เพลงมาร
'เพลงมาร' จุดเริ่มต้นของเรื่องราวการตายอย่างมีเงื่อนงำ หลายชีวิตที่จากไป ล้วนเกี่ยวโยงกับมัน
ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
Tags: เพลง ความตาย อาถรรพ์ อุปรากร ลี้ลับ
ตอน: องก์ที่ ๒
'ทองธาร สินธุ' เป็นชื่อที่คนในสังคมรู้จักเป็นอย่างดี แม้แต่กวีที่ไม่ค่อยติดตามข่าวสารศิลปินดาราก็ยังรู้จักหล่อน
ประการแรกที่เขารู้จัก...เพราะหล่อนเป็นนักร้องและนักแสดงละครละครเพลงที่มีชื่อเสียง ได้ร่วมงานกับศิลปินชาวต่างชาติที่โด่งดังก็มาก ตามหน้าจอโทรทัศน์มักประโคมข่าวของหล่อนเป็นระยะ
ประการที่สอง...กวีรู้จักเพราะภูมิลำเนาเดิมของหล่อนเป็นคนภูเก็ตเช่นเดียวกับเขา ปุณฑริก และดารุจ จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนเดียวกันกับพวกเขา กระทั่งออกไปเรียนต่อที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ข่าวคราวของหล่อนจึงเงียบหายไป
แล้วชื่อนั้นก็หวนกลับมาในความทรงจำของกวีอีกครั้ง จากรายการโทรทัศน์ที่สัมภาษณ์หล่อนและคณะนักแสดงนำจากละครเพลงที่กำลังจะเปิดรอบการแสดงเมื่อหลายปีที่ผ่านมา
ประการสุดท้าย...เขารู้จักหล่อนจากแฟ้มประวัติในคดีการตายของนางยุพา มาลัยวัลย์ มารดาเลี้ยงของหล่อนเอง
นักร้องสาวตกอยู่ในฐานะ 'ผู้ต้องสงสัย' ซึ่งอันที่จริงนายตำรวจหนุ่มไม่ได้ปักใจเชื่อว่าจะเป็นหล่อน ความคิดเห็นส่วนตัวของกวียังมองว่าการตายดังกล่าว น่าจะเป็นการฆ่าตัวตายมากกว่าการฆาตกรรมเสียด้วยซ้ำ
ตำรวจพื้นที่ตรวจพบศพนางยุพา มาลัยวัลย์ เกยชายหาด สภาพศพเต็มไปด้วยบาดแผลกระแทกรุนแรง ร่างกายฉีกขาดจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม เสื้อผ้าที่พบบนร่างศพในที่เกิดเหตุเป็นชุดนอนสีขาวขาดเป็นริ้วราวถูกทึ้ง
จากการสอบปากพยานและญาติผู้พบเห็นนางยุพา ก่อนหน้าการหายตัวไปและกลายเป็นศพเกยชายหาด นางสาวทองธารได้เดินทางกลับมาเยี่ยมบิดาที่ภูเก็ต และเกิดมีปากเสียงกับนางยุพาซึ่งเป็นแม่เลี้ยง จากนั้นนางสาวทองธารก็ตัดสินใจขึ้นเครื่องเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในทันที ซึ่งวันเดียวกันนั้นเองที่นางยุพาได้หายตัวไปจากบ้าน
บุตรชายคนโตของนางยุพาให้การณ์กับเขาว่า พบนางยุพาครั้งสุดท้ายก่อนเข้านอนช่วง ๒๓ นาฬิกา หลังดูละครโทรทัศน์จบ เขาแยกตัวเข้านอนตามหลัง ขณะเดินผ่านหน้าประตูห้องของนางยุพา ชายหนุ่มยังได้ยินนางยุพาเปิดเพลงฟังอยู่
'คุณแม่คุณเปิดเพลงอะไร'
กวีหวนนึกถึงวันที่เขาเรียก 'นายปถวี มาลัยวัลย์' บุตรชายคนโตของนางยุพามาสอบปากคำ คำถามที่ถามออกไปนั้นไม่ได้หวังคำตอบอะไรมากมาย นอกจากทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายจากความตึงเครียด
'เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น...ล่ะมั้ง? ถ้าผมจำไม่ผิด' สีหน้าของนายปถวีเวลานั้นยุ่งเหยิงวุ่นวาย 'จำได้ว่า เพลงนี้ลุงอรรถสั่งห้ามเปิดในบ้านครับ ใครเปิดให้แกได้ยินล่ะก็ เป็นอาละวาดทุกที'
ไม่น่าเชื่อว่าคำตอบที่ได้รับ จะเป็นคำตอบที่ทำให้นายตำรวจหนุ่มต้องขมวดคิ้ว
'เกลียวคลื่น?!' ชื่อเพลงยาวเกินไป เขาไม่อยากจำเท่าไรนัก แต่ความน่าสงสัยยังคงมี 'ใครร้อง?'
'รวงทองล่ะมั้งครับ? รวงทอง ทองลั่นทม นักร้องเก่ามากแล้วล่ะครับ' ปถวีขมวดคิ้วครุ่นคิด 'เพลงนี้ลุงอรรถแกก็สั่งห้ามใครเปิดหรือร้องให้แกได้ยินครับ คืนนั้นผมยังสงสัยเลยว่า แม่นึกยังไงถึงเปิดเพลงนั้น ดีนะว่าลุงอรรถแกไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ ไม่อย่างนั้นมีหวังทะเลาะกันยกใหญ่'
ปถวีเรียกพ่อเลี้ยงของเขาว่า 'ลุงอรรถ' เสมอ ทว่าเมื่อลองสืบถามถึงเหตุผลที่นายอรรถสั่งห้ามเปิดเพลงเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น คำตอบที่ได้กลับทำให้กวีจนมุมกว่าที่เคย
'ไม่ทราบเหมือนกันครับผู้กอง' ปถวีส่ายหน้าดิก 'ลุงอรรถแกสั่งห้ามไม่ให้ใครเปิด ไม่ให้ใครร้อง ทุกคนก็ทำตามครับ มีก็แต่ยายน้ำเท่านั้นล่ะที่ไม่เชื่อ สมัยก่อนตอนที่ยังอยู่ด้วยกันที่บ้าน มันเปิดฟังทุกวันทุกคืน ทุกวันนี้กลับมาเยี่ยมบ้าน...ก็ยังเปิดฟัง จนลุงอรรถแกทุ่มเครื่องเสียงทิ้งไปหลายครั้งแล้ว'
จากประวัติที่สืบค้นมาได้...
นายปถวีเป็นลูกติดของนางยุพากับอดีตสามีที่เสียชีวิต ก่อนที่นางยุพาจะมาสมรสใหม่กับนายอรรถ สินธุ บิดาของนางสาวทองธาร ปัจจุบันทำงานเป็นผู้แทนยาในบริษัทยาแห่งหนึ่งหรือที่คุ้นหูกันในวงการสุขภาพและธุรกิจยาว่า 'ดีเทล' มีหน้าที่แนะนำตัวยาแก่โรงพยาบาลในเครือข่ายจังหวัดภูเก็ต
สถานภาพ...โสด หากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งในเชิงชู้สาวกับผู้หญิงหลายๆ คน ที่ออกหน้าออกตาเห็นจะเป็นคุณหญิงหม้ายวัยกลางคนท่านหนึ่ง
จากประวัติครอบครัว...
ทองธาร สินธุกับแม่เลี้ยง รวมถึงนายปถวี พี่ชายต่างสายเลือดไม่สู้จะลงรอยกัน ทั้งสามมักมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง บางครั้งรุนแรงถึงขั้นตบตี ซึ่งโดยส่วนใหญ่นางสาวทองธารมักเป็นผู้ถูกกระทำ จนต้องหนีออกจากบ้านไปพึ่งพาญาติฝ่ายมารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว
มาช่วงหลัง ความร้าวฉานภายในครอบครัวรุนแรงมากขึ้น ทองธารจึงไปอยู่กับญาติของมารดาที่กรุงเทพมหานคร ช่วงมัธยมปลายเรียนที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อนจะต่อยอดความชำนาญทางการดนตรีและขับร้องเพลงในสาขาศิลปะการละคร
ทองธารมาเยี่ยมบ้านนานๆ ครั้ง แต่สัมพันธภาพก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น คนในครอบครัวที่พอจะพูดคุยได้มีเพียง นายเวหา สินธุ น้องชายร่วมบิดาที่ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี คณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาสเปน
'แล้วแม่ของคุณกับคุณทองธารเคยมีปากเสียงกันด้วยเรื่องเพลงเกลียวคลื่นอะไรนี่หรือเปล่า' ชื่อเพลงเรียกยาก กวีไม่คิดจะจำ หากยังสำคัญต่อรูปคดีนายตำรวจหนุ่มจึงสอบถามต่อ
เผื่อการตายของนางยุพา อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎข้อห้ามในการเปิดเพลงของนายอรรถ สินธุ
ปถวีฟังคำถาม นิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ สักพักก็แทบร้องด้วยตกใจ พร้อมกันนั้นก็เล่าเหตุการณ์ความขัดแย้งครั้งล่าสุด ซึ่งมีที่มาที่ไปเกี่ยวกับบทเพลงเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่นให้นายตำรวจฟังอย่างละเอียด
กวีพยายามรวบรวมและเรียบเรียงข้อมูลที่ได้รับ โยนอคติทั้งหลายทิ้ง กระทั่งพยานเล่าเรื่องให้ฟังจนจบ ชายหนุ่มก็เริ่มมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่อาจนำไปสู่การแก้ไขคดีการตายของนางยุพาได้
แม้ในใจจะเชื่อมั่นว่านักร้องสาวไม่น่าจะเป็นฆาตกร หากความขัดแย้งหลายอย่างระหว่างนางยุพาและหล่อน พร้อมคำบอกเล่าของนายปถวี เหล่านั้นทำให้เขาจำเป็นต้องยกหล่อนให้อยู่ในฐานะผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ
นี่ล่ะ...เสี้ยวมืดของพระจันทร์ที่นายตำรวจหนุ่มได้รับรู้มา!
//////////
การแสดงจบลงเมื่อเวลาสี่ทุ่มเศษๆ ต้องยอมรับว่าละครเพลงเรื่องนี้ทำให้เขาตื่นเต้น หัวเราะ ซาบซึ้ง และระทึกใจได้ตลอดการแสดง กระทั่งลืมสนิทว่าเคยตั้งแง่เกี่ยวกับละครเพลงเอาไว้มากมาย เมื่อครั้งยังไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง
นายตำรวจหนุ่มเคยพูดกับจิตแพทย์สาวผู้เป็นเพื่อนว่า ละครเพลงหรือละครเวที เหล่านี้เป็นศาสตร์และศิลป์ที่พวกผู้มีอันจะกินเท่านั้นที่สามารถเข้าถึง ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธเสมอเมื่อถูกชักชวน ทันทีที่ละครเพลงเปิดรอบให้จองบัตรเข้าชม
กวียึดมั่นในความเชื่อของตนเอง ไม่เคยไปสักครั้ง ดังนั้นจึงมีเพียงบรรณารักษ์หนุ่มผู้อ่อนโยนอย่างดารุจ ที่ยอมเดินทางจากภูเก็ตเพื่อไปชมละครเพลงเป็นเพื่อนจิตแพทย์สาวที่กรุงเทพมหานครอยู่บ่อยๆ
ทว่ามาวันนี้ ด้วยภาระงานบังคับ นายตำรวจหนุ่มกลับได้ชื่นชมความงดงามของละครเพลงที่เขาเรียกกันว่า 'อุปรากร' อย่างเต็มสองตาและสองหู สิ่งที่กวีสัมผัสได้ผิดจากที่เขาเคยนึกคิดไปถนัด ไม่ใช่เพียงผู้มีอันจะกินหรอกที่จะเข้าถึงสิ่งเหล่านี้
หาก 'ทุกคน' ใครก็ตามที่ยอมเปิดใจต่างหาก
ทันทีที่กำแพงแห่งอคติถูกทำลาย หน้าต่างแห่งหัวใจเปิดกว้าง อ้ารับเสียงขับขานบทเพลงระคนเสียงดนตรีนุ่มละมุนหรืออึกทึก การเคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะ มีชั้นเชิง ทุกคนจะรับรู้ได้ถึงความงดงามที่ยากเกินจะบรรยาย รู้สึกเยี่ยมยอดยิ่งกว่าการดูจากหน้าจอโทรทัศน์เสียอีก
โดยเฉพาะกับผู้หญิงคนนั้น 'ทองธาร สินธุ' ในบทบาทราชินีแห่งรัตติกาล
น้ำเสียงขับขานและการแสดงของหล่อนทำให้เขาเชื่อสนิทใจอย่างในหนังสือแนะนำ นายตำรวจหนุ่มคิดว่าหล่อนคือราชินีแห่งรัตติกาลตัวจริง นางพญาผู้งดงามยิ่งใหญ่ หากก็คงไว้ซึ่งความน่าหวาดกลัวและเล่ห์เหลี่ยม
เสียงร้องสูงต่ำสลับราวระลอกคลื่น บางครั้งเสียดสูงจนรู้สึกถึงความเจ็บปวดและโกรธแค้น บางครั้งก็ทอดระทวยอ่อนหวาน ชวนให้นึกสงสารและเวทนา เหล่านั้นทำให้ขนอ่อนตามแขนขาและต้นคอลุกเกรียว
หล่อนเป็น 'ราชินี' ได้สมจริง
ครั้นบรรดานักแสดงและนักดนตรีโค้งตัวรับเสียงปรบมือดังสนั่น ม่านกำมะหยี่สีแดงจึงเคลื่อนปิด ผู้คนต่างทยอยเรียงแถวออกจากโรงละครไปสู่ประตูทางออก เว้นก็แต่นายตำรวจหนุ่มที่แยกตัวออกมาอีกทาง เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นว่าใครจะสนใจ จึงใช้จังหวะนั้นกระโดดขึ้นเวที แทรกตัวผ่านม่านกำมะหยี่ตามเหล่านักแสดงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
//////////
การปรากฏตัวของแขกไม่ได้รับเชิญทำเอาทุกคนที่อยู่หลังฉากตื่นตระหนกไปตามๆ กัน ยิ่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาทีท่าไม่เกรงกลัว เหล่านักดนตรี นักแสดง รวมไปถึงทีมงานต่างก็ถอยร่นชิดผนังแทบไม่ทัน
"คนดูเข้ามาหลังม่านได้ยังไง?! คุณครับผมขอเชิญออกไปครับ! ที่นี่สำหรับทีมงาน นักแสดง แล้วก็นักดนตรีครับ!" ทีมงานชายในชุดเสื้อยืดนุ่งกางเกนยีนส์ตวาดเสียงแข็ง หากกวีไม่ยี่หระ
ชายหนุ่มยังคงเดินหน้า กวาดสายตามองหานักร้องสาวในชุดราชินีแห่งรัตติกาล บางทีหล่อนไม่น่าจะหาตัวยากนัก เครื่องแต่งกายและท่าทางของหล่อนเป็นเอกลักษณ์ ลองหันไปมองที่สามนักแสดงสาวผู้รับบทบาทนางพระกำนัลในราชินีแห่งรัตติกาลด้วยหวังจะพบทองธารอยู่ภายในนั้น
หากก็ไร้วี่แวว...
"คุณ!" ทีมงานคนเดิมที่เคยตวาดวิ่งมาบังหน้า แขนสองข้างกางกั้น "ผมขอให้คุณออกไปจากหลังเวทีเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นผมคงต้องตามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย!"
กวีชะงักฝีเท้า หน้านิ่งขรึม
"เชิญครับ อย่าให้ผมต้องทำอะไรรุนแรงเลย" ทีมงานที่เข้ามาขวางยิ้มได้ใจ
ทีมงานชายผู้นี้คงคิดว่าตัวเองสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้กระมัง จึงยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า ทว่าคงคิดผิดเสียแล้ว คนอย่างร้อยตำรวจเอกกวี จิตมั่นคง มีหรือจะกลัวกับแค่คำขู่ คิดพลางกระตุกมุมปากยิ้ม ทำเอาอีกฝ่ายหน้าเจื่อน กลืนน้ำลายฝืดคอในทันที
"อันที่จริง" กวีเว้นวรรค กวาดสายตามองไปรอบๆ หากก็ยังไม่พบทองธาร "การเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ควรเป็นสิ่งแรกที่คุณต้องทำเมื่อพบคนแปลกหน้าเดินเข้ามา ไม่ใช่คิดสั้นเข้ามาขวางด้วยตัวเอง"
ทีมงานชายรายนั้นตัวลีบฉับพลัน ชักเท้าถอยได้ก็กลับหลังหันวิ่งไปหากลุ่มทีมงาน กวีหันไปมอง เห็นทีมงานหญิงรายหนึ่งกดวิทยุสื่อสาร กำลังพูดคุยขอความช่วยเหลือจากหน่วยรักษาความปลอดภัย
นายตำรวจหนุ่มอาศัยความเร็ว ปราดเข้าไปฉวยคว้าวิทยุสื่อสาร ก่อนจะรายงานความเป็นไปของสถานการณ์ให้ทางหน่วยรักษาความปลอดภัยได้ทราบด้วยตัวเอง ทำเอาเหล่าทีมงานแต่นิ่งอั้น
"หน่วยรักษาความปลอดภัยใช่ไหมครับ" กวีตั้งใจพูดเสียงดัง ให้ทุกคนในห้องได้ยินถ้วนทั่ว "ผม...ร้อยตำรวจเอกกวี จิตมั่นคง จากสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต ช่วยมาที่หลังเวทีตอนนี้ด้วยครับ ผมอยากให้พวกคุณช่วยพาคณะนักดนตรี นักแสดง แล้วก็ทีมงานที่ไม่เกี่ยวข้องไปพักผ่อน ระหว่างที่ผมพูดคุยกับคุณทองธาร สินธุเกี่ยวกับคดีบางอย่าง"
ทันทีที่นายตำรวจหนุ่มพูดจบ เสียงระงมจากบทสนทนาเกี่ยวกับทองธาร สินธุ ก็ดังราวนักกระจอกแตกรัง ทั้งทีมงาน นักแสดงรวมไปถึงนักดนตรีต่างพูดคุยจอแจ เหล่านั้นเริ่มทำให้นายตำรวจหนุ่มหงุดหงิด
นี่ล่ะที่เขาเกลียด คนเยอะก็เรื่องแยะ ได้ยินอะไรน่าตกใจหน่อยก็ต้องหันไปพูดกันเหมือนไม่เคยพบไม่เคยเห็น แล้วยิ่งเสียงที่ยังไม่ได้จัดการระเบียบให้งดงามอย่างการแสดงบนเวทีด้วยแล้ว กวีถึงกับต้องกุมขมับ
"ผมขอให้ทุกคนหยุดพูดก่อนครับ!" กวีพยายามคุมเสียงตะโกนไม่ให้กลายเป็นตวาด มือข้างหนึ่งพยายามกดขมับที่ปวดหนึบจนเห็นเส้นเลือดปูด "เงียบก่อน!"
ได้ผล...ทุกคนเงียบฉับพลัน หันมองเขาเป็นตาเดียว
"กรุณาอยู่ในความสงบครับ ผมต้องการพบแค่คุณทองธาร สินธุ เท่านั้น"
จากนั้น...ความปวดหนึบก็ค่อยคลายลง...คลายลง
คณะนักแสดง ทีมงานและนักดนตรีซึ่งยืนเบียดชิดเป็นกำแพงมนุษย์ถูกแหวกออก นายตำรวจหนุ่มคาดว่าคงเป็นนักร้องสาว ทว่าทันทีที่แสงไฟสาดลงที่ผู้มาใหม่ กลับพบว่าเป็นหนุ่มใหญ่หุ่นหนา เค้าหน้าเป็นโครงเหลี่ยมอย่างผู้มีโหงวเฮ้งความเป็นผู้นำ แต่งตัวหรูหราด้วยชุดสูทไหมสีเงิน
ถ้าจำไม่ผิด กวีเคยเห็นผู้ชายคนนี้บ่อยๆ ทางโทรทัศน์
"ขอโทษนะครับผู้กอง" หนุ่มใหญ่ในชุดสูทไหมเดินเข้ามา ใบหน้าไม่ได้บ่งบอกว่ายินดีหรือยินร้าย หากเรียบเฉย ยากจะรู้ซึ้ง "ผม...ปกรณ์ เป็นผู้อำนวยการสร้างละครเพลงแล้วก็เป็นผู้กำกับครับ"
แนะนำตัวเสร็จสรรพ นายตำรวจก็ตั้งใจแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ทว่าก็ต้องชะงักงันเมื่ออีกฝ่ายชิงตัดหน้า
"ผมไม่รู้นะครับว่าผู้กองมีเรื่องราวหรือคดีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณทองธาร" คราวนี้ชายหนุ่มเริ่มคาดเดาสีหน้าอีกฝ่ายออกแล้ว มันบ่งบอกชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่เขากระทำ "ผู้กองจะสัมภาษณ์ สอบถาม หรือสืบสวน นั่นมันก็เรื่องของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ผู้กองไม่ควรพรวดพราดเข้ามาแบบนี้ นักแสดง นักดนตรี แล้วก็ทีมงานทั้งหลายเขาตกใจกันหมด ผู้กองเป็นนายตำรวจชั้นร้อยเอกแล้วนะครับ นายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ควรรู้สิครับว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ"
กวีเบิกตาโพลง กลืนน้ำลายฝืดเหนียว คำพูดเมื่อครู่เหมือนเห็นปุณฑริกมายืนด่าอยู่ตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น แต่จะว่าไป นายปกรณ์อะไรนี่ก็ยังพูดจาไพเราะเพราะพริ้งกว่าเพื่อนสาวของเขามากนัก
"ผม...ต้องขอโทษคุณปกรณ์ด้วย" ได้สติก็ค่อยหยิบบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ขึ้นมาให้อีกฝ่ายดู พยายามระงับอารมณ์ไม่พอใจให้อยู่แต่ภายใน "แต่ขอรบกวนเถอะครับ นี่เป็นงานราชการจริงๆ"
ปกรณ์ถอนใจเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเหลียวหลังหันไปเรียกใครบางคน
แน่นอนว่าไม่ใช่ทองธาร
"แซลลี่! แซลลี่...น้ำอยู่ไหน?"
หญิงสาวร่างแบบบางหากกระฉับกระเฉงวิ่งออกมาจากกลุ่มทีมงาน หล่อนสวมชุดคอกระเช้าลายดอกดวงกับกระโปรงทรงสอบสีเขียวอ่อนคลุมเข่า วิกผมบ๊อบสั้นดัดสวอนสีทองกระเด้งไปมาตามจังหวะการวิ่ง รองเท้าส้นสูงสีแดงสดตัดสีกระโปรงดูน่าจะขัดกันล้มคว่ำ หากหล่อนก็ยังทรงตัวมาได้จนถึงนายปกรณ์
"น้องน้ำไปเข้าห้องน้ำอยู่ค่ะ" หญิงสาวก้มหน้างุด แทบไม่กล้าเผยอหน้าสบตาหนุ่มใหญ่แม้แต่นิด "จะให้แซลลี่ไปตามไหมคะคุณบาย"
ปกรณ์พยักพเยิดเป็นเชิงอนุญาต ทว่าทันทีที่หญิงสาวกลับหลังหันเตรียมออกวิ่ง เสียงแว่วหวานหากทรงอำนาจกลับดังมาจากหลังกำแพงมนุษย์ที่ปิดกั้นช่องทางเดิน
"ไม่ต้อง!"
ทุกสายตาหันไปมองผู้มาใหม่แล้วค่อยแยกออกเป็นช่องว่าง ทว่าขณะการหลีกทางคงมีใครบางคนถูกสวิตช์ไฟเข้า จึงทำให้ไฟบางดวงบริเวณทางเข้ามืดดับ แทนที่จะได้เห็นใบหน้าผู้มาใหม่อย่างชัดเจน กลับเห็นแต่เงาร่างเลือนรางในความมืด
เงานั้นเป็นผู้หญิง ร่างระหงสวมชุดสีดำใส่กระโปรงทรงสุ่มพองฟู
ทว่าในความมืดดำ ยังคงมีแสงระยิบระยับด้วยจากเพชรเม็ดเล็กเม็ดน้อยที่ประดับไล่ระดับความหนาแน่นและเบาบางบนตัวชุดกับกระโปรง รวมถึงเครื่องประดับบนศีรษะ เสมือนหมู่ดาวที่กำลังวะวับวาววามท่ามกลางความมืด และช่างเหมือนฉากแรกแห่งการเปิดตัวราชินีแห่งรัตติกาลที่กวีเพิ่งรับชมไปเมื่อครู่
งดงาม...หาก...น่าหวาดกลัว
"ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ดิฉันช่วยเหลือหรือคะ...ผู้กอง" เงาร่างเคลื่อนตัวมาหยุดท่ามกลางแสงไฟที่ส่องถึง เบื้องหลังยังคงเป็นความมืดที่หล่อนเพิ่งจากมา แม้ทีมงานบางคนจะพยายามกดสวิตช์เพื่อเปิดไฟบริเวณนั้น หากไม่มีทีท่าว่ามันจะสว่างดังเดิม
"ตายแล้วนังกิ๊บ ไฟไม่ติด!"
"แกเป็นคนทำเสียนะ ฉันไม่เกี่ยว" เสียงโต้เถียงของทีมงานซึ่งน่าจะเป็นผู้ชายใจหญิงดังอยู่ในกลุ่ม หากกวีไม่อินังขังขอบ สิ่งเดียวที่อยู่ในความสนใจของนายตำรวจหนุ่มเวลานี้กลับเป็นบุคคลตรงหน้า
ราชินีแห่งรัตติกาล ผู้งดงาม...เฉิดฉาย...และหยิ่งผยอง
แม้เปลือกตาสีดำจะขับนัยน์ตาแข็งกร้าวให้เป็นน่าเกรงขามดังภูเขาหิน หรือริมฝีปากสีแดงคล้ำจะเยือกเย็นไร้รอยยิ้มราวความเหน็บแห่งราตรี
ทว่าหล่อนก็ยังคงงดงาม...ดังพระจันทร์เสี้ยว...ในดงดาว
//////////
ประการแรกที่เขารู้จัก...เพราะหล่อนเป็นนักร้องและนักแสดงละครละครเพลงที่มีชื่อเสียง ได้ร่วมงานกับศิลปินชาวต่างชาติที่โด่งดังก็มาก ตามหน้าจอโทรทัศน์มักประโคมข่าวของหล่อนเป็นระยะ
ประการที่สอง...กวีรู้จักเพราะภูมิลำเนาเดิมของหล่อนเป็นคนภูเก็ตเช่นเดียวกับเขา ปุณฑริก และดารุจ จบการศึกษาระดับชั้นประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้นจากโรงเรียนเดียวกันกับพวกเขา กระทั่งออกไปเรียนต่อที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ข่าวคราวของหล่อนจึงเงียบหายไป
แล้วชื่อนั้นก็หวนกลับมาในความทรงจำของกวีอีกครั้ง จากรายการโทรทัศน์ที่สัมภาษณ์หล่อนและคณะนักแสดงนำจากละครเพลงที่กำลังจะเปิดรอบการแสดงเมื่อหลายปีที่ผ่านมา
ประการสุดท้าย...เขารู้จักหล่อนจากแฟ้มประวัติในคดีการตายของนางยุพา มาลัยวัลย์ มารดาเลี้ยงของหล่อนเอง
นักร้องสาวตกอยู่ในฐานะ 'ผู้ต้องสงสัย' ซึ่งอันที่จริงนายตำรวจหนุ่มไม่ได้ปักใจเชื่อว่าจะเป็นหล่อน ความคิดเห็นส่วนตัวของกวียังมองว่าการตายดังกล่าว น่าจะเป็นการฆ่าตัวตายมากกว่าการฆาตกรรมเสียด้วยซ้ำ
ตำรวจพื้นที่ตรวจพบศพนางยุพา มาลัยวัลย์ เกยชายหาด สภาพศพเต็มไปด้วยบาดแผลกระแทกรุนแรง ร่างกายฉีกขาดจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม เสื้อผ้าที่พบบนร่างศพในที่เกิดเหตุเป็นชุดนอนสีขาวขาดเป็นริ้วราวถูกทึ้ง
จากการสอบปากพยานและญาติผู้พบเห็นนางยุพา ก่อนหน้าการหายตัวไปและกลายเป็นศพเกยชายหาด นางสาวทองธารได้เดินทางกลับมาเยี่ยมบิดาที่ภูเก็ต และเกิดมีปากเสียงกับนางยุพาซึ่งเป็นแม่เลี้ยง จากนั้นนางสาวทองธารก็ตัดสินใจขึ้นเครื่องเดินทางกลับกรุงเทพมหานครในทันที ซึ่งวันเดียวกันนั้นเองที่นางยุพาได้หายตัวไปจากบ้าน
บุตรชายคนโตของนางยุพาให้การณ์กับเขาว่า พบนางยุพาครั้งสุดท้ายก่อนเข้านอนช่วง ๒๓ นาฬิกา หลังดูละครโทรทัศน์จบ เขาแยกตัวเข้านอนตามหลัง ขณะเดินผ่านหน้าประตูห้องของนางยุพา ชายหนุ่มยังได้ยินนางยุพาเปิดเพลงฟังอยู่
'คุณแม่คุณเปิดเพลงอะไร'
กวีหวนนึกถึงวันที่เขาเรียก 'นายปถวี มาลัยวัลย์' บุตรชายคนโตของนางยุพามาสอบปากคำ คำถามที่ถามออกไปนั้นไม่ได้หวังคำตอบอะไรมากมาย นอกจากทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายจากความตึงเครียด
'เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น...ล่ะมั้ง? ถ้าผมจำไม่ผิด' สีหน้าของนายปถวีเวลานั้นยุ่งเหยิงวุ่นวาย 'จำได้ว่า เพลงนี้ลุงอรรถสั่งห้ามเปิดในบ้านครับ ใครเปิดให้แกได้ยินล่ะก็ เป็นอาละวาดทุกที'
ไม่น่าเชื่อว่าคำตอบที่ได้รับ จะเป็นคำตอบที่ทำให้นายตำรวจหนุ่มต้องขมวดคิ้ว
'เกลียวคลื่น?!' ชื่อเพลงยาวเกินไป เขาไม่อยากจำเท่าไรนัก แต่ความน่าสงสัยยังคงมี 'ใครร้อง?'
'รวงทองล่ะมั้งครับ? รวงทอง ทองลั่นทม นักร้องเก่ามากแล้วล่ะครับ' ปถวีขมวดคิ้วครุ่นคิด 'เพลงนี้ลุงอรรถแกก็สั่งห้ามใครเปิดหรือร้องให้แกได้ยินครับ คืนนั้นผมยังสงสัยเลยว่า แม่นึกยังไงถึงเปิดเพลงนั้น ดีนะว่าลุงอรรถแกไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ ไม่อย่างนั้นมีหวังทะเลาะกันยกใหญ่'
ปถวีเรียกพ่อเลี้ยงของเขาว่า 'ลุงอรรถ' เสมอ ทว่าเมื่อลองสืบถามถึงเหตุผลที่นายอรรถสั่งห้ามเปิดเพลงเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น คำตอบที่ได้กลับทำให้กวีจนมุมกว่าที่เคย
'ไม่ทราบเหมือนกันครับผู้กอง' ปถวีส่ายหน้าดิก 'ลุงอรรถแกสั่งห้ามไม่ให้ใครเปิด ไม่ให้ใครร้อง ทุกคนก็ทำตามครับ มีก็แต่ยายน้ำเท่านั้นล่ะที่ไม่เชื่อ สมัยก่อนตอนที่ยังอยู่ด้วยกันที่บ้าน มันเปิดฟังทุกวันทุกคืน ทุกวันนี้กลับมาเยี่ยมบ้าน...ก็ยังเปิดฟัง จนลุงอรรถแกทุ่มเครื่องเสียงทิ้งไปหลายครั้งแล้ว'
จากประวัติที่สืบค้นมาได้...
นายปถวีเป็นลูกติดของนางยุพากับอดีตสามีที่เสียชีวิต ก่อนที่นางยุพาจะมาสมรสใหม่กับนายอรรถ สินธุ บิดาของนางสาวทองธาร ปัจจุบันทำงานเป็นผู้แทนยาในบริษัทยาแห่งหนึ่งหรือที่คุ้นหูกันในวงการสุขภาพและธุรกิจยาว่า 'ดีเทล' มีหน้าที่แนะนำตัวยาแก่โรงพยาบาลในเครือข่ายจังหวัดภูเก็ต
สถานภาพ...โสด หากมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งในเชิงชู้สาวกับผู้หญิงหลายๆ คน ที่ออกหน้าออกตาเห็นจะเป็นคุณหญิงหม้ายวัยกลางคนท่านหนึ่ง
จากประวัติครอบครัว...
ทองธาร สินธุกับแม่เลี้ยง รวมถึงนายปถวี พี่ชายต่างสายเลือดไม่สู้จะลงรอยกัน ทั้งสามมักมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง บางครั้งรุนแรงถึงขั้นตบตี ซึ่งโดยส่วนใหญ่นางสาวทองธารมักเป็นผู้ถูกกระทำ จนต้องหนีออกจากบ้านไปพึ่งพาญาติฝ่ายมารดาที่เสียชีวิตไปแล้ว
มาช่วงหลัง ความร้าวฉานภายในครอบครัวรุนแรงมากขึ้น ทองธารจึงไปอยู่กับญาติของมารดาที่กรุงเทพมหานคร ช่วงมัธยมปลายเรียนที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล ก่อนจะต่อยอดความชำนาญทางการดนตรีและขับร้องเพลงในสาขาศิลปะการละคร
ทองธารมาเยี่ยมบ้านนานๆ ครั้ง แต่สัมพันธภาพก็ไม่มีทีท่าจะดีขึ้น คนในครอบครัวที่พอจะพูดคุยได้มีเพียง นายเวหา สินธุ น้องชายร่วมบิดาที่ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี คณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาสเปน
'แล้วแม่ของคุณกับคุณทองธารเคยมีปากเสียงกันด้วยเรื่องเพลงเกลียวคลื่นอะไรนี่หรือเปล่า' ชื่อเพลงเรียกยาก กวีไม่คิดจะจำ หากยังสำคัญต่อรูปคดีนายตำรวจหนุ่มจึงสอบถามต่อ
เผื่อการตายของนางยุพา อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎข้อห้ามในการเปิดเพลงของนายอรรถ สินธุ
ปถวีฟังคำถาม นิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ สักพักก็แทบร้องด้วยตกใจ พร้อมกันนั้นก็เล่าเหตุการณ์ความขัดแย้งครั้งล่าสุด ซึ่งมีที่มาที่ไปเกี่ยวกับบทเพลงเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่นให้นายตำรวจฟังอย่างละเอียด
กวีพยายามรวบรวมและเรียบเรียงข้อมูลที่ได้รับ โยนอคติทั้งหลายทิ้ง กระทั่งพยานเล่าเรื่องให้ฟังจนจบ ชายหนุ่มก็เริ่มมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่อาจนำไปสู่การแก้ไขคดีการตายของนางยุพาได้
แม้ในใจจะเชื่อมั่นว่านักร้องสาวไม่น่าจะเป็นฆาตกร หากความขัดแย้งหลายอย่างระหว่างนางยุพาและหล่อน พร้อมคำบอกเล่าของนายปถวี เหล่านั้นทำให้เขาจำเป็นต้องยกหล่อนให้อยู่ในฐานะผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ
นี่ล่ะ...เสี้ยวมืดของพระจันทร์ที่นายตำรวจหนุ่มได้รับรู้มา!
//////////
การแสดงจบลงเมื่อเวลาสี่ทุ่มเศษๆ ต้องยอมรับว่าละครเพลงเรื่องนี้ทำให้เขาตื่นเต้น หัวเราะ ซาบซึ้ง และระทึกใจได้ตลอดการแสดง กระทั่งลืมสนิทว่าเคยตั้งแง่เกี่ยวกับละครเพลงเอาไว้มากมาย เมื่อครั้งยังไม่ได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง
นายตำรวจหนุ่มเคยพูดกับจิตแพทย์สาวผู้เป็นเพื่อนว่า ละครเพลงหรือละครเวที เหล่านี้เป็นศาสตร์และศิลป์ที่พวกผู้มีอันจะกินเท่านั้นที่สามารถเข้าถึง ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธเสมอเมื่อถูกชักชวน ทันทีที่ละครเพลงเปิดรอบให้จองบัตรเข้าชม
กวียึดมั่นในความเชื่อของตนเอง ไม่เคยไปสักครั้ง ดังนั้นจึงมีเพียงบรรณารักษ์หนุ่มผู้อ่อนโยนอย่างดารุจ ที่ยอมเดินทางจากภูเก็ตเพื่อไปชมละครเพลงเป็นเพื่อนจิตแพทย์สาวที่กรุงเทพมหานครอยู่บ่อยๆ
ทว่ามาวันนี้ ด้วยภาระงานบังคับ นายตำรวจหนุ่มกลับได้ชื่นชมความงดงามของละครเพลงที่เขาเรียกกันว่า 'อุปรากร' อย่างเต็มสองตาและสองหู สิ่งที่กวีสัมผัสได้ผิดจากที่เขาเคยนึกคิดไปถนัด ไม่ใช่เพียงผู้มีอันจะกินหรอกที่จะเข้าถึงสิ่งเหล่านี้
หาก 'ทุกคน' ใครก็ตามที่ยอมเปิดใจต่างหาก
ทันทีที่กำแพงแห่งอคติถูกทำลาย หน้าต่างแห่งหัวใจเปิดกว้าง อ้ารับเสียงขับขานบทเพลงระคนเสียงดนตรีนุ่มละมุนหรืออึกทึก การเคลื่อนไหวอย่างเป็นจังหวะ มีชั้นเชิง ทุกคนจะรับรู้ได้ถึงความงดงามที่ยากเกินจะบรรยาย รู้สึกเยี่ยมยอดยิ่งกว่าการดูจากหน้าจอโทรทัศน์เสียอีก
โดยเฉพาะกับผู้หญิงคนนั้น 'ทองธาร สินธุ' ในบทบาทราชินีแห่งรัตติกาล
น้ำเสียงขับขานและการแสดงของหล่อนทำให้เขาเชื่อสนิทใจอย่างในหนังสือแนะนำ นายตำรวจหนุ่มคิดว่าหล่อนคือราชินีแห่งรัตติกาลตัวจริง นางพญาผู้งดงามยิ่งใหญ่ หากก็คงไว้ซึ่งความน่าหวาดกลัวและเล่ห์เหลี่ยม
เสียงร้องสูงต่ำสลับราวระลอกคลื่น บางครั้งเสียดสูงจนรู้สึกถึงความเจ็บปวดและโกรธแค้น บางครั้งก็ทอดระทวยอ่อนหวาน ชวนให้นึกสงสารและเวทนา เหล่านั้นทำให้ขนอ่อนตามแขนขาและต้นคอลุกเกรียว
หล่อนเป็น 'ราชินี' ได้สมจริง
ครั้นบรรดานักแสดงและนักดนตรีโค้งตัวรับเสียงปรบมือดังสนั่น ม่านกำมะหยี่สีแดงจึงเคลื่อนปิด ผู้คนต่างทยอยเรียงแถวออกจากโรงละครไปสู่ประตูทางออก เว้นก็แต่นายตำรวจหนุ่มที่แยกตัวออกมาอีกทาง เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นว่าใครจะสนใจ จึงใช้จังหวะนั้นกระโดดขึ้นเวที แทรกตัวผ่านม่านกำมะหยี่ตามเหล่านักแสดงเข้าไปอย่างรวดเร็ว
//////////
การปรากฏตัวของแขกไม่ได้รับเชิญทำเอาทุกคนที่อยู่หลังฉากตื่นตระหนกไปตามๆ กัน ยิ่งอีกฝ่ายเดินเข้ามาทีท่าไม่เกรงกลัว เหล่านักดนตรี นักแสดง รวมไปถึงทีมงานต่างก็ถอยร่นชิดผนังแทบไม่ทัน
"คนดูเข้ามาหลังม่านได้ยังไง?! คุณครับผมขอเชิญออกไปครับ! ที่นี่สำหรับทีมงาน นักแสดง แล้วก็นักดนตรีครับ!" ทีมงานชายในชุดเสื้อยืดนุ่งกางเกนยีนส์ตวาดเสียงแข็ง หากกวีไม่ยี่หระ
ชายหนุ่มยังคงเดินหน้า กวาดสายตามองหานักร้องสาวในชุดราชินีแห่งรัตติกาล บางทีหล่อนไม่น่าจะหาตัวยากนัก เครื่องแต่งกายและท่าทางของหล่อนเป็นเอกลักษณ์ ลองหันไปมองที่สามนักแสดงสาวผู้รับบทบาทนางพระกำนัลในราชินีแห่งรัตติกาลด้วยหวังจะพบทองธารอยู่ภายในนั้น
หากก็ไร้วี่แวว...
"คุณ!" ทีมงานคนเดิมที่เคยตวาดวิ่งมาบังหน้า แขนสองข้างกางกั้น "ผมขอให้คุณออกไปจากหลังเวทีเดี๋ยวนี้! ไม่อย่างนั้นผมคงต้องตามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย!"
กวีชะงักฝีเท้า หน้านิ่งขรึม
"เชิญครับ อย่าให้ผมต้องทำอะไรรุนแรงเลย" ทีมงานที่เข้ามาขวางยิ้มได้ใจ
ทีมงานชายผู้นี้คงคิดว่าตัวเองสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้กระมัง จึงยิ้มอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า ทว่าคงคิดผิดเสียแล้ว คนอย่างร้อยตำรวจเอกกวี จิตมั่นคง มีหรือจะกลัวกับแค่คำขู่ คิดพลางกระตุกมุมปากยิ้ม ทำเอาอีกฝ่ายหน้าเจื่อน กลืนน้ำลายฝืดคอในทันที
"อันที่จริง" กวีเว้นวรรค กวาดสายตามองไปรอบๆ หากก็ยังไม่พบทองธาร "การเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ควรเป็นสิ่งแรกที่คุณต้องทำเมื่อพบคนแปลกหน้าเดินเข้ามา ไม่ใช่คิดสั้นเข้ามาขวางด้วยตัวเอง"
ทีมงานชายรายนั้นตัวลีบฉับพลัน ชักเท้าถอยได้ก็กลับหลังหันวิ่งไปหากลุ่มทีมงาน กวีหันไปมอง เห็นทีมงานหญิงรายหนึ่งกดวิทยุสื่อสาร กำลังพูดคุยขอความช่วยเหลือจากหน่วยรักษาความปลอดภัย
นายตำรวจหนุ่มอาศัยความเร็ว ปราดเข้าไปฉวยคว้าวิทยุสื่อสาร ก่อนจะรายงานความเป็นไปของสถานการณ์ให้ทางหน่วยรักษาความปลอดภัยได้ทราบด้วยตัวเอง ทำเอาเหล่าทีมงานแต่นิ่งอั้น
"หน่วยรักษาความปลอดภัยใช่ไหมครับ" กวีตั้งใจพูดเสียงดัง ให้ทุกคนในห้องได้ยินถ้วนทั่ว "ผม...ร้อยตำรวจเอกกวี จิตมั่นคง จากสถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต ช่วยมาที่หลังเวทีตอนนี้ด้วยครับ ผมอยากให้พวกคุณช่วยพาคณะนักดนตรี นักแสดง แล้วก็ทีมงานที่ไม่เกี่ยวข้องไปพักผ่อน ระหว่างที่ผมพูดคุยกับคุณทองธาร สินธุเกี่ยวกับคดีบางอย่าง"
ทันทีที่นายตำรวจหนุ่มพูดจบ เสียงระงมจากบทสนทนาเกี่ยวกับทองธาร สินธุ ก็ดังราวนักกระจอกแตกรัง ทั้งทีมงาน นักแสดงรวมไปถึงนักดนตรีต่างพูดคุยจอแจ เหล่านั้นเริ่มทำให้นายตำรวจหนุ่มหงุดหงิด
นี่ล่ะที่เขาเกลียด คนเยอะก็เรื่องแยะ ได้ยินอะไรน่าตกใจหน่อยก็ต้องหันไปพูดกันเหมือนไม่เคยพบไม่เคยเห็น แล้วยิ่งเสียงที่ยังไม่ได้จัดการระเบียบให้งดงามอย่างการแสดงบนเวทีด้วยแล้ว กวีถึงกับต้องกุมขมับ
"ผมขอให้ทุกคนหยุดพูดก่อนครับ!" กวีพยายามคุมเสียงตะโกนไม่ให้กลายเป็นตวาด มือข้างหนึ่งพยายามกดขมับที่ปวดหนึบจนเห็นเส้นเลือดปูด "เงียบก่อน!"
ได้ผล...ทุกคนเงียบฉับพลัน หันมองเขาเป็นตาเดียว
"กรุณาอยู่ในความสงบครับ ผมต้องการพบแค่คุณทองธาร สินธุ เท่านั้น"
จากนั้น...ความปวดหนึบก็ค่อยคลายลง...คลายลง
คณะนักแสดง ทีมงานและนักดนตรีซึ่งยืนเบียดชิดเป็นกำแพงมนุษย์ถูกแหวกออก นายตำรวจหนุ่มคาดว่าคงเป็นนักร้องสาว ทว่าทันทีที่แสงไฟสาดลงที่ผู้มาใหม่ กลับพบว่าเป็นหนุ่มใหญ่หุ่นหนา เค้าหน้าเป็นโครงเหลี่ยมอย่างผู้มีโหงวเฮ้งความเป็นผู้นำ แต่งตัวหรูหราด้วยชุดสูทไหมสีเงิน
ถ้าจำไม่ผิด กวีเคยเห็นผู้ชายคนนี้บ่อยๆ ทางโทรทัศน์
"ขอโทษนะครับผู้กอง" หนุ่มใหญ่ในชุดสูทไหมเดินเข้ามา ใบหน้าไม่ได้บ่งบอกว่ายินดีหรือยินร้าย หากเรียบเฉย ยากจะรู้ซึ้ง "ผม...ปกรณ์ เป็นผู้อำนวยการสร้างละครเพลงแล้วก็เป็นผู้กำกับครับ"
แนะนำตัวเสร็จสรรพ นายตำรวจก็ตั้งใจแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ทว่าก็ต้องชะงักงันเมื่ออีกฝ่ายชิงตัดหน้า
"ผมไม่รู้นะครับว่าผู้กองมีเรื่องราวหรือคดีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณทองธาร" คราวนี้ชายหนุ่มเริ่มคาดเดาสีหน้าอีกฝ่ายออกแล้ว มันบ่งบอกชัดเจนว่าไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่เขากระทำ "ผู้กองจะสัมภาษณ์ สอบถาม หรือสืบสวน นั่นมันก็เรื่องของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ผู้กองไม่ควรพรวดพราดเข้ามาแบบนี้ นักแสดง นักดนตรี แล้วก็ทีมงานทั้งหลายเขาตกใจกันหมด ผู้กองเป็นนายตำรวจชั้นร้อยเอกแล้วนะครับ นายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ควรรู้สิครับว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ"
กวีเบิกตาโพลง กลืนน้ำลายฝืดเหนียว คำพูดเมื่อครู่เหมือนเห็นปุณฑริกมายืนด่าอยู่ตรงหน้าอย่างไรอย่างนั้น แต่จะว่าไป นายปกรณ์อะไรนี่ก็ยังพูดจาไพเราะเพราะพริ้งกว่าเพื่อนสาวของเขามากนัก
"ผม...ต้องขอโทษคุณปกรณ์ด้วย" ได้สติก็ค่อยหยิบบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ขึ้นมาให้อีกฝ่ายดู พยายามระงับอารมณ์ไม่พอใจให้อยู่แต่ภายใน "แต่ขอรบกวนเถอะครับ นี่เป็นงานราชการจริงๆ"
ปกรณ์ถอนใจเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเหลียวหลังหันไปเรียกใครบางคน
แน่นอนว่าไม่ใช่ทองธาร
"แซลลี่! แซลลี่...น้ำอยู่ไหน?"
หญิงสาวร่างแบบบางหากกระฉับกระเฉงวิ่งออกมาจากกลุ่มทีมงาน หล่อนสวมชุดคอกระเช้าลายดอกดวงกับกระโปรงทรงสอบสีเขียวอ่อนคลุมเข่า วิกผมบ๊อบสั้นดัดสวอนสีทองกระเด้งไปมาตามจังหวะการวิ่ง รองเท้าส้นสูงสีแดงสดตัดสีกระโปรงดูน่าจะขัดกันล้มคว่ำ หากหล่อนก็ยังทรงตัวมาได้จนถึงนายปกรณ์
"น้องน้ำไปเข้าห้องน้ำอยู่ค่ะ" หญิงสาวก้มหน้างุด แทบไม่กล้าเผยอหน้าสบตาหนุ่มใหญ่แม้แต่นิด "จะให้แซลลี่ไปตามไหมคะคุณบาย"
ปกรณ์พยักพเยิดเป็นเชิงอนุญาต ทว่าทันทีที่หญิงสาวกลับหลังหันเตรียมออกวิ่ง เสียงแว่วหวานหากทรงอำนาจกลับดังมาจากหลังกำแพงมนุษย์ที่ปิดกั้นช่องทางเดิน
"ไม่ต้อง!"
ทุกสายตาหันไปมองผู้มาใหม่แล้วค่อยแยกออกเป็นช่องว่าง ทว่าขณะการหลีกทางคงมีใครบางคนถูกสวิตช์ไฟเข้า จึงทำให้ไฟบางดวงบริเวณทางเข้ามืดดับ แทนที่จะได้เห็นใบหน้าผู้มาใหม่อย่างชัดเจน กลับเห็นแต่เงาร่างเลือนรางในความมืด
เงานั้นเป็นผู้หญิง ร่างระหงสวมชุดสีดำใส่กระโปรงทรงสุ่มพองฟู
ทว่าในความมืดดำ ยังคงมีแสงระยิบระยับด้วยจากเพชรเม็ดเล็กเม็ดน้อยที่ประดับไล่ระดับความหนาแน่นและเบาบางบนตัวชุดกับกระโปรง รวมถึงเครื่องประดับบนศีรษะ เสมือนหมู่ดาวที่กำลังวะวับวาววามท่ามกลางความมืด และช่างเหมือนฉากแรกแห่งการเปิดตัวราชินีแห่งรัตติกาลที่กวีเพิ่งรับชมไปเมื่อครู่
งดงาม...หาก...น่าหวาดกลัว
"ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ดิฉันช่วยเหลือหรือคะ...ผู้กอง" เงาร่างเคลื่อนตัวมาหยุดท่ามกลางแสงไฟที่ส่องถึง เบื้องหลังยังคงเป็นความมืดที่หล่อนเพิ่งจากมา แม้ทีมงานบางคนจะพยายามกดสวิตช์เพื่อเปิดไฟบริเวณนั้น หากไม่มีทีท่าว่ามันจะสว่างดังเดิม
"ตายแล้วนังกิ๊บ ไฟไม่ติด!"
"แกเป็นคนทำเสียนะ ฉันไม่เกี่ยว" เสียงโต้เถียงของทีมงานซึ่งน่าจะเป็นผู้ชายใจหญิงดังอยู่ในกลุ่ม หากกวีไม่อินังขังขอบ สิ่งเดียวที่อยู่ในความสนใจของนายตำรวจหนุ่มเวลานี้กลับเป็นบุคคลตรงหน้า
ราชินีแห่งรัตติกาล ผู้งดงาม...เฉิดฉาย...และหยิ่งผยอง
แม้เปลือกตาสีดำจะขับนัยน์ตาแข็งกร้าวให้เป็นน่าเกรงขามดังภูเขาหิน หรือริมฝีปากสีแดงคล้ำจะเยือกเย็นไร้รอยยิ้มราวความเหน็บแห่งราตรี
ทว่าหล่อนก็ยังคงงดงาม...ดังพระจันทร์เสี้ยว...ในดงดาว
//////////
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2555, 09:29:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ค. 2555, 09:30:19 น.
จำนวนการเข้าชม : 1300
<< องก์ที่ ๑ | องก์ที่ ๓ >> |