ร่ายรัก ลำนำเสน่หา
อดีตอันพลั้งพลาดได้ติดแน่นฝังตรึงจนกลายเป็นตราบาปที่ต่อให้ทั้งชาติไม่อาจไถ่ถอน มีเพียงประกายแห่งความหวังที่ผุดขึ้นที่กลางใจ สัมผัสลึกซึ้งของหัวใจดวงน้อยๆ ถึงสองดวงที่กำลังเต้นถี่ๆ อยู่ในกายเธอ

ภูวิช – มัณฑนากรหนุ่มหล่อ เลือดใหม่ ไฟแรง เจ้าของบริษัทรับเหมาก่อสร้างและออกแบบตกแต่งภายใน เป็นที่หมายปองของบรรดาหญิงสาวแทบจะทุกคนที่เฉียดเข้าใกล้ ทว่าหนุ่มโสดเนื้อหอมเช่นเขากลับครองตนเป็นโสด จนผู้คนรอบข้างเริ่มจะกังขาว่าแท้ที่จริงแล้ว เขาคือพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว ภาพเงาของเหตุการณ์ในอดีตนั่นต่างหากเล่า ที่ติดค้างฝังลึกอยู่ในจิตใจ ความไม่แน่ใจในสิ่งที่เคยทำผิดพลาดถูกซุกซ่อนเก็บไว้เนิ่นนาน คอยเป็นหอกทิ่มแทง จนไม่อาจเปิดรับใครใหม่เข้ามาในชีวิตอย่างสมบูรณ์ จวบจนวันเวลาผ่าน อาจเป็นเพราะชะตาฟ้าลิขิตชักนำให้เขามีโอกาสที่จะกลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีตนั้นได้อีกครั้ง

ณิชญาฎา – สถาปนิกสาวสวย มาดมั่น เสน่ห์แรง ผู้มีสถานภาพคุณแม่ยังโสด ทว่าก็หาได้ลดทอนความสนใจของบรรดาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ที่เฝ้าวนเวียนอยู่รอบกายเธอลงไปแม้แต่น้อย ผลพวงของความพลั้งพลาดในอดีตกลายกลับมาเป็นเงาดำทาบทับไม่อาจล้างจากกลางใจเธอ เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว คอยฉุดรั้งเป็นกำลังใจให้ก้าวต่อ นั่นก็คือสองเด็กน้อยผู้เป็นยอดดวงใจแห่งเธอผู้เป็นมารดา นับแต่วันแรกที่ได้รู้ว่าชีวิตน้อย ๆ ได้ก่อกำเนิดขึ้นในกาย การตัดสินใจอันแน่วแน่ ของเธอได้ส่งผลให้วิถีชีวิตอันเป็นปกติต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

ตัวไหม + ใบหม่อน เด็กคู่แฝด ชาย - หญิง วัยสี่ขวบครึ่ง ผู้เป็นห่วงโซ่คล้องชีวิตของมารดา ไม่ให้ต้องแตกหักพิณพัง ลงไปนับแต่วันแห่งความสูญเสีย ความน่ารักบริสุทธิ์สดใสของเด็กน้อย สัมผัสแห่งความรักแตะแต้มชีวิต เสมือนหนึ่งน้ำทิพย์ชโลมใจ เป็นที่หมายหลักและที่พึ่งสุดท้ายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครซักคน ก่อเกิดกำลังใจให้ลุกขึ้นและหันหน้ามาเผชิญกับความจริงอันปวดร้าว ผลลัพธ์สุดท้าย ที่สุดแห่งความอดทน นั้นคือความอิ่มเอม เปรมปรีอันหาที่สุดมิได้

พฤทธิ์ – บุรุษหนุ่มทายาทตระกูลดัง มหาเศรษฐีชื่อก้อง ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็มักจะมีบรรดาหญิงสาวมาคอยห้อมล้อม คอยตามหว่านเสน่ห์ หวังพิชิตใจหนุ่มผู้มั่งคั่ง ทว่าชั่วชีวิตของเขา กลับเทใจวางไว้แทบเท้าเพียงหญิงสาวนางเดียว นับตั้งแต่วันแรกเจอ จวบจนเหตุการณ์พลิกผัน แม้หญิงสาวผู้เป็นที่รักจะไม่บริสุทธิ์ดุจดั่งน้ำค้างยามรุ่งอรุณอีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงมั่นรัก เฝ้าติดตามดูแลเอาใจใส่ และหวังให้เป็นเช่นนั้นตลอดไป ขอเพียงแค่สักวัน “เธอ” ผู้นั้น จะหันมามอง และรับ “เขา” ไว้ในใจเธอบ้างก็พอ

รินรตี – เลขาสาว ผู้มีอดีตอันขมขื่นจากครอบครัวที่แตกแยกไม่มีชิ้นดีกับการทอดทิ้งของบุพการี กลับกลายเป็นหล่อหลอมให้เธอมีความเข้มแข็ง และแกร่งเกินที่ใครจะคาดคิด กับทางที่เธอเลือกเดิน บางครั้งหลายคนอาจมองว่ามันไม่ถูกไม่ควร แต่สำหรับชีวิตที่มีทางเลือกไม่มานัก เธอจึงจำเป็นต้องทำ เพื่อความอยู่รอดของตัวเธอเอง

ฤา ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยจะมีอำนาจเหนือความเจ็บช้ำของรอยแผลในอดีต

ฤา ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ของผู้เป็นสายเลือด จะสามารถเป็นกาวใจ เอาชนะแรงทิฐิ ของผู้เป็นบิดา-มารดาลงได้

เรื่องราวทั้งหมดจะลงเอยอย่างไร ก็คง สุดแท้แต่การนำพาของโชคชะตาใน “ร่ายรัก ลำนำเสน่หา”

Tags: ซึ้งกินใจ

ตอน: ตอนที่ 4 : รินรตี

ชิงช้าไม้สักตัวเขื่องถูกโยกเบาๆ ไปตามแรงผลักอันน้อยนิดของคนนั่ง ณิชญาฎาจมอยู่ในความคิดของตนเองนานเท่าไหร่แล้วนั้น เจ้าตัวเองก็ไม่ทันได้สังเกต แม้กระทั่งเสียงฝีเท้าดังแผ่วเข้ามาใกล้ก็ยังไม่อาจรู้ หากว่าพี่เลี้ยงชราผู้เปรียบเสมือนญาติคนเดียวของหญิงสาวไม่เอ่ยทักขึ้นมาเสียก่อน

“ทำไมแอบมานั่งเงียบๆ อยู่ตรงนี้คนเดียวละคะคุณแพร นี่มันเกือบจะตีสองแล้วนะคะ”

“อ้าว! ป้าบัวเองหรือคะ แพรตกใจหมด นึกว่าใครแอบย่องเข้ามาในบ้านเราเสียอีก”

“ตอบป้ามาก่อนค่ะ ว่าทำไมคุณถึงยังไม่ยอมนอน หรือว่าเป็นห่วงคุณหนูหม่อนคะ”

เมื่อเวลาเปลี่ยน สรรพนามที่เธอเคยใช้เรียกเจ้านายตัวน้อยๆ ของเธอในอดีตก็แปรเปลี่ยน คำว่า ‘คุณหนู’ ในวันนี้ จึงเป็นคำที่ใช้เรียกลูกแฝดของเจ้านายสาว ผู้ซึ่งวันนี้ไม่เหลือคราบของสาวน้อยวัยใส ผู้มีดวงตากลมโตสุกใสราวลูกแก้ว ทว่าถูกแต้มไว้ด้วยรอยโศกหม่นเศร้าอยู่เป็นนิจคนเดิมแม้แต่น้อย ณิชญาฎาในวันนี้เป็นสาว สวยสคราญ โฉมงามตามสมัย มิหนำซ้ำกิริยาท่าทางยังแสนมาดมั่น ดูแล้วช่างเป็นสาวสวยสมบูรณ์แบบเสียนี่กระไร จึงไม่น่าแปลกใจที่เธอจะมีนักธุรกิจหนุ่มหน้าใสอย่างพฤทธิ์คอยติดตามปกป้องแหนหวง ด้วยหวังเอาไว้ว่าเธอจะใจอ่อนยอมเปิดใจรับรักของเขาเข้าสักวัน

“นั่งก่อนสิคะป้า” ณิชญาฎาไม่เคยถือตัวกับหญิงชราผู้นี้เลยแม้แต่สักครั้ง หลายปีเต็มทีที่ป้าบัวเฝ้าห่วงใยดูแลเธอมา จนทำให้รู้สึกผิดในบางครั้งที่ทอดทิ้งนางให้ต้องเฝ้าบ้านหลังนี้เพียงลำพังอยู่นานพอดู

“คุณมีอะไรอยู่ในใจ พอจะบอกป้าได้หรือเปล่าคะ”

“ก็.... นิดหน่อยค่ะป้า แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร”

“เรื่องไม่สำคัญที่ทำให้คุณของป้าไม่ยอมหลับยอมนอน นั่งตากยุงคิดหนักอยู่ตรงนี้เป็นนานสองนาน ถ้าคุณหนูอยากจะเก็บมันเอาไว้ทรมานตัวเองอยู่คนเดียว ไม่อยากบอกให้คนแก่อย่างป้าได้แบ่งเบาความทุกข์นั้นมาบ้าง ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ งั้นป้าก็ไม่กวนใจแล้ว”

ณิชญาฎานึกขันความใจน้อยของคนแก่ เอื้อมมือฉุดรั้งนางไว้ให้นั่งลงตามเดิม ศีรษะทุยสวยเอียงซบบนไหล่อวบนิ่มแน่นไปด้วยเนื้อของหญิงชราที่เพิ่งจะกลับมานั่งลงอย่างต้องการหาที่พึ่ง ไม่ว่าจะห่างกันไปนานสักเพียงไหน ป้าบัวก็ยังเป็นคนที่เข้าใจเธอได้ดีที่สุดเหมือนเดิม หญิงสาวถอนหายใจหนัก เธอกำลังชั่งใจ เรื่องกำเนิดของลูกน้อยทั้งสองของเธอนั้น ณิชญาฎาตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ยอมปริปากบอกให้ใครรู้เป็นอันขาด แต่นั่นมันก็ก่อนหน้าที่เธอจะตัดสินใจกลับมาอยู่เมืองไทย และได้เจอกับ ‘เขา’ ผู้เป็นต้นเหตุของทุกเรื่องราวที่เธอต้องเผชิญมา

ความลับไม่มีในโลก ข้อนี้ณิชญาฎารู้ดี แต่จะทำอย่างไรได้ จะกลับลำไปอยู่อเมริกาตามเดิม ก็คงยังทำไม่ได้ในตอนนี้ หน้าที่การงานของเธอยังมีที่ต้องรับผิดชอบ แล้วไหนจะยังป้าบัวของเธออีกเล่า ขนาดชวนให้เที่ยวเยี่ยมหาเธอหลายต่อหลายครั้งหญิงชรายังไม่ยอมอ้างว่าเป็นห่วงไม่มีใครดูแลบ้าน จนณิชญาฎาต้องเป็นฝ่ายบินกลับมาหาเองแทบจะทุกครั้ง ยิ่งถ้าหากว่าเธอชวนให้นางไปอยู่เสียด้วยกันที่โน่นแล้วละก็ รับรองได้เลยว่าจะต้องได้รับคำปฏิเสธอย่างแน่นอน

ครั้นจะปล่อยทิ้งให้แกอยู่ตามลำพังคนเดียวที่นี่ หญิงสาวก็คงทำไม่ได้อยู่ดี เพราะเหตุนี้เธอจึงต้องกลับมานั่งคิด ใคร่ครวญดูใหม่อีกครั้ง สมควรแล้วหรือยังที่เธอจะบอกให้ใครสักคนได้รับรู้ เผื่อจะได้ช่วยกันคิดหาหนทาง หนทางที่จะป้องกัน ไม่ให้ดวงใจน้อยๆ ทั้งสองต้องโดนพรากจากอกคนเป็นแม่อย่างเธอไป และคงไม่มีใครที่จะเหมาะไปกว่าป้าบัวของเธอคนนี้เป็นแน่ ณิชญาฎาได้คิด แล้วจึงตัดสินใจพูดออกไป

“ผู้ชายคนที่ช่วยใบหม่อนไว้วันนี้... เขา...เขาเป็น ‘พ่อ’ ผู้ให้กำเนิดของแกค่ะป้าบัว” น้ำตาที่เคยคิดว่าเหือดแห้งไปนานมากแล้ว กลับไหลลงมาอีกครั้ง เสียงเครือของสาวร่างงามในวันนี้ บอกให้หญิงชรารู้ว่าอดีตเจ้านายตัวน้อยที่กำลังซุกซบอยู่บนบ่านางนั้น กำลังร้องไห้

“ตายแล้ว! คุณพระช่วย! เป็นไปได้อย่างไรกันคะนี่” นางอุทานด้วยความตกใจเหลือประมาณ

“มันเป็นไปแล้วค่ะป้า แพรเองก็ตกใจ ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกตั้งแต่แรกที่เห็นว่าเป็นเขา” เสียงเครือสั่นบอกต่อ จิตใจที่เคยเข้มแข็งกลับอ่อนแอลงได้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“โธ่! คุณหนูแพรของบัว” และแล้วหญิงชราก็เริ่มจะร้องไห้ตามเจ้านายสาว มืออวบย่นอย่างคนชราเอื้อมโอบคุณหนูของนางไว้ เมื่อยามอยู่ในอาการทุกข์โศก สรรพนามที่เคยแปรเปลี่ยนไปจึงคืนกลับมาดังเก่า ป้าบัวพยายามจะปลอบใจเธอ ทั้งที่รู้ว่าคงช่วยอะไรได้ไม่มากเท่าไรนัก

“ไม่ใช่แค่นั้นนะคะ แพรรู้ว่าเขาดูออก เหมือนกับว่าเขาจะพอเดาอะไรได้บ้างแล้ว ไม่งั้นคงไม่มาขู่แพร ว่าเขาจะต้องรู้ให้ได้ ว่าใครคือพ่อของเด็กๆ แพรกลัวเหลือเกินค่ะป้า กลัวว่าเขาจะมาพรากลูกของแพรไป แพรคงอยู่ไม่ได้แน่ๆ เลยค่ะป้า” ณิชญาฎาลนลานเสียจนพี่เลี้ยงชรารู้สึกใจแป้วตามไปด้วยแต่ก็ยังไม่วายพูดปลอบใจ

“คงไม่ร้ายแรงถึงขนาดนั้นหรอกค่ะคุณหนู อาจจะเป็นเพราะสายเลือดนั่นแหละ โบราณท่านถึงได้ว่า เลือดข้นกว่าน้ำ สายสัมพันธ์พ่อลูก เชื่อแล้วจริงๆ ว่ามันช่างแรงนัก จริงสิ! มิน่าล่ะ ตอนแรกที่ป้าเห็นคุณแก ก็ว่าหน้าคุ้นๆ”

“คุ้น? คุ้นอย่างไรคะป้า” ณิชญาฎาดันกายออกห่างเพื่อมองหน้าหญิงชราให้ชัด ถามออกมาด้วยความสงสัย

“อ้าว! คุณหนูไม่เคยสังเกตหรอกหรือคะ ก็เครื่องหน้าคุณหนูหม่อนเธอน่ะ ถอดแบบจากคุณพ่อเธอมาแทบทุกชิ้นเลยเชียว จะมีก็แต่ตาเท่านั้นล่ะค่ะ ที่เหมือนกับคุณหนูแพรของป้า” นางบัวตอบออกไปตามที่นางสังเกตเห็นเมื่อแรก

“ไม่จริงหรอกค่ะ ไม่เหมือนเลยสักนิด ตาหม่อนหน้าเหมือนแพรต่างหาก ยายไหมก็ด้วย ป้าอย่าพูดอย่างนี้สิคะ แพรยิ่งใจไม่ดีอยู่” ณิชญาฎาปฏิเสธเสียวุ่นวาย ทั้งที่เธอเองก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าทุกครั้งที่มองหน้าลูกชายตัวน้อย เป็นต้องมีใบหน้าของบุรุษผู้นั้นผุดซ้อนขึ้นมาให้เธอต้องหงุดหงิดใจเสียทุกครั้งไป

“แน่ะ มาเถียงป้า ทิฐิมากนักมันก็ไม่ดีนะคะ อย่างไรเขาก็พ่อลูกกัน ต่อให้คุณหนูไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่แน่ว่าสักวันเขาอาจจะรู้ความจริงในเรื่องนี้ขึ้นมาก็ได้”

“ไม่มีทางหรอกค่ะป้า คอยดูนะ ถ้าเขาเข้ามาวุ่นวาย แพรจะหอบลูกหนีไปให้ไกลสุดโลกเลย เอ..ว่าแต่ เขาไม่เคยเจอกับพวกเด็กๆ มาก่อนเลยนะคะป้า แล้วทำไมถึงได้....”

“สัญชาตญาณของคนเป็นพ่ออย่างไรละคะคุณหนู มันไม่เกี่ยวกับเรื่องว่าเคยเจอหรือไม่เคยเจอ ของแบบนี้นี้มันเป็นเรื่องของความผูกพัน ป้าเองก็ยังนึกๆ อยู่ ตอนที่คุณแกจ้องหน้าคุณหนูทั้งสองแล้วนิ่งไปนาน ป้าคิดว่าคุณแกคงจะสะดุดตั้งแต่ตอนนั้น ยิ่งตอนที่เธอมาถามป้าว่าคุณแม่ของคุณหนูแฝดเป็นใคร พอป้าบอกชื่อคุณหนูไป ดูเหมือนว่าตอนนั้นเธอจะตกใจไม่น้อยอยู่เหมือนกันนะคะ”

“คนอย่างนายนั่นน่ะหรือคะตกใจ ไม่มีทางหรอกค่ะป้า คนไร้ความรู้สึก จิตใจด้านชา แถมยังหน้าด้านขนาดนั้น แพรไม่เชื่อหรอกค่ะป้า”

“ดูดู๊ คุณหนู พูดอะไรกันอย่างนั้นคะ ไม่น่ารักเลย”

“คำพูดดีๆ แพรเก็บไว้กับคนดีๆ เท่านั้นล่ะค่ะป้า ส่วนคนอย่างนายนี่ อย่าหวังเลยว่าแพรจะญาติดีด้วย”

“เฮ้อ! บุพเพจะอาละวาดเสียละไม่ว่า”

“ป้าว่าอะไรนะคะ”

“อ๋อ ป... เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร ดึกมากแล้วนะคะ ป้าว่าคุณหนูรีบเข้านอนเถอะนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราต้องไปเยี่ยมคุณหนูหม่อนกันแต่เช้า”

“ค่ะ งั้นเดี๋ยวแพรไปส่งป้าเข้าห้องแล้วจะรีบไปนอนเลยนะคะ” ณิชญาฎาโอบประคองพาพี่เลี้ยงสูงวัยผู้ซึ่งทำหน้าที่อภิบาลเธอมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์เพื่อพาไปส่งยังห้องของนาง

นับแต่ครั้งอดีต ‘ป้าบัว’ รับหน้าที่ดูแลณิชญาฎามาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ จนกระทั่งถึงวันนี้ นางยังคงรับหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงดูแลลูกแฝดทั้งสองให้กับเธออีก แล้วไหนจะงานดูแลบ้านช่องนั่นอีกเล่า นางก็ยังรับเหมาทำเองไปเสียหมด ไม่ยินยอมให้เธอได้แตะทำอะไรเลย ทั้งที่หญิงสาวได้พยายามบอกเธอหลายหนว่า เมื่อครั้งอยู่ที่อเมริกา หญิงสาวเองก็ต้องทำงานบ้านทุกอย่างตลอด ครั้นกเมื่อลับมาอยู่บ้านก็ใช่ว่าจะหลงลืมจนหยิบทำอะไรไม่ได้เลยเสียเมื่อไหร่ แต่ก็ไม่เคยจะชนะนางได้เลย เห็นทีคราวนี้ณิชญาฎาคงจะยอมไม่ได้อีกต่อไป การมีเด็กรับใช้เพิ่มอีกสักหนึ่งคน น่าจะช่วยแบ่งเบาภาระงานบ้าน พอให้กับหญิงชราผู้เป็นพี่เลี้ยงของเธอและลูก ได้พักผ่อนเสียบ้าง
--------------------------------------------
นับจากวันที่เกิดเหตุล่วงมาจนถึงวันนี้ ผ่านไปเกือบจะครบสองอาทิตย์ ภูวิชเฝ้าวนเวียนแวะมาเยี่ยมพ่อหนูน้อยใบหม่อน ในเกือบจะทุกบ่ายของวัน โดยที่ทุกครั้งเขาจะต้องมีพวกหนังสือนิทาน หรือไม่ก็ของเล่นสารพัดอย่าง ติดไม้ติดมือมากำนัลพ่อหนูน้อยคนป่วยเสียทุกครั้ง ข้าวของทั้งหลายถูกขนมาวางเรียงไว้เต็มห้อง พร้อมสร้างความสำราญให้กับทั้งคนป่วยและคนมาเยี่ยมไม่วางเว้น ยังจำได้ดีถึงวันแรกที่เขามาเยี่ยมเด็กน้อย ความน่ารักของเจ้าหนูใบหม่อนในวันนั้น ยังประทับอยู่ในใจเขาจนถึงวันนี้

เป็นช่วงเวลาบ่ายโมงเศษๆ เมื่อภูวิชมาถึงหน้าห้องพักในโรงพยาบาลแห่งเดิม ซึ่งเขาได้นำเอาเด็กชายตัวน้อยซึ่งประสบอุบัติเหตุเข้ามารับการรักษาตั้งแต่วันวาน หมายเลขของห้องพักตามที่ได้รับการบอกกล่าวมาจากเพื่อนรัก ทำให้เขาสามารถตรงดิ่งมาถึงห้องนี้ได้โดยไม่ต้องคอยหยุดซักถามให้เป็นที่สงสัยของใครทั้งสิ้น โดยเฉพาะเจ้าของไข้ ผู้เป็นมารดาของคนป่วย

เขาเดินผ่านเข้าประตูไปในห้อง แล้วจึงพบว่าเด็กชายตัวน้อยกำลังนอนเล่นอยู่คนเดียวบนเตียง หาได้มีใครบางคนที่เขากำลังคิด หรือจิตนาการเอาไว้

“ว่าไงครับคนเก่ง วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง หายเจ็บหรือยังครับ”

“หือ? คุณลุงเป็นใคร ทำไมเข้ามาในห้องหม่อนได้ละฮะ แม่แพรบอกว่าไม่ให้หม่อนคุยกับคนแปลกหน้า” เด็กน้อยทำตาแป๋ว ดวงตากลมโตที่ภูวิชลงความเห็นว่าถอดแบบมาจากณิชญาฎาได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน พ่อหนูน้อยเจรจาความไปตามสิ่งที่ได้รับการสั่งสอนจากมารดา เขาฟังแล้วก็ให้อดยิ้มไม่ได้ หญิงสาวช่างสอนลูกให้ระมัดระวังตัวไม่ต่างจากครั้งที่เขาได้พบเธอครั้งแรกเมื่อห้าปีก่อนทุกประการ

“เอ้อ! จริงสิ ลืมแนะนำตัวเองไปเลย ลุงชื่อภูวิช ใบหม่อนจะเรียกว่า ลุงภู เฉยๆ ก็ได้นะลูก”

“คุณลุงรู้จักชื่อหม่อนด้วยเหรอฮะ? เอ...แต่ว่า ทำไมหม่อนไม่เห็นจะจำคุณลุงได้เลย” หนูน้อยใบหม่อนทำท่าคิด นึกทึ่งคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะแนะนำตัวเองอยู่เล็กน้อย ลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองก็เรียกแทนตนด้วยชื่ออย่างเป็นปกติอยู่แล้ว

“ต้องรู้สิครับ ก็เมื่อวานลุงเป็นคนพาใบหม่อนมาหาหมอที่นี่เองนี่นา แล้วอีกอย่างลุงก็เป็นเพื่อนกับแม่แพรของหนูด้วยนะลูก”

“จริงหรือฮะ ถ้าอย่างนั้นหม่อนก็ต้องขอบคุณคุณลุงด้วยสิฮะ ขอบคุณฮะคุณลุง แล้วก็สวัสดีด้วยฮะ” เด็กน้อยทำเสียงตื่นเต้น จำนรรจายิ้มแย้มแจ่มใส นบไว้เขาอย่างมีกิริยา น่าเอ็นดูเสียจนภูวิชมองแล้วยิ้มแก้มแทบปริ

“สวัสดีครับลูก ว่าแต่ทำไมถึงได้อยู่คนเดียว ไม่มีใครมาเฝ้าหรอกหรือ” ชายหนุ่มหันไปลากเก้าอี้มานั่งเพื่อปักหลักคุยกับพ่อหนูน้อยอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

“แม่แพร กลับไปเอาของที่บ้านครับ บอกว่าจะรีบกลับมา ส่วนยายบัวพาตัวไหมไปซื้อขนม หม่อนอยู่กับคุณพยาบาล แต่ว่าตอนนี้ออกไปทานข้าวฮะ” หนูน้อยตอบคำเขาไปตามที่รู้

“อ้อ! แล้ววันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่าเอ่ย” เขาถามพร้อมสำรวจไปตามร่างกายของเด็กน้อยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วจึงพบว่า จุดที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือบริเวณที่มีผ้าโพกปิดแผลอยู่ตรงบริเวณศีรษะ นอกนั้นเป็นแต่เพียงแผลฟกช้ำ ตามที่เขาได้ยินแพทย์เวรเจ้าของไข้บอกเอาไว้ตั้งแต่เมื่อค่ำวานนี้

“เจ็บตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ด้วยครับ แต่ว่าแม่แพรบอกว่าให้อดทน อีกไม่กี่วันก็หาย”

พ่อหนูน้อยใบหม่อนช่างน่าเอ็นดูนัก ร้องบอกพลางชี้ไปทุกที่ ตามจุดที่ตนรู้สึกเจ็บ ตบท้ายด้วยคำปลอบของมารดาที่ทำให้ภูวิชรู้ว่า เด็กน้อยถูกเลี้ยงมาในแบบที่เขาคาดไม่ถึง ว่าผู้หญิงอย่างณิชญาฎา จะสามารถเลี้ยงลูกออกมาได้แสนน่ารัก ฉลาด และเข้มแข็งถึงเพียงนี้ เท่าที่เขาเคยรู้จักเธอมา หญิงสาวน่าจะโอ๋ ตามใจลูก จนแทบจะเสียเด็กมิใช่หรือ? เอ... หรือว่าเขาจะเข้าใจอะไรผิดไป

“เก่งจริงๆ เลยลูก เอ้อ! แล้วคุณพ่อล่ะครับ คุณพ่อมาเยี่ยมบ้างหรือเปล่า” คำถามนี้ทำให้ภูวิชถึงกับใจเต้น รอฟังคำตอบ ‘เด็กไม่มีวันจะโกหกหรอก’ เขาเชื่อ

“คุณพ่อ.....อยู่บนฟ้า คงมาไม่ได้หรอกครับลุงภู” ใบหม่อน ตอบเสียงเศร้าๆ เขาไม่รู้หรอกว่ากำลังโดนผู้ใหญ่หลอกถาม คนฟังฟังแล้วให้รู้สึกใจหายมากกว่าเก่า นี่ณิชญาฎาบอกกับเด็กๆ ว่าเขาตายไปแล้วหรือนี่ ภูวิชสรุปความว่าคนที่มารดาของพ่อหนูน้อยบอกว่าตายไปแล้วนั้นย่อมหมายถึงตัวเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

“โธ่! ลูก” เขาอุทานเชิงปลอบ พยายามข่มความรู้สึกแป้วในใจ ที่กำลังผุดพรายขึ้นมาอย่างประหลาด

“ลุงภูเป็นอะไรไป ทำไมทำหน้าเศร้าอย่างงั้นละครับ” กิริยาท่าทางของคุณลุงแปลกหน้าไม่อาจพ้นสายตาของเด็กน้อย ให้น่าประหลาดใจนัก เด็กตัวเล็กแค่นี้ กลับช่างสังเกต รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“เปล่าลูก ลุงไม่ได้เป็นอะไร” ภูวิชรีบกลมเกลื่อน ปฏิเสธพร้อมกับถามถึงบุรุษอีกผู้หนึ่ง ซึ่งเขารู้สึกคาใจ ตั้งแต่ได้พบกันอีกครั้งอย่างไม่ตั้งใจ “แล้วอาพีทละลูก อาพีทเป็นอะไรกับแม่แพร เมื่อวานลุงเห็นเขามาเยี่ยมใบหม่อน แล้วพาแม่แพรกับตัวไหมกลับบ้านด้วยนะลูก”

“อาพีทเป็นเพื่อนของแม่แพรฮะ” พ่อหนูน้อยพาซื่อตอบคำถาม ที่ภูวิชได้ฟังแล้วถึงกับยิ้มออก ใบหม่อนไม่ได้รู้เลยว่า มารดาของเขาปรารถนาจะกันชายผู้นี้ให้ออกห่างจากชีวิตพวกตนสักเพียงไหน

“จริงหรือลูก ถ้างั้น พ่อ เอ๊ย... ลุงอยากจะสมัครเป็นเพื่อนแม่แพรของใบหม่อนอีกคน พอจะมีหวังไหมลูก” จะเพราะอะไรก็ตามแต่ ภูวิชมัวแต่ดีใจจนพลาดทำให้พ่อหนูต้องเพ่งมองเขาใหม่

“คุณลุงไม่ได้เป็นเพื่อนกับแม่แพรหรอกหรือฮะ แล้วทำไมเมื่อกี้ถึงบอกว่าเป็นล่ะ” เด็กหนอเด็ก อะไรจะช่างจดช่างจำได้ถึงเพียงนี้ ใบหม่อนย้อนถามจนทำให้ภูวิชอึ้งตอบแทบไม่ถูกไปเลยทีเดียว

“เอ่อ... คือ... ลุง... ลุงหมายความว่าเป็นเพื่อนสนิทน่ะลูก เพื่อนสนิทของแม่แพรเหมือนอย่างอาพีทเป็นไง”

“อ๋อ...เข้าใจแล้ว แต่ว่าหม่อนไม่รู้หรอกฮะ ลุงภูต้องไปถามแม่แพรเอาเอง” พ่อหนูน้อยนิ่วหน้า รู้สึกผิดเล็กน้อยที่ตนไม่สามารถให้คำตอบกับลุงภู เพื่อนของแม่แพร ซึ่งใบหม่อนเกิดนึกชอบเขาขึ้นมาทั้งที่เพิ่งจะเจอและพูดคุยกับภูวิชอย่างจริงจังครั้งนี้เป็นครั้งแรกเท่านั้น

“อ้าวเหรอ... งั้นก็แย่สิ ลุงตั้งใจว่าจะมาหาใบหม่อนทุกวัน เกิดแม่แพรไม่ยอมให้ลุงเป็นเพื่อน แล้วลุงจะทำไงกันล่ะนี่”

“มาได้สิฮะ” เด็กน้อยรีบค้านอย่างดีใจ ถ้าหากลุงภูมาเยี่ยมบ่อยๆ ได้ เขาก็คงจะไม่ต้องเหงา เวลาที่ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อน ดังเช่นในตอนนี้ “ลุงภูก็เปลี่ยนมาเป็นเพื่อนกับหม่อนแทนสิฮะ เดี๋ยวหม่อนจะไปบอกให้แม่แพรอนุญาตเอง ดีไหมฮะ" ใบหม่อนเสนอทางออกประสาเด็ก ดีใจเหลือหลาย ที่จะมีเพื่อนใหม่ตัวโตๆ อย่างลุงภูของเขา ภูวิชยิ้มกว้างชื่นชมในความกล้าคิด กล้าเสนอของคนตัวน้อย

“จริงสิ งั้นลุงสมัครเป็นเพื่อนใบหม่อนเลยก็แล้วกัน ดีไหมลูก ว่าแต่วันนี้เราจะเล่นอะไรกันดี ที่นี่ไม่มีของเล่นอะไรเลย”

“จริงด้วยสิฮะ ที่นี่ไม่มีอะไรเลย ”

นั่นเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมถึงได้มีของเล่นมากมาย รวมทั้งหนังสือนิทานหลากหลาย วางเกลื่อนเรียงรายอยู่เต็มเตียงขนาดนี้ และนับจากนั้น ภูวิชเป็นต้องมาปรากฏกายขึ้นที่นี้ในทุกครั้งที่เขามีเวลา หรือแม่แต่ว่าจะไม่มี ก็ยังพยายามหา เพื่อจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าตัวน้อยให้บ่อยที่สุด เช่นเดียวกับวันนี้

“จ๊ะเอ๋! เป็นอย่างไรบ้าง หายดีหรือยังครับคนเก่ง”

“เย้... ลุงภูมาแล้ว หายแล้วฮะ แม่แพรบอกว่าคุณลุงหมอให้หม่อนกลับบ้านได้แล้วละครับลุงภู”

“จริงเหรอลูก ดีจริงๆ แล้วจะกลับเมื่อไหร่ครับ”

“พรุ่งนี้ครับ แต่ว่า....” ใบหม่อนเสียงอ่อย คล้ายกับคิดอะไรขึ้นมาได้สักอย่าง

“หือ แต่อะไร ตัวนิดเดียวแค่นี้ หัดขมวดคิ้วทำหน้าย่นแบบนี้ได้อย่างไรกัน”

“ก็หม่อนกำลังคิดนี่ฮะ ถ้าหม่อนกลับบ้านไป แล้วหม่อนจะเจอลุงภูได้อย่างไรละฮะ”

“โธ่! นึกว่าเรื่องอะไร ลุงภูไปหาหม่อนที่บ้านก็ได้นี่ลูก ก็เราเป็นเพื่อนกันแล้วนี่นา จริงมั้ย”

“จริงครับ แต่ว่า.....”

“แต่อีกแล้ว อ้ะ ไหน ลองบอกลุงมาซิ มันแต่อะไรกันนักหนา?” ภูวิชตั้งป้อมถาม แต่ใบหม่อนกลับเอาแต่ก้มหน้านิ่งไม่ยอมตอบ จนเขาต้องย้ำถามอีกครั้ง

“หือ ว่าไงลูก แต่อะไร”

“ก็แม่แพรนะสิฮะ แม่แพรไม่ชอบให้ลุงภูมาหาหม่อน” หนูน้อยใบหม่อนตอบทั้งที่ยังก้มหน้า เสียงเครือ น้ำตาคลอปิ่มจะหยดจนภูวิชนึกสงสารอดที่จะปลอบเขาไม่ได้

“ไม่เอาครับ ไม่ร้อง ลูกผู้ชายชื่อใบหม่อน จะร้องไห้กับเรื่องแค่นี้ได้อย่างไร”

“ก็หม่อนคิดถึงลุงภูนี่ฮะ”

“คิดถึงก็ไม่เห็นต้องร้องไห้เลยนี่นา เอาอย่างนี้ ไว้ลุงภูจะไปขออนุญาตแม่แพรของหม่อนเอง”

“จริงเหรอฮะ”

“จริงสิลูก ลุงจะขอไปเยี่ยมหม่อนที่บ้าน แล้วก็จะไปเยี่ยมหม่อนทุกวันเลย ดีไหมครับ”

“ด......” ใบหม่อนที่กำลังจะตอบถึงกับทำหน้าเหวอ เมื่อเสียงหวานทว่าห้วนนัก ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน

“ไม่ดี” ณิชญาฎารีบเดินเข้ามาหาลูกน้อย ใจหายเป็นนักหนา นึกสังหรณ์ใจอยู่แล้วเชียว เธอถึงได้รีบมาที่โรงพยาบาล ทั้งที่ตามปกติแล้วเธอจะกลับมาในช่วงเย็นของวันเท่านั้น

“อ้อ! แพรมาพอดี พี่ก็แค่... จะไปเยี่ยมลูก ทำไม? หรือว่าแพรหวง อ๊ะ! ไม่ใช่สิ ห่วงมากกว่า ห่วงกลัวว่าความลับจะแตก” ภูวิชจงใจเน้นคำว่า ‘ลูก’ หวังจะดูปฏิกิริยาที่ตอบกลับมาของณิชญาฎา และมันก็เป็นอย่างที่เขาคิด เมื่อหญิงสาวออกตัวเถียง ส่งเสียงดังไปจนทั่วทั้งห้อง

“หยุดนะ! อย่ามาตู่เอาอะไรง่ายๆ แถวนี้ ที่นี่ไม่มีลูกคุณ ไม่มีอะไรที่เป็นของคุณทั้งนั้น มีแต่ลูกของฉัน ได้ยินไหม มีแต่ลูกของฉัน” ณิชญาฎาที่เป็นฝ่ายเริ่ม ส่งเสียงตวาดลั่น หันไปบอกกับลูกมิหนำซ้ำยกมือขึ้นบังหูสองของพ่อหนูน้อยเอาไว้อีกต่างหาก “ใบหม่อนอย่าไปฟังลูกคุณคนนี้เขาสติไม่ดี อุดหูไว้นะลูกไม่ต้องฟังอะไรทั้งนั้น ฟังแม่อย่างเดียวนะจ๊ะลูก”

“เฮ้อ! ช่างเป็นแม่ที่ดีจริงๆ” ภูวิชตวัดเสียงประชด แล้วพูดต่อ “ทำท่าเป็นจงอางหวงไข่ ปฏิเสธลั่นเสียงแข็ง แต่ไม่รู้ว่าจิตใจทำด้วยอะไร คิดจะพรากลูกพรากพ่อเขาก็ได้ ผู้หญิงอะไรใจร้ายสิ้นดี”

“อ๊าย.....” ณิชญาฎากรีดร้องเสียงยาว สองมือยังไม่ยอมห่างจากหูของลูกน้อย เสียงแหลมจนผู้บุกรุกแทบจะสติแตก ทันทีที่เห็นเด็กน้อยใบหม่อนเริ่มจะร้องไห้เพราะตกใจในเสียงที่แผดร้องของมารดา เขาผวาเอื้อมมือข้ามเตียงไปอุดปากหญิงสาวเอาไว้ พูดขู่ด้วยถ้อยคำและน้ำเสียงชนิดหนึ่งไม่รอช้า

“หยุดกรี๊ดเดี๋ยวนี้นะแพร ลูกตกใจจนร้องไห้แล้วเห็นไหม บอกว่าให้หยุด ไม่งั้นพี่จะลากแพรออกไปคุยกันข้างนอกกับพี่สองคน แต่รับรองได้เลยว่าจะพี่ไม่ทำแค่คุยอย่างเดียว อยากจะลองไหม” ณิชญาฎาอึ้ง ยืนงงเป็นไก่ตาแตก หยุดร้องลงโดยพลัน เปลี่ยนเป็นอยู่ในอาการสั่นราวลูกนกตกน้ำก็ไม่ปาน

พ่อหนูใบหม่อนนั่งเช็ดน้ำตาป้อย มองสลับไปมาระหว่างใบหน้าของคนทั้งสอง คนตัวน้อยๆ ยังคงเบ้หน้าเบะปากอย่างเสียขวัญ แวววิตกกังวลผสมกับความสงสัยกระจายเกลื่อนในดวงตาคู่เล็ก อย่างไม่เข้าใจในการกระทำของผู้ใหญ่คู่นี้เลย จนกระทั่งเสียงโต้ตอบกันโดยสงบของเขาและเธอกลับมาดังขึ้นอีกครั้งอย่างคนที่ตั้งสติได้แล้ว

“คุณต้องการอะไร” ณิชญาฎากลั้นใจถาม ทั้งที่ยังกอดลูกชายของเธอไว้ เสียงยังสั่นไม่หาย จ้องมองภูวิชด้วยสายตาที่ทำให้เขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าเธอกำลังกลัว กลัวชนิดที่ขนหัวลุกเลยทีเดียว

“พี่” ภูวิชเอ่ยสวนขึ้นมาทำให้ณิชญาฎางงต่อ

“หือ...พี่... พี่อะไร” ถามออกไปเพราะเธอไม่เข้าในสิ่งที่เขาพูดจริงๆ นั่นแหละ

“พี่ภูไง เรียกพี่ว่าพี่ภู เหมือนอย่างเมื่อก่อนที่เคยเรียก” คนอยากเป็นพี่เฉลย นึกขันในอาการวางหน้าไม่ถูกของแม่สาวลูกสองผู้แสนดื้อ ยืนทำหน้างอง้ำใส่เขาอยู่ตรงหน้านี้เอง

“จะเรียกไม่เรียก” เมื่อเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามยังคงนิ่ง ไม่แม้แต่จะยอมมองหน้าเขา ภูวิชยึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พูดย้ำแต่เพียงแผ่วเบา ทว่ากลับเข้ม เพราะว่าเป็นน้ำเสียงที่เขาใช้ขมขู่เธอคล้ายเดิม ณิชญาฎาฝืนใจ สะบัดเสียงเรียกเขาด้วยสรรพนามตามที่เจ้าตัวต้องการ ทั้งที่เธอไม่ได้อยู่ในสภาพที่เต็มใจเอาเสียเลยก็ตามที

“อี๋ย์...... ก็ได้ พี่ภูมาที่นี่ ต้องการอะไรมิทราบ”

“หึ...ก็แค่เนี้ย!” ภูวิชแค่นหัวเราะ ให้นึกขันหญิงสาวตรงหน้าดีแท้ บทเขาทำเสียงขู่จะเอาจริงขึ้นมา ณิชญาฎากลับกลัวเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

“พี่ต้องการรู้ความจริง” คนเอาแต่ใจตัวเองเป็นผู้ตอบ

“ความจริง... ความจริงอะไร ที่นี่ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับคุณ เอ๊ย! พี่ภูทั้งนั้น” ณิชญาฎาสวนคำแต่กลับนึกได้ รีบแก้สรรพนามที่เรียกผิดนั้นทันที เรียกรอยยิ้มขันขึ้นมาฉาบระบายบนคมหน้าขาวๆ ของภูวิช นึกอยากตอแยเธอขึ้นมา แม้จะรู้ว่าเมื่อพูดไปแล้ว ผลที่ออกมาจะเป็นเช่นไร แต่สำหรับคนเขาไม่มีทางเสียล่ะ ที่จะปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป โดยมิได้มีการวางแปลนไว้ล่วงหน้า

“แพรแน่ใจหรือจ๊ะ ว่าเราไม่ได้มีอะไรกัน?” คนหน้าเข้มหรี่ตาถามต่ออย่างกวนๆ จงใจสะกิดแผลที่เขาเชื่อว่า มันจะยังคงตกค้างเป็นรอยแผลเป็นอยู่ในใจณิชญาฎาอยู่ไม่จาง ซึ่งเขาเดาถูก หญิงสาวกำลังอึ้งๆ จนพูดไม่ออก หน้าถอดสีไปเลยทีเดียวก็ว่าได้

“เอ๊ะ! มีหรือไม่มี จะว่าไปมันก็หลายปีแล้วนี่นา พี่ชักจะลืมๆ อย่างไรนะแพร ไหนลองทบทวนให้พี่ฟังอีกทีสิ” ภูวิชส่งสายตาเชื่อม แสร้งทำท่าว่าตนลืม ทั้งที่จริงๆ แล้ว เหตุการณ์ทุกบททุกตอนในคืนนั้น เขาจดจำไว้ได้อย่างแม่นยำ ไม่ขาดหายไปแม้เต่ช่วงเวลาเดียว

“ไม่มี! ไม่มีอะไรทั้งนั้น หุบปากเน่าๆ ของคุณเสีย แล้วออกไปคุยกันข้างนอก” วงหน้าสวยทันสมัยที่แม้ในเวลาโกรธก็ยังดูเก๋ เชิดหน้าสั่ง ตากลมโตลุกวาว ราวกับมีไฟกองใหญ่สุมอยู่ภายในก็ไม่ปาน

“พี่! บอกแล้วไงว่าให้เรียกพี่ แพรนี่ท่าทางจะความจำสั้นนะ พี่ว่า” ภูวิชไม่ยอมหยุดกวน ยิ่งเห็นณิชญาฎาเต้นเร่ากลับยิ่งนึกสนุก พูดปลุกอารมณ์โกรธของหญิงสาว อยากรู้จริงๆ ว่าเธอจะแรงได้สักเพียงไหน แต่ก็เห็นด้วยที่ว่าเขากับเธอควรจะออกไปคุยกันข้างนอก

“ใบหม่อนรอแม่แพรอยู่ที่นี่ก่อนนะลูก แป๊บเดียว เดี๋ยวแม่มา”

“ไว้เจอกันนะครับลูกใบหม่อน” เสียงของภูวิชที่พูดตบท้าย เรียกสายตาหมั่นไส้ออกมาพร้อมกับคำไล่ที่ฟังแล้วแสนจะไม่สุภาพออกมาจากริมฝีปากบางสวยของณิชญาฎา

“อี๋... ไม่ต้องมาแส่เลย ไปเสียทีสิ ยืนพูดมากอยู่ได้”

“เฮอะ! ทีอย่างนี้ละมาว่าแส่ ทีอีตอนทำละไม่เห็นจะพูดงี้เลย.....”

“อ๊าย...... คนบ้า คนผีทะเล จะคุยหรือไม่คุย ถ้าไม่คุยก็เชิญออกไปได้แล้ว ลูกฉันจะได้พักผ่อน”

“ก็ไปสิ ใครเขาไปว่าอะไรล่ะ ตีโพยตีพายอยู่คนเดียว แล้วยังมาว่าคนอื่นเขาอีก”

“ตามมา”

เสียงหวานกระชากสั่ง สองตาคู่งามมีแววขุ่นเคือง ร่างงามสะบัดหน้าเดินนำออกไปนอกห้อง ทิ้งไว้แต่เพียงสายตาแห่งความสงสัยซึ่งกำลังจ้องมองการกระทำของผู้ใหญ่ของพ่อหนูน้อยใบหม่อน
-----------------------------------------
“บ่ายสามโมงวันนี้ คุณมีนัดประชุมผู้ถือหุ้น กับท่านประธานฯ และกรรมการท่านอื่นๆ ที่ห้องไดม่อน นะคะ”

เสียงใสนุ่มกังวาน ที่ดังขึ้นทางเบื้องหลัง เป็นของหญิงสาววัยยี่สิบสี่ปีผู้ทำหน้าที่เป็นเลขา ซึ่งเอ่ยบอกกับเจ้านาย เจ้าของห้องที่กำลังมองออกไปยังเบื้องล่างภายนอกกระจกบานใหญ่สูงจากพื้นจดเพดานอย่างคนกำลังใช้ความคิด

“จริงสิ เกือบจะลืมไปเลย แล้วนี่คุณพ่อผมท่านกลับเข้ามาแล้วหรือยัง”

พฤทธิ์ตอบและถามทั้งที่ยังหันหลัง ก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับหญิงสาวเจ้าของวงหน้าคมหวาน รูปร่างสมส่วน สูงราวๆ ร้อยหกสิบ ผิวสีแทนน้ำผึ้งนวลเนียนเรียบไปทุกแห่ง แต่เจ้าตัวกลับปกปิดมันไว้อย่างมิดชิดด้วยอาภรณ์แบบเรียบง่าย ทว่าดูภูมิฐานยิ่ง ชายหนุ่มเคยนึกชื่นชมผิวพรรณของ ‘รินรตี’ อยู่ในใจเหมือนกัน ถึงความสวยน่ามองแผกไปจากสาวคนอื่นซึ่งขาว ทว่าเพราะมีอยู่ดาษดื่นจึงไม่น่าตื่นตาสักเท่าไหร่

“เมื่อสักครู่เลขาของท่านเพิ่งจะโทรมา บอกว่ากำลังจะมาถึงภายในอีกสิบห้านาทีค่ะ” รินรตีตอบเรียบๆ ดวงหน้านิ่งเฉยมีรอยยิ้มน้อยๆ ดังเช่นปกติ

“ครับ ขอบคุณมาก ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยพริ้นต์ งานที่ผมฝากพิมพ์เอาไว้ให้ทีสิครับ”

“เตรียมเรียบร้อยอยู่ในแฟ้มนี้แล้วค่ะ คุณจะตรวจดูก่อนไหมคะ”

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเชื่อมือคุณ” พฤทธิ์เอ่ยอย่างชื่นชมในความเรียบร้อยและรอบคอบในการทำงานของหญิงสาวเป็นอย่างยิ่ง

“ค่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัว”

“ครับ ตามสบาย อ้อ! เดี๋ยวก่อนครับ หลังประชุมเลิกผมจะออกไปธุระข้างนอกไม่กลับเข้ามาอีก คุณช่วยบอกคนขับรถให้ผมที ว่าวันนี้ไม่ต้องอยู่รอ เลิกงานแล้วให้กลับไปได้เลย”

“ค่ะ” รับคำแล้วรินรตีจึงหันหลังกลับออกไปยังโต๊ะทำงานของตนเพื่อปฏิบัติงานตามคำสั่งทันที พฤทธิ์ก้าวตามออกมาจากห้อง แล้วตรงไปยังจุดหมายคือห้องประชุม โดยมิได้หันมามองเธอเลยแม้แต่น้อย

“เฮ้อ! ไม่เห็นว่าเขาจะมองแกเลย ยายรตี ประชุมเสร็จ เขาก็คงจะไปหาพี่แพรตามเคย จะมัวมานั่งคิดน้อยใจ ทำตัวเป็นหมาเห็นเครื่องบินอยู่ทำไมกัน ยายรินรตีซื่อบื้อเอ๋ย” รินรตีบ่นเบาๆ เพียงแค่ให้ตนเองได้ยินคนเดียว แล้วหันไปทุ่มเทความสนใจกับงานตรงหน้าต่อ พยายามลบทุกอย่างออกไปจากใจ แต่ลึกๆ แล้วนั้นมันยากเสียยิ่งกว่ายาก

หญิงสาวผู้ซึ่งกำลังเดินอยู่บนถนนสองสายที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงอย่างเธอดันมาตกม้าตายแอบรักเจ้านายหนุ่มผู้แสนจะเพอร์เฟ็คของเธอคนนี้เสียได้ รู้ทั้งรู้ว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้ ไม่เฉพาะแต่เรื่องของความเหมาะสมที่ต่อให้ควานหาไปทั้งชีวิตก็ไม่มีวันเจอ เธอและเขาช่างแตกต่างกันมากเกินไปจริงๆ แถมยังมีความจริงอีกข้อที่เธอได้มารับรู้ในภายหลัง ว่าชายหนุ่มซึ่งเธอทุ่มเทรักจนหมดใจ แท้จริงแล้วหัวใจของเขามีใครบางคนครอบครองอยู่แล้วอย่างเต็มดวง

แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจหักห้ามใจ ยินยอมกรีดหัวใจของตนเอง ทำงานรับใช้ใกล้ชิดในตำแหน่งเลขาของเขาต่อไป ขอเพียงให้ได้อยู่ใกล้ๆ เขา ต่อให้ต้องทนปวดใจ รินรตีก็ยินดี ทั้งที่รู้อยู่ว่าเขาไม่เคยมีใจ หรือแม้แต่จะหันกลับมามองเธอเลยสักครั้ง

นับแต่ครั้งแรกที่ได้พบ รินรตีบอกกับตัวเองว่า เขาคือคนที่ใช่ ไม่เพียงแต่รูปร่างหน้าตาภายนอกเท่านั้นที่ทำให้เธอประทับใจแต่แรกเห็น บุคลิกลักษณะความเป็นผู้นำอันโดดเด่น น้ำจิตน้ำใจ ห่วงใยสารทุกข์สุขดิบของใครต่อใครที่อยู่รอบข้าง สิ่งเหล่านี้ล้วนประกอบขึ้นมาเป็นตัวเขาทั้งสิ้น โดยพื้นฐานแล้วชายหนุ่มจัดได้ว่าเป็นคนร่ำรวยอยู่ในระดับมหาเศรษฐี อันดับต้นๆ ประเทศ แต่อุปนิสัยกลับแตกต่างจากผู้มั่งมีคนอื่นๆ ที่เธอเคยได้มีโอกาสพบปะมาบ้าง เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก่อเกิดเป็นความชื่นชม และแปรเปลี่ยนเป็นความประทับใจ ยากนักที่เธอจะลืมเลือนเขาไปโดยง่าย ต่อให้รู้อยู่เต็มอก ว่าใจรักทั้งหมดของเขานั้นได้ทุ่มเทไปให้หญิงอีกคนหนึ่งจนหมดสิ้น และเธอผู้นั้นหาใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่เธอเองก็รู้จักดี ‘ณิชญาฎา’ กระนั้น เธอก็ยังมิอาจตัดทอน ถอนใจ นำรักกลับคืนมาสู่ตนเองได้

‘โอ้ใจหนอ ทำไมเจ้าจึงช่างดื้อดึงนัก รักที่รู้ว่าจะทำให้ใจเจ็บ รักทั้งที่ตระหนักดีว่าคงไม่มีวันได้สมหวัง รักทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางจะได้รับความรักนั้นกลับคืน แต่ก็ยังยืนกรานที่จะรักมั่น โดยไม่หวั่นว่ารักนั้นจะนำเอาความเจ็บช้ำมาสู่ใจตน’

‘รินรตี’
--------------------------------------------
เวทียกพื้นสูงระดับอกประดับดวงไฟสีกระพริบสลับไปมาควบคู่ไปกับสปอร์ตไลท์ดวงใหญ่ สาดแสงนวลจัดจ้าจับไปยังร่างสมสัดส่วนแห่งความเป็นหญิง อาภรณ์บางพริ้วสีน้ำตาลอมทองอวดนวลเนื้อสีแทนวับแวม เรียกสายตาของเหล่านักท่องราตรีผู้ตกอยู่ในอาการกลัดมันทั้งหลาย ให้จับจ้องอยู่เพียงเรือนร่างของหญิงสาวที่กำลังโยกย้ายส่ายร่าง พริ้วไหวไปตามเสียงเพลงที่ตนกำลังขับขาน อยู่บนเวที

นักร้องสาวสวยสุดเซ็กซี่ ดาวเด่นประจำคลับ ที่ขึ้นชื่อว่าไม่เคยยอมลงมาเสวนากับแขกคนใด เธอมีความโดดเด่นเหนือนักร้องคนอื่นๆ ที่ประจำอยู่ ณ คลับแห่งนี้ ด้วยลีลาท่าเต้นประกอบการแสดงขอเธอนั้น สุดแสนจะตื่นเต้นเร้าใจ ปลุกให้บรรดาเสือป่าทั้งหลายผู้ซึ่งยังคงกระหายเวียนอยู่ในกลิ่นอายของกามาต้องตื่นตาจนมองค้าง รอคอยด้วยความหวังว่าแม่กวางสาวตัวน้อยเจ้าของนาม ‘รุ่งรวี’ ที่กำลังเฉิดฉายส่ายสะโพกอย่างเร่าร้อนอยู่บนเวทีนั้น จะยอมใจอ่อนทอดร่างตามใจพวกตนแม้เพียงสักครั้ง

เสียงเพลงจบลงพร้อมๆ กับแสงไฟสปอร์ตไลท์ดวงใหญ่ที่ดับลับร่างของรุ่งรวี หรืออีกชื่อหนึ่งคือรินรตีในยามกลางวัน หญิงสาวก้าวลงจากเวทีไปด้วยท่าทางอันเป็นปกติ จะมีก็แต่เพียงสีหน้าเท่านั้น ที่แสดงออกถึงความเหนื่อยหน่ายเป็นที่สุด ปฏิกิริยาแสนจาบจ้วงแววตาโลมไล้ของบรรดาหนุ่ม และแก่ทั้งหลาย ที่มายืนออ ล้อมรอบเกาะเวที เมื่อตอนที่หญิงสาวกำลังแสดงอยู่นั้น ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีใครสักคนเกียรติเธอ รินรตีพยายามบอกตัวเองเหมือนดั่งทุกครั้ง ว่าทุกอย่างที่เธอทำ ล้วนแต่เพื่อมารดาและครอบครัวของเธอทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ‘จงอดทน’

ในอดีตนั้น รินรตีมาจากครอบครัวชั้นกลาง ที่เมื่อดูจากภายนอกแล้วก็น่าจะเป็นครอบครัวที่มีความสุขดี บิดาของเธอเป็นนายทหารซึ่งต้องไปประจำการอยู่ตามที่ต่างๆ นานๆ ครั้งจึงจะกลับมาเยี่ยมบ้าน เยี่ยมภรรยาและลูก และทุกครั้งที่ท่านหายไปนานๆ ก็จะมีเหตุผลทางราชการมาเป็นข้ออ้างโดยตลอด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ท่านแอบไปมีครอบครัวใหม่ ฝ่ายหญิงเป็นถึงลูกสาวของผู้มีอิทธิพลอยู่ในท้องถิ่น ที่บิดาเธอประจำการ จะด้วยความเกรงกลัวหรือเกรงใจในบารมีของพ่อตาก็ตาม นั่นเป็นเหตุให้ท่านไม่กล้าที่จะบอกกับครอบครัวใหม่ว่า ตนมีครอบครัวที่กำลังรอคอยอยู่ทางนี้

ส่วนมารดาของเธอนั้นครั้งหนึ่งเคยรับราชการเป็นครู แต่เพราะความผิดหวังอันเกิดมาจากบาปที่บิดาของเธอก่อ ณ วันหนึ่งที่ท่านต้องมารับรู้ถึงความจริงอันโหดร้าย ท่านไม่อาจทำใจยอมรับกับมันได้ เป็นที่มาของอาการดับของสติสัมปชัญญะ และฟื้นกลับขึ้นมาด้วยอาการของบุคคลวิกลจริต

รินรดาคือน้องสาวเพียงคนเดียวของรินรตี ปัจจุบันอายุ 20 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 2 ในมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง ด้วยน้ำพักน้ำแรงของพี่สาว ซึ่งทุ่มเทใจรักและดูแลเธอมาเป็นเวลาหลายปี รินรตีตั้งต้นเป็นหัวเรือใหญ่ รับหน้าที่ดูแลแม่น้องมาตั้งแต่ตัวเองอายุได้ 16 ปี นับถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 8 ปีเต็ม โบราณว่าไว้ ขาดแม่เหมือนแพแตก และขาดพ่อเหมือนถ่อหัก ครอบครัวนี้ทั้งถ่อหัก และแพแตกลงไปพร้อมๆ กัน ภาระทั้งหมดจึงตกอยู่ที่บุตรสาวคนโต ช่างเป็นเวรเป็นกรรมโดยแท้ เสียงเรียกของใครคนหนึ่งดังขึ้นยังข้างตัว ปลุกรินรตีให้ออกจากห้วงภวังค์ หันไปรับเศษกระดาษแผ่นเล็กๆ มาเปิดออกอ่าน แล้วทำท่าครุ่นคิด

“ใครเป็นคนส่งมาคะพี่จิระ” รินรตีหันไปถามเอากับ หนุ่มหน้าตาเคร่ง ท่าทางยิ้มยากที่เพิ่งจะส่งกระดาษให้กับเธอเมื่อสักครู่นี้

“แขกน่ะ เขาฝากให้เด็กมาบอกรตีด้วยว่า อยากพบรินเป็นการส่วนตัว”

“หรือคะ ถ้าอย่างนั้นพี่ช่วยให้เด็กเอากระดาษแผ่นนี้ไปคืนแทนรตี แล้วบอกกับเขาว่า รุ่งรวีฝากขอบคุณ” เมื่ออยู่ในคราบของนักร้องสาวสุดเซ็กซี่ รินรตีจะใช้อีกชื่อหนึ่ง ซึ่งเธออุปโลกน์ขึ้นมา เพื่อปิดบังสถานะตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง ป้องกันความยุ่งยาก อันอาจจะตามมาถึงตัวเธอได้ด้วยคติพจน์ที่ยึดถือมานาน ‘กันไว้ย่อมดีกว่าแก้’

“รตีไม่คิดจะรับเงื่อนไขของคนพวกนั้นบ้างหรือ”

“นึกอย่างไรถึงได้มาถามคำถามนี้กับรตีคะ พี่จิระ”

“ก็พี่อยากรู้ พี่เห็นรตีทำงานหนักแทบจะทั้งกลางวันกลางคืนแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ ถามจริงๆ เถอะ ไม่เหนื่อยบ้างหรือ”

รินรตียิ้มส่งยิ้มอ่อนไปให้ชายหนุ่มตรงหน้า แล้วจึงตอบกับเขา “เหนื่อยสิคะ แต่จะทำอย่างไรได้ ก็รตีมีภาระ”

“ก็รู้ว่ารตีมีภาระ พี่ถึงได้ถามอยู่นี่ไง ว่ารตีไม่เหนื่อยบ้างหรือ ทำไมไม่คิดจะรับเงื่อนไขพวกนั้น อย่างพวกนักร้องคนอื่นข้างนอกนั่นบ้าง”

ถ้าเป็นคนอื่นมาถามคำถามแบบนี้ รินรตีคงจะรู้สึกเคืองอยู่บ้าง แต่บังเอิญว่าคนถามเป็นเขาที่เธอรู้จักนิสัยใจคอและคุ้นเคยกันดีมาเป็นเวลานาน เธอจึงรู้ว่าเจตนาในการถามนั้นเกิดจากแค่ความอยากรู้เป็นปฐม

“ก็...รตีไม่เหมือนคนอื่นไง ทำไมคะ ไอ้การไม่รับข้อเสนอของแขกนี่ มันผิดตรงไหน หรือว่า..คุณพีเกิดเปลี่ยนใจ ปรับนโยบาย แล้วส่งพี่จิระมาเกลี้ยกล่อมรตี แบบนั้นหรือเปล่าคะ”

รินรตีแสร้งทำหน้าตื่น น้ำเสียงจริงจัง ยกชื่อพีรพัฒน์ ขึ้นมาอ้างถามกับชายหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ดูแลไนท์คลับแห่งนี้และบอดีการ์ดคนสนิทของบุรุษหนุ่มผู้เป็นเจ้าของและเจ้านายของทั้งเธอและเขา

“ไม่ใช่นะ” จิระทำหน้าเหวอ รีบปฏิเสธ แล้วพูดต่อไปว่า “พูดอะไรอย่างนั้นกันเล่ารตี เกิดคุณพีมาได้ยินเข้า มีหวังได้ตามเหยียบพี่แบนกันพอดี ฐานนอกเหนือคำสั่ง อย่าชักใบให้เรือเสียสิจ๊ะรตี”

ทั้งคำพูดคำจาและอากัปกิริยาของจิระในเวลานี้ ว่ากันตามตรงแล้ว น้อยคนนักที่จะได้เห็น จะมีก็แค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้มีโอกาสยลยามที่บอดี้การ์ดหนุ่มจอมวางมาด จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้ตนมาดหลุดแบบนี้

“อ้าว! ก็แล้วพี่จิระมาไล่ตามถามรตีทำไมละคะ รตีกลัวนี่นา ก็เลยคิดไปว่าคุณพีเกิดเปลี่ยนใจ” รินรตีตอบเสียงใสทำท่าทางไร้เดียงสา จะมีก็แต่ดวงตาเท่านั้น ที่ส่องประกายวิบวับ ส่อแววเจ้าเล่ห์

“เฮ้อ! เรานี่นะ.. อยู่ๆ ดันหานรกมาให้พี่เสียงั้น ไม่เอาแล้ว ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย เดี๋ยวคืนนี้พี่ไปส่งเราที่บ้านให้เอง”

“ขอบคุณค่ะ พี่จิระใจดีจริงๆ เลย” นักร้องสาวระบายยิ้มสดใสเต็มหน้าจนตาหยี

“ไปเลย รีบไปเร็วๆ กว่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ลบหน้าเสร็จ กลับถึงบ้านสว่างกันพอดี”

“ค่ะ” รินรตีลากเสียงยาวทำหน้าล้อเลียน “บ่นเป็นตาแก่เชียว พี่จิระรอรตีแป๊บนะคะ แวบเดียวจริงๆ ค่ะ เดี๋ยวรตีมา” พูดจบร่างอรชรสมส่วนก็วิ่งลับหายเข้าไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แวบเดียวอย่างที่เจ้าตัวบอกไว้จริงๆ เจ้าหล่อนจึงออกมาในชุด เสื้อยืดขาวพร้อมกับกางเกงยีนส์ตัวเก่ง สะพายเป้สีเทาหม่นซึ่งภายในบรรจุเสื้อผ้า พร้อมอุปกรณ์การแปลงโฉม ที่เจ้าตัวยัดเก็บไว้รวกๆ อย่างเกรงใจคนรอที่ยืนทำหน้าดุอยู่ตรงประตู

จิระยิ้มส่ายหน้าระอาใจ จะว่าไปรินรตีก็เปรียบเสมือนน้องสาวของเขาคนหนึ่งนั่นแหละ แต่ว่าเธอเป็นน้องสาวผู้งดงาม เฉิดฉายเสียจนเขาต้องนึกแปลกใจตัวเอง ว่าทำไมทุกครั้งที่เขาจ้องมองหน้าแม่น้องสาวคนนี้ เป็นให้ต้องถึงกับใจสั่น มือไม้สั่นไปเสียทุกที มันน่าแปลกเสียจริงๆ

-------------------------------------------------------

ทักทายท้ายตอน :

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และการต้อนรับจากหลายๆ ท่าน ยอมรับตามตรงว่านิลวนายังใหม่สำหรับวงการนิยาย ถึงจะเขียนมานานหลายปี แต่จำนวนผลงานก็ยังไม่มาก และปัญหาหลักๆ คือไม่ค่อยได้เขียนต่อเนื่อง แม้จะพยายามตั้งใจเข็นอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็ต้องมีปัญหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาให้คอยตามแก้ ทำให้ต้องพักเรื่องงานเขียนไว้ชั่วคราวอยู่เสมอ ข้อนี้ต้องขอโทษคุณผู้อ่านอย่างจริงจัง

ตอนนี้นิลวนามีโครงการใหม่ผุดขึ้นมาในหัว อันสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติธรรมมาหลายครั้ง การฟังซีดี และอ่านหนังสือธรรมะ ที่ได้รับอนุเคราะห์มาจากพี่ๆ น้องๆ และญาติผู้ใหญ่หลายๆ ท่าน ทำให้เกิดความคิดที่อยากจะถ่ายทอดเกี่ยวกับกับประสบการณ์ที่ได้ประสบกับตนเองในการปฏิบัติธรรมแต่ละครั้ง ซึ่งก็ต้องบอกไว้ก่อนว่าเป็นเรื่องของเฉพาะตัว ตามที่พระพุทธเจ้าเคยตรับบอกเอาไว้ เหมือนคำที่หลายๆ คนชอบพูดไม่มีผิด 'ไม่ลองไม่รู้จริงๆ'

สุดท้ายคือ ขอขอบคุณคุณหมู้หมู ที่ทิ้งคอมเม้นท์ไว้ให้ในร่ายรักฯ บทแรก นิลวนาขอน้อมรับความเห็นเอาไว้ และใช้ในการแก้ไขนิยายในภายหลังค่ะ

ขอบคุณค่ะ

นิลวนา



นิลวนา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 พ.ค. 2554, 10:35:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 พ.ค. 2554, 10:37:47 น.

จำนวนการเข้าชม : 2347





<< ตอนที่ 3 : ห่วงโซ่ในห้วงคำนึง   ตอนที่ 5 : เสน่หากับราคะ >>
thongyod 5 พ.ค. 2554, 19:07:51 น.
รอตอนต่อไปค่ะ ^--^

ปล.รินรตีจะคู่กับพฤทธิ์ หรือเปล่าคะ แบบว่าสงสัยใคร่รู้ ^--^ สู้ๆ นะคะ


นิลวนา 5 พ.ค. 2554, 21:29:43 น.
ใช่แล้วค่ะ แต่จะคู่กันแบบไหน ต้องรอลุ้นกันต่อไปนะคะ...
ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ
นิลวนา


แมวสามสี 6 พ.ค. 2554, 09:40:15 น.
มาลุ้นคู่รินรตีตามคุณทองหยอดด้วยคนค่ะ ^__^ ชอบพฤทธิ์มากกว่าพระเอกค่ะ


นิลวนา 6 พ.ค. 2554, 21:23:22 น.
สวัสดีค่ะคุณแมวสามสี อ่านคอมเม้นท์แล้วก็คิดตาม นิยายของนิลวนาทุกเรื่อง คุณผู้อ่านส่วนใหญ่จะลุ้นพระรอง สงสัยว่าแนวของนิลวนาจะออกแนวเกาหลีนะคะ ประมาณว่าพระรองผู้แสนดีอะไรทำนองนั้น ต้องขอบคุณจริงๆ ค่ะที่ติดตาม

ทุกคอมเม้นท์ที่ทิ้งไว้ให้ เป็นกำลังใจให้กับนิลวนาได้เป็นอย่างดีค่ะ

ขอบคุณอีกครั้่งนะคะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account