เพลงมาร
'เพลงมาร' จุดเริ่มต้นของเรื่องราวการตายอย่างมีเงื่อนงำ หลายชีวิตที่จากไป ล้วนเกี่ยวโยงกับมัน
ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
Tags: เพลง ความตาย อาถรรพ์ อุปรากร ลี้ลับ
ตอน: องก์ที่ ๑
ถ้าไม่ติดว่าการเข้าชมละครเพลงรอบการกุศลในคราวนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานด้วยแล้ว อย่าหวังเลยว่าจะได้พบคนอย่างร้อยตำรวจเอกกวี จิตมั่นคง เข้ามานั่งแออัดยัดเยียดท่ามกลางฝูงชน
นายตำรวจหนุ่มเกลียดสถานที่ซึ่งคับคั่งไปด้วยผู้คน ที่ไหนที่ว่าคนแออัดยัดทะนาน เขายิ่งเกลียด ในความรู้สึกของเขา ที่เหล่านั้นเต็มไปด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากการหายใจออกของคนอื่น อากาศบริสุทธิ์มีน้อยลง รอบๆ คลาคล่ำด้วยเสียงจอแจรบกวนคลื่นสมอง ทำให้อารมณ์หงุดหงิดง่าย มิหนำซ้ำยังมีเรื่องของกลิ่นกายกับการถูกเนื้อต้องตัวเป็นของแถม
"เกลียดชะมัด!" ชายหนุ่มสบถเบาๆ พลางถกแขนเสื้อสูท ใบหน้าคมเข้มยับย่น บ่งบอกอารมณ์ขณะนี้ดีเยี่ยม "ดีนะที่ไม่ใช่คอนเสิร์ตที่พวกวัยรุ่นชอบไปดูกัน ไม่อย่างนั้น...มีหวัง...เส้นเลือดในสมองแตก"
คนนั่งข้างๆ หันมอง หากนายตำรวจหนุ่มไม่ยี่หระ
ก็ตามที่เขาพูดไปนั่นล่ะ จำพวกคอนเสิร์ตที่วัยรุ่นในปัจจุบันนิยมกัน ไม่ว่าจะเป็นศิลปินไทยหรือเทศ เขาก็ไม่ปรารถนาจะเยี่ยมหน้าติดขอบเวที อย่างมากสุดก็แค่เอนหลังลงเบาะนอนนุ่ม ติดตามอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ในบ้านพักตำรวจของตัวเอง
ทว่าโชคดี งานชิ้นนี้ทำให้เขาโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
แขกเหรื่อที่มาดูละครเพลงรอบการกุศล ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอันจะกินที่รวมตัวกันเป็นสมาคมเพื่อการกุศลโดยเฉพาะ ก็พวกมีหน้ามีตาในสังคมนั่นล่ะ ดาราเอย คุณหญิงคุณนายเอย ไฮโซไฮซ้อเอย ปะปนด้วยคนธรรมดาที่ซื้อบัตรรอบการกุศล ในปริมาณเพียงหยิบมือ
อย่างน้อยพวกคุณหญิง คุณนาย คุณชายและไฮโซ ย่อมทำให้นายตำรวจหนุ่มสบายใจเรื่องความมีมารยาททางสังคม แต่ละคนมีหน้ามีตาบานเท่ากระด้งต้องรักษา แน่นอนว่าเขาจะสบายหูตลอดการชมละครเพลง ที่ได้ยินคงมีเพียงเสียงปรบมือระคนเสียงหัวเราะเมื่อถูกใจ ไม่มีทางเป็นเสียงแหกปากลั่นให้รำคาญหู อย่างที่เด็กวัยรุ่นหรือผู้คลั่งไคล้ศิลปินชอบทำกัน
ช่วงที่ม่านกำมะหยี่สีแดงสดยังไม่เลื่อนเปิด กวีฆ่าเวลาด้วยการพลิกหน้าหนังสือแนะนำละครเพลงอ่าน
ผ่านไป...แล้วก็...ผ่านไป
แต่ละแผ่นเต็มไปด้วยสีสันอันหลากหลาย หากโดดเด่นเหนืออื่นใดกลับเป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งในชุดลูกไม้รวมกับผ้าจับจีบเป็นระบายสีดำล้วน ตัวกระโปรงทรงสุ่มยาวพอง มีเพชรเม็ดเล็กประดับเต็มชายผ้า เล่นระดับความหนาแน่นและเบาบาง สะท้อนแสงวาววามราวตัวหล่อนคือผืนฟ้ายามราตรีที่มีดาวดารดาษ ผมดำขลับถักเปียรวบเก็บแล้วซ้อนทับด้วยมงกุฎที่ละม้ายคมหนามหรือไม่ก็หมู่ดาว
ในภาพนั้น หล่อนกำลังนั่งข้างพระจันทร์เสี้ยวสีนวลไสวดวงใหญ่เทียมเพดาน ดวงหน้ารูปไข่เชิดรับแสงไฟ เห็นแม้เพียงชั้นเชิงการเล่นโทนสีในแต่งหน้าทางดำมืด
[ทองธาร สินธุ กับอีกครั้งของ...ราชินีแห่งรัตติกาล ใน อภินิหารขลุ่ยวิเศษ]
ชื่อเรื่องไม่คุ้นหูเขาเท่าไร ที่ผ่านมาเคยได้ยินแต่ 'อภินิหารแหวนครองพิภพ' หรือ 'เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง' มหากาพย์ภาพยนตร์ไตรภาคที่เขาติดตามอย่างเหนียวแน่น จนตามต่อไปถึงงานประพันธ์ที่ไม่ต้องการการแปลของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน นักประพันธ์ชาวอังกฤษ เนื่องจากชื่นชอบความอึดและเก่งกล้าของตัวพระอย่างอารากอร์น จอมกษัตริย์หนุ่มแห่งนครสีขาว...มินัสทีริธ รวมถึงนางรองผู้ทระนงเฉกท่านหญิงเอโอวีน เจ้าหญิงผู้กล้าแห่งถิ่นอัศวินบนหลังม้า...โรฮัน
แต่ไอ้อภินิหารขลุ่ยวิเศษนี่...ไม่เคยได้ยินผ่านหูสักที
ครั้นก้มหน้าอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับทองธาร สินธุ ผู้รับบท ราชินีแห่งรัตติกาลต่อ ชายหนุ่มจึงเริ่มเข้าใจทีละน้อยถึงความเป็นมาของละครเพลงเรื่องดังกล่าว รวมถึงตัวละครที่หญิงสาวรับบทบาท
แม้อาจไม่ลึกลงถึงประวัติส่วนตัวอย่างที่นายตำรวจหนุ่มต้องการมากนัก แต่อย่างน้อย เขาก็ได้ทราบถึงความสามารถและความเชี่ยวชาญทางศิลปะการขับร้องและการแสดงของผู้หญิงคนนี้
[แม้ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับ ‘ทองธาร สินธุ’ ในบทบาทของ 'ควีน ออฟ เดอะ ไนท์' หรือ ‘ราชินีแห่งรัตติกาล’ ในอภินิหารขลุ่ยวิเศษ หากเธอได้ให้สัมภาษณ์ด้วยความตื่นเต้นว่า นับเป็นครั้งแรกสำหรับการรับบทบาท ขับร้องและแสดงเป็นตัวละครดังกล่าวในฉบับภาษาไทย]
[ทองธารเคยขึ้นแสดงเป็นราชินีแห่งรัตติกาลเมื่อครั้งไปศึกษาต่อทางด้านการแสดงที่วิทยาลัยศิลปะการแสดงและการดนตรี ประเทศฝรั่งเศส]
[ก่อนจบการศึกษา ทางวิทยาลัยได้จัดให้มีละครเพลงของนักศึกษาขึ้น ซึ่งถือเป็นโครงการสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพื่อแสดงถึงความสามารถ และพิสูจน์ศักยภาพภายหลังการเรียนรู้ศิลปะแต่ละแขนง]
[ผู้กำกับการแสดง ผู้เขียนบท ผู้ประพันธ์เพลง นักแสดง นักดนตรี วาทยกร หรือแม้แต่ผู้รังสรรค์ฉาก แสง สี เสียง เครื่องแต่งกาย ช่างแต่งหน้า ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นนักศึกษาที่ผ่านการฝึกอบรมและเรียนรู้ในวิทยาลัยทั้งสิ้น และเป็นที่น่าดีใจว่า ทองธาร สินธุ สาวไทยหัวใจศิลป์...ก็ได้ก้าวเข้าไปสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยด้วยการร่วมเป็นหนึ่งในละครเพลงของวิทยาลัย]
[เรื่องที่ถูกนำมาทำเป็นละครเวทีคือ 'เดอะ เมจิก ฟลุท' หรือ 'อภินิหารขลุ่ยวิเศษ' บทประพันธ์ของ 'วูล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท' อัจฉริยะทางดนตรีชาวออสเตรีย ซึ่งต่อมา ถูกนำไปทำเป็นอุปรากรเยอรมัน โดยศิลปินชาวเยอรมัน 'เอมานูเอล ชิคาเนเดอร์']
[และแทบไม่ต้องออกแรงสู้รบปรบมือ บทของ 'ควีน ออฟ เดอะ ไนท์' หรือ 'ราชินีแห่งรัตติกาล' ก็ตกเป็นของทองธาร สินธุ นักร้องสาวเสียงโซปราโน ผู้มีความช่ำชองในทักษะการขับร้องแบบโคโลราทูรา ที่สามารถทำให้ผู้ชมแทบหยุดหายใจ เมื่อเธอปรากฏกายบนเวทีการแสดงในชุดราชินีสีดำ พร้อมเสียงขับขานที่ไล่บันไดเสียงได้อย่างรวดเร็ว คล่องแคล่ว และพลิ้วพราย]
[จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เมื่อจบการแสดง นักวิจารณ์ละครเพลงชาวฝรั่งเศสหลายคนจะกล่าวขวัญถึงความสามารถของทองธารด้วยความประหลาดใจ ]
['พลังเสียงโซปราโนโน้ต C ของเธอ กระทั่งกำลังลม และการปล่อยช่วงเสียง ยาวและทรงพลัง ไม่แตกต่างจากไดอาน่า ดามราว นักร้องอุปรากรชาวเยอรมัน ผู้มีเสียงร้องเป็นเอกลักษณ์ แบบโคโลราทูรา โซปราโนเลย']
[นักวิจารณ์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ หลังชมละครเพลงของทางวิทยาลัยฯ ที่เมืองออร์เลอ็อง แคว้นซ็องทร์ ซึ่งไม่แตกต่างจากนักวิจารณ์ละครเพลงชื่อดังอีกท่าน ที่ทำนายอนาคตของหญิงสาวชาวไทยด้วยความชื่นชม]
['เธอสามารถควบคุมเสียงขึ้นลงสูงต่ำและร้องไล่บันไดเสียงได้อย่างรวดเร็ว ว่องไว พลิ้วพราย ทั้งยังรู้จักใช้เสียงโซปราโนโน้ต C ซึ่งถือเป็นโน้ตเสียงสูงสุดในเสียงโซปราโนได้โดยไม่ทำลายเสียงร้องของตนเอง ถือว่าทำได้ดีเยี่ยม ทั้งมีจิตวิญญาณของการเป็นนักแสดง เล่นจนผู้ชมรับรู้ว่าเธอคือราชินีแห่งรัตติกาล ผู้มีแต่เล่ห์เหลี่ยมและความมืดดำ ไม่ใช่แค่หญิงสาวคนหนึ่งที่ร้องเพลงได้']
[แล้วเขาก็ตอกย้ำถึงสิ่งที่เชื่อมั่นในตัวทองธาร สินธุ]
['เชื่อผมสิ...ต่อไปเธอจะกลายเป็นดาราอุปรากรที่โด่งดัง และคงได้รับบทบาทราชินีแห่งรัตติกาลในละครเพลงเรื่องอภินิหารขลุ่ยวิเศษอย่างต่อเนื่อง เหมือนไดอาน่า ดามราว ดาราอุปรากรชาวเยอรมัน หรือต่อให้เป็นเรื่องไหนๆ ผมว่าทองธารก็สามารถทำได้']
[ปิดฉากละครเพลงเรื่องดังกล่าวที่ฝรั่งเศส ถือว่าทองธาร สินธุ ได้ก้าวผ่านบททดสอบความสำเร็จไปอีกขั้น และครั้งนี้...คือบททดสอบเดิมในรูปแบบใหม่ที่เธอจะต้องผ่านมันไปอีกครั้ง]
[ทองธาร สินธุ ใน อภินิหารขลุ่ยวิเศษ]
กวีขมวดคิ้ว ศัพท์แสงบางตัวดูเหมือนจะยากเย็นแสนเข็ญเกินกว่านายตำรวจอย่างเขาจะเข้าถึง เหล่านั้นล้วนทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเหนื่อยอ่อน
แต่จะว่าไป...ฝีมือของทองธารก็เป็นที่ยอมรับนับถือจริงๆ แม้ในหนังสือแนะนำละครเพลงก็เชิดชูหล่อนให้ดูสุกปลั่งเหมือนพระจันทร์เสี้ยวข้างสีนวลสว่างไร้มลทินแปดเปื้อน
แต่คนเราจะดีเลิศไร้ที่ติถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้ว ก็ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดสิ่งที่เขารับรู้มาจึงกลายเป็นด้านมืดของพระจันทร์เสี้ยวเสียล่ะ มิหนำซ้ำยังเป็นเสี้ยวที่นักร้องสาวพยายามปิดบังจากการรู้เห็นของคนทั่วไปอีกด้วย
//////////////////////////////////////////////////
ถ้าถามร้อยตำรวจเอกกวี จิตมั่นคง ถึงคนที่ชื่อโมสาร์ท ชายหนุ่มคงบอกได้ทันทีว่า 'ไม่ใช่คนที่เขาอยากทำความรู้จักเท่าไรนัก เพราะผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เพื่อนบ้าน แล้วก็ไม่ใช่ผู้มีพระคุณ' ใครได้ยินคำตอบก็คงเป็นลมล้มพับไปตามกัน
นายตำรวจหนุ่มเป็นคนประเภทที่คนทั่วไปเรียกว่า 'ขวางโลก'
ทว่าสำหรับกวี เขาไม่รู้หรอกว่า 'ขวางโลก' มันแปลว่าอะไร ชายหนุ่มรู้เพียงว่า เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ชอบอ้อมค้อมดัดจริต คิดอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น เห็นใครเสแสร้งแกล้งทำปากไม่ตรงกับใจ พวกนี้ทำให้เขานึกหมั่นไส้
และอาจเพราะนิสัยอย่างนี้ก็เป็นได้ จึงทำให้ในชีวิตนายตำรวจหนุ่มมีเพื่อนน้อยเหลือเกิน แม้ในที่ทำงานด้วยกัน รุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือแม้กระทั่งรุ่นเดียวกัน หลายๆ คนก็ชักเหม็นขี้หน้าจนไม่อยากร่วมงาน
แต่ก็ใช่ว่าชีวิตนี้จะสิ้นไร้ไม้ตอก อย่างน้อยนายตำรวจหนุ่มก็ยังมีเพื่อนสนิทอีกสองคน เป็นเพื่อนรักที่ร่ำเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาเสียด้วย
คนหนึ่งชื่อดารุจ ปัจจุบันทำงานเป็นบรรณารักษ์ประจำหอสมุดแห่งชาติวัดเจริญสมณกิจ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต นิสัยโดยทั่วไปเป็นคนเงียบ ชอบเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด ในโลกของดารุจ นอกจากเพื่อนอีกสองคนแล้ว รอบตัวก็เต็มไปด้วยหนังสือ มิตรผู้ทำให้บรรณารักษ์หนุ่มรู้ไปสารพัดอย่าง
แต่ก็นั่นล่ะ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ดารุจเลือกอยู่กับหนังสือ ก็เพราะในชีวิตไม่ค่อยมีเพื่อนเหมือนกวี
ส่วนคนที่สองชื่อปุณฑริก ปัจจุบันเป็นจิตแพทย์สาว ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดภูเก็ต
รายนี้เป็นคนปากร้ายแต่ใจดี มีนิสัยแย่อยู่อย่างหนึ่งที่คนไม่อยากคบหา นั่นคือคมปากที่เจ้าหล่อนใช้ทิ่มแทงคนตายมานักต่อนัก ท้ายที่สุดจึงมีเพียงเขากับดารุจเท่านั้นที่ยอมรับหล่อนเป็นเพื่อนโดยไม่รู้สึกรู้สมกับการถูกจิกด่าจนตัวพรุน
กวีนิ่งคิดถึงเพื่อนแล้วนึกขำ ถ้าไม่ใช่เพราะจิตแพทย์สาวแล้วล่ะก็ ชายหนุ่มก็คงไม่รู้จักละครเพลง รวมไปถึงผู้ชายที่ชื่อโมสาร์ทเป็นแน่
'ไอ้บ้า!'
จำได้แม่นยำว่าปุณฑริกตวาดแหวกลางร้านอาหารที่แหลมพรหมเทพ เมื่อเขาถามถึงผลจากการที่เด็กได้ฟังเพลงของ 'โมเสก'
'เขาชื่อโมสาร์ทย่ะ โม...สาร์ท' หล่อนขยับปากราวจะกลืนเขาลงทั้งตัว 'ไม่ใช่โมเสก...นั่นมันงานศิลปะตกแต่งด้วยกระเบื้อง หิน หรือชิ้นแก้วเล็กๆ เคยนวยนาดออกไปเปิดหูเปิดตานอกสถานีตำรวจกับร้านจิ้มจุ่มหน้าปากซอยบ้างหรือเปล่ายะ'
แล้วหล่อนก็ค้อนปะหลับปะเหลือก จิกกัดตามแบบฉบับที่เป็นมาแต่ไหนแต่ไร
'ถ้าไม่เคยเดี๋ยวว่างๆ ฉันจะพาขึ้นเครื่องไปปล่อยลงแถวปราสาทโรมานาเดลคาซาเล ใกล้ๆ จัตุรัสอาร์เมอรินา ที่ซิซิลี จะได้ไปดูว่างานโมเสกระดับมรดกโลก สมัยโรมันตอนปลายมันเป็นยังไง'
'โรมานาซาเล้ง' กวีแบะปากพลางเสหน้าออก 'ชื่อปราสาทเหรอนั่น...'
แน่ล่ะ...ใครจะไปท่องเที่ยวสำราญใจได้อย่างแม่เจ้าประคุณ ขนาดเป็นหมอก็ยังหาโอกาสไปโน่นไปนี่อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง คนมันโสด มีคานไว้ให้เกาะ จะทำอะไรก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่เหมือนเขา ถึงจะโสด แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องให้ต้องห่วง สำคัญที่สุดก็เรื่องปากท้อง เพราะฉะนั้น...ไม่มีทางเสียล่ะที่นายตำรวจหนุ่มจะยอมเสียเงินเป็นหมื่นเป็นแสน เพื่อไปดูเศษแก้ว เศษกระเบื้อง ที่เอามาเรียงต่อกันบนฝาผนัง
'แล้วก็ไม่ใช่โมเสสด้วย' จิตแพทย์สาวยังคงพูดต่อไปไม่สนใจเพื่อนหนุ่ม 'อันนั้นเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวอิสราเอล ที่พาชาวอิสราเอลไปยังคานาอัน แผ่นดินแห่งพันธะสัญญาของพระเจ้า ไม่ได้ดูข่าวที่อิสราเอลรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งดินแดนกับปาเลสไตน์เหรอ'
ได้ทีเป็นต้องจิกกัด นี่หากหล่อนเป็นอีกาปากเหล็กแล้วไซร้ คงฝากรอยแผลนับร้อยไว้บนร่างไร้วิญญาณของเขาเป็นแน่
'ถ้าไม่เคยนะ แนะนำให้ไปดูหนังการ์ตูน ของดรีมเวิร์คแอนิเมชัน เรื่อง ปรินซ์ ออฟ อียิปต์' หล่อนกระแทกเสียงพลางชักสีหน้าหมั่นไส้ 'นั่นน่ะ...เรื่องของโมเสส หัดดูไว้ประเทืองปัญญาซะมั่ง ไม่ใช่มัวแต่ดูหนังโป๊บั่นทอนศีลธรรม'
กวีแทบสำลักน้ำ ไม่แปลกใจว่าทำไมเพื่อนสาวของเขาถึงไม่มีแฟน ปากจัดขนาดฆ่าคนได้ตั้งแต่คำแรก อย่าหวังเลยว่าผู้ชายจะมากล้ำกราย นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนสนิท รู้ไส้รู้พุงกันมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมศึกษา ทั้งยังเป็นเพศแม่ที่เขาต้องให้เกียรติ หล่อนคงหน้าหงาย ล้มลงไปนอนกับพื้นนานแล้ว
'เออ...รู้แล้ว! เงียบเหอะ!' ชายหนุ่มกระซิบตัดบท รีบก้มหน้าหลบเมื่อหญิงสาวโต๊ะข้างๆ หันมอง 'ว่าแต่ไอ้โมสาร์ทนี่เถอะ เป็นใครไม่ทราบ แล้วทำไมเพลงของมันถึงทำให้เด็กฉลาดขึ้นได้ ทำให้บินได้ด้วยไหม'
'ปากแกนะกีวี่...' จิตแพทย์สาวส่งค้อนพลางฉวยแก้วน้ำมะนาวขึ้นจิบแล้วกระแอม 'วูล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท เขาเป็นนักดนตรีเอกของโลก เกิดที่ออสเตรีย เป็นอัจฉริยะทางดนตรีตั้งแต่เด็ก สีไวโอลินในเพลงที่ผู้ใหญ่ต้องใช้เวลาฝึกกว่า ๑๐ ปี ตอนอายุ ๕ ขวบ'
'โอ้โห! อะไรจะอัจฉริยะขนาดนั้น ยกเมฆหรือเปล่าแม่คุณ!' ชายหนุ่มแบะปาก แสดงสีหน้าไม่เชื่อถือ
'ถามหน่อยเถอะกีวี่...แกเกิดมาเคยรู้จักคำว่าอัจฉริยะกับเขาด้วยเหรอ?'
กวีเหลียวมองเพื่อนสาวตาปริบๆ คาดไม่ถึงกับคำยอกย้อนที่ทำเอาอาการใบ้กินโดยฉับพลัน
นี่ถ้าเขาดื่มน้ำเข้าไป น้ำคงไหลเป็นสายตามรูทะลุจากการโดนจิก ซ้ำร้ายยังมีชื่อแสนน่าเกลียดที่หล่อนช่างเรียกมาตั้งแต่สมัยเรียนนั่นอีก บอกจนปากเปียกปากแฉะว่าห้ามเรียกให้ใครได้ยิน ยายหมอโรคจิตก็ไม่เคยแยแส จนปัจจุบันนี้ก็คร้านจะต่อล้อต่อเถียง
'ฉันว่ารอให้อาการขวางโลกของแกทุเลากว่านี้ก่อนจะดีกว่า แล้วฉันค่อยอธิบายเรื่องโมสาร์ทเอฟเฟคให้แกฟัง' พูดจบก็ดูดน้ำมะนาวจนหมดเกลี้ยง แล้วหันไปหยิบกระเป๋าถือค้นหาของ 'อธิบายตอนนี้ก็ขัดฉันตลอด อารมณ์เสีย!'
'ใครจะเหมือนไอ้รุจล่ะ นั่งเงียบเป็นเป่าสาก อันที่จริงหูมันดับตั้งแต่แกเริ่มพูดแล้ว' ได้ทีกวีก็เอาใหญ่ นานๆ ครั้งจะได้ซัดแม่หมอโรคจิตสักที 'พูดๆ พล่ามๆ ได้ยินแต่เสียงหึ่งเต็มหู ป่านนี้มันคงเป็นหูน้ำหนวกตายไปแล้ว'
'อย่ามาว่าดาด้าของฉันนะนังกีวี่' ได้ผล...ปุณฑริกร้องลั่นในทันที 'ดาด้าเป็นเพื่อนที่น่ารักที่สุดในโลกนะยะจะบอกให้'
นั่นล่ะชื่อที่หล่อนตั้งให้ดารุจ
ข้อที่ว่าบรรณารักษ์หนุ่มเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนั้น นายตำรวจหนุ่มไม่เถียง ดารุจเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับเขาและปุณฑริก แม้กวีเองก็เชื่อว่า...ทั้งเขาและจิตแพทย์สาวก็คงเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับอีกฝ่ายเช่นกัน
แต่ไอ้ชื่อเสียงเรียงนามที่ปุณฑริกตั้งให้เขากับดารุจนี่สิ! กลับลดดีกรีความมาดแมนของพวกเขาลงไปกว่าครึ่ง!
เสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มปลุกนายตำรวจหนุ่มจากภวังค์ความคิด นี่การแสดงกำลังจะเริ่มแล้วสินะ จึงมีเสียงเชื้อเชิญรับชมรับฟังดังมาจากทุกทิศภายในโรงละคร
ครั้นม่านกำมะหยี่สีแดงจีบระบายเคลื่อนเปิดออก เสียงบรรเลงดนตรีของวงออร์เคสตราที่หลบอยู่ในหลุมด้านหน้าก็สอดประสานกังวานแว่ว แสงสว่างภายในโรงละครถูกราแรงจนสลัวแล้วค่อยมืดมิด ผิดกับบนเวทีที่เวลานี้สว่างจ้า จากนั้นทุกสิ่งอย่างก็น้อมนำผู้ชมเข้าสู่เรื่องราวของอภินิหารขลุ่ยวิเศษ
เจ้าชายทามิโนปรากฏตัว กำลังหลบหนีพญางูร้ายเป็นพลวัน ครั้นหมดเรี่ยวแรงสิ้นสมประดี งูยักษ์เตรียมเขมือบอยู่รอมร่อ หญิงสาวสามนางในชุดกระโปรงลูกไม้จีบระบายสีดำก็ปรากฏ ชูมือขึ้นฟ้าราวขอพลังอำนาจ แล้วฉับพลัน เวทมนตร์อันยิ่งใหญ่ก็ปลิดชีพอสรพิษ...ในพริบตา
///////////////////////////////////////////////////////
นายตำรวจหนุ่มเกลียดสถานที่ซึ่งคับคั่งไปด้วยผู้คน ที่ไหนที่ว่าคนแออัดยัดทะนาน เขายิ่งเกลียด ในความรู้สึกของเขา ที่เหล่านั้นเต็มไปด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากการหายใจออกของคนอื่น อากาศบริสุทธิ์มีน้อยลง รอบๆ คลาคล่ำด้วยเสียงจอแจรบกวนคลื่นสมอง ทำให้อารมณ์หงุดหงิดง่าย มิหนำซ้ำยังมีเรื่องของกลิ่นกายกับการถูกเนื้อต้องตัวเป็นของแถม
"เกลียดชะมัด!" ชายหนุ่มสบถเบาๆ พลางถกแขนเสื้อสูท ใบหน้าคมเข้มยับย่น บ่งบอกอารมณ์ขณะนี้ดีเยี่ยม "ดีนะที่ไม่ใช่คอนเสิร์ตที่พวกวัยรุ่นชอบไปดูกัน ไม่อย่างนั้น...มีหวัง...เส้นเลือดในสมองแตก"
คนนั่งข้างๆ หันมอง หากนายตำรวจหนุ่มไม่ยี่หระ
ก็ตามที่เขาพูดไปนั่นล่ะ จำพวกคอนเสิร์ตที่วัยรุ่นในปัจจุบันนิยมกัน ไม่ว่าจะเป็นศิลปินไทยหรือเทศ เขาก็ไม่ปรารถนาจะเยี่ยมหน้าติดขอบเวที อย่างมากสุดก็แค่เอนหลังลงเบาะนอนนุ่ม ติดตามอยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ในบ้านพักตำรวจของตัวเอง
ทว่าโชคดี งานชิ้นนี้ทำให้เขาโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
แขกเหรื่อที่มาดูละครเพลงรอบการกุศล ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอันจะกินที่รวมตัวกันเป็นสมาคมเพื่อการกุศลโดยเฉพาะ ก็พวกมีหน้ามีตาในสังคมนั่นล่ะ ดาราเอย คุณหญิงคุณนายเอย ไฮโซไฮซ้อเอย ปะปนด้วยคนธรรมดาที่ซื้อบัตรรอบการกุศล ในปริมาณเพียงหยิบมือ
อย่างน้อยพวกคุณหญิง คุณนาย คุณชายและไฮโซ ย่อมทำให้นายตำรวจหนุ่มสบายใจเรื่องความมีมารยาททางสังคม แต่ละคนมีหน้ามีตาบานเท่ากระด้งต้องรักษา แน่นอนว่าเขาจะสบายหูตลอดการชมละครเพลง ที่ได้ยินคงมีเพียงเสียงปรบมือระคนเสียงหัวเราะเมื่อถูกใจ ไม่มีทางเป็นเสียงแหกปากลั่นให้รำคาญหู อย่างที่เด็กวัยรุ่นหรือผู้คลั่งไคล้ศิลปินชอบทำกัน
ช่วงที่ม่านกำมะหยี่สีแดงสดยังไม่เลื่อนเปิด กวีฆ่าเวลาด้วยการพลิกหน้าหนังสือแนะนำละครเพลงอ่าน
ผ่านไป...แล้วก็...ผ่านไป
แต่ละแผ่นเต็มไปด้วยสีสันอันหลากหลาย หากโดดเด่นเหนืออื่นใดกลับเป็นภาพของผู้หญิงคนหนึ่งในชุดลูกไม้รวมกับผ้าจับจีบเป็นระบายสีดำล้วน ตัวกระโปรงทรงสุ่มยาวพอง มีเพชรเม็ดเล็กประดับเต็มชายผ้า เล่นระดับความหนาแน่นและเบาบาง สะท้อนแสงวาววามราวตัวหล่อนคือผืนฟ้ายามราตรีที่มีดาวดารดาษ ผมดำขลับถักเปียรวบเก็บแล้วซ้อนทับด้วยมงกุฎที่ละม้ายคมหนามหรือไม่ก็หมู่ดาว
ในภาพนั้น หล่อนกำลังนั่งข้างพระจันทร์เสี้ยวสีนวลไสวดวงใหญ่เทียมเพดาน ดวงหน้ารูปไข่เชิดรับแสงไฟ เห็นแม้เพียงชั้นเชิงการเล่นโทนสีในแต่งหน้าทางดำมืด
[ทองธาร สินธุ กับอีกครั้งของ...ราชินีแห่งรัตติกาล ใน อภินิหารขลุ่ยวิเศษ]
ชื่อเรื่องไม่คุ้นหูเขาเท่าไร ที่ผ่านมาเคยได้ยินแต่ 'อภินิหารแหวนครองพิภพ' หรือ 'เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริง' มหากาพย์ภาพยนตร์ไตรภาคที่เขาติดตามอย่างเหนียวแน่น จนตามต่อไปถึงงานประพันธ์ที่ไม่ต้องการการแปลของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน นักประพันธ์ชาวอังกฤษ เนื่องจากชื่นชอบความอึดและเก่งกล้าของตัวพระอย่างอารากอร์น จอมกษัตริย์หนุ่มแห่งนครสีขาว...มินัสทีริธ รวมถึงนางรองผู้ทระนงเฉกท่านหญิงเอโอวีน เจ้าหญิงผู้กล้าแห่งถิ่นอัศวินบนหลังม้า...โรฮัน
แต่ไอ้อภินิหารขลุ่ยวิเศษนี่...ไม่เคยได้ยินผ่านหูสักที
ครั้นก้มหน้าอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับทองธาร สินธุ ผู้รับบท ราชินีแห่งรัตติกาลต่อ ชายหนุ่มจึงเริ่มเข้าใจทีละน้อยถึงความเป็นมาของละครเพลงเรื่องดังกล่าว รวมถึงตัวละครที่หญิงสาวรับบทบาท
แม้อาจไม่ลึกลงถึงประวัติส่วนตัวอย่างที่นายตำรวจหนุ่มต้องการมากนัก แต่อย่างน้อย เขาก็ได้ทราบถึงความสามารถและความเชี่ยวชาญทางศิลปะการขับร้องและการแสดงของผู้หญิงคนนี้
[แม้ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับ ‘ทองธาร สินธุ’ ในบทบาทของ 'ควีน ออฟ เดอะ ไนท์' หรือ ‘ราชินีแห่งรัตติกาล’ ในอภินิหารขลุ่ยวิเศษ หากเธอได้ให้สัมภาษณ์ด้วยความตื่นเต้นว่า นับเป็นครั้งแรกสำหรับการรับบทบาท ขับร้องและแสดงเป็นตัวละครดังกล่าวในฉบับภาษาไทย]
[ทองธารเคยขึ้นแสดงเป็นราชินีแห่งรัตติกาลเมื่อครั้งไปศึกษาต่อทางด้านการแสดงที่วิทยาลัยศิลปะการแสดงและการดนตรี ประเทศฝรั่งเศส]
[ก่อนจบการศึกษา ทางวิทยาลัยได้จัดให้มีละครเพลงของนักศึกษาขึ้น ซึ่งถือเป็นโครงการสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพื่อแสดงถึงความสามารถ และพิสูจน์ศักยภาพภายหลังการเรียนรู้ศิลปะแต่ละแขนง]
[ผู้กำกับการแสดง ผู้เขียนบท ผู้ประพันธ์เพลง นักแสดง นักดนตรี วาทยกร หรือแม้แต่ผู้รังสรรค์ฉาก แสง สี เสียง เครื่องแต่งกาย ช่างแต่งหน้า ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นนักศึกษาที่ผ่านการฝึกอบรมและเรียนรู้ในวิทยาลัยทั้งสิ้น และเป็นที่น่าดีใจว่า ทองธาร สินธุ สาวไทยหัวใจศิลป์...ก็ได้ก้าวเข้าไปสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยด้วยการร่วมเป็นหนึ่งในละครเพลงของวิทยาลัย]
[เรื่องที่ถูกนำมาทำเป็นละครเวทีคือ 'เดอะ เมจิก ฟลุท' หรือ 'อภินิหารขลุ่ยวิเศษ' บทประพันธ์ของ 'วูล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท' อัจฉริยะทางดนตรีชาวออสเตรีย ซึ่งต่อมา ถูกนำไปทำเป็นอุปรากรเยอรมัน โดยศิลปินชาวเยอรมัน 'เอมานูเอล ชิคาเนเดอร์']
[และแทบไม่ต้องออกแรงสู้รบปรบมือ บทของ 'ควีน ออฟ เดอะ ไนท์' หรือ 'ราชินีแห่งรัตติกาล' ก็ตกเป็นของทองธาร สินธุ นักร้องสาวเสียงโซปราโน ผู้มีความช่ำชองในทักษะการขับร้องแบบโคโลราทูรา ที่สามารถทำให้ผู้ชมแทบหยุดหายใจ เมื่อเธอปรากฏกายบนเวทีการแสดงในชุดราชินีสีดำ พร้อมเสียงขับขานที่ไล่บันไดเสียงได้อย่างรวดเร็ว คล่องแคล่ว และพลิ้วพราย]
[จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เมื่อจบการแสดง นักวิจารณ์ละครเพลงชาวฝรั่งเศสหลายคนจะกล่าวขวัญถึงความสามารถของทองธารด้วยความประหลาดใจ ]
['พลังเสียงโซปราโนโน้ต C ของเธอ กระทั่งกำลังลม และการปล่อยช่วงเสียง ยาวและทรงพลัง ไม่แตกต่างจากไดอาน่า ดามราว นักร้องอุปรากรชาวเยอรมัน ผู้มีเสียงร้องเป็นเอกลักษณ์ แบบโคโลราทูรา โซปราโนเลย']
[นักวิจารณ์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ หลังชมละครเพลงของทางวิทยาลัยฯ ที่เมืองออร์เลอ็อง แคว้นซ็องทร์ ซึ่งไม่แตกต่างจากนักวิจารณ์ละครเพลงชื่อดังอีกท่าน ที่ทำนายอนาคตของหญิงสาวชาวไทยด้วยความชื่นชม]
['เธอสามารถควบคุมเสียงขึ้นลงสูงต่ำและร้องไล่บันไดเสียงได้อย่างรวดเร็ว ว่องไว พลิ้วพราย ทั้งยังรู้จักใช้เสียงโซปราโนโน้ต C ซึ่งถือเป็นโน้ตเสียงสูงสุดในเสียงโซปราโนได้โดยไม่ทำลายเสียงร้องของตนเอง ถือว่าทำได้ดีเยี่ยม ทั้งมีจิตวิญญาณของการเป็นนักแสดง เล่นจนผู้ชมรับรู้ว่าเธอคือราชินีแห่งรัตติกาล ผู้มีแต่เล่ห์เหลี่ยมและความมืดดำ ไม่ใช่แค่หญิงสาวคนหนึ่งที่ร้องเพลงได้']
[แล้วเขาก็ตอกย้ำถึงสิ่งที่เชื่อมั่นในตัวทองธาร สินธุ]
['เชื่อผมสิ...ต่อไปเธอจะกลายเป็นดาราอุปรากรที่โด่งดัง และคงได้รับบทบาทราชินีแห่งรัตติกาลในละครเพลงเรื่องอภินิหารขลุ่ยวิเศษอย่างต่อเนื่อง เหมือนไดอาน่า ดามราว ดาราอุปรากรชาวเยอรมัน หรือต่อให้เป็นเรื่องไหนๆ ผมว่าทองธารก็สามารถทำได้']
[ปิดฉากละครเพลงเรื่องดังกล่าวที่ฝรั่งเศส ถือว่าทองธาร สินธุ ได้ก้าวผ่านบททดสอบความสำเร็จไปอีกขั้น และครั้งนี้...คือบททดสอบเดิมในรูปแบบใหม่ที่เธอจะต้องผ่านมันไปอีกครั้ง]
[ทองธาร สินธุ ใน อภินิหารขลุ่ยวิเศษ]
กวีขมวดคิ้ว ศัพท์แสงบางตัวดูเหมือนจะยากเย็นแสนเข็ญเกินกว่านายตำรวจอย่างเขาจะเข้าถึง เหล่านั้นล้วนทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเหนื่อยอ่อน
แต่จะว่าไป...ฝีมือของทองธารก็เป็นที่ยอมรับนับถือจริงๆ แม้ในหนังสือแนะนำละครเพลงก็เชิดชูหล่อนให้ดูสุกปลั่งเหมือนพระจันทร์เสี้ยวข้างสีนวลสว่างไร้มลทินแปดเปื้อน
แต่คนเราจะดีเลิศไร้ที่ติถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
นายตำรวจหนุ่มขมวดคิ้ว ก็ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดสิ่งที่เขารับรู้มาจึงกลายเป็นด้านมืดของพระจันทร์เสี้ยวเสียล่ะ มิหนำซ้ำยังเป็นเสี้ยวที่นักร้องสาวพยายามปิดบังจากการรู้เห็นของคนทั่วไปอีกด้วย
//////////////////////////////////////////////////
ถ้าถามร้อยตำรวจเอกกวี จิตมั่นคง ถึงคนที่ชื่อโมสาร์ท ชายหนุ่มคงบอกได้ทันทีว่า 'ไม่ใช่คนที่เขาอยากทำความรู้จักเท่าไรนัก เพราะผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เพื่อนบ้าน แล้วก็ไม่ใช่ผู้มีพระคุณ' ใครได้ยินคำตอบก็คงเป็นลมล้มพับไปตามกัน
นายตำรวจหนุ่มเป็นคนประเภทที่คนทั่วไปเรียกว่า 'ขวางโลก'
ทว่าสำหรับกวี เขาไม่รู้หรอกว่า 'ขวางโลก' มันแปลว่าอะไร ชายหนุ่มรู้เพียงว่า เขาเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่ชอบอ้อมค้อมดัดจริต คิดอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น เห็นใครเสแสร้งแกล้งทำปากไม่ตรงกับใจ พวกนี้ทำให้เขานึกหมั่นไส้
และอาจเพราะนิสัยอย่างนี้ก็เป็นได้ จึงทำให้ในชีวิตนายตำรวจหนุ่มมีเพื่อนน้อยเหลือเกิน แม้ในที่ทำงานด้วยกัน รุ่นพี่ รุ่นน้อง หรือแม้กระทั่งรุ่นเดียวกัน หลายๆ คนก็ชักเหม็นขี้หน้าจนไม่อยากร่วมงาน
แต่ก็ใช่ว่าชีวิตนี้จะสิ้นไร้ไม้ตอก อย่างน้อยนายตำรวจหนุ่มก็ยังมีเพื่อนสนิทอีกสองคน เป็นเพื่อนรักที่ร่ำเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาเสียด้วย
คนหนึ่งชื่อดารุจ ปัจจุบันทำงานเป็นบรรณารักษ์ประจำหอสมุดแห่งชาติวัดเจริญสมณกิจ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต นิสัยโดยทั่วไปเป็นคนเงียบ ชอบเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด ในโลกของดารุจ นอกจากเพื่อนอีกสองคนแล้ว รอบตัวก็เต็มไปด้วยหนังสือ มิตรผู้ทำให้บรรณารักษ์หนุ่มรู้ไปสารพัดอย่าง
แต่ก็นั่นล่ะ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ดารุจเลือกอยู่กับหนังสือ ก็เพราะในชีวิตไม่ค่อยมีเพื่อนเหมือนกวี
ส่วนคนที่สองชื่อปุณฑริก ปัจจุบันเป็นจิตแพทย์สาว ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดภูเก็ต
รายนี้เป็นคนปากร้ายแต่ใจดี มีนิสัยแย่อยู่อย่างหนึ่งที่คนไม่อยากคบหา นั่นคือคมปากที่เจ้าหล่อนใช้ทิ่มแทงคนตายมานักต่อนัก ท้ายที่สุดจึงมีเพียงเขากับดารุจเท่านั้นที่ยอมรับหล่อนเป็นเพื่อนโดยไม่รู้สึกรู้สมกับการถูกจิกด่าจนตัวพรุน
กวีนิ่งคิดถึงเพื่อนแล้วนึกขำ ถ้าไม่ใช่เพราะจิตแพทย์สาวแล้วล่ะก็ ชายหนุ่มก็คงไม่รู้จักละครเพลง รวมไปถึงผู้ชายที่ชื่อโมสาร์ทเป็นแน่
'ไอ้บ้า!'
จำได้แม่นยำว่าปุณฑริกตวาดแหวกลางร้านอาหารที่แหลมพรหมเทพ เมื่อเขาถามถึงผลจากการที่เด็กได้ฟังเพลงของ 'โมเสก'
'เขาชื่อโมสาร์ทย่ะ โม...สาร์ท' หล่อนขยับปากราวจะกลืนเขาลงทั้งตัว 'ไม่ใช่โมเสก...นั่นมันงานศิลปะตกแต่งด้วยกระเบื้อง หิน หรือชิ้นแก้วเล็กๆ เคยนวยนาดออกไปเปิดหูเปิดตานอกสถานีตำรวจกับร้านจิ้มจุ่มหน้าปากซอยบ้างหรือเปล่ายะ'
แล้วหล่อนก็ค้อนปะหลับปะเหลือก จิกกัดตามแบบฉบับที่เป็นมาแต่ไหนแต่ไร
'ถ้าไม่เคยเดี๋ยวว่างๆ ฉันจะพาขึ้นเครื่องไปปล่อยลงแถวปราสาทโรมานาเดลคาซาเล ใกล้ๆ จัตุรัสอาร์เมอรินา ที่ซิซิลี จะได้ไปดูว่างานโมเสกระดับมรดกโลก สมัยโรมันตอนปลายมันเป็นยังไง'
'โรมานาซาเล้ง' กวีแบะปากพลางเสหน้าออก 'ชื่อปราสาทเหรอนั่น...'
แน่ล่ะ...ใครจะไปท่องเที่ยวสำราญใจได้อย่างแม่เจ้าประคุณ ขนาดเป็นหมอก็ยังหาโอกาสไปโน่นไปนี่อยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง คนมันโสด มีคานไว้ให้เกาะ จะทำอะไรก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่เหมือนเขา ถึงจะโสด แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องให้ต้องห่วง สำคัญที่สุดก็เรื่องปากท้อง เพราะฉะนั้น...ไม่มีทางเสียล่ะที่นายตำรวจหนุ่มจะยอมเสียเงินเป็นหมื่นเป็นแสน เพื่อไปดูเศษแก้ว เศษกระเบื้อง ที่เอามาเรียงต่อกันบนฝาผนัง
'แล้วก็ไม่ใช่โมเสสด้วย' จิตแพทย์สาวยังคงพูดต่อไปไม่สนใจเพื่อนหนุ่ม 'อันนั้นเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวอิสราเอล ที่พาชาวอิสราเอลไปยังคานาอัน แผ่นดินแห่งพันธะสัญญาของพระเจ้า ไม่ได้ดูข่าวที่อิสราเอลรบราฆ่าฟันเพื่อแย่งดินแดนกับปาเลสไตน์เหรอ'
ได้ทีเป็นต้องจิกกัด นี่หากหล่อนเป็นอีกาปากเหล็กแล้วไซร้ คงฝากรอยแผลนับร้อยไว้บนร่างไร้วิญญาณของเขาเป็นแน่
'ถ้าไม่เคยนะ แนะนำให้ไปดูหนังการ์ตูน ของดรีมเวิร์คแอนิเมชัน เรื่อง ปรินซ์ ออฟ อียิปต์' หล่อนกระแทกเสียงพลางชักสีหน้าหมั่นไส้ 'นั่นน่ะ...เรื่องของโมเสส หัดดูไว้ประเทืองปัญญาซะมั่ง ไม่ใช่มัวแต่ดูหนังโป๊บั่นทอนศีลธรรม'
กวีแทบสำลักน้ำ ไม่แปลกใจว่าทำไมเพื่อนสาวของเขาถึงไม่มีแฟน ปากจัดขนาดฆ่าคนได้ตั้งแต่คำแรก อย่าหวังเลยว่าผู้ชายจะมากล้ำกราย นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนสนิท รู้ไส้รู้พุงกันมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมศึกษา ทั้งยังเป็นเพศแม่ที่เขาต้องให้เกียรติ หล่อนคงหน้าหงาย ล้มลงไปนอนกับพื้นนานแล้ว
'เออ...รู้แล้ว! เงียบเหอะ!' ชายหนุ่มกระซิบตัดบท รีบก้มหน้าหลบเมื่อหญิงสาวโต๊ะข้างๆ หันมอง 'ว่าแต่ไอ้โมสาร์ทนี่เถอะ เป็นใครไม่ทราบ แล้วทำไมเพลงของมันถึงทำให้เด็กฉลาดขึ้นได้ ทำให้บินได้ด้วยไหม'
'ปากแกนะกีวี่...' จิตแพทย์สาวส่งค้อนพลางฉวยแก้วน้ำมะนาวขึ้นจิบแล้วกระแอม 'วูล์ฟกัง อมาเดอุส โมสาร์ท เขาเป็นนักดนตรีเอกของโลก เกิดที่ออสเตรีย เป็นอัจฉริยะทางดนตรีตั้งแต่เด็ก สีไวโอลินในเพลงที่ผู้ใหญ่ต้องใช้เวลาฝึกกว่า ๑๐ ปี ตอนอายุ ๕ ขวบ'
'โอ้โห! อะไรจะอัจฉริยะขนาดนั้น ยกเมฆหรือเปล่าแม่คุณ!' ชายหนุ่มแบะปาก แสดงสีหน้าไม่เชื่อถือ
'ถามหน่อยเถอะกีวี่...แกเกิดมาเคยรู้จักคำว่าอัจฉริยะกับเขาด้วยเหรอ?'
กวีเหลียวมองเพื่อนสาวตาปริบๆ คาดไม่ถึงกับคำยอกย้อนที่ทำเอาอาการใบ้กินโดยฉับพลัน
นี่ถ้าเขาดื่มน้ำเข้าไป น้ำคงไหลเป็นสายตามรูทะลุจากการโดนจิก ซ้ำร้ายยังมีชื่อแสนน่าเกลียดที่หล่อนช่างเรียกมาตั้งแต่สมัยเรียนนั่นอีก บอกจนปากเปียกปากแฉะว่าห้ามเรียกให้ใครได้ยิน ยายหมอโรคจิตก็ไม่เคยแยแส จนปัจจุบันนี้ก็คร้านจะต่อล้อต่อเถียง
'ฉันว่ารอให้อาการขวางโลกของแกทุเลากว่านี้ก่อนจะดีกว่า แล้วฉันค่อยอธิบายเรื่องโมสาร์ทเอฟเฟคให้แกฟัง' พูดจบก็ดูดน้ำมะนาวจนหมดเกลี้ยง แล้วหันไปหยิบกระเป๋าถือค้นหาของ 'อธิบายตอนนี้ก็ขัดฉันตลอด อารมณ์เสีย!'
'ใครจะเหมือนไอ้รุจล่ะ นั่งเงียบเป็นเป่าสาก อันที่จริงหูมันดับตั้งแต่แกเริ่มพูดแล้ว' ได้ทีกวีก็เอาใหญ่ นานๆ ครั้งจะได้ซัดแม่หมอโรคจิตสักที 'พูดๆ พล่ามๆ ได้ยินแต่เสียงหึ่งเต็มหู ป่านนี้มันคงเป็นหูน้ำหนวกตายไปแล้ว'
'อย่ามาว่าดาด้าของฉันนะนังกีวี่' ได้ผล...ปุณฑริกร้องลั่นในทันที 'ดาด้าเป็นเพื่อนที่น่ารักที่สุดในโลกนะยะจะบอกให้'
นั่นล่ะชื่อที่หล่อนตั้งให้ดารุจ
ข้อที่ว่าบรรณารักษ์หนุ่มเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดนั้น นายตำรวจหนุ่มไม่เถียง ดารุจเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับเขาและปุณฑริก แม้กวีเองก็เชื่อว่า...ทั้งเขาและจิตแพทย์สาวก็คงเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับอีกฝ่ายเช่นกัน
แต่ไอ้ชื่อเสียงเรียงนามที่ปุณฑริกตั้งให้เขากับดารุจนี่สิ! กลับลดดีกรีความมาดแมนของพวกเขาลงไปกว่าครึ่ง!
เสียงดนตรีที่ดังกระหึ่มปลุกนายตำรวจหนุ่มจากภวังค์ความคิด นี่การแสดงกำลังจะเริ่มแล้วสินะ จึงมีเสียงเชื้อเชิญรับชมรับฟังดังมาจากทุกทิศภายในโรงละคร
ครั้นม่านกำมะหยี่สีแดงจีบระบายเคลื่อนเปิดออก เสียงบรรเลงดนตรีของวงออร์เคสตราที่หลบอยู่ในหลุมด้านหน้าก็สอดประสานกังวานแว่ว แสงสว่างภายในโรงละครถูกราแรงจนสลัวแล้วค่อยมืดมิด ผิดกับบนเวทีที่เวลานี้สว่างจ้า จากนั้นทุกสิ่งอย่างก็น้อมนำผู้ชมเข้าสู่เรื่องราวของอภินิหารขลุ่ยวิเศษ
เจ้าชายทามิโนปรากฏตัว กำลังหลบหนีพญางูร้ายเป็นพลวัน ครั้นหมดเรี่ยวแรงสิ้นสมประดี งูยักษ์เตรียมเขมือบอยู่รอมร่อ หญิงสาวสามนางในชุดกระโปรงลูกไม้จีบระบายสีดำก็ปรากฏ ชูมือขึ้นฟ้าราวขอพลังอำนาจ แล้วฉับพลัน เวทมนตร์อันยิ่งใหญ่ก็ปลิดชีพอสรพิษ...ในพริบตา
///////////////////////////////////////////////////////
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 พ.ค. 2555, 08:49:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 พ.ค. 2555, 08:54:28 น.
จำนวนการเข้าชม : 1561
<< โหมโรง | องก์ที่ ๒ >> |