เพลงมาร
'เพลงมาร' จุดเริ่มต้นของเรื่องราวการตายอย่างมีเงื่อนงำ หลายชีวิตที่จากไป ล้วนเกี่ยวโยงกับมัน

ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
Tags: เพลง ความตาย อาถรรพ์ อุปรากร ลี้ลับ

ตอน: องก์ที่ ๓

หลังกราบพระ ดารุจก็วิ่งลงมาชั้นล่าง จุดธูปหนึ่งดอกปักในกระถางทองเหลืองต่อหน้าโถเครื่องถ้วยบรรจุอัฐิเขียนลายดอกโบตั๋น ถัดจากนั้นเป็นภาพถ่ายใส่กรอบไม้ฉลุลายเมฆจีนแขวนผนัง ขนาดภาพค่อนข้างใหญ่ หากก็พอยกได้เพียงลำพัง

ภาพนั้นเป็นภาพสีเก่าคร่ำคร่า ทว่าชัดเจนในระดับความสามารถของกล้องใช้ฟิล์มสมัยก่อน หญิงสาวในรูปสวมชุดแขนยาวสีขาวคาดเข็มขัดทอง ตัวเสื้อฉลุลายดอกกระจิริดเป็นระเบียบที่คอเสื้อ เอวและปลายแขน รอยฉลุรอบกลีบดอกประดับด้วยงานลูกปัดสี ท่อนล่างนุ่งซิ่นผ้าปาเต๊ะลายช่อดอกไม้ทอดระทวย ผมยาวระต้นคอถูกดัดม้วนเป็นลอนคลื่น รับดวงหน้ายิ้มละไมอ่อนหวาน

หล่อนนั่งอยู่ในห้องไม้ เชิดหน้าเสมองไปเสียทางอื่น ราวไม่ยอมรับรู้ว่ามีกล้องจับภาพอยู่ ในมือข้างที่ถือพัดลูกไม้สวมกำไลหยกขาวแกะสลัก หากจะเป็นรูปอะไรก็ไม่ใคร่ชัดเจน ด้วยถูกสีขาวและแสงสว่างกลบกลืนลาย บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยงานฝีมือ หน้าต่าง ประตู หรือแม้แต่ตัวโต๊ะเก้าอี้เคลือบสีดำ เหล่านั้นแฝงลวดลายประแจจีนมีชั้นเชิง

ครั้นไหว้ภาพถ่ายตรงหน้าเรียบร้อย ดารุจก็ยิ้มละไมให้สตรีในภาพ

รูปคุณป้าใหญ่...มองเท่าไร...ก็ไม่รู้เบื่อ

"รุจ!" เสียงเรียกทำให้ชายหนุ่มสะดุ้ง เหลียวมองก็พบสตรีวัยกลางคนในชุดลูกไม้นุ่งผ้าซิ่นปาเต๊ะยืนเท้าเอว "ไหว้ตัวอี๋เสร็จแล้วก็รีบไปได้แล้วลูก มัวแต่มายืนมองตัวอี๋ ประเดี๋ยวก็ไม่ทำงานสาย"

ชายหนุ่มยิ้มอายพลางเกาหัวแก้เก้อ

"ก็รูปตัวอี๋รูปนี้สวยออก ดูเท่าไรผมก็ไม่เบื่อ หรืออาอี๋ว่าไม่จริงล่ะครับ" เขาละจากรูปของคุณป้าใหญ่ เดินเข้าไปโอบกอดน้าสาวอย่างออดอ้อน

"หลงเสน่ห์สาวแก่ละว้า...หลานฉัน เอ้า! เลือกสักคน จะไปอยู่กับตัวอี๋ หรือจะอยู่กับอี๋" อรุณวดีกระเซ้า ทำอีกฝ่ายสะดุ้งโหยง รีบโบกมือพัลวัน

"หวา! ไม่ดีครับ อยู่กับอาอี๋ดีกว่า ให้ผมไปอยู่กับตัวอี๋ตอนนี้..." ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย หันไปไหว้ปลกภาพป้าใหญ่บนฝาผนัง "ผมรักตัวอี๋นะครับ แต่ผมยังไม่พร้อม"

เห็นกิริยาดารุจเข้า อรุณวดีก็หัวเราะร่วนพลางส่ายหน้า

"ขี้เล่นจริงๆ เลยเราเนี่ย สงสัยจะติดนิสัยตาวีมาแน่ๆ" อรุณวดีหมายถึงกวี นายตำรวจหนุ่มเพื่อนสนิทของหลานชาย "รีบไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวสายจะมาว่าอี๋ไม่เตือนไม่ได้นะ"

ดารุจยิ้มแป้น สวมกอดน้าสาวแล้วหอมแก้มซ้ายขวาก่อนลาไหว้ ฝ่ายอรุณวดีก็หันไปจัดแจงปกเสื้อเชิ้ตกับผมเผ้า เรียบร้อยจึงเหลียวไปคว้ากระเป๋าหนังมาสะพายแล่งชายหนุ่ม ส่งแว่นตากันลมพร้อมยื่นหมวกนิรภัยสีเดียวกับรถจักรยานยนต์ให้เป็นอย่างสุดท้าย

ครั้นทรงเครื่องครบชุด ชายหนุ่มก็ออกตัว ขับขี่จักรยานยนต์ไปตามท้องถนนบ้านเกิดอย่างคุ้นชิน หากในความเร็วที่เหมาะสม ระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ดารุจมักถูกมองว่าเป็นหนุ่มเจ้าสำอาง อันเนื่องมาจากผิวเนื้อที่ขาว เนียนละเอียดราวผิวของหญิงสาว แม้จะมีคิ้วพาดเฉียงเหนือตาชั้นเดียวเล็กยิบหยีเพิ่มความคมเข้มอย่างชายหนุ่ม หากยามหลับพริ้ม เส้นขอบตากลับงดงามราวตวัดวาดด้วยพู่กันจีน

เขาเป็นลูกครึ่งจีนอย่างที่ชาวภูเก็ตเรียกกันว่า 'บ้าบ๋า' ภาษาที่ใช้ในครอบครัวโดยมากเป็นภาษาไทยบ้าบ๋าภูเก็ต ซึ่งศัพท์แสงส่วนใหญ่เป็นคำยืมจากภาษาจีนฝูเจี้ยน หรือฮกเกี้ยนในภาษาจีนแต้จิ๋ว มีคำมลายูบ้าง อังกฤษบ้าง บางคำก็เป็นการผสมผสานระหว่างภาษาจีนฮกเกี้ยนและภาษามลายู

อย่าง 'ตัวอี๋' กับ 'อาอี๋' ก็เป็นคำเรียกติดปากสำหรับชายหนุ่ม ใช้เรียกขาน 'คุณป้าใหญ่' และ 'น้าสาว'

ส่วนสูงของดารุจถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานชายไทย ทว่าสัดส่วนร่างกายค่อนไปในทางมีทรวดทรง ผิดกับเพื่อนหนุ่มอย่างกวี รายนั้นออกกำลังกายเป็นประจำจนร่างกายบึกบึน

จำได้แม่นยำเมื่อครั้งถามถึงวัตถุประสงค์ของการออกกำลังกายอย่างแข็งขัน ขณะที่เพื่อนหนุ่มชวนเขาไปออกกำลังกายในฟิตเนส กวีตอบฉาดฉาน ไม่อายคนที่กำลังวิ่งบนลู่ถัดไป ขณะที่ดารุจกลับอายแทบแทรกแผ่นดิน

'รุจเพื่อนรัก ฉันมันเป็นนายตำรวจหนุ่มโสด เป็นจำพวกอกหัก รักคุด ตุ๊ดยังเมิน ไร้วี่แววทั้งหญิงแท้และชายเทียมจะเข้ามากล้ำกราย' ตอนนั้นกวียังคงวิ่งต่อไปบนลู่ ไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง 'ฉันเลยมีหน้าที่สำคัญที่ต้องรักษาหุ่นให้กระชับได้สัดส่วน จนกว่าจะหาเมียได้เป็นตัวเป็นตน'

พูดจบก็หันมามองดารุจ แววตาที่ปรากฏส่อความ 'เสียดาย'

'ขอโทษนะเว้ย...รุจ แต่เมียฉันในที่นี้หมายถึงผู้หญิงจริงๆ ที่เขาสามารถผลิตลูกให้ฉันได้'

นั่นล่ะ...ดารุจจึงหันไปสบถด่าอีกฝ่ายในทันที หากกวีไม่ยี่หระ ยังคงตั้งหน้าเชิดอกวิ่งต่อ เขาอดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายคงทานทนต่อฝีปากปุณฑริกเสียแล้ว จึงไม่ระแคะระคายกับคำด่าของเขา มิหนำซ้ำยังพูดต่อไปอย่างไม่อายฟ้าดินถึงแผนการชีวิตที่ตั้งเป้าเอาไว้

'แล้วพอฉันมีรังให้นอนตายแล้ว ก็ค่อยปล่อยให้พุงมันพลุ้ยเหมือนพวกผู้หญิงท้องแก่อุ้ยอ้ายก็ยังไม่สาย' พูดจบก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ 'แต่ไม่ต้องห่วง ถ้าฉันหาใครไม่ได้จริงๆ แกนั่นแหละที่ต้องมาเป็นแม่บ้านให้ฉัน แล้วตอนนั้น...ฉันจะเรียกแกว่า...ดาด้า'

แววตากวีหยาดเยิ้มราวน้ำผึ้ง ทำเอาชายหนุ่มขนลุกเกรียว สะบัดร้อนสะบัดหนาวไปทั้งตัว

'แกรีบหาแฟนแล้วแต่งเมียเถอะไอ้วี! เวรกรรมจริงๆ พากูมาแกล้งชัดๆ'

ดารุจสบถทิ้งท้ายก่อนหมุนตัวกลับ เขาเดินออกจากฟิตเนสไม่คิดชีวิต ไม่รอฟังกระทั่งเสียงหัวเราะชอบใจของนายตำรวจหนุ่มผู้เป็นเพื่อน

คิดถึงเหตุการณ์ตอนนั้นทีไร อดขำเพื่อนหนุ่มไม่ได้ทุกที...

ปัจจุบันดารุจทำงานเป็นบรรณารักษ์ประจำหอสมุดแห่งชาติวัดเจริญสมณกิจ ในตำบลเขาโต๊ะแซะ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ระยะทางจากบ้านไปถึงที่ทำงาน จะว่าไปแล้วก็ห่างกันอยู่หลายกิโลเมตร ทว่ายังโชคดีที่มีรถจักรยานยนต์คันเก่ง ซึ่งน้าสาวซื้อให้ตอนได้งานใหม่ๆ ชายหนุ่มจึงสบายไปเปลาะหนึ่ง

อันที่จริงน้าสาวของเขาตั้งใจจะซื้อรถยนต์เป็นของขวัญให้หลังเรียนจบ เพราะเห็นว่าชายหนุ่มโตแล้ว และมีงานทำเป็นหลักแหล่ง ทว่าดารุจไม่ชื่นชอบรถยนต์เท่าไรนัก

ประการสำคัญอาจเพราะมีเพื่อนอย่างกวี รายนั้นชอบขับขี่จักรยานยนต์ยิ่งกว่าอะไร ช่วงที่เรียนชั้นประถมศึกษาตอนปลายจนจบมัธยมศึกษาตอนต้น นายตำรวจหนุ่มมักขับจักรยานยนต์มารับเขาซ้อนท้ายไปโรงเรียนทุกเช้า ก่อนจะส่งกลับมาบ้านทุกเย็นราวสารถี

กระทั่งอีกฝ่ายสอบติดโรงเรียนเตรียมทหาร ในส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดารุจจึงต้องหันไปขับขี่รถจักรยานยนต์เอง จนกลายเป็นคนที่ชื่นชอบรถจักรยานยนต์มากกว่ารถยนต์ที่คนทั่วไปนิยมกัน

ชายหนุ่มขับไปตามเส้นทางที่ทอดตัวสู่อาคารอิฐสองชั้น ริมรายทางครึ้มเขียวด้วยหมู่แมกไม้ใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงา มองไปทางใดก็ชวนให้สดชื่นสบายอารมณ์ กระทั่งผ่านแผ่นป้ายบอกสถานที่ประดับธงไตรรงค์และธงเฉลิมพระเกียรติ ตัวหนังสือสีขาวก็โดดออกจากป้ายพื้นสีเขียวหยก

'หอสมุดแห่งชาติวัดเจริญสมณกิจ ภูเก็ต'

ดารุจหักเลี้ยวแล้วค่อยชะลอจอดข้างอิฐมอญที่ถูกก่อไว้สำหรับเป็นแนวกระถางปลูกต้นไม้หน้าหอสมุด ดับเครื่องเรียบร้อยก็ถอดหมวกนิรภัยกับแว่นตา หอบสัมภาระทั้งหมดเข้าไปในที่ทำงาน

หอสมุดแห่งชาติที่ดารุจทำงานเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนสองชั้น มุงกระเบื้องสีแดงก่ำขับตัวอาคารที่เป็นสีครีม บนหลังคาชั้นสองประกอบยอดจั่วด้วยไม้แกะสลัก หน้าจั่วติดช่องลมทำจากซี่ไม้ขัดเอี่ยมเรียงซ้อนมีระเบียบ

ทุกครั้งที่ดารุจทอดสายตามองสถานที่ทำงานของตน ชายหนุ่มรู้สึกถึงความภูมิใจล้นปรี่

หอสมุดแห่งชาติไม่ได้มีทุกจังหวัด ในประเทศไทยมีเพียง ๑๗ แห่งเท่านั้น และที่ตำบลเขาโต๊ะแซะ อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ก็คือ ๑ ใน ๑๗ แห่งทั่วประเทศ

หอสมุดแห่งนี้ได้รับสถาปนาขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระมหากษัตราธิราชแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยการรวมหอพระมณเฑียรธรรม หอพระสมุดวชิรญาณ และหอพุทธสาสนสังคหะเข้าด้วยกัน ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระบรมราชโองการ ประกาศจัดการหอพระสมุดวชิรญาณให้เป็นหอสมุดสำหรับพระนคร และได้วิวัฒนาการมาเป็นสำนักหอสมุดแห่งชาติในปัจจุบัน

ลูกหลานไทยจะรู้ไหมหนอ...พวกเขาเหล่านั้นมีพระมหากษัตริย์ซึ่งเปรียบเสมือนผู้อำนวยการโรงเรียนผู้ประเสริฐ คอยจัดหาแหล่งการเรียนรู้ วัสดุอุปกรณ์ หนังสือหนังหา รวมไปถึงบุคลากรที่มีคุณภาพเพื่อคอยให้ความรู้แก่พวกเขา

พระบารมีนั้นแผ่ไพศาล ทั่วทุกภาคถิ่น เพื่อประโยชน์ของประชาชน

แต่ครั้นนึกถึง 'บุคลากร' ที่มีคุณภาพ ชายหนุ่มก็พานคิดไปถึงเพื่อนร่วมงานที่ปัจจุบันนี้แทบไม่ได้สุงสิงกันแม้แต่นิด

ที่กล่าวเช่นนี้...ไม่ใช่ว่าเขาเข้ากับใครไม่ได้ หากแต่ประเด็นหลักกลับเกิดจากความเชื่อส่วนบุคคลที่ดันกลายเป็นความเชื่อหมู่ชน กระทั่งทุกคนไม่กล้าสุงสิงด้วยต่างหาก

ดูอย่างสาวใหญ่ร่างท้วมสวมแว่นเกล้ามวยสูง ที่กำลังก้มหน้าก้มตากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพลางซดน้ำซุปเสียงดังอยู่ที่โต๊ะทำงานตัวใหญ่นั่นปะไร หล่อนชื่อกระดังงา เป็นหัวหน้าบรรณารักษ์ของที่นี่ ทว่าเจ้าหน้าที่ในหอสมุดจะเรียกหล่อนว่า 'พี่แขก' อันเป็นชื่อเล่นเสียมากกว่า

กระดังงาเป็นผู้หญิงที่มีอิทธิพลคนหนึ่งในที่ทำงาน ความคิดหรือความเชื่อของเจ้าหน้าที่ในหอสมุดแห่งชาติ โดยส่วนมากก็ได้มาจากผู้หญิงคนนี้ หล่อนมีวาทศิลป์และเก่งทางด้านการโน้มน้าวคนเป็นอย่างยิ่ง สีเสื้อแต่ละวันที่หล่อนใส่มาทำงาน ต้องตรงตามตารางโฉลกบอกเสมอ รวมถึงอัญมณีที่ประดับตัวนั่นก็ด้วย

วันนี้เป็นวันอังคาร วันเริ่มงานของหอสมุด กระดังงาสวมชุดไหมสีม่วงเป็นมันเลื่อม แต่ดูอย่างไร...ก็ไม่คิดว่าจะเข้ากับชุดสร้อยคอและตุ้มหูไพลินที่หล่อนสวมนัก

แต่ก็อย่างว่า...ความเชื่อส่วนบุคคลก็เรื่องของใครของมัน เขาไม่คิดจะก้าวก่าย และคงไม่สนใจหากอีกฝ่ายไม่นำความเชื่อเหล่านั้นมาทำให้คนอื่นเดือดร้อน

ดารุจเลื่อนประตูกระจกเปิด กวาดตามองราวพาดหนังสือพิมพ์ที่ยังคงว่างเปล่า บนราวไม้ไม่มีหนังสือพิมพ์สักฉบับ กระดังงาก็ไม่อินังขังขอบ ยังสนใจแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ซดโฮกฮากด้วยเสียงน่าเกลียด

"พี่แขกครับ หนังสือพิมพ์เขายังไม่มาส่งเหรอครับ?" ชายหนุ่มตะโกนถามจากหน้าเคาท์เตอร์ ทำเอาหัวหน้าบรรณารักษ์แทบสำลักเส้นบะหมี่ น้ำซุปเข้มข้นที่เคยอยู่ในปากถูกพ่นเต็มโต๊ะ เอกสารสำคัญทางราชการต่างๆ เปรอะเลอะด้วยเศษบะหมี่และคราบด่างดวงของน้ำซุป

ดารุจเห็นเข้าก็ตระหนก ตั้งใจวิ่งไปช่วย ทว่าอีกฝ่ายกลับยกมือห้าม

"ไม่เป็นไรรุจ...ไม่ต้อง" สีหน้าหล่อนไม่สู้ดี ดวงหน้าซีดเผือดก้มงุด ไม่แม้จะแหงนขึ้นสบสายตาชายหนุ่ม "เมื่อวานวันจันทร์ หอสมุดปิด คนส่งคงลืม เช้านี้พี่โทร. ตามที่ร้านแล้ว รุจไปรอรับหนังสือพิมพ์เถอะ"

พูดจบ หญิงร่างท้วมก็ฉวยทิชชูในกล่องกระดาษขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตา จากนั้นจึงหันไปจัดการเช็ดโต๊ะ ไม่สนใจดารุจอีก

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ดารุจมายืนรอเด็กส่งหนังสือพิมพ์ตามคำสั่งของกระดังงา เห็นเพื่อนเจ้าหน้าที่เริ่มเดินทางมาทำงานก็ทักทายพร้อมแย้มยิ้ม ทว่าดูเหมือนพวกเขาไม่ค่อยอยากเสวนากับชายหนุ่มเท่าที่ควร พอดารุจโบกมือให้ เหล่านั้นก็ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะแยกตัวเดินเข้าไปในที่ทำงาน ทิ้งให้ดารุจยิ้มเก้อ ทอดสายตามองพวกเขาจนลับแผ่นหลัง

อยู่ๆ ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวก็เข้ามาครอบงำจิตใจของชายหนุ่ม เสมือนรอบตัวไร้สรรพสำเนียงของสิ่งมีชีวิต ซึ่งแท้ที่จริง...เขาควรจะชินชากับมันได้แล้ว

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นับแต่เล็กจนโต นอกจากปุณฑริก...กวี...นางอรุณวดี...และกองหนังสือ ดารุจก็ไม่มีใครอีก คล้ายเด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่ท่ามกลางป่าช้าอันมืดทึบ หันไปร้องเรียกหาความช่วยเหลือจากที่ใด ก็ได้ยินเพียงเสียงสะท้อนของตัวเองดังกลับมา

ลึกลงในใจ เขามีแต่ความกลัว เหงา ว้าเหว่ ชายหนุ่มต้องการอ้อมกอดของใครสักคน หรืออย่างน้อย...ก็เพียง 'ความเข้าใจ'

ชีวิตที่เหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลกใบใหญ่ คนที่เข้าใจมีน้อย เมื่อเทียบกับคนรอบข้างที่ทำเหมือนรังเกียจเดียดฉันท์ ถ้าเหตุผลมาจากความผิดที่เขาก่อ ชายหนุ่มคงทำใจยอมรับได้มากกว่า ทว่าเหตุสำคัญกลับเกิดขึ้นจากสิ่งที่ชายหนุ่มไม่ได้กระทำ

จึงอดรู้สึกไม่ได้ว่า...โลกนี้...ช่างอยุติธรรม

เขาไม่เคยทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจ กระนั้น 'แทบ' ทุกคนต่างก็เชื่อมั่นว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้อง หวาดกลัว ไม่ปรารถนาจะเสวนา 'แทบ' ทุกคน แม้แต่แม่บังเกิดเกล้าของเขาเอง

'เจ้ริน...หว้าพาเจ้ารุจมาเยี่ยม รุจมันบ่นอยากมาเยี่ยมอามะ'

ภาพความทรงจำเก่าๆ พรั่งพรูราวสายน้ำหลาก นางอรุณวดีผู้เป็นน้าสาวจูงมือเด็กชายดารุจวัย ๑๒ ขวบ ไปเยี่ยมผู้เป็นมารดาถึงบ้านตามคำวอนขอ

ภาพแรกที่ปรากฏให้เด็กชายดารุจเห็น คือหญิงสาวผิวขาวสุกปลั่ง รูปร่างงามระหงเหมาะกับชุดลูกไม้สีเหลืองทองกับซิ่นปาเต๊ะสีเขียวลายดอกไม้ เด็กชายอดรู้สึกไปเองไม่ได้ว่า มารดาคงแต่งตัวเพื่อเตรียมมาต้อนรับ หากไร้ความเมินเฉยและเย็นชาในแววตานั้น เขาคงเชื่ออย่างสนิทใจ

ณ เวลานั้น แม้อายุ ๑๒ ปี หากเด็กชายก็เข้าใจถึงความรู้สึกที่เหมือนยืนอยู่ท่ามกลางน้ำแข็งที่โอบล้อม เหน็บหนาวจนต้องกอดตัวเอง ยิ่งสบตามองผู้เป็นมารดา อ่านสายตาคู่นั้น เหตุใดจึงเหมือนมารดากำลังบอกเขาว่า...

'อย่ามายุ่งกับฉัน'

เด็กชายดารุจบอกไม่ถูกว่าเขากำลังดีใจที่ได้พบแม่ หรือเสียใจที่แม่ไม่ต้อนรับ มันเป็นความรู้สึกที่จุกในอก ตีบตันขึ้นมาถึงลำคอ ขอบตาร้อนผ่าว แล้วฉับพลัน ภาพของมารดาก็พร่าพรายด้วยม่านน้ำตาที่บดบัง

น้าสาวของเขาบอกว่าป้ารำพาขอเขามาเลี้ยงเป็นลูก เพราะป้าไม่ได้แต่งงาน ทว่าดารุจก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของผู้เป็นป้าอย่างจริงๆ จังๆ นอกเสียจากภาพสตรีในชุดย่าหยาบนฝาผนังกับโถเครื่องถ้วยบรรจุอัฐิของนาง น้าสาวบอกเขาว่า แม้มารดาจะยกเขาให้เป็นลูกของป้าใหญ่ แต่หล่อนก็ยังรักเขาเหมือนเดิม

ทว่าทำไมดารุจถึงไม่รู้สึกอย่างที่นางอรุณวดีบอกไว้ สีหน้าและท่าทางของมารดาไม่ได้บ่งบอกว่าปรารถนาจะพบเขาแม้แต่น้อย ยังไม่ต้องนับรวมถึงครั้งอื่นๆ ที่พบกันโดยบังเอิญ มารดาไม่เคยพูดคุยสิ่งใดกับเขา นอกเสียจากชำเลืองมองแล้วก็ผ่านเลยไป

'ไหว้อามะสิลูก...ดารุจ' นางอรุณวดีเดินเข้ามาโอบไหล่เด็กชาย ประโลมลูบศีรษะอ่อนโยน

เด็กชายว่าง่าย พนมมือแนบอก ก้มลงไหว้นางวานรินผู้เป็นมารดาอย่างนอบน้อม แค่หวังว่าเมื่อแหงนหน้าขึ้นมาคงจะพบรอยยิ้มของหล่อนบ้าง

แต่ก็เปล่าเลย...

มารดายังคงเมินเฉย ตอบรับบ้างก็เพียงพยักพเยิด ซึ่งเด็กชายดารุจดูออกว่าเป็นความไม่ใส่ใจ

'ลู่ก็ไม่น่าพามันมาเลย' น้ำเสียงนางวานรินดูหงุดหงิด นางหันไปต่อว่านางอรุณวดีผู้เป็นน้องสาว เมินเฉยต่อเด็กชายราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน 'วันนี้หว้ากับลูกกำลังทำความสะอาดบ้าน ฝุ่นเยอะแยะ ประเดี๋ยวหลานลู่ก็ไม่สบายกันพอดี'

หลานลู่...มารดาแทนตัวเขาด้วยคำว่า...หลานแก

เป็นสรรพนามที่ทำให้ดารุจรู้สึกสะท้อนใจอย่างไรบอกไม่ถูก นางบ่งบอกเจตนารมณ์แน่ชัดในคำเรียกขานนั้น ยิ่งทำให้อาการจุกแน่นตีบตันในลำคอเริ่มหนักหน่วง ขอบตาที่เคยร้อนผ่าวหนักอึ้ง นี่ทำนบน้ำตาคงใกล้จะพังทลาย

แม่คงไม่เคยคิดว่าเขาเป็นลูก...แม้แต่น้อย

กระนั้นเด็กชายดารุจก็พยายามกลืนสะอื้นลงคอ ขมขื่นแค่ไหนเขาก็ต้องทน นานๆ ครั้งถึงจะได้เห็นหน้ามารดาสักที พยายามฝืนยิ้มทั้งที่ความจริงอยากร้องไห้อยู่รอมร่อ

'ให้ผมช่วยทำความสะอาดก็ได้นะครับอามะ' เด็กชายยิ้มพลางอาสา ทำท่าจะก้าวเข้าบ้าน ทว่ากลับต้องสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายตวาดแหว

'ไม่ต้อง!'

ดารุจชะงักงัน นัยน์แววตาที่จับจ้องมารดาเต็มไปด้วยความตระหนกกลัว...ไม่เข้าใจ...และผิดหวัง

เพราะอะไรนางถึงต้องตวาดเขาขนาดนั้น เขาแค่ต้องการช่วยทำงานบ้าน ทำให้นางรู้ว่าเขารักนางมากแค่ไหน แค่หวังว่ามารดาจะรักเขาเหมือนที่รักน้องชายของเขาบ้างก็เท่านั้นเอง

'ผม...ขอโทษ' เด็กชายดารุจก้มหน้างุด พยายามกลั้นสะอื้นเต็มความสามารถ

'เป็นบ้าไปแล้วเหรอเจ้ริน นี่ลูกเจ้นะ' นางอรุณวดีคาดไม่ถึง เห็นหลานสะอื้นไห้ก็ถกชายซิ่นปาเต๊ะปราดเข้าไปตีแขนพี่สาวอย่างนึกโมโห 'เจ้พูดอย่างนี้ได้ยังไง ลูกมันเสียใจนะเจ้'

นางวานรินไม่สนใจคำตำหนิ หล่อนปรายตามองนางอรุณวดีผู้เป็นน้องสาว ครู่หนึ่งจึงคว้าข้อมืออีกฝ่ายเตรียมพาไปอีกฟากของตัวบ้าน ทว่าอึดใจกลับชะงักฝีเท้า รีบหันมากำชับเด็กชายดารุจที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่หน้าประตูบ้านด้วยเสียงเข้มงวด

'อามะ...เอ่อ...' นางอ้ำอึ้ง

คำๆ นี้มันคงออกเสียงยากเกินไปสำหรับมารดาของเขากระมัง แค่เพียงคำเดียวที่ใช้บ่งบอกสถานะระหว่างตัวหล่อนที่มีต่อเขา หล่อนยังอ้ำอึ้งอึกอัก ถึงแม้จะพูดออกมาได้ ทว่าเด็กชายกลับไม่ได้รู้สึกลึกซึ้งแต่ประการใด

ไม่...แม้เพียงนิดเดียว!
'เดี๋ยวอามะจะไปคุยธุระกับอาอี๋หน่อย ลู่เดินเล่นอยู่แถวนี้ก็แล้วกัน แต่ห้ามเข้าไปในบ้านนะ' คำกำชับคำท้าย ดารุจเห็นแววหวาดกลัวสาดฉายออกมาเด่นชัดจากนัยน์ตา จากนั้นมารดาจึงคว้าตัวน้าสาววิ่งหลบไป

เด็กชายดารุจก้มหน้าลง ทำนบน้ำตาที่พยายามรักษาสุดความสามารถพังทลาย จากนั้น ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจทั้งหลายก็พรั่งพรูราวสายน้ำหลาก อารมณ์โศกบิดเบี้ยวแปรเปลี่ยนกลายเป็นความโกรธแค้น

หากไม่ปรารถนาเขาแล้ว...ทำไมไม่ฆ่าเขาให้ตายเสียตั้งแต่เด็กๆ ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่รอดเพื่อเผชิญความรันทดชอกช้ำเพราะอะไร

เกลียดเขานัก...ก็อย่าปล่อยให้เขาเกิดมาเสียสิ!

ฆ่าเขาให้ตายไปเลย...ดีกว่าปล่อยให้ตายทั้งเป็นอยู่ทุกวัน!

เสียงกัดกรามกรอดดังลอดไรฟัน มือทั้งสองที่วางข้างลำตัวกำเกร็งจนสะท้าน เม็ดน้ำตาร่วงเผาะหยดลงพื้น วงแล้ว...วงเล่า ตราบเท่าที่มันยังไม่เหือดแห้งจากหัวใจ

ความเศร้าระทมในชีวิตของชายหนุ่มสาหัสสากรรจ์กว่าที่ใครเคยรู้หรือเคยพบเห็น มีเพียงน้าสาวอย่างนางอรุณวดีเท่านั้นที่ทราบอย่างถ่องแท้ รวมถึงเพื่อนสนิทอย่างปุณฑริกและกวีที่คอยเห็นอกเห็นใจในชะตากรรม

ครั้นได้สติ ดารุจก็ปาดเช็ดน้ำตาที่รินไหลเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตจนหมดจด ไม่นานจากนั้นเสียงแตรรถจักรยานยนต์ก็ดังขึ้นพร้อมเสียงเรียกของเด็กหนุ่มส่งหนังสือพิมพ์

"หนังสือพิมพ์ครับพี่ เฮียให้รีบเอามาส่ง" เด็กหนุ่มยื่นหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันอังคารมาให้ เรียบร้อยก็ปิดหน้ากากหมวกนิรภัย ก่อนเลี้ยวรถแล่นจากไปจากหอสมุดแห่งชาติ

ดารุจพยายามสลัดภาพความเจ็บปวดออกจากความคิด ก้มลงมองหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่ในมือเพื่อหวังว่าข่าวใดข่าวหนึ่งคงเบี่ยงเบนความสนใจไปได้ กระทั่งคลี่อ่านข่าวสารที่น่าติดตามในหน้าแรก ทุกอย่างที่เคยครุ่นคิดก็มลายหายในฉับพลัน

พาดหัวข่าวใหญ่ทุกฉบับ มีภาพของหญิงสาวในชุดลูกไม้จับจีบระบายประณีตสีดำปรากฏอยู่ บนเรือนชุดระยิบระยับด้วยเพชรเม็ดเล็กเม็ดน้อย ใต้ภาพของหล่อนพาดหัวข่าวด้วยตัวอักษรเด่นชัด แม้ในบรรทัดต่อมาที่เป็นรายละเอียดลงลึก ตัวอักษรก็ยังคงใหญ่และหนากว่าเนื้อหาข่าวโดยรอบ

[ตำรวจตามถึงโรงละคร 'ทองธาร สินธุ' หน้าซีด มีเอี่ยวคดีฆ่าแม่เลี้ยง]
[เมื่อคืนก่อน หลังจบการแสดงละครเพลงรอบการกุศล เรื่อง 'อภินิหารขลุ่ยวิเศษ' ละครเพลงสุดคลาสสิกจากฝีมือการกำกับของผู้กำกับละครเพลงชื่อดัง 'คุณบาย ปกรณ์' ตำรวจก็ได้บุกเข้าไปรวบตัว 'นางสาวทองธาร สินธุ' นักร้องอุปรากรสาวชื่อดัง ในฐานะผู้ต้องสงสัยคดีการตายของแม่เลี้ยงของเธอเอง - อ่านต่อหน้า ๑๙]

ดารุจขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก้มลงอ่านหนังสือพิมพ์ในฉบับถัดๆ มา กลับพบว่าทุกฉบับต่างลงข้อความในแนวเดียวกัน บางฉบับรุนแรงกว่านั้น พาดหัวข่าวเสียตัวโต

[ลือ! นักร้องสาวเสียงโซปราโนใจโหด ผลักแม่เลี้ยงตกทะเลตาย!]
[แมลงเมาท์เล่าว่า เมื่อคืนก่อนภายหลังจบการแสดงละครเพลงเรื่องอภินิหารขลุ่ยวิเศษรอบการกุศล นางสาวทองธาร สินธุ นักร้องสาวเสียงโซปราโนก็ถูกตำรวจบุกเข้าจับกุมตัวถึงหลังเวที เหตุเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีการเสียชีวิตของแม่เลี้ยง ซึ่งวงในเล่าว่าเป็นนางสาวทองธารนั่นเองที่จ้างวาน - อ่านต่อหน้า ๑๓]

ดารุจพับหนังสือพิมพ์ ขมวดคิ้วครุ่นคิดด้วยความสงสัย 'ทองธาร สินธุ' หรือ...คือฆาตกร?!

ชื่อนี้เขาได้ยินมาเนิ่นนาน นับตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถมศึกษา กระทั่งจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และยังคงได้ยินข่าวคราวของหล่อนอย่างต่อเนื่องจากแวดวงละครเพลง โทรทัศน์ ไม่ก็ในหนังสือพิมพ์หน้าบันเทิง

ยังจำได้ดี เมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม ดารุจมักชอบมองหล่อน...

ยามเด็กสาวขึ้นร้องเพลงบนเวทีในงานสำคัญต่างๆ เป็นตัวแทนนำร้องเพลงชาติ นำสวดมนต์และกล่าวคำปฏิญาณตนหน้าเสาธงทุกเช้าเวลาเข้าแถว น้ำเสียงที่เปล่งออกมาล้วนไพเราะจับใจ จนแม้แต่คุณครูในโรงเรียนก็ยังชื่นชม

หากมาวันนี้ ทองธาร สินธุ ผู้มีน้ำเสียงดังระฆังสวรรค์ กลับถูกจับกุมตัวด้วยข้อหา...ฆ่าคนตาย!

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เปลี่ยนเวลาอัพเดตเป็น อังคาร - พฤหัสบดี วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป
[จันทร์ - พุธ - ศุกร์ เสนอ ลายลินิน]



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 พ.ค. 2555, 07:51:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 พ.ค. 2555, 07:51:36 น.

จำนวนการเข้าชม : 1318





<< องก์ที่ ๒   องก์ที่ ๔ >>
ริญจน์ธร 18 พ.ค. 2555, 22:39:43 น.
เพิ่งเห็นโจ้ในบอร์ดนี้ แวะมาทักทายค่า


นาถลดา 19 พ.ค. 2555, 11:16:23 น.
สวัสดีครับพี่ซี เพิ่งเข้ามาได้พักหนึ่งครับ อิอิอิ ^___^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account