ม่านพรหม
เมขลา น้องสาวคนเล็กของผู้การจิรวัติ เธอผู้มีซิกเซ้นส์ สัมผัสพิเศษ สามารถยั่งรู้อนาคตของคนอื่นได้บ้าง..เมขลา ต้องพบกับภัยคุกคามจาก กฤษณะ อดีตคนรักของลูกค้า เพราะเธอไปดูว่า กฤษณะไม่ใช่เนื้อคู่ของเธอคนนั้น...จากเรื่องสนุก ๆ ที่ได้รู้อนาคตคนอื่น เมขลา เริ่มเครียด และเขาก็ค่อย ๆ ทำให้เธอรู้ว่า..คนเราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าได้นั้น ไม่ได้เกิดจาก รู้ดวงชะตา..
Tags: นายรถไฟ กับยายซิกเซ้นส์

ตอน: 14.“ถ้าผมเป็นอะไรไป คุณจะเสียใจไหม”

ม่านพรหม

14.

วันนั้นทั้งวันและทั้งคืนกฤษณะหายไปจากวงจรชีวิตของเมขลา ไม่มีข้อความ ไม่มีการใช้โทรศัพท์ แต่ว่าเขากลับอยู่ในใจของหญิงสาว ตอนที่ไปดูหนังกับนรบดีเพียงสองคน เมขลายิ่งรู้สึกว่ายิ่งใกล้กันก็ยิ่งมีแรงผลักนรบดีให้ออกห่างทั้งที่พินิจพิจารณาอย่างถ้วนถี่ เธอก็ยังไม่เห็นขอด้อยข้อเสียของนรบดี พี่นรบดีเนี๊ยบและสมบูรณ์แบบจริง ๆ แต่ความรู้สึกเมื่อเวลาอยู่กับเขามันไม่มีอะไรก้าวหน้าสักนิด และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เมขลาอยากให้ถึงเวลาเย็นเร็ว ๆ อยากให้พระอาทิตย์เคลื่อนจากกึ่งกลางฟ้าไปที่ขอบฟ้าทิศตะวันตกโดยเร็ว แต่ว่ามันก็เป็นความปรารถนาที่ไม่มีวันเป็นไปได้..

หลังมื้ออาหารกลางวัน หลังจากที่ล้างมือแปรงฟันบ้วนปาก เมขลาก็เดินกลับมาที่โต๊ะทำงาน ยังไม่ทันจะหยิบงานที่ทำค้างไว้มาจัดการต่อ ที่หน้าโต๊ะของเธอก็มีพี่ธาริณีที่อยู่คนละแผนกเดินหน้าตาตื่นเข้ามาหา

“เมขลาพี่รบกวนหน่อย”

“มีอะไรพี่..”

“เงินในกระเป๋าพี่หายไปสามพัน ตอนออกไปกินข้าว พี่ดันวางกระเป๋าสะพายไว้บนเก้าอี้ ช่วยดูหน่อยได้ไหมว่า เป็นฝีมือใคร..เจ็บใจจริง ๆ”

เมขลานิ่งอึ้ง..ตามกติกาแล้วเธอจะไม่ดูดวงให้ใครในที่ทำงานหรือในเวลางานเพราะจะทำให้ระบบงานปั่นป่วน ถ้าจะดูอย่างเร่งด่วนต้องเป็นหลังเลิกงานหรือไม่ก็ต้องโทรไปหาวิจิตรศราให้จัดคิวให้แล้วก็ต้องไปที่ร้าน แต่ว่าครั้งนี้และกรณีนี้เมขลารู้สึกหนักใจอยู่ไม่น้อย แต่เพื่อดับทุกข์ร้อนและไม่อยากให้คนทำผิดลอยนวลเมขลาจึงต้องยอมเสียสัตย์ของตัวเอง

พี่ธาริณียื่นมือขวามาหงายบนโต๊ะทำงานของเมขลา เมขลายกมือข้างขวาไปทับ แล้วทั้งสองคนก็หลับตาสำรวมใจ..เมขลากำหนดจิตไปที่โต๊ะทำงานของพี่ธาริณี เพียงอึดใจเมขลาก็เห็นว่าเป็นฝีมือของใคร? แต่ว่าเมขลาก็รู้ว่า ถ้าขืนบอกไป คนคนนั้นจะต้องเดือดร้อนแน่ ๆ เมขลาเริ่มลำบากใจ

“เห็นไหมว่าใคร”

“เอ่อ..”เมขลาไม่รู้จะบอกอย่างไร เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า พี่ประนอมกำลังลำบากเพราะลูกชายลูก
สาวใกล้จะเปิดเทอม แต่ว่าพี่ประนอมก็ไม่น่าจะริเป็นขโมย หรือว่าทำมาบ่อย ๆ แต่ว่าไม่มีเจ้าทุกข์มาแสดงตนถ้าปล่อยไว้ ก็เท่ากับปล่อยให้คนทำผิดลอยนวล แต่ถ้าเรื่องแดงออกไป มันก็จะลำบากยิ่ง ๆ ขึ้น

“ขอให้เมแก้ปัญหาให้ก่อนได้ไหมคะ เม”

“มันเป็นใคร” ธาริณีเดือดดาลขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าเมขลากำลังปกป้องคนทำผิด

“คะคะ..คือ..จะใจเย็น ๆ ค่ะพี่”

“พวกแม่บ้านใช่ไหม นึกไว้ไม่มีผิดเลย คนไหนบอกพี่”

“พี่มีหลักฐานเอาผิดกับเขาหรือคะ พี่จำเลขในแบงก์ได้เหรอแล้วเขาก็อาจจะเอาเงินไปซ่อนแล้ว”

“เมก็บอกพี่มาซิว่าเป็นใคร พี่จะตามไปจัดการกับมันเอง”

“เม ขอไม่บอกได้ไหมคะ เม..เมลำบากใจจริง ๆ”

“พี่พอนึกออกแล้วว่ามันเป็นใคร นังประนอมใช่ไหมมันสนิทกับเม เมก็เลยสงสารมัน อยากปกป้องมัน”

เมื่อพี่ธาริณีทายถูก เมขลาจึงต้องก้มหน้า..

“พี่จะไปเอาเงินพี่คืน” ธาริณีลุกขึ้น เมขลาจึงต้องลุกขึ้นแล้วรีบไปขวางหน้าไว้ “อย่าค่ะพี่ ใจเย็น ๆ เดี๋ยวเมขอคุยกับพี่เขาก่อนนะ เห็นแก่ลูกนกลูกกาตาดำ ๆ เห็นแก่เด็ก ๆ นะคะ ถ้าเรื่องแดงออกไปพี่เขาต้องออกจากงานแน่ ๆ แล้วถ้าประวัติเสียแบบนี้หางานยากนะคะ เม เมจะไปคุยกับพี่เขาก่อน..”

ตอนนั้นคนเริ่มสงสัยว่าสองสาวคุยเรื่องอะไร คนที่รู้เรื่องอยู่แล้วก็ประติดประต่อเรื่องได้เพียงแต่ไม่รู้อย่างละเอียดเท่านั้น..




“พี่ไม่ได้เอาไปจริงๆ นะน้องเม”

“ถึงตอนนี้พี่อย่าปากแข็งอีกเลยค่ะ..ญาณของเมไม่เคยผิดพลาด พี่เอาเงินสามพันบาทนั่นคืนเมมา แล้วกันเมจะไปเคลียร์กับพี่ธาริณีให้” เสียงของเมขลาไม่ดังนัก..

“พี่ ไม่ได้เอาไปจริง ๆ ..เอ้าพี่สารภาพเลยก็ได้ คือ ตอนแรกพี่เข้าไปแล้ว เอาเงินออกมาจากกระเป๋าแล้วแต่พี่ก็เอาเงินนั้นคืนกลับไป แล้วพี่ก็ออกมาจากห้องนั้น เงินสามพันบาทที่หายไปไม่ใช่ฝีมือพี่แน่ ๆ น้องเมลองเช็คใหม่”

“เช็คใหม่”

“จริง ๆ ไม่ใช่พี่แน่ๆ พี่ เกิดสำนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ควร พี่ก็เลยเอาเงินคืนกลับไป”

“แล้วเป็นใคร..”

“กลับไปหาพี่ธาริณีกันอีกรอบ” พี่ประนอมต้องการพ้นผิดเหมือนกัน ดังนั้น เมขลากับประนอมจึงต้องกลับขึ้นไปยังชั้นที่ตนทำงานอยู่ แล้วเมขลาก็บอกความจริงให้ธาริณีได้รับรู้

“เมขลาคิดช่วยปกป้องมัน” ธาริณีแสดงความไม่พอใจเมขลาออกมาอย่างไม่เกรงใจ

“หนูเปล่าจริง ๆ นะคะ เอาหนูไปสาบานที่วัดไหนก็ได้ หนูมาที่โต๊ะนี้จริง ๆ จับเงินออกมาจากกระเป๋าตังค์พี่จริง ๆ แต่ว่าหนูทำไม่ได้ หนูไม่กล้าพอ..เชื่อหนูนะพี่”

“งั้นเมขอเช็คอีกครั้งนะคะว่าคนคนนั้นเป็นใคร..”

ถึงตอนนี้เรื่องแดงจนคนมามุงดูกันจนหมดสำนักงาน ธาริณีจำใจยื่นมือไปให้เมขลาอีกรอบ..คราวนี้ความจริงปรากฏแก่ภาพที่เกิดระหว่างหน้าผากของเมขลา ..เมขลาเห็นว่าเป็นใคร เห็นแม้กระทั่งว่าตอนนี้เด็กคนนั้นซึ่งน่าจะเป็นคนงานใหม่ กำลังเดินข้ามถนน ไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ไม่ไกลจากตึกนี้มากนัก..แต่ถ้าเธอบอกออกไป ปัญหาก็จะตามไปที่เด็กคนนั้นอีก..เมขลารู้สึกกลัวที่จะลืมตามาบอกกับทุกคนว่าเธอเห็นว่าคน ๆ คนนั้นคือใคร แล้วเรื่องวุ่นวายก็จะตามมาไม่จบไม่สิ้น แต่ว่า หากเธอไม่บอกคนที่เดือนร้อนไม่เลิกก็คือพี่ประนอม

“ได้เรื่องไหม” มีเสียงถามอย่างร้อนรนจากพี่ประนอมเมื่อเมขลาลืมตา..

“คือคือ..คนที่เอาไป..เด็กใหม่นะคะ เมไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร”

“อีแหววแน่ ๆ เลย ตอนนี้มันอยู่ไหน อีแหววใช่ไหม น้องเม” ประนอมร้อนรนเพราะต้องการเอาคน
ผิดมารับโทษแทนตัวเอง

“เมไม่รู้จักชื่อเขาค่ะ จำได้ว่าเพิ่งเข้ามาทำงาน”

“ลงไปที่ออฟฟิศพี่ที่อยู่ชั้นล่าง ไปดูรูปมัน อีนี่มันมีทีท่าแปลก ๆ ตั้งแต่เข้ามาทำงานแล้ว เห็นว่าอยู่ในสลัมคลองเตยด้วย”


เมขลากลืนน้ำลายอย่างอยากลำบาก

“ใช่อีแหววจริง ๆ หรือน้องเม” คราวนี้ธาริณีก็หยาบได้เหมือนกัน

“คงใช่มั้งคะ” จริง ๆ แล้ว เมขลารู้ว่า ผู้หญิงคนนั้นชื่อแหวว แต่เมขลาต้องการถ่วงเวลาให้แหววนั้นหนีความผิดครั้งนี้ไป..ไปให้พ้นทางของกฏหมาย และภาวนาให้แหววนั้นเลิกพฤติกรรมแบบนี้..

แต่ว่าธาริณีนั้นร้ายกว่าที่เมขลาคิด บ่ายวันนั้นพี่ธาริณีลางานไปแจ้งความ ก่อนไปก็เช็คจากกล้องวงจรปิดของฝ่ายรักษาความปลอดภัยว่าในช่วงเวลาที่คนออกจากห้องไปทานข้าวกันนั้น มีใครเดินเข้ามาในห้องนี้บ้าง แหววก็มีรูปเป็นหลักฐานเหมือนกับที่พี่ประนอมมี นอกจากนั้นแหววก็ยืนยันการกระทำของตัวเองด้วยการหนีกลับบ้าน แบบนี้จึงมีหลักฐานพอที่พี่ธาริณีจะเอาตำรวจไปลากตัวแหววมาดำเนินคดี โดยเมขลาเองก็มีลางสังหรณ์ว่าเรื่องของแหววนี้ จะมีเรื่องยุ่งยากมาสู่ตนเองอีกไม่น้อย แต่เมขลาก็ไม่สามารถมองเห็นเป็นภาพอย่างที่อยากจะเห็น และเหตุการณ์ในครั้งนี้เมขลาก็ได้สรุปกับตัวเองว่า

การรู้เห็นอดีต หรืออนาคต เป็นบางครั้งบางตอนของคนอื่น มันไม่ได้มีแต่ผลดีเสมอไปจริง ๆ




วันนี้นรบดีติดประชุม เมขลาจึงได้นั่งรถกลับบ้านอย่างที่เคย และการได้นั่งคนเดียวทำใจให้สงบนิ่ง กว่าตอนไปนั่งชูคออยู่ในรถของเขา เพื่อคอยตอบคำถามของเขา ซึ่งเป็นคำถามที่ดูเอาอกเอาใจ และบางเรื่องที่เขาชวนคุย อันได้แก่เรื่องงาน เรื่องเหตุบ้านการเมือง เมขลารู้สึกว่าตัวเองไม่อยากคุยกับเขา ตลอดการอยู่บนรถแคบ ๆ สองคน เมขลารู้สึกว่ามันอึดอัด หรือจะเป็นเพราะว่า คนที่มันไม่ใช่อย่างไรมันก็ไม่ใช่..ให้ฝืนอย่างไรมันก็ต้องมีความรู้สึกต้องผลักเขาออก ผิดจากคนที่ใช่อย่างนั้นหรือ?

กระทั่งเมขลากลับถึงบ้าน หญิงสาวแปลกใจที่เห็นว่ากฤษณะมานั่งรออยู่ตรงที่เคยนั่งอยู่เป็นประจำ เขามาเร็วกว่าที่เมขลาคิดไว้ แต่ภาวะที่ยังเครียด ๆ เรื่องของแหวว ทำให้เมขลายังยิ้มไม่ออก และเขาเองก็สัมผัสได้ว่าเมขลามีเรื่องไม่สบายใจ และเรื่องนั้นก็คงเป็นเรื่องเดียวกันกับที่อุมารินทร์โทรมารายงานเขาอย่างแน่นอน..

เมขลาใช้เซ้นส์ช่วยจับขโมย ด้วยเรื่องนั้นดังมาก ทำให้คนอื่น ๆ ต่างยื่นมือมาถามนั่นถามนี่บ้าง บางคนก็ถามในเรื่องที่ไม่ควรถาม เมขลาอ้างว่า เธอไม่มีสมาธิที่จะช่วยเหลือใครทั้งนั้น..แต่ใช่ว่าคนเหล่านั้นจะล้มเลิกการขอความช่วยเหลือจากเซ้นส์ของเมขลา..

จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่เขาควรยินดี เพราะครั้งหนึ่งเซ้นส์ของเมขลานั้นทำให้มัทนาตัดสินใจไปจากเขา แต่พอรู้ข่าวเขากลับรู้สึกเห็นใจ และครั้งนี้เมขลาใช้เซ้นส์ที่มีอยู่ในทางที่ควรด้วย..

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับคุณหนูนา หน้าตาแย่มาก ๆ” เขาลองหยั่งดูว่าเมขลาจะเล่าเรื่องสำคัญถึงเพียงนี้ให้เขารับรู้หรือไม่ ถ้าเล่าก็เท่ากับว่า เมขลาวางใจเขาในระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่เล่า เขาก็ยังเป็นคนที่ยังไม่สำคัญของเธอ และเขายังคงต้องเร่งทำคะแนนต่อไป..

เมขลายกมือขวาแตะแก้มตัวเอง หลังจากนั้นก็พยายามมองหาวิจิตรศรา แต่อุสาที่อยู่ในเคาน์เตอร์ก็รายงานว่าวิจิตรศราออกไปข้างนอกกับศุภนิมิตร ไปธุระเรื่องกล่องกระดาษใส่สบู่และขวดโทนเนอร์เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของสินค้า

“อุสา หาน้ำให้คุณหนูนาสักแก้วสิ” ด้วยความเป็นห่วงคนที่เพิ่งมาถึงเขาถือวิสาสะออกคำสั่งกับเด็กในร้าน.. แต่ว่าเมขลาก็ปฏิเสธน้ำใจของเขาทันควัน. “ไม่ต้องหรอกอุสา พี่ดูแลตัวเองได้”

“มานั่งก่อนไหม..”

“ขอตัวขึ้นห้องก่อนดีกว่าค่ะ อยากอาบน้ำเหนียวตัวมาก..”

“ผมรออยู่ข้างล่างนะ..”

เมขลาพยักหน้าก่อนจะเลี่ยงขึ้นชั้นบนไป และนานทีเดียวกว่าที่เมขลาจะลงมา หญิงสาวทำเหมือนกับว่าไม่มีเขานั่งรออยู่ ทั้งที่ในใจนั้นอยากลงมาหาเขาใจจะขาด แต่เล่ห์ของหัวใจมันบอกว่าไม่ว่าทั้งเขาและพี่นรบดีก็ต้องถูกทดสอบด้วยกาลเวลาเช่นกัน ตอนนี้เธอเผยไต๋ออกไปทั้งหมดไม่ได้..

และเมื่อลงมาแล้วเมขลาก็ต้องประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อไม่เห็นกฤษณะ แต่พอเอ่ยปากถามอุสากับน้องอ้อ ทั้งคู่ก็บุ้ยบอกกับเธอว่ากฤษณะนั้นอยู่ในครัว เมขลาตามเข้าไปในที แล้วหญิงสาวก็ต้องคลี่ยิ้มเมื่อเห็นเขานั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร บนโต๊ะนั้นเล่าก็มีอาหารและจานข้าววางอยู่เรียบร้อยแล้วและที่สำคัญมีจานข้าวของเขาด้วย

“ผมขอโทษที่ถือวิสาสะวุ่นวาย แต่ผมอยากเห็นคุณหนูนาชิมฝีมือของแม่ผมต่อหน้าผม”

“เยอะแยะเลย”

“จริง ๆ แม่จะทำมากกว่านี้อีก ดีแต่ผมห้ามไว้เพราะกลัวคุณหนูนาเจริญอาหารแล้วจะกลายเป็นคุณหมูบ้าน” เมขลากลอกตาไปมาเมื่อเขาขายขนมจีบซึ่ง ๆ หน้า และเขาก็ทำเหมือนกันว่าเธอตกลงปลงใจเป็นแฟนกับเขาแล้ว..

บนโต๊ะอาหารตรงหน้ามีน้ำพริกแมงดา มีหัวปลี ถั่วฝักยาว ยอดแค ยอดผักปัง และยังมีปลาเค็มทอด และแกงเลียงสารพัดผักที่เธอไม่ได้ลิ้มรสมานานแล้ว..

“เกรงใจคุณป้าแย่เลย”

“ให้เกียรติผมโดยการเรียกว่าแม่ของผมว่า แม่ได้ไหม”

เมขลาปั้นหน้ายุ่งยากใจ..

“อย่ามัวเสียเวลาเลยครับ จริง ๆ มันน่าจะมีไข่ต้มอีกสักคนละฟองเนอะ เอาไหม ต้มเดี๋ยวเดียวก็ได้กินแล้ว ผมต้มให้” กฤษณะเปลี่ยนเรื่องทันที

“อย่าเลย แค่นี้พอแล้ว”

“งั้น ก็ลุยเลยครับ คุณหนูนาต้องหิวแน่ ๆ เลย จะทุ่มหนึ่งแล้ว ทำไมขึ้นไปนานจังไม่หิวข้าวเหรอครับ"

“ขอโทษที่ให้รอนาน พอดีมีเรื่องไม่สบายใจ” ในตอนนั้นกฤษณะจ้วงข้าวไปเกือบครึ่งจาน ส่วนเมขลาพึ่งจะตักน้ำพริกมาแนมกับปลาเค็มที่แม่ของเขาหั่นเป็นชิ้นพอคำไว้แล้วก็นึกว่าได้ฝีมือการจัดโต๊ะ
อาหารของเขาใช้ได้ทีเดียว แต่พอเห็นข้าวเขาพล่องไปในเวลารวดเร็วเมขลาก็ต้องปรามเขาเสียหน่อย

“ค่อยๆ กินก็ได้ มีเวลาเยอะแยะ”

“ก็หิว ท้องร้องแล้วร้องอีก ไส้แทบขาด”

“แล้วรอทำไม”

“ก็ต้องรอ กินก่อนเสียคะแนนหมด”

“กินอย่างกับปล้น แล้วก็เจ้าของบ้านยังไม่ทันได้ชวนกิน นี่ก็เสียคะแนนเหมือนกัน”

“น้ำพริกแม่ผมอร่อยไหม”

“อร่อยมาก..ทำไมมาเร็วจัง คุณแม่ไม่ได้ทำงานเหรอ”

“วันนี้ แม่ลา ลากิจครับ” จริง ๆ แม่ลาป่วย ลาไปให้หมอตรวจร่ายกายแต่ว่าหมอก็บอกว่า ไม่ได้เป็นอะไร..แต่แม่บอกว่าเจ็บหลังเป็นระยะ แต่พอรู้จากปากลูกชายว่าอยากได้น้ำพริกมาให้เมขลาได้ชิมอีกแม่ก็บอกว่าหายเจ็บและเร่งรีบเข้าครัวทำอาหารให้เขา

“รบกวนเวลาพักผ่อน คราวหลังไม่ต้องแล้วนะ”

“วันหลังไปเที่ยวบ้านผมไหม ที่บ้านดอกไม้เยอะเลยนะ แม่ชอบปลูกดอกไม้ ที่นิดเดียว แต่มีหมดเลย ทั้ง ชมผกา จำปา จำปี กุหลาบ ราตรี พะยอม อังกาบและกรรณิการ์” กฤษณะร้องเป็นเพลง..เมขลาจึงต้องถลึงตาให้ และตำหนิก่อนที่เขาจะร้องจบ “นี่กินข้าวเขาห้ามร้องเพลง”

“ร้องแล้วจะเกิดอาเพศอะไร”

“ข้าวจะติดคอนะสิ ทำตัวเป็นเด็กไปได้ อายุเท่าไหร่แล้วเรา” เมขลาทำเสียงเหมือนครู หาเรื่องอบรมนักเรียนในปกครอง

“25 ครับ เบญจเพสปีนี้ ไม่สิ ตอนนี้อยู่ในช่วงเบญจเพส”

“เบญจเพส” คำนี้ทำให้เมขลารู้สึกว่าข้าวที่จะกลืนลงคอนั้นฝืดขึ้นมา..แล้วภาพที่เห็นว่าที่ศีรษะของเขาเปื้อนเลือดก็กลับมาอีกรอบ..เมขลาละช้อนแล้วสลัดหัวเบา ๆ

“เป็นอะไรไปครับคุณหนูนา”

“ปะปะเปล่าคะ..ไม่มีอะไร”

“มันต้องมีสิ..คุณหนูนาเห็นอะไรเกี่ยวกับผมหรือเปล่า” ในตอนนี้กฤษณะเองก็เชื่อในเซ้นส์ของคนตรงหน้าแล้วเช่นกัน ถ้าเมขลาสามารถเห็นว่าใครเป็นขโมยได้ เธอจะต้องเห็นอะไรเกี่ยวกับตัวเขาหรือของคนอื่นได้แน่ ๆ

“แล้วทำบุญ ทำทาน สะเดาะเคราะห์อะไรบ้างหรือเปล่า” ตรงนี้เมขลากล่าวไปตามที่เคยได้ยินได้ฟังมา

กฤษณะสั่นหัวเบา ๆ “วันเสาร์อาทิตย์เรียน วันธรรมดาก็ทำงาน”

“มันจะไม่มีเวลาว่างเลยเหรอ เช้าๆ พระไม่มีบิณฑบาตรผ่านแถวที่พักเลยเหรอ”

“ไม่เคยเห็น ออกจากห้องมาก็เจ็ดแปดโมงทุกวัน”

“แถวนี้มีพระนะ มาดักรอสักหกโมงเช้า เอาตรงหน้าวัดเลยก็ได้”

“ทำไมอยากให้ผมทำบุญ เห็นอะไรหรือเปล่า”

“หนักก็จะได้เป็นเบา หรือถ้าไม่มีอะไรเกิดเลยได้ยิ่งดี อย่างไรก็ระมัดระวังตัวบ้างแล้วกัน”

“แม่ก็ว่าอย่างนั้น”

“อย่าประมาทนะ”

“ถ้าผมเป็นอะไรไป คุณจะเสียใจไหม”

“ทำไมถามอย่างนั้น”

เขาก็ไม่รู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้เผลอปากถามไปอย่างนั้น

“ปากเร็วไปเองครับ ผมไม่เป็นอะไรง่าย ๆ หรอก อายุยืนหมื่นปี ผมต้องอยู่ไปจนเห็นลูกเห็นหลานของผม ของเรา” ท้ายประโยคเขาทำตากรุ้มกริ่มให้ จนกระทั่งเมขลาก็เบือนหน้าไปมองทางอื่น และช่วงที่กฤษณะให้เงียบเข้าครอบงำ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เมขลารู้สึกว่าเธอได้ยินเสียงหัวใจของตัวเอง..รับรู้ความรู้สึกของตัวเองว่าอยากนั่งอยู่กับเขานาน ๆ ไม่อยากให้เขากลับบ้านและอยากจะเห็นเขาอยู่ในสายตาตลอดไป..
เพราะเขาทำให้เธอยิ้มได้ ทำให้เธอคลายจากความกังวลความเครียดที่สะสมมาทั้งวัน ทำให้วันเวลาที่เคยเหงา ๆ เหมือนเดินอยู่เพียงลำพังในที่เปลี่ยว เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนและสิ่งแปลกใหม่ตลอดสองข้างทาง

เธอชอบเขาในแบบที่เขาเป็น แม้มันจะมีอะไรที่พิกลจากคนส่วนใหญ่ที่เธอเคยพบเห็น แต่เขาก็มี
สไตล์ของตัวเองที่น่าสนใจ..เร้าใจ และตอนนี้เขาก็ค่อย ๆ เข้าไปนั่งในใจของเธอเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของการนั่งกินข้าวกันอยู่เพียงสองคน เมขลาจึงเปิดปากซักถึงครอบครัวของเขา สภาพบ้านช่อง สถานะการเงินของพ่อแม่ รวมถึงเรื่องเงินเดือนของเขา กับอนาคตของเขาในหน้าที่การงานและเขาก็เล่าอย่าไม่มีปิดบัง..

หลังจากเล่าเสร็จ อาหารบนโต๊ะก็หมดลงพอดี เขาอาสาล้างจานให้ เมขลาจึงได้เดินออกมาหน้าร้าน และที่หน้าร้าน เมขลาก็เห็น วิจิตรศรากับศุภนิมิตรที่ไม่รู้ว่ากลับมาถึงร้านตั้งแต่เมื่อไหร่ ยกน้ำส้มคั้นที่วางอยู่ตรงหน้าชูให้เหมือนกับว่าแสดงความดีใจกับความสุขของเมขลา..เมขลาก็ได้แต่ยิ้มอายๆ ก่อนจะหลบขึ้นไปชั้นบน จนกระทั่งได้เวลาที่กฤษณะจะกลับบ้าน ร้านจะปิด วิจิตรศราจึงต้องเรียกเมขลาลงมาขายสบู่กับโทนเนอร์ให้กฤษณะเพราะเขาไม่ยอมควักเงินซื้อกับเธอ ทั้งที่เธอมอบส่วนลดให้เขามากกว่าที่เมขลาให้เสียอีก..



กฤษณะขี่มอเตอร์ไซด์กลับบ้าน ศุภนิมิตขับรถกลับคอนโดโดยที่สองสาวยืนตามส่งจนรถทั้งสอง
คันลับสายตา หลังจากเก็บร้านเรียบร้อย วิจิตรศราก็เดินนำเมขลาขึ้นชั้นบน หลังจากที่วิจิตรศราอาบน้ำ
เรียบร้อย เมขลาจึงตัดสินใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในที่ทำงานให้วิจิตรศราได้รับรู้ไว้...

“เมก็ระวังตัวเองไว้บ้าง..”

“ครั้งนี้เมรู้สึกว่าจะต้องมีเรื่องยุ่งยากลำบากใจตามมาไม่ว่างเว้นแน่ ๆ วันนี้ คนแบมือมาให้เมเต็ม
ไปหมดเป็นข่าวที่ดังมากในตึก..ตอนเมอยู่ในลิฟท์มีแต่คนยิ้มให้ หลายคน ๆ มาเลียบ ๆ เคียง ๆ มีคนมองเมด้วยสายตาแปลก ๆ เมไม่อยากดังแบบนี้อีกแล้ววิ”

วิจิตรศราถอนหายใจออกมาเบา ๆ

“พรุ่งนี้ มีคิวกี่คน..”

“ยี่สิบคน..”

“ถ้าเป็นเรื่องเนื้อคู่ อะไรเมไม่ดูนะ เมไม่อยากให้ใคร ตัดสินใจเลือกใครด้วยคำทำนายของเมอีกแล้ว”

“แต่ก่อนหน้านั้นเมดังเรื่องนี้มาก”

“หรือเมจะเลิกดูดวงไปอย่างถาวรเลยดีไหม”

“แล้วเบื้องบนที่ทำให้เมรู้เรื่องพวกนี้จะยอมหรือ”

“เมว่าทุกอย่างมันอยู่ที่ใจของเม ไม่ใช่ที่ไหนหรอก ถ้าเมใจแข็งไม่หลับตาสัมผัสมือทำนายให้ใคร ใครจะมาบังคับอะไรเมได้”

“ก็ลองดู”

“สรุปว่า หมดคิววันเสาร์นี้ วิไม่ต้องรับนัดใครอีก”

“เสียดายผลประโยชน์ที่ตามมาเหมือนกันนะเม”

“ร้านอื่นที่เขาไม่มีตรงนี้ช่วย เขาก็อยู่มาได้ ลูกค้าที่ซื้อสบู่กับโทนเนอร์โดยติดใจในคุณภาพของสินค้าก็มีไม่น้อยนะ..เราต้องเข้มแข็ง”

“ตามใจเมแล้วกัน อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด..แต่ว่าวันอาทิตย์นี้ วิไม่ไปสามชุกกับเมนะ” สามชุกคือบ้านของนรบดีที่เขาชวนเมขลากับวิจิตรศราไปเที่ยว เมขลาชักสีหน้าเป็นคำถาม

“วิจะไปบ้านพี่มิตร ไปช่วยพี่เขาทำสบู่น่ะ”

“ตอนไม่มีวิเขาก็ทำเองได้ พี่ชายเขา พ่อเขาก็ช่วยไม่ใช่รึ”

“ช่วงโปรโมชั่น..เห็นป่ะว่าหน้าวิมีสีชมพูอยู่ตลอดเวลาเลยนะ ไม่ได้ปัดบรัชออนด้วย..”

เมขลาพินิจจารณาแล้วก็ยิ้มดีใจกับความสุขของเพื่อน

“หน้าเมก็แดงระเรื่อนะ ดูท่าแล้วนายกฤษณะทำคะแนนนำพี่นรบดีแน่ ๆ”

“เมไม่อยากไปสามชุกกับพี่นรบดีเลยสักนิด”

“แต่เมต้องไปนะ บางที เรายิ่งใกล้เขา เขาก็จะยิ่งรู้เองว่า เราไม่ใช่คนที่เขาควรฝากหัวใจเช่นกัน เข้าใจเปล่า แล้วก็อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า กฤษณะคือตัวจริง มันเพิ่งวันสองวันเอง เข้าใจที่วิพูดใช่ไหม”

เมขลาพยักหน้า..เธอเข้าใจและยิ่งดีใจว่า การได้เปรียบเทียบอารมณ์ระหว่างอยู่กับคนสองคนนั้นทำให้เธอรู้ว่า “ความรัก” นั้นเป็นเช่นไร



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 พ.ค. 2555, 12:18:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 พ.ค. 2555, 12:18:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 2237





<< 13.“ใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า หนูนาได้ไหมครับ"   15.“ชาตินี้ถ้ากูไม่ได้เขาทำผัวกู ไม่ถอยหรอก” >>
คิมหันตุ์ 15 พ.ค. 2555, 12:44:30 น.
^^


nutcha 15 พ.ค. 2555, 13:17:56 น.
จะเกิดอะไรขึ้นกับคะน้าหรือเปล่าค่ะ


innam 15 พ.ค. 2555, 14:10:46 น.
เป็นห่วงทุกคู่เลยนะ


lookAme 15 พ.ค. 2555, 14:16:39 น.
จะเป็นยังไงต่อนะ


OPUS 15 พ.ค. 2555, 14:30:03 น.
ไว้จะรอตอนต่อ ๆ ไปนะคร๊า คุณเฟื่องอย่าเอาซะแฟนคลับรอเก้อนะ


konhin 15 พ.ค. 2555, 15:32:14 น.
เลือดหัวจะออกซะแล้วหนูคะน้า อย่าเจ็บมากหล่ะ เป็นห่วง


Orathai 15 พ.ค. 2555, 15:56:36 น.
เป็นห่วงทั้งคะน้าแล้วก็หนูนาเลย จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ไมรู้


Zephyr 15 พ.ค. 2555, 17:34:39 น.
อ่านๆไปบางครั้งรู้สึกว่า วิ เห็นแก่ตัว ไงไม่รู้อ่ะ
หนูนาก็บอกพี่น้าไปสิว่าห่วงน่ะ นายน้านายก็เชื่อเค้าเถอะ
นายตามไปสามชุกเลย หวังว่าพี่นรบดีคงไม่ทำอะไรบ้าๆนะ


แว่นใส 16 พ.ค. 2555, 08:04:08 น.
จะเกิดอะไรขึ้นนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account