เมืองริษยา
การหย่าร้าง...ไม่ใชจุดสิ้นสุดของความหายนะ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของ "นีรนาท"...
การได้อยู่เพียงลำพัง ยิ่งโหดร้ายเสียกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า เมื่อกระแสลมแห่งความริษยา พัดผ่านไปทั่วทุกพื้นที่ที่หล่อนก้าวเดินไป!
Tags: รัก ริษยา

ตอน: บทที่ ๔ ภาระที่ไม่อาจหลีกพ้น

*นวนิยายเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาจาก สนพ.สถาพรบุคส์ แล้วครับ*


บทที่ ๔ ภาระที่ไม่อาจหลีกพ้น
-------------------------------


“กดเรียกไม่รู้กี่ครั้ง หายหัวไปอยู่ที่ไหนกันหมด! ถึงเพิ่งจะเข้ามาได้”

ทัตดรงค์แผลงฤทธิ์แต่หัววัน... ทันทีที่ตื่นขึ้น ก็ปวดท้อง จนหน้าบิดหน้าเบี้ยวไปหมด...ทั้งสีหน้าและสารรูปที่ขดงอเหมือนตัวกุ้ง ผู้ช่วยพยาบาลสาวผู้หนึ่ง ซึ่งก้าวเข้ามารับเคราะห์...เป็นต้องอธิบายความให้เขาเข้าใจ

“ขะ...ขอโทษจริงๆค่ะ พอดี...มีคนไข้ห้องข้างๆ เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวขึ้นมา ประกอบกับเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนเวรพอดี พยาบาลชั้นนี้จึงมีน้อยน่ะค่ะคุณ”

“ถึงจะน้อย แต่ฉันก็เป็นคนไข้พิเศษนะ! ฉันปวดท้องแทบตาย แล้วไอ้บ้าที่ไหนมันยกเหล็กนี่ขึ้นเล่า! จะเอาลงเองก็ลงไม่ได้!” ทัตดรงค์เขย่าเหล็กกั้นเตียงด้วยโทสะรุนแรง ใบหน้าของเขาแดงก่ำไปหมด ตะคอกซ้ำจนผู้ช่วยพยาบาลหน้าเจื่อนลงไปอีก “พาฉันไปห้องน้ำ! เอาไอ้เหล็กบ้านี่ลงให้เสียที! ยืนเป็นนังทึ่มอยู่นั่นล่ะ เร็วเซ่!”

“ค่ะ...ค่ะ!” หล่อนรับคำเสียงสั่น รีบเข้ามาทำหน้าที่ตามที่คนไข้ ‘กิตติมศักดิ์’ เรียกร้อง ด้วยไร้ความสุภาพชนอย่างหาที่เปรียบมิได้

ทัตดรงค์ถอนฉุน สืบเท้าเข้าห้องน้ำอย่างยากลำบาก ก่อนจะปิดประตูห้องใส่หน้าผู้ช่วยพยาบาลแทนคำขอบคุณ

เวลาเดียวกัน ล็อบบี้โอ่โถงและค่อนข้างร้างผู้คนของโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ นีรนาทก้าวมาถึง มุ่งตรงไปยังลิฟต์โดยสาร ทอดสายตาคมสวยผ่านแว่นกันแดดสีดำ ระแวดระวังบุคคลทำข่าว ในสภาพที่ดูเหมือนเป็นปรกติ...ราวกับเธอมิได้ยี่หระต่อสิ่งใดใด

กระทั่งมาถึงห้องพักฟื้นคนไข้บังเกิดเกล้า ในความดูแลอันเลี่ยงไม่ได้ของเธอ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอด ตั้งมั่นในสติเพื่อตระเตรียมคำพูดแก่บุคคลข้างใน วันนี้เธอจะต้องเข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวต่อกิริยาโต้ตอบรุนแรงของผู้ประสบเคราะห์ ใช่...เธอจะต้องใจเย็นให้มากถึงที่สุด

ทันทีที่ผลักประตูห้องพักเข้าไป พบทัตดรงค์นั่งเอนหลังอยู่บนเตียงนุ่ม สายตาเขาละออกจากโทรทัศน์ซึ่งวางอยู่บนชั้นเหล็กเบื้องบน มองผู้มาเยือนด้วยสีหน้าและแววตาเคืองขุ่นไม่พอใจ

“เพิ่งจะมาเอาป่านนี้...ฉันหิวมากเธอรู้ไหม” นั่นคือคำทักทายแรกจากทัตดรงค์ และนั่นก็ทำให้ความเย็นภายในใจของนีรนาท เริ่มที่จะกรุ่นขึ้น...

“ขอโทษนะคะ แต่ฉันก็รีบมากที่สุด...เท่าที่จะรีบได้แล้ว” เธอกล่าวพร้อมกับเดินเข้ามาสู่กลางห้อง วางผลไม้และของหวานลงบนโต๊ะเลื่อนตัวยาว ก่อนจะถามชายหนุ่มโดยที่ไม่มองหน้า “คุณจะทานอะไรคะ ผลไม้...หรือขนมหวานดี”

“จัดใส่จานกับชามให้หมดนั่นล่ะ เดี๋ยวฉันจะกินอะไร...ฉันก็หยิบกินเอง”

ท่าทีไม่เกรงใจชวนให้หญิงสาวนึกขยาดผู้ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก พลางคิดไปอีกว่า...เวรกรรมแต่ปางไหน ถึงตามมาก่อความซวยให้เธอไม่เว้นแต่ละวัน

พ้นจากสามีจอมปอกลอกไปได้...เธอก็ต้องมาพบกับความวุ่นวายที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ก่ออีก สรุปว่าเมื่อไร ชีวิตของเธอจะถึงกาลสงบสุขเสียที

“คุณทัตดรงค์ เรื่องที่อยู่ของคุณ...” นีรนาทพาเข้าเรื่อง เพราะอยากจะออกไปให้พ้นๆจากห้องๆนี้ “ถ้าคุณไม่รังเกียจ ฉันมีบ้านพักอยู่ฝั่งธน...แวดล้อมสงบเงียบ ไม่ค่อยวุ่นวายเท่าไหร่ อีกอย่าง ฉันเองก็กำลังจะย้ายไปอยู่ที่นั่นพอดี”

“เธอกำลังจะบอกฉันว่า... เธอจะพาฉันไปอยู่ร่วมบ้านด้วยอย่างนั้นน่ะรึ?” เขาเลิกคิ้วถามตามความสงสัย

“ค่ะ”

“แล้วเธอมีคนรับใช้หรือเปล่า”

สิ่งที่เขาถาม ยืนยันได้อย่างดีทีเดียวว่า...ความต้องการเดียวที่ชายหนุ่มพึงประสงค์ นั่นก็คือ การมีใครสักคนปรนนิบัติรับใช้ ไว้สร้างความสะดวกสบายให้แก่ตัวเขาเอง

“ไม่มีค่ะ ฉันไม่ชอบจ้างคนรับใช้ให้วุ่นวาย...ฉันไม่ได้ร่ำได้รวยอะไรกันนักหนา”

“อ้าว!” เขาอุทานเสียงเข้มอย่างไม่พอใจทันที “เธอจะให้คนป่วยอย่างฉัน...นอนแบ็บอยู่คนเดียว ตอนที่เธอออกไปทำงานอย่างนั้นน่ะเหรอ!”

นีรนาทนับหนึ่งถึงสิบในอก ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นเป็นปรกติเช่นเดิม

“อีกไม่กี่วัน...น้องชายของฉันจะลงมาจากเชียงใหม่ เขาจะมาฝึกงานในกรุงเทพฯ ถ้าคุณต้องการอะไร ก็บอกเขาได้...น้องชายของฉันเป็นเด็กดี”

ทัตดรงค์ยังถอนฉุน... เหลียวหน้าไปทางอื่น แล้วหันกลับมาอีกทีพร้อมกับคำถามใหม่

“แล้วฉันจะได้ออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่”

“พรุ่งนี้ค่ะ” นีรนาทตอบทันที รู้สึกดีขึ้นเมื่อชายหนุ่มเป็นฝ่ายเปลี่ยนประเด็นเสียเอง “ฉันจะให้พี่ฉัตรมารับคุณตอนเที่ยง เราจะออกจากโรงพยาบาลตอนบ่ายโมง”

“ช้าไป” เป็นคำพูดที่แสดงให้หญิงสาวรู้ว่า...เขาต้องการให้เร็วยิ่งกว่านั้น “ฉันเบื่อนั่งๆนอนๆอยู่แบบนี้ ห้องบ้านี่เหม็นอย่างกับอยู่ในโรงยา พาฉันกลับเย็นนี้ยิ่งดีใหญ่”

“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณหมออนุญาตให้คุณกลับได้วันพรุ่งนี้”

“แต่...”

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะแทรกเสียงขึ้นอย่างเอาแต่ใจอีก นีรนาทหยุดการสนทนาอันไร้ซึ่งสาระด้วยการสะพายกระเป๋า แล้วกล่าวลาในคราวเดียวกัน

“ฉันต้องรีบกลับไปเตรียมห้องทำงานก่อนนะคะ ฉันอาจจะยุ่งมาก...คุณไม่ต้องวานให้พยาบาลโทรไปตามฉันมาคุย... เอาไว้เย็นๆฉันจะฝากพี่ฉัตรมาดูแลคุณที่นี่ ฉันไปก่อนนะคะ”

“ดะ...เดี๋ยวซี่!”

ไม่ทัน... ชายหนุ่มรั้งเธอไว้ไม่ได้ เมื่อนีรนาทก้าวออกไปด้วยท่าทีไม่ใยดี และรำคาญชายหนุ่มเต็มทีแล้วนั้น ทัตดรงค์ก็โยนหมอนใส่ประตูอย่างไม่สบอารมณ์

“เอายายแก่นั่นมาทำบ้าอะไรวะ!”


++++++++++++++++++++++


เมอร์ซิเดสสีนิล พานีรนาทมาถึงที่ทำงานใหม่ของเธอในช่วงบ่ายคล้อย...
บริษัท เซดิออส จำกัด ดูจากสายตาก็นึกถึงคำว่า ‘ยิ่งใหญ่’ สมกับภาพลักษณ์ทางสังคม ที่เซดิออสเป็นหนึ่งในนิตยสารแฟชั่นชั้นสูงแถวหน้าของเมืองไทย ความภูมิใจในตัวนั้น...ผุดให้นีรนาทยิ้มขึ้นอย่างซ่อนไม่อยู่ เพราะความสามารถและพรแสวงแท้ๆ จึงพาให้เธอเดินมาสู่ ณ จุดนี้ได้...

จากนางแบบโนเนมในอดีต สู่การเป็นนางแบบชื่อดังแห่งยุค และพัฒนาตนเอง ให้สามารถดำรงในสัมมาชีพ ที่เปรียบเสมือนว่าเธอได้เป็น ‘ผู้ควบคุมงาน’ แทนนางแบบหรือ ‘ลูกจ้าง’ ทั่วไป ซึ่งนี่เป็นความสำเร็จอีกขั้น ที่หญิงสาวปรารถนาจะก้าวมาสู่ และรวดเร็วกว่าที่คาด

‘บรรณาธิการฝ่ายแฟชั่น’... ประโยคนี้เวียนวนอยู่ในห้วงความคิดของนีรนาท และทุกครั้งที่มันปรากฏในหัว ก็ทำให้เธอยิ้มได้โดยที่หุบไม่ลง

ระหว่างทางเดินไปสู่ห้องทำงาน ตามที่วิไลฉัตรและทีมงานเบื้องต้นของบริษัทแห่งนี้ แนะนำให้รู้ทิศทางจนพอจะจำได้บ้างแล้ว... มีพนักงานหลายคนเข้ามากล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร ยิ่งสร้างบรรยากาศที่ดี ให้แก่สถานที่ทำงานแห่งใหม่ของหญิงสาวมาก

เมื่อผลักประตูไม้สักขัดเงาเข้ามาแล้ว จึงพบห้องทำงานโอ่โถง มีไวท์บอร์ดประกอบผนังอยู่รายรอบห้องกว้าง มีมุมโซฟาชุดใหญ่ เครื่องเสียงและตู้หนังสือหลังใหญ่ที่เพียบพร้อม สมบูรณ์แบบเกินความคาดหมายที่หญิงสาวปรารถนา

ยืนหมุนตัวอยู่รอบห้องครู่เดียว จึงได้ยินฝีเท้าประกอบด้วยส้นสูง เร่งเข้ามาใกล้ขึ้นบนพรมหนาสีกรมท่าภายในห้องทำงานอันเรียบหรู นีรนาทเหลียวมองไปจึงพบว่าผู้มาเยือน คือ วิไลฉัตร ผู้จัดการส่วนตัวที่แสนดีของเธอเอง

“อ้าว พี่ฉัตร... นาทคิดว่าพี่ฉัตรมีธุระกับเด็กใหม่ของพี่เสียอีกค่ะ”

“ก็มีนั่นแหละ” วิไลฉัตรอยู่ในท่าทีกระตือรือร้น เดินวนสำรวจทั่วรอบห้อง “เป็นไงล่ะ ห้องทำงานของเธอ...โอเคบ้างไหม มีหน้าต่างมองเห็นทิวทัศน์อยู่หลังโต๊ะด้วย ต๊าย...นั่นดูสิตึกช้าง เป็นไงล่ะ คิดว่าโอเคไหมนาท”

“มากเลยล่ะค่ะ แหม...อย่างกับห้องของซีอีโอ” นีรนาทพูดพลางหัวเราะกลั้วในลำคออย่างรื่นรมย์ “แล้วพี่ฉัตรล่ะคะ มาที่นี่ น้องๆในสังกัดไม่โวยเอาหรือไง”

“ลองโวยฉันสิ จะด่าให้” วิไลฉัตรเชิดหน้าอย่างให้รู้ว่า ‘แน่’ พลางหัวเราะตามอดีตนางแบบอารมณ์ดีผู้ดี ทว่าความสุนทรีย์ก็อยู่กับหล่อนได้ไม่นาน...พาลไปถึงนีรนาทด้วยอีกคน เมื่อหล่อนนึกถึงเรื่องของทัตดรงค์ขึ้นมาอีก

“แล้วไอ้คนไข้บังเกิดเกล้าของเธอล่ะ เป็นยังไงบ้าง...เขาเรียกร้องเอาอะไรกับเธออีกหรือเปล่า?”

“เปล่าค่ะ... เพียงแต่เรื่องที่พักน่ะค่ะ นาทไม่ได้หาที่อยู่ใหม่ให้เขา นาทเห็นว่ามันสิ้นเปลืองมากเกินไป นาทเลยจะให้เขามาพักอยู่ที่บ้านชานเมืองของนาท แต่พี่ฉัตรอย่าตกใจไปนะคะ นาทไม่ได้อยู่กับเขาแค่ลำพังสองคน เดี๋ยววาโยก็จะลงมาจากเชียงใหม่แล้ว อีกอย่างนะคะพี่ฉัตร...เขาก็ไม่ได้พิกลพิการอะไร ถึงขนาดที่นาทจะต้องหาที่อยู่ถาวรให้เขา... ประเดี๋ยวไม่นานพอเขาหาย ก็ให้เขากลับไปอยู่ที่เดิม”

วิไลฉัตรพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย “ใช่...เธอคิดอย่างนั้นล่ะถูกแล้ว อย่าไปประเคนอะไรให้มันมากนัก หืม...ดูหน้าตามันซิ เห็นแวบแรกก็รู้แล้วว่านี่ล่ะตัวผลาญล่ะ หน้าตาเจ้าเล่ห์แบบนี้ ไม่ต้องสืบให้เสียเวล่ำเวลาหรอก”

นีรนาทเห็นว่าเรื่องนี้กำลังจะลงเอยในแบบที่เธอต้องการ เมื่อวิไลฉัตรเห็นดีด้วย นั่นก็แสดงว่า สิ่งที่เธอคิดนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว... วิไลฉัตรเปรียบเสมือนพ่อกับแม่ ที่ดูแลเธอมาตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ อายุสิบสี่สิบห้า... อะไรก็ตามที่วิไลฉัตรบอกว่าดี นั่นก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีจริงๆ

“โอเคนาท ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อน”

“เอ้อเดี๋ยวก่อนค่ะพี่ฉัตร จะเป็นการรบกวนเกินไปไหมคะ ถ้าเย็นนี้...นาทจะขอฝากให้พี่ฉัตรช่วยแวะไปดูคุณทัตดรงค์เขาหน่อย” นีรนาทแสดงท่าทีอิดออดประกอบการวิงวอน “นาทไม่อยากไปประคารมกับเขาอีกแล้วล่ะค่ะ”

วิไลฉัตรพยักหน้า แต่ก็แสดงให้รู้ว่า ‘เบื่อ’ ผู้ชายที่ชื่อ ทัตดรงค์ ผู้นี้เต็มทน

“ได้สิ... แต่ถึงอย่างไร เธอก็ต้องได้ประคารมกับเขาอีกนานทีเดียวเทียวล่ะ กว่าเขาจะหายเป็นปรกติดีน่ะ”

ผู้จัดการหญิงก้าวออกมาจากห้องด้วยท่าทีคล่องแคล่วว่องไว นีรนาทมองตามไปแล้วถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม...ถึงปัญหาภายหน้า ที่กำลังจะดำเนินมาสู่

++++++++++++++++++++++++


การผันตัวเองจากชีวิตที่รุ่งโรจน์ มาสู่ความอัปยศที่ต้องหลบเลี่ยงนักข่าวและสายตาผู้คน ทำให้อินทัชเสมือนตกอยู่ในภาวะที่คลอนแคลนในชีวิตปัจจุบัน และอนาคตกาลเป็นอย่างมาก

ไม่มีสิ่งใดเลยที่เขาจะเหลืออยู่... ทั้งหุ้นบริษัทโมเดลลิ่ง ที่ถูกดึงไปโดยอดีตภรรยาอย่างนีรนาท และเธอก็ตัดสินใจขายหุ้น นำเงินเก็บเข้าบัญชีส่วนตัวทันที โดยไม่มีเจตนาจะหยิบยื่นส่วนแบ่งเหล่านั้นให้แก่เขา

ทุกวันนี้จึงกลายสภาพจากอดีตนักธุรกิจผู้มีชื่อเสียงในแวดวงโมเดลลิ่ง เพราะอดีตภรรยาส่งเสริมและปันชื่อเสียงให้เขา มาเป็นพนักงานนั่งโฮสต์กระจอกๆธรรมดาในฮาเร็มของผู้หญิง

แวดล้อมในสถานที่ทำงานแห่งใหม่ของอินทัช นับว่าเลวร้ายจนเขาต้องกลั้นใจทำ... บางครั้งรู้สึกดีหน่อยที่ได้รับบริการสาววัยคราวเดียวกัน แต่บางครั้งก็โชคร้าย เจอคุณป้าแก่ๆ มานั่งร้องห่มร้องไห้ ขอระบายความทุกข์อันสาหัสในใจ...จนชายหนุ่มคลื่นเหียนปานอาเจียนเสียตรงนั้น

และทุกเช้าเมื่อเสร็จกิจของผู้ชายนั่งโฮสต์... เขาจะกลับมาที่ห้องพักราคาถูก ซึ่งเป็นที่พักพิงอันเป็นส่วนตัวและลับสายตานักข่าว ในย่านชุมชนแออัด... เขาจะนอนขบคิดว่าจะทำอย่างไรดีกับวันพรุ่งนี้ที่กำลังจะมาถึง เขาจะผลักตัวเองให้พ้นไปจากความยากลำบากนี้ได้อย่างไร

คำตอบจากทุกความข้องใจ ในทุกครั้งเมื่อนึกกลุ้มกับเรื่องราวเหล่านี้... เขาจะมองเห็นดวงหน้าของอดีตภรรยา อย่างแจ่มชัดในทุกครั้ง

‘เธอเป็นคนเดียว ที่จะทำให้ชีวิตของฉันดีขึ้น... เอาซี่...ผู้หญิงก็คือผู้หญิง ลองฉันได้ลงทุนเว้าวอนเธอดูอีกสักหน่อย หึ...ไม่นานหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นของฉัน รวมถึงตัวเธอเองด้วย! นีรนาท!!’

เขาโยนขวดสุราเข้ายังผนังห้อง เศษของมันแตกเกลื่อนร่วงลงสู่พื้น เวลาเดียวกันนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้น อินทัชกดรับโดยไม่ทันสังเกตเลขหมายที่แสดงเข้ามา

“คุณทัช!” เสียงแหลมเป็นเอกลักษณ์ของสตรีคนเดียว ที่อินทัชนึกได้โดยไม่ต้องได้ยินเสียงแนะนำตัว “คุณอยู่ที่ไหนตอนนี้ เนวี่เดือดร้อนมาก!”

“กูก็เดือดร้อนเหมือนกันโว้ย!”

ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องกดปิดเครื่องหนี แต่เหวี่ยงเครื่องมือสื่อสารออกไปนอกระเบียงห้อง ไม่สนใจว่ามันจะร่วงลงไปแตกอยู่ที่ไหน และโดนหัวใครบ้าง
“อีบ้า! เกาะแกะกับกูอยู่ได้ หล่อนมันตัวซวยชัดๆ นังเนวี่!”

ผู้อยู่อีกทางหนึ่ง ยืนหวีดอยู่ภายในตู้โทรศัพท์ คับแค้นที่ฝ่ายชายตัดสายหล่อนไปได้... เนวตีก้าวออกมาจากที่รโหฐาน ซึ่งบัดนั้น ก็เป็นเวลาที่ ‘ผู้ดักซุ่ม’ รอการณ์ปรากฏตัวอยู่แล้ว

หลากหลายเครื่องมืออัดเสียงและวงล้อมพญาเหยี่ยว จึงพุ่งเข้าสู่เหยื่อจนเนวตีไม่ทันได้ตั้งตัว หล่อนพยายามกระเสือกกระสนออกมาจากกำแพงอัปยศเหล่านั้น หล่อน ณ ตอนนี้...ไม่ต่างอะไรไปจาก ‘ของเสีย’ เคลื่อนที่... ซึ่งมีแต่พวกแมลงหวี่แมลงวัน บินตอมอย่างเอาใจใส่!


++++++++++++++++++++


ไม่น่าเชื่อว่า...บรรยากาศโดยรอบบ้านของนีรนาทย่านฝั่งธนบุรี จะสงบร่มรื่นเช่นคำที่ผู้เป็นเจ้าของบ้านได้อวดอ้างเอาไว้จริงๆ ห่างจากกรุงเทพมหานครเพียงไม่กี่อึดใจ หากรถไม่ติดมาก...ก็ผ่านพ้นดินแดนอันแสนอลหม่านของเมืองหลวง สู่ที่นี่...ซึ่งราวกับเป็นคนละโลก

กลิ่นอับเล็กน้อยเตะจมูกผู้รวดเร็วต่อทุกสัมผัสอย่างทัตดรงค์... เขาจามเสียงดังแทนคำทักทายความเงียบสงัดของบ้าน นีรนาทก้าวตามเข้ามา ทิ้งระยะห่างไว้อย่างไม่ไว้ใจบุคคลตรงหน้าเท่าใดนัก และในมือยังถือโทรศัพท์ ในสายสนทนานั้นมีน้องชายของเธอร่วมปราศรัยอยู่ด้วย

“ตกลงจะลงมาวันพรุ่งนี้ใช่ไหม อืม...ก็ดี ลงมาเร็วๆ จะได้มาฝึกงานกับพี่ ที่เซดิออสกำลังขาดผู้ช่วยช่างภาพอยู่นะ เอ้อ...วาโย ของฝากไม่ต้องเอาลงมามากนะ พี่เบื่อขนมเมืองเหนือบ้านเราจะแย่แล้ว โอเค...เท่านี้ล่ะ”

“บ้านโอเคเลยนี่” เสียงของบุรุษผู้เข้ามาอยู่ร่วมบ้าน เอ่ยขึ้นทันทีเมื่อหญิงสาววางสายโทรศัพท์ลงไปแล้ว “กว้างใหญ่พอดู ชั้นบนคงรับลมทีเดียว มองจากด้านนอกเมื่อครู่นี้”

“ก็ดีที่คุณชอบ คุณจะได้หายเร็วๆ” นีรนาทพูดตามความรู้สึกจริง จนชายหนุ่มถึงกับต้องผินหน้ากลับมาเขม้นมอง

“หึ...กลัวที่จะรับภาระ แล้วก่อปัญหาขึ้นมาเองทำไมล่ะ คุณผู้หญิง”

“ก็ฉันบอกแล้ว ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจ!” เธอเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว และเห็นทีว่าจะต้องเดินเลี่ยงไปจากตรงนี้ แต่ก้าวหนีไม่ถึงสามก้าว ก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่เสร็จกิจ
“ห้องของคุณ ขึ้นไปแล้วอยู่ด้านขวามือ หน้าบันไดพอดี...”

“แล้วห้องเธอล่ะ?”

“ถามทำไม”

ทัตดรงค์ยกไหล่ พลางผุดยิ้มอย่างมีเลศนัย...ชวนให้อีกฝ่ายทวีความคุกรุ่นในใจมากขึ้น

“เปล๊า...ถามแค่เพื่อให้รู้”

“อย่าคิดทำสกปรกอะไรในบ้านหลังนี้เชียวนะ” เป็นคำเตือนที่มิได้ส่งผลให้อีกฝ่ายสำเหนียกสักเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าหากเธอไม่ได้พูด “ฉันขอเตือนนะ บ้านหลังนี้มีอาวุธ”

“โฮ่...โอเคๆ” ทัตดรงค์หัวเราะร่วนอย่างไม่นึกหวั่นเกรง “ในเมื่อเธอไม่ให้ทำ ฉันก็จะไม่ทำ” คำพูดสองแง่สองง่าม...นีรนาทเกลียดคนแบบนี้เหลือเกิน แต่ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ...ให้มันได้อย่างนี้สิน่า!

“ฉันจะเข้าครัว คุณก็ขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ทำอะไรสงบๆอยู่บนห้องก่อนก็แล้วกัน”

“อ้าวเดี๋ยวสิเธอ!”

นีรนาทถอนใจดังด้วยรำคาญอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย แล้วขึ้นเสียงถามว่า “มีอะไรอีก!”

“พาฉันขึ้นไปหน่อยสิ ฉันจะเดินขึ้นไปเองได้ยังไง...ขาฉันเป็นอยู่อย่างนี้”

นีรนาทอยากจะกรีดร้อง ทั้งอยากผลักให้คนตรงหน้าล้มลงไปเลยเสียด้วยซ้ำ แต่เธอก็คงจะไม่ทำเช่นนั้นแน่... เพราะเรื่องอาจจะแย่ลงมากไปอีกก็เป็นได้

หญิงสาวยอมให้เขาพาดท่อนแขนแกร่งหนัก ที่ลำคอสวยระหง... ระหว่างนั้นสายตาคมของบุรุษเพศ เหลือบมองนีรนาทอยู่เป็นระยะๆ ทั้งรอยยิ้มที่เกิดจากความทะลึ่งบางอย่างในหัว ก็ผุดออกมาให้เห็นด้วยเช่นกัน

“นี่คุณ! มองอะไรฉัน แล้วยิ้มทำไม!”

“เอ๊า!” ทัตดรงค์ทำหน้าเหลอหลา “คนมันมีความสุข จะให้ยืนร้องไห้หรือยังไง เธอนี่ก็แปลก”

“หยาบคาย คุณมันคนไร้มารยาทสิ้นดีเลย” ปรามาสแล้วก็ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่ง ดึงเสื้อบริเวณเนินอกอิ่มสวยให้มิดชิดมากขึ้น “ขืนถ้าคุณยังมองมาทางฉันอีกครั้ง ฉันจะปล่อยคุณให้ตกบันไดจริงๆ ไม่เชื่อก็ลองดู!”

-+-+-+-+-+-++--+-+-+--+-+-+-----+-++-+-+-+
ติดตามตอนต่อไปครับ ^^



สุริยาทิศ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2555, 20:33:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ค. 2555, 20:33:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1253





<< บทที่ ๓ คนหัวสูง   บทที่ ๕ ผู้ต้องชะตา >>
พู่ไหมบุรามฉัตร 16 พ.ค. 2555, 20:50:05 น.
ฮิฮิ

มาตามริษยา


สุริยาทิศ 17 พ.ค. 2555, 10:39:50 น.
ดูหน้าอิโม เห็นภาพตอนคุณเหวี่ยงเปาบุ้นจิ้นเลยอะ 555+


พู่ไหมบุรามฉัตร 17 พ.ค. 2555, 14:26:04 น.
รอท่านเปา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account