ม่านพรหม
เมขลา น้องสาวคนเล็กของผู้การจิรวัติ เธอผู้มีซิกเซ้นส์ สัมผัสพิเศษ สามารถยั่งรู้อนาคตของคนอื่นได้บ้าง..เมขลา ต้องพบกับภัยคุกคามจาก กฤษณะ อดีตคนรักของลูกค้า เพราะเธอไปดูว่า กฤษณะไม่ใช่เนื้อคู่ของเธอคนนั้น...จากเรื่องสนุก ๆ ที่ได้รู้อนาคตคนอื่น เมขลา เริ่มเครียด และเขาก็ค่อย ๆ ทำให้เธอรู้ว่า..คนเราจะอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่าได้นั้น ไม่ได้เกิดจาก รู้ดวงชะตา..
Tags: นายรถไฟ กับยายซิกเซ้นส์

ตอน: 15.“ชาตินี้ถ้ากูไม่ได้เขาทำผัวกู ไม่ถอยหรอก”

ม่านพรหม

15.

วิจิตรศราออกจากห้องไปแล้วเมขลาตั้งท่าจะปิดไฟขึ้นเตียงสวดมนตร์ทำสมาธิก่อนนอนด้วย วันเสาร์จะมีคนมาแบมือให้เธอช่วยทำนายทายทัก ซึ่งสมาธิและกุศลผลบุญที่ประกอบขึ้นใหม่นั้นจะทำให้ญาณหยั่งรู้ที่เธอก็ไม่รู้ว่าได้มาอย่างไรนั้นแจ่มชัดขึ้น แต่ว่ายังไม่ทันที่เมขลาจะสวดมนตร์จบบทสังฆคุณ โทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างหมอนก็ดังขึ้น พอปรายตาไปดู..

“พี่กล้วย”

“เป็นไงมั่ง เงียบไปเลยนะ”

“คิดถึงพี่อยู่เหมือนกัน..มีเรื่องอยากถามอยู่พอดี” แล้วเมขลาก็ได้เล่าเหตุการณ์ในวันนี้ให้พี่ชายคนรองที่มีความรู้ทางด้านจิตวิญญาณอยู่ไม่น้อยได้รับรู้

“คราวหน้าจะเอ่ยอะไรออกไปก็ต้องดูให้ถ้วนถี่”

“เป็นครั้งแรกเลยที่ มีภาพมันยาวขนาดนี้ แล้วเมยังดูไม่ทันจบ..”

“แต่คนแรกเขาก็ตั้งใจจะลักเหมือนกันนี่ ความตั้งใจนั้น ก็ทำให้บาปเกิดขึ้นแล้ว เมื่อเจ้าทุกข์ร้องหาคนบาป จิตมันก็เลยไปจับที่คนแรกก่อน..แต่ว่าหนูนาลืมตาขึ้นมาเสียก่อน”

“หนูนาตกใจ ไม่คิดว่าจะเป็นพี่ประนอม”

“สติสำคัญนะ..ต้องเจริญสติ เพราะถ้าหนูนาเห็นอะไรที่ร้ายแรงกว่านี้ ตะบะแตกจิตวิปลาสไปจะทำอย่างไร” พอพี่ชายพูดอย่างนี้ เมขลาก็ขนลุกเกลียวขึ้นมา นึกถึงภาพที่หัวของกฤษณะมีเลือดเต็มไปหมดแล้วก็อดเป็นห่วงเขาขึ้นมาไม่ได้ หรือเธอจะลองจับมือเขาอีกครั้ง หนึ่งเพื่อเช็คดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาในอนาคต ซึ่งถ้าหาทางแก้ไขได้ ก็จะได้รีบแก้

“แล้วเจริญสติทำอย่างไร”

“ทุกวันนี้ยังสวดมนตร์หรือเปล่า”

“สวดมั่งไม่สวดมั่งแล้วแต่สถานการณ์..”

“ถ้าคิดจะเอาบุญช่วยเหลือคนอื่น ก็ต้องสวดมนตร์เยอะๆ ต่อจากนั้นก็นั่งสมาธิสักหน่อย เล่นพุทโทก็ได้ ยุบหนอพองหนอก็ได้ เอาจิตจับอยู่ที่ท้อง หรือจับที่ปลายจมูกตอนลมเข้าออกก็ได้ แล้วระหว่างที่ลืมตาตื่นก็กำหนดจิตตามอิริยาบทที่เราทำ เช่น ขณะแปรงฟันก็ระลึกว่าแปรงฟัน แปรงไปทางซ้าย แปรงไปทางขวา แปรงขึ้น แปรงลง ป้วนปาก”

“โฮ..ยาก”

“นึกแล้วว่าต้องพูดอย่างนี้”

“หนูนากะว่าจะเลิกดูดวงแล้วค่ะ กลัวเจอเรื่องลำบากใจอย่างวันนี้อีก แล้วอีกอย่าง เรื่องเนื้อคู่ที่เคยดูไปก่อนหน้านั้น แล้วมันทำให้หนูนามีชื่อเสียง หนูนาคิดว่า หนูนาไม่ควรไปบอกความลับของพระพรหมให้ใครได้รับทราบหรอก”

“ทำไม”

“มันอาจจะเป็นทางลัด แต่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่เท่ากับการที่คนสองคนค่อย ๆ รู้จักกันเรียนรู้นิสัยใจคอกันและปรับตัวเข้าหากัน..ถ้าคนยึดติดว่า นี่คือเนื้อคู่ของฉัน เป็นคนที่ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป มันเหมือนไปล็อกระบบของจิตวิญญาณเขาไว้ พัฒนาการบางอย่างมันหายไป..กระบวนการของความรักไม่สมบูรณ์”

“พูดเหมือนคนกำลังเจอกับความรักอย่างจัง”

“นิดหน่อยค่ะ” ใบหน้าของเมขลาแดงระเรื่อขึ้นมาเพราะรู้สึกอายพี่ชาย ด้วยพี่ชายยังไม่มีใคร เธอก็ควรจะไร้เดียงสาเป็นน้องน้อยไปด้วย แต่ว่าเรื่องแบบนี้เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันก็ฝืนกันไม่ได้

“เขาเป็นใครเหรอ บอกพี่ได้ไหม”

“อีกสักพักจะบอก กำลังดูอยู่ว่ามาดีหรือมาร้าย”

“ประทับใจอะไรเขา”

“แล้วพี่ละ เจอคนที่หนูนาทำนายไว้หรือยัง”

“วกกลับมาเรื่องนี้ทำไม”

“อยากรู้ว่าแม่นไหม”

“พี่ลืมไปแล้วว่าหนูนาทำนายไว้ว่าอย่างไร..และถ้าพี่จะมีใครสักคน พี่คิดว่า พี่จะค่อย ๆ ให้หัวใจเติบโตไปอย่างมีพัฒนาเช่นกัน”

“เลียนแบบความคิดเขา”

“คิดดีก็ก็อปปี้ไว้..แล้วนี่จะเลิกดูดวงไปเลยจริง ๆ เหรอ ไม่เสียดายชื่อเสียง ผลพลอยได้”

“ก็มีนิดหน่อย แต่เบื้องต้นหนูนาจะปฏิเสธการดูเรื่องเนื้อคู่ แต่ถ้าเป็นเรื่องหน้าที่การงาน ทิศทางชีวิต ก็จะยังดูให้อยู่ เพราะบางทีมันก็ได้ช่วยเหลือคนเหมือนกัน”
“ดีแล้ว..ก็ก่อนที่จะดูให้ใครก็ถามซะก่อนว่าเขาอยากรู้เรื่องอะไร สุดกำลังจะแก้ ก็ต้องปล่อยไปตามกรรมของเขา..พรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา แล้วก็อุเบกขา..อุเบกขาคือวางเฉย..”

“เจ้าค่ะ..”




หลังจากเก็บกวาดทำความสะอาดชั้นบน เก็บเสื้อผ้าของตัวเองและของวิจิตรศรารีดเรียบร้อยเมขลาก็อาบน้ำแต่งตัวลงมาที่ชั้นล่าง และหญิงสาวก็ต้องแปลกใจที่เห็น ชายหญิงวัยกลางคนที่มาเมื่อต้นสัปดาห์นั่งอยู่คู่กัน และทั้งคู่ก็กำลังกินสปาเก็ตตี้ฝีมือของอุสา

และด้วยทางฝ่ายหญิงยิ้มหวานมีดวงตาเป็นมิตรแสดงความชื่นชอบให้ก่อน เมขลาจึงยกมือพนมกล่าวคำทักทายว่าสวัสดี และทางนั้นก็รับไหว้ ทั้งผัวทั้งเมีย..
“อายุยืนเถอะแม่คุณ กิริยามารยาทดีเหลือเกิน”

“สำนวนอย่างกับคนสมัยอยุธยา” ตาผัวค้านขำ ๆ จึงถูกกระทุ้งสีข้างให้

“มากันนานหรือยังคะ”

“ก็เกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว มองหาหนูอยู่เหมือนกัน ถามน้องเขา ก็ว่าทำความสะอาดบ้านอยู่ข้างบน ส่วนน้องอีกคนก็ออกไปข้างนอก...” วันนี้เป็นอีกวันที่วิจิตรศราขอออกไปธุระกับศุภนิมิตร

“วันนี้วันหยุดค่ะ ที่รก ๆ ก็จัด ๆ ซะหน่อย..” ช่วงเช้าวันเสาร์ทำความสะอาดบ้าน ช่วงบ่ายไปแล้วก็ดูดวงให้กับคนที่นัดกันไว้ และวันนี้จะเป็นรอบสุดท้ายที่จะเมขลาจะดูดวงอย่างเป็นเรื่องเป็นราว..

“ท่าทางจะเป็นคนรักความสะอาด”

“นิดหน่อยค่ะ” ขณะที่ยืนคุยอยู่ห่างจากโต๊ะที่สองคนผัวเมียนั่งอยู่ เมขลาก็มองเห็นว่าบนโต๊ะมีหม้ออวยสีขาววางอยู่ด้วย และหลังจากที่ถูกซักไซ้ไปสองสามคำถามตามมารยาท เมขลาก็ต้องเลิกคิ้วที่ฝ่ายหญิงซึ่งเธอเองก็ยังไม่ทราบชื่อบอกว่า

“อ้าว พ่อนี่ไม่เตือนกันเลยว่า เราทำขนมมาเผื่อหนูเมขลาเขา”

“ขนมอะไรหรือคะ”

“ข้าวโพดเปียกเคยกินไหม”

“ของชอบเลยค่ะ”

“ชอบก็มาเอาไปเลย..” บอกเมขลาแล้ว แม่กุหลาบขอบกฤษณะก็เอี้ยวตัวไปเลื่อนหม้ออวยใบกะทัดรัดแต่ด้วยท่านั้นแสลงต่อบริเวณที่เสียวและเจ็บแปลบ ๆ นางจึงร้องพร้อมกับใบหน้าที่เหยเก

“เป็นอะไรหรือคะ” เมขลากรากเข้าไปหาทันที...

“เจ็บหลังนิดหน่อยนะ” บอกเมขลาแล้วมือซ้ายที่ยังว่างอยู่ก็ไพล่ไปแตะที่บริเวณไหล่คล้อยต่ำมาทางด้านหลังของแขนข้างขวา..

“ตรงนี้แหละ หมอก็ตรวจไม่เจอ..”

พอได้ยินเมขลาจึงถือวิสาสะใช้มือขวาไปแตะเพราะต้องการปลอบประโลมให้กำลังใจ แต่การณ์กลับเป็นว่า พอมือสัมผัสที่ตรงบริเวณที่ฝ่ายนั้นเจ็บปวดไปแล้ว เมขลาก็เห็นภาพตอนที่ฝ่ายนั้นขุดจอมปลวกขนาดไม่ใหญ่นักซึ่งมาขึ้นอยู่ที่ข้างรั้ว..และผลจากการกระทำนั้นทำให้นางพญาปลวกถึงแก่ความตายบรรดาปลวกตัวเล็ก ๆ จึงพากันโกรธเกรี้ยวผูกอาฆาตสาบแช่งให้ได้รับความทุกข์ทรมาน.. เมขลาใจเต้นแรงขึ้น ๆ กระทั่งต้องละมือออกมาจากบริเวณนั้น..และชั่วนาทีนั้นคนที่เห็นว่าเมขลามีอาการผิดปกติก็คือนายวินัย..

“เป็นอะไรหรือหนู..”

“หนูเห็น..เอ่อ..เห็น..”

“อ้าว หมอเมขลาอยู่พอดีเลย..” เมขลายังไม่ทันจะตอบ ที่หน้าร้านก็ปรากฏร่างคนได้คิวจากวิจิตร ศราไว้ และเจ้านี้ก็เป็นประเภท มาทำธุระแล้วธุระต้องเสร็จอย่างรวดเร็ว เมขลาหันไปหาต้นเสียง ฝ่ายนั้นถือของพะรุงพะรังเข้ามา..

“สวัสดีคะ มีของกินมาฝากหมอเมขลาด้วย..วันนี้อยู่คนเดียวเหรอคะ”

“วิออกไปธุระค่ะ” เมขลาผละจากโต๊ะของสองผัวเมียไปหาแขกที่มาใหม่ ซึ่งตอนนี้อุสาออกจากเคาน์เตอร์มารับของที่ฝ่ายนั้นถือมากำนัลอย่างรู้หน้าที่

“งั้นดีเลย..คือ จริงๆ วันนี้คุณวินัดพี่บ่ายสามโมง แต่ว่าตอนบ่ายสามพี่มีนัดก็เลย คิดว่า ลองเข้ามาดูก่อนเผื่อตอนนี้หมอเมขลาว่าง พี่จะได้ขอความเมตตาเลื่อนเวลา..คงเลื่อนได้นะคะ”

“ค่ะ ..พี่จะดูเรื่องอะไรคะ”

“คือ..พี่จะไปจับที่ดินแปลงหนึ่ง แล้วมันมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นที่กลางที่”

“ต้นอะไรคะ”

“ไทร ต้นใหญ่มาก พี่ก็เลย กลัว ไม่กล้า กลัวว่าได้ที่ไปแล้ว ไปตัดต้นไม้นั่นแล้ว กลัวจะมีอะไรตามมาอีก ช่วยดูให้พี่หน่อยสิว่า พี่จะเอาดีไหม”

เมขลารู้สึกหนักใจขึ้นมาทันที รู้สึกว่าเรื่องนี้มันยากเกินความสามารถของเธอ แต่เมื่อเขาร้องขอมาด้วยเรื่องนี้ แล้วมันไม่ผิดเจตนารมณ์ที่ได้วางไว้ เมขลาจำต้องเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ ๆ กับเคาน์เตอร์ ฝ่ายนั้นเคยมาดูแล้วจึงรีบตามไปทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ก่อนจะยื่นมือขวาไปให้เมขลาที่นั่งหลับตาพริ้มรวบรวมสมาธิ และเมื่อรู้สึกว่าจิตตัวเองนิ่งพอจะดู เมขลาจึงใช้มือขวาไปแตะที่มือข้างที่หงายอยู่ของอีกฝ่ายเบา ๆ

ภาพต้นไทรปรากฏอยู่ในห้วงสมองเหมือนภาพที่เห็นในโทรทัศน์..นอกจากนั้นเมขลาไม่เห็นอะไร ไม่มีความรู้สึกอะไรนอกจากความว่างเปล่า..แต่อึดใจเดียวภาพนั้นก็ดูดความรู้สึกของเมขลาเข้าสู่ที่มืดสลับกับความสว่าง สว่างขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเมขลาเห็นชายผ้าสีขาวปลิวอยู่ตรงหน้าพร้อมลมเย็น ๆ..แล้วเมขลาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีของผู้ชายแก่ พร้อมกับความรู้สึกที่ว่า ที่แปลงนั้น ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เจ้าของ ไม่ควรเข้าไปจับจอง เดี๋ยวคนที่เป็นเจ้าของจริง ๆ เขาก็มา แต่ยังไม่ใช่เวลานี้ และที่ตรงนี้ก็เป็นที่ สำคัญเกินกว่าจะมารองรับการอยู่อาศัยของคนธรรมดา มันจะต้องเป็นวัดในวันข้างหน้า..

เมขลาลืมตาตื่นพร้อมลมหายใจหอบ ๆ

“ได้เรื่องไหมคะ หมอเม”

“ได้ค่ะ ไม่ใช่ที่ของพี่หรอกค่ะ หาแปลงอื่นเถอะ..”

“แปลงที่ไหน” คนโลภย่อมซักไซ้..

“ตรงนี้นอกเหนือจากเรื่องที่พี่บอกไว้ตั้งแต่แรกค่ะ”

“โอเค ขอบคุณมากนะคะ..ตอนไปดูที่ พี่ก็มีความรู้สึกว่าไม่ถูกใจเท่าไหร่ แต่ว่า
ราคามันชวนให้อยากได้ ก็เลยมาพึ่งหมอเมขลา..ขอบคุณนะคะ โอกาสหน้าจะกลับมารบกวนใหม่ค่ะ” ขอบคุณเป็นการพนมมือน้อมศีรษะ แล้วคุณพี่ของเมขลาก็ลุกขึ้นยิ้มให้สองผัวเมียที่มองเมขลาอย่างทึ่ง ๆ แล้วก็เดินฉับ ๆ ออกจากร้านไป...



จากที่อากุหลาบกับลุงวินัยของเมขลากลับไปแล้ว เมขลาก็ถึงกับหมดเรี่ยวแรง อุสาเห็นว่าหน้าของเมขลาดูซีดเซียวผิดที่เคยเห็น หญิงสาวจึงทำน้ำส้มค้นมาให้ หลังจากที่ดื่มน้ำส้มไปแล้ว เมขลาก็นั่งดูสมุดคิวที่วิจิตรศราจดไว้ให้ เหลือคนที่เธอจะต้องทำนายทายทักให้อีกสามคน จะมาตอนบ่ายสามโมงเย็น..เมขลาคิดว่าควรจะกลับขึ้นไปนอนสักงีบ..

พลันที่หน้าร้านก็ปรากฏกลุ่มมอเตอร์ไซด์สี่คัน สองคันเป็นผู้ชายขับมีผู้หญิงซ้อนท้ายคันละสองคน อีกสองคนเป็นผู้หญิงขับมีผู้หญิงซ้อนคันละหนึ่งคัน พอรถจอดทั้งผู้หญิงที่ลงจากรถก่อนก็กรูกันเข้ามาในร้าน

ด้วยตอนนั้นเป็นเวลาพักของน้องอ้อ เมขลาเห็นว่าอุสาจะทำไม่ทันสั่ง หญิงสาวจึงวกกลับไปในเคาน์เตอร์ แล้วก็รับออเดอร์ที่กว่าจะสรุปกันว่าใครจะกินอะไรก็เล่นเอาเมขลาควันออกหูเหมือนกัน

และขณะที่เมขลากำลังปิ้งขนมปัง..หญิงสาวร่างเล็ก ใส่เสื้อกร้ามเผยให้เห็นหน้าอกหน้าใจใหญ่โตเกินตัว ก็ร้องวี๊ดว๊ายขึ้นมา หลังจากนั้นก็กรากไปหาสบู่กับโทนเนอร์ที่อยู่ในตระกร้า..

“อ้าย..เหมือนกับที่พี่น้า..ซื้อไปเลยนิ ใช่เลย กลิ่นเดียวกัน เหมือนกันเด๊ะเลย”
ชื่อพี่น้า ทำให้หัวคิ้วของเมขลาขมวดเข้าหากัน..

“จันทร์เจ้าฉาย สบู่ เอ็นไซม์” อีกคนเข้ามาอ่านฉลาก และที่เหลือก็กรูกันมาจับ มาดม บ้างก็ทำท่าว่าจะกินเพราะสีสันรูปทรงของสบู่นั้นเหมือนขนม อีกคนหนึ่งก็ถือ สบู่วิ่งไปให้ชายหนุ่มสองคนที่อยู่หน้าร้านดมอีก ตอนนั้นเมขลาพยายามจับตาดูเพราะกลัวว่าเด็กพวกนี้จะลักของใส่กระเป๋าไป แต่พักหนึ่งคนที่ถือออกไปก็ถือกลับมาคืนใส่ตระกร้าแล้วก็ยืนมองการทำเครื่องดื่มด้วยทีท่าสนใจ อีกทางหนึ่งก็คุยกันเรื่องสบู่อย่างออกรส

“ใช้ดีมากนะมึง..กูใช้ได้กี่วันวะเนี่ย ลืมไปแล้ว หน้ากูนิ่มขึ้นเลย มองลองจับดูซิ”

“ถึงว่า ช่วงนี้ดูมึงมียางอายขึ้นมาบ้าง หน้าเริ่มบางนี่เอง”

“อีบ้านี่”

“ใช้ดีจริง ๆ เหรอวะ” อีกคนดูท่าทางจะสนใจขึ้นมา เพราะคำยืนยันจากผู้ที่ใช้แล้ว

“ลองซิ ก้อนละห้าสิบบาทหรือเปล่าพี่” จอยหันไปถามคนขาย

“ใช่ ก้อนละห้าสิบบาท” เมขลาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ

“หรือจะไปซื้อกับพี่น้าดี เห็นมีอยู่เป็นสิบ ๆ ก้อน นึกอย่างไรเหมาไปซะเยอะเลย พี่รู้จักพี่น้าเปล่า..”

“ได้แล้วจ้ะ..” น้าที่ว่าคงไม่ใช่น้าไหนหรอก ชื่อแปลก ๆ แบบนั้นคงมีอยู่คนเดียว..และที่สำคัญซื้อไปเป็นสิบ ๆ ก้อนก็คือเขานี่แหละ..จุดไต้ตำตอแท้ ๆ เมขลาไม่ตอบ แต่เป็นฝ่ายส่งขนมปังไปให้น้องอีกคนหนึ่งที่ดูท่าจะหิวมากกว่า และเครื่องดื่มที่อุสาทำก็เสร็จพอดีก็ถูกลำเลียงออกมาวาง สี่ในหกจึงรีบถือถาดเครื่องดื่มพร้อมขนมปังออกไปหาเพื่อนชาย แต่อีกสองคนนั้นยังอ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้น อยู่แล้วก็ทำให้เมขลารู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ..

“มึงสนใจเหรอ ..อย่าเพิ่งซื้อเลย วันนี้ วันเสาร์ เดี๋ยวค่ำ ๆ พี่น้าเค้าก็กลับบ้านไปเอาของพี่เค้าก็ได้”

“เสียเวลา กูอยากใช้ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ”

“ก็กูอยากมีเรื่องไปหาพี่เค้า ไปอ่อยเหยื่อ”

“มึงนี่สุดยอดเลยนะ”

“ชาตินี้ถ้ากูไม่ได้เขาทำผัวกู ไม่ถอยหรอก”

“กล้าพูดออกมาเนอะ”

“มึงคอยดูไปก็แล้วกัน”



หลังจากที่หญิงคนนั้นกลับไป ทั้งวินัยกับกุหลาบก็ลุกจากโต๊ะออกมาหาเมขลา หลังจากนั้นวินัยก็ขอร้องให้เมขลาช่วยดูอาการเจ็บที่หลังของกุหลาบ ด้วยเข้าใจแล้วว่าตอนที่เมขลาไปจับที่หลังแล้วผงะนั้น

เมขลาจะต้องรู้ต้องเห็นอะไรสักอย่างที่อยู่เบื้องหลังความเจ็บปวดนี้..

เมขลากำหนดจิตสัมผัสให้แต่ว่าครั้งนี้หญิงสาวไม่ได้แตะมือของคนมีความทุกข์ หญิงสาวแตะไปยังจุดที่ทำให้เธอค้นพบว่า นอกจากมือแล้วส่วนอื่น ๆ ที่มีปัญหาก็สามารถเช็คได้ว่าเกิดจากอะไร พอเช็คไปแล้วก็มีเสียงผู้ชายที่ยังหนุ่มแน่นบอกให้เมขลาได้รู้ว่า จะต้องขอขมาและตั้งศาลให้กับนางพญาปลวกที่ตายไปเพราะน้ำมือของนางกุหลาบ ส่วนอาการเจ็บปวดนั้นทางหมอหลวงจะเป็นคนรักษาต่อไป..

เมื่อกลับมาถึงบ้าน แรกทีเดียว สองผัวเมียลังเลที่จะโทรหาลูกชาย เพราะไม่อยากให้มีเรื่องไม่สบายใจ แต่พอดีกฤษณะเลิกเรียนแล้วโทรมาหาด้วยรู้ว่าวันนี้พ่อกับแม่จะเข้าไปที่ร้านของวิจิตรศราเพื่อเอาขนมไปฝากเมขลา..และไปสานสายสัมพันธ์กันต่อ..ดังนั้นนางกุหลาบจึงต้องบอกเล่าเรื่องอัศจรรย์พันลึกนี้ให้กฤษณะได้รับรู้ เมื่อรับรู้ หลังเลิกเรียน กฤษณะจึงขี่รถไปหาแม่เพราะอยากเห็นจุดที่เกิดเหตุ
พอถึงบ้าน กฤษณะจึงได้เห็นว่าที่รั้วข้างบ้านนั้นจุดที่แม่ขุดจอมปลวกทิ้งไปนั้น บัดนี้กลายเป็นกอมะลิ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีจอมปลวกขนาดย่อมขึ้นอยู่ใกล้ ๆ

“แล้วจะทำอย่างไรต่อไป”

“พ่อเขาออกไปหาคนที่ตั้งศาลได้แล้ว..อยู่ในหมู่บ้านนี่แหละ ตาคนนี้เก่ง ติดต่อเทพได้..” ก่อนหน้านั้นนายวินัยไม่มีความเชื่อเรื่องพวกนี้ แต่ว่าเมื่อเห็นว่าเด็กสาวที่ดูให้นั้น ไม่ได้หากินในทางนี้ เขาจึงยอมอ่อนข้อให้กับเรื่องที่มองไม่เห็นหน้า เพราะอาการเจ็บแปลบนั้นมันทรมานเป็นระยะจนเขาสงสารเมียคู่ทุกข์คู่ยาก

“แล้วคุณหนูนาเขาว่าอย่างไรบ้าง”

“เขาบอกว่าเขารู้แค่นี้ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ต้องหาคนที่รู้ดีกว่าเขามาจัดการ เขาไม่รู้เรื่องพิธีกรรมอะไรพวกนี้หรอก เขาบอกว่าเป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขามายุ่งกับเรื่องแปลก ๆ แบบนี้”

“เมื่อวานเขาก็ยุ่งกับเรื่องตามหาขโมย” กฤษณะจำต้องเล่าเรื่องที่รับรู้จากอุมารินทร์ให้แม่ได้รู้ไว้ว่า ในตัวหนูนานั้นมีญาณมีเซ้นส์ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ เขาก็ไม่รู้หรอกว่า ต่อไปมันมีผลดีผลร้ายกับชีวิตรักของเขาหรือไม่ แต่ใจที่เขามีให้กับหนูนานั้น เป็นใจรักที่บริสุทธิ์ แม้ไม่ได้ครอบครอง แต่เขาก็อยากเห็นหนูนาอยู่ดีมีสุข

“นะ ตอนนี้แม่รู้สึกแย่มากเลยนะ ที่ไม่ยอมบอกความจริงว่า แม่กับพ่อเป็นใคร”

“เดี๋ยวเอาไว้โอกาสดี ๆ ค่อยบอกก็ได้ครับแม่ เดี๋ยวผมจะเป็นคนบอกเขาเอง..”

“รีบบอกเขานะ ถ้านานไป แล้วเขามารู้ทีหลังเขาจะโกรธจะเกลียดพวกเราเอาได้”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2555, 11:04:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ค. 2555, 11:04:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 2556





<< 14.“ถ้าผมเป็นอะไรไป คุณจะเสียใจไหม”   16.รัตนาเมขลา >>
จุฬามณีเฟื่องนคร 16 พ.ค. 2555, 11:05:12 น.
ขอบคุณจากทุก ๆ แรงใจนะครับ เรื่องมันอาจจะพลิกไปแนวเหนือธรรมชาติบ้างอะไรบ้าง..ก็นะ..มันคือเรื่อง "ม่านพรหม" ครับ..


sai 16 พ.ค. 2555, 11:48:34 น.
หนูนา พักเยอะๆนะ ดูดวงให้คนอื่นจนหน้าซีดเชียว


innam 16 พ.ค. 2555, 11:58:17 น.
รอกันอีกนิด


แว่นใส 16 พ.ค. 2555, 15:30:49 น.
ก็ต้องรอดูกันต่อไปเนอะ


คิมหันตุ์ 16 พ.ค. 2555, 15:36:54 น.
มาจุดใต้ ตำตอบักเอ้กกกกก เลยนะน้องจอย


anOO 16 พ.ค. 2555, 18:35:06 น.
เฮ้อ...เหนื่อยแทนหนูนาเลย คนอยากรู้ก็อยากจะรู้ทุกเรื่องจริงๆ


พู่ไหมบุรามฉัตร 16 พ.ค. 2555, 20:06:23 น.
มาส่งเสียงกิ๊วก๊าวบ้านนี้หน่อยน้า


nutcha 16 พ.ค. 2555, 20:45:56 น.
ตอนนี้คะน้าโผล่จิ๊ดเดียวเอง เห็นคุณเฟื่องเขียน "สวดมนตร์" แต่มันน่าจะเขียนแบบนี้นะ "สวดมนต์"


Zephyr 20 พ.ค. 2555, 08:20:31 น.
ความจริงเปิดเผยเมื่อไร พี่น้า เตรียมหัวแบะได้เลย อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account