”

เมื่อคิดตามคำพูดของฝ่ายนั้น หล่อนจึงเบาใจ ยิ่งเห็นคุณทยุตพยักหน้ากลายๆคล้ายยอมรับ หล่อนจึงรู้สึกโล่งไปเปราะหนึ่ง เพราะความหวังในการมาเยือนวันนี้ เป้าหมายหลักที่ต้องการได้รับ ก็คือคำยินยอมของชายผู้นี้ ส่วนผู้เป็นภรรยานั้น จะคิดอ่านอย่างไร นั่นไม่อยู่ในสายตาแต่แรก เพราะรู้ว่าขมิ้นกับปูน ลงได้โกรธเกลียดกันไปแล้ว จะประสานให้สมานลงรอยเดียวกัน เห็นทีคงต้องใช้เวลา

มิหนำซ้ำ เมื่อปะทะคารมกันถึงสองครั้งสองคราว มิรันตีจึงลงความเห็นว่า คนที่ต้องชดใช้การกระทำแทนป้อมปราบ นั่นควรจะเป็นมารดาของเขา!

ได้ที ในจังหวะที่ทั้งสองคุยกันเหมือนจะเอออวยตามคำขอของมิรันตี ด้วยความโกรธเกลียด ความขุ่นมัวในเชิงเสียหน้าหลายหน คุณปานระพีซึ่งนั่งจนเกือบชิดสามี จึงคว้ากระดาษแผ่นสีขาว ลวดลายกุหลาบเลื้อยเป็นเถา ฉีกขาดจากชิ้นใหญ่ จนเหลือเป็นเศษชิ้นเล็ก ชื่อของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน กับชื่อของเมียโสโครก ไม่คู่ควรจะอยู่บนกระดาษแผ่นเดียวกัน ความสะใจบังเกิดในหน้า เลิกคิ้วเป็นเชิงท้าทาย

“ในเมื่อไปขอใหม่ได้ ก็แล่นไปขอใหม่ละกัน แต่อย่าเอามาให้ฉันเห็นอีก เพราะมันรกหูรกตา แล้วถ้าฉันเห็นกระดาษบ้าบอแบบนั้นอีกที่ไหน ฉันก็จะตามฉีกมันทุกชิ้น”

เสียงของผู้พูดอาฆาตมาดร้าย เคียดขึ้ง ในตายังวาววับเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ผู้เป็นสามีเห็นดังนั้น ก็อดต่อว่าไม่ได้ “คุณปานนี่มันยังไงกัน นอกจากจะลดตัว ไม่รู้จักวางให้มันอยู่ในที่เหมาะสม คุณยังคิดจะทำลายเกียรติ ทำลายศักดิ์ศรีทั้งของผม ทั้งของตัวคุณเอง เสียคำพูดซะจริง”

“ฉันบอกคุณแล้วยังไงล่ะ ว่าฉันกับมันจะไม่มีการเกี่ยวดองกันทั้งนั้น ผู้หญิงที่คู่ควรกับตาป้อม มีเพียงคนเดียว คือหนูวาว ส่วนคนอื่นไม่ใช่ และไม่มีวันเป็นได้”

คุณทยุตขยับตัวไม่ได้มากนัก เนื่องจากติดที่ขาทั้งสองข้างนั้นไม่มีเหมือนคนทั่วไป การประคับประคองตนเองจึงลำบาก ครั้นจะเอี้ยวตัวไปต่อว่าภรรยาให้สมกับการกระทำ ก็ดูจะยากเย็นกว่าคิด จึงได้แต่ตอบตามตรง

“ตาป้อมมันตายไปแล้ว คุณปานเลิกยึดติดกับสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ซะที ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะมาแต่งงานกับคนที่มีแต่ชื่อ แต่ตัวไม่อยู่อีกแล้ว ผู้หญิงที่ยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้านี่ต่างหาก คือความเป็นจริง คุณหัดยอมรับมันแล้วทำใจให้ได้”

แววตาคุณทยุตแลดูอ่อนระโหยโรยแรง พูดถึงเรื่องบุตรชายที่จากไปด้วยความหม่นเศร้า คล้ายกำลังปลุกปลอบใจตนเองไม่แพ้กัน แต่ดูเหมือนคุณปานระพีจะ ‘แข็ง’ เกินกว่าจะรับฟังคำนั้น จึงประกาศเสียงกร้าว

“ฉันยังยืนยันคำเดิม ต่อให้พูดกันรอบที่ร้อยรอบที่พัน ฉันก็ไม่มีทางยอมรับนังผู้หญิงคนนี้มาเป็นลูกสะใภ้เด็ดขาด ในเมื่อมันคือคนที่ทำให้ตาป้อมต้องตาย ถ้าไม่มีคนอย่างมันเข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตลูกชายของฉัน ตาป้อมไม่มีทางจะโต้เถียง ไม่มีทางจะอาละวาดจนเตลิดไม่ฟังใครแบบนี้ แล้วเรื่องอุบัติเหตุวันนั้นก็ไม่มีทางเกิดขึ้น”

มิรันตีเฝ้ามองสตรีวัยกลางคนตรงหน้า ท่าทางของท่านแม้ยามลุกขึ้น จะกราดอารมณ์ใส่ไม่มีลดน้อยถอยลงจากแต่แรก ทว่ามีเสี้ยวหนึ่งที่หล่อนกลับเข้าใจหัวอกคนเป็นแม่ขึ้นมาเสียเฉยๆ แต่เมื่อฝ่ายนั้นตวัดสายตาดุมาทางหล่อน แววเอาเรื่อง ก็ทำให้หล่อนนึกจองหอง ไม่อ่อนข้อให้เช่นเดิม

“สิ่งที่คุณพูดไม่เป็นความจริงทั้งนั้น ฉันไม่มีส่วนในการตายของคุณป้อม ลูกชายของคุณต้องตายกะทันหัน เป็นเพราะตัวคุณเองต่างหาก คุณป้อมตายด้วยน้ำคำของคุณ”

มิรันตีเรียกสรรพนามของอีกฝ่ายว่า ‘คุณ’ ด้วยสำเนียงที่ห่างเหิน และเหมือนว่ารอยร้าวของทั้งคู่จะเริ่มแตกลานมากขึ้น ยิ่งคุณทยุตซึ่งนิ่งตรองมานานเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง ยิ่งทำให้ภรรยาอยากกรีดร้องออกมา

“ผมตัดสินใจแล้ว จะให้หนูใหม่อยู่กับเราที่นี่ ในเมื่อเป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็ควรจะได้สิทธิ์อันชอบธรรมนั้น อะไรที่เป็นของตาป้อม ผมก็จะยกให้”

“ไม่ได้! คุณจะมายกสมบัติส่วนของตาป้อมให้มันไม่ได้”

คุณทยุตแม้จะเป็นคนโอนอ่อนบ้างตามเหตุและผล แต่หนนี้ท่านออกเสียงอย่างเด็ดขาด “ผมจะเรียกทนายสิทธิชัย เข้ามาจัดการมรดกวันพรุ่งนี้”

คุณปานระพีลุกขึ้นตัวแข็ง มือข้างหนึ่งทาบอกอย่างตกใจ คงไม่คาดคิดว่าสามีจะตัดสินใจปุบปับแบบนี้ กำลังจะแย้งอีกครั้ง ทว่ามิรันตีได้จังหวะ ขยับตัวไปอยู่ในระยะใกล้ชิดคุณทยุต ทรุดเข่าลงนั่งกับพื้นอย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยประโยคหนึ่งที่ทำให้ทั้งสองคน ฟังแล้วตกใจกึ่งดีใจ

“หนูต้องขอบพระคุณ คุณพ่อเป็นอย่างสูงเลยนะคะ ที่ให้โอกาสหนู...กับลูกในท้อง”

‘ลูกในท้อง’ คำนี้ตบหน้าฉาดใหญ่เข้าซีกแก้มคุณปานระพี อยู่ในส่วนของความตกใจ และคำเดียวกัน ก็ทำให้คุณทยุตออกอาการดีใจ เพราะท่านรอคอย อยากอุ้มหลานมานานทีเดียว

..................................................


คราวที่แล้วลงตอนผิด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ



พู่ไหมบุรามฉัตร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2555, 11:25:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ค. 2555, 16:44:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1652





<< ตอนที่ 1   ตอนที่ 3 >>
pattisa 16 พ.ค. 2555, 16:51:08 น.
พระเอกน่ารัก รู้จักใส่ใจคนอื่นด้วย. ส่วนคุณนาย เป็นเมียคนที่สองก็ไม่น่ามาทำหมันไส้ใส่ลูกของเมียคนเเรกนะ นึกว่าพระเอกเปนลูกเมียคนที่สอง


พู่ไหมบุรามฉัตร 16 พ.ค. 2555, 20:03:17 น.
pattisa
ขอบคุณสำหรับเมนต์นะครับ
ทีปต์เป็นลูกกับเมียเก่า คือคุณพิมพาครับ ส่วนลูกคุณปานระพี คือ ป้อมปราบ กับปวเรศ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account