เพรงนาง
หนึ่ง...ให้ความตายปลดปล่อยพันธนาการที่เจ็บปวด
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
Tags: พีเรียด

ตอน: ตอนที่ ๑๒ จำจา่กนิราศไกล

ตอนที่ ๑๒

กลางดึกของคืนนั้น หลังได้สมหวังกับภาพที่เห็น แม้จะรู้สึกเจ็บปวดอย่างเหลือแสน หากชายหนุ่มก็พยายามลดละความเสียใจไปจนได้ รู้ว่าภาพนั้นจะเป็นภาพสุดท้ายที่เขาจะเห็นนางผู้นั้น หัวสมองที่เบาโล่งพยายามบันทึกภาพของแม่หญิงนางนั้นให้มากที่สุด

เวลาตีสามกว่าแล้ว ท้องฟ้ายังมืดมิด อีกนานกว่าจะสว่าง ดาวบนฟ้ายังคงดารดาษกะพริบพราวอย่างสวยงาม ภูริตหยัดกายลุกขึ้นแล้วลงจากเตียง เปิดไฟในห้องก่อนจะล้วงเอากระดาษปอนด์ที่ซื้อเตรียมเอาไว้ตั้งแต่ตอนเย็น ดินสอ เมื่อพร้อมแล้วชายหนุ่มจึงลงมือวาดตามจินตนาการที่ตนได้เห็นทันที

แม้จะเหมือนว่าอยู่ในอาการที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ก็ยังนึกทึ่งต่อสิ่งที่ตนกระทำไม่ได้ เขาค่อยๆ ร่างโครงหน้าที่สวยน่ารักนั้นอย่างเชื่องช้า บรรจงจรดดินสอวาดไปตามความรู้สึกที่เป็นไป และย้ำเตือนอยู่ข้างๆ แม้หัวใจจะรู้สึกเจ็บปวดในยามที่เห็นภาพนี้ แต่ในที่สุดภาพร่างของแม่หญิงนางนั้นก็เสร็จสิ้นในช่วงใกล้รุ่งของวันใหม่นั่นเอง

เวลากว่าสามชั่วโมงผ่านไปอีกครั้ง ชายหนุ่มยังไม่ยอมที่จะหยุดการตกแต่งภาพเหล่านั้น พร้อมกับหัวใจที่รู้สึกกระตือรือร้นจะวาดมันให้เสร็จ เขาโทรไปบอกสิชลซึ่งพักอยู่ในห้องข้างๆ ว่าวันนี้ตนจะไม่ออกไปไหน ขออยู่ทำข้อมูลบางอย่างให้เสร็จสิ้นก่อน ส่วนสิชลหากจะทำงานอะไรก็ให้นายแหวงไปส่งอย่างเช่นทุกวันที่ผ่านมา

รอยยิ้มละมุนของชายหนุ่มถูกคลี่ขึ้นเมื่อยามที่วาดและบรรจงแต่งแต้มสีลงบนภาพ หากภาพนี้วาดเสร็จสิ้นลง เชื่อได้ว่ามันคงจะเป็นผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นหนึ่งของเขาเลยก็ว่าได้

และชายหนุ่มก็ยังเชื่อ ภาพนี้จะเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของเขา

เกือบเที่ยง...ในที่สุดความพยายามของภูริตก็สิ้นสุด หลังจากที่ได้นั่งจดๆ จ้องๆ
แต่งแต้มภาพสวยเบื้องหน้าให้สมจริงตามความรู้สึก ในที่สุดภาพวาดแม่หญิงล้านนาในชุดเสื้อปั๊ด ซิ่นทอโบราณลายเกาะผักแว่นก็ลงไปปรากฏอยู่บนกระดาษปอนด์ขนาดสิบห้าคูณยี่สิบเซนติเมตร แม้จะอยู่ในลักษณะของกระดาษที่จำกัด ทว่าภาพที่ปรากฏกลับเหมือนจริงอย่างที่ชายหนุ่มก็นึกทึ่งและยังไม่เชื่อว่าตนจะวาดมันออกมาได้

เจ้างาม...เจ้านางจันทร์งาม

บัดนี้นางได้มาอยู่บนกระดาษดั่งที่เขาปรารถนาแล้ว...และเขาก็เชื่อว่า นางนั้นแม้จะจากกันไปไกลแสนไกล หากทุกๆ วันนางก็ยังจะอยู่ในใจของเขาและใกล้ๆ กับเขาแบบนี้ตลอดไป

ภูริตตั้งใจว่า หลังจากที่กลับบ้านเขาจะเอาภาพนี้ใส่กรอบและนำไปวางไว้ในห้องของเขา เพื่อเขาจะได้ฝันเห็นเธอทุกวันทุกคืน จากนี้เป็นต้นไป เขาและเจ้านางจะไม่มีวันพลัดพรากจากกันอีกต่อไป

นั่งชื่นชมภาพนั้นด้วยรอยยิ้มสดใสอยู่นิ่งนาน ตั้งแต่เช้าข้าวยังไม่ตกถึงท้อง จนเที่ยง หากแปลกที่เขาไม่หิวและอยากจะกินเลยสักนิด ภายในใจกลับรู้สึกอิ่มเอมกับสิ่งที่เป็นเป้าสายตาของตนเอง

เจ้าจันทร์งาม...นางจะเป็นนางในฝันของเขาจริงหรือเปล่านะ

หากเป็นจริง แล้วบัดนี้เธออยู่ที่ไหน

ปานนี้เธอจะกลับชาติมาเกิดเช่นกับเขาแล้วหรือยัง

แล้วชาตินี้...เธอกับเขาจะได้พบเจอกันอีกหรือเปล่านะ

ได้แต่ภาวนาชาติที่แล้วตนและเจ้านางพลัดพรากจากกัน ชาตินี้ขออย่าได้โชคร้ายเหมือนอย่างชาติที่ผ่านเลย

/////

เช้าของวันนั้น...สายหมอกยังคงลอยกรุ่นอยู่เหนือทิวไม้สูง จันทร์เจ้าขออนุญาตมารดาและเดินทางมายังบ้านของคุณย่าบัวคำตั้งแต่เช้า พร้อมกับปิ่นโตเถาใหญ่ซึ่งเตรียมอาหารมาทานกับคุณย่าในเช้าวันนั้นด้วย

“อ้าวหนูจันทร์วันนี้มาแต่เช้าเลยนะ นั่นเอาอะไรมาอีกล่ะ”

“สวัสดีค่ะคุณย่า...วันนี้จันทร์เอาแกงปลาดุกกับน้ำพริกกะปิมาด้วยค่ะ เพื่อจะมาทานอาหารเช้ากับคุณย่าด้วยเลย”

ได้ยินหญิงสาวพูดเช่นนั้นหญิงชราก็เปิดเสียงหัวเราะกับท่าทีที่เหมือนจะสนใจเรื่องราวของเจ้าจันทร์งามของหญิงสาวมากด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้หญิงชรานึกขำ

จันทร์เจ้าวางปิ่นโตเถานั้นลงตรงม้านั่งในซุ้มศาลา ก่อนจะเข้าไปแย่งสายยางจากหญิงชราแล้วช่วยรดน้ำต้นไม้ให้แทน

“ให้หนูช่วยนะคะ คุณย่าไปนั่งรอที่ศาลาเลยค่ะ”

นางบัวคำพยักหน้า ยื่นสายยางให้กับหญิงสาว ก่อนจะขยับเข้าไปนั่งในศาลาแทน จันทร์เจ้ารดน้ำต้นไม้ในสวนไม่นานก็ปิดน้ำ ก่อนจะกลับเข้ามาในศาลาหลังนั้นอีกครั้งหนึ่ง

“รดน้ำต้นไม้ตอนเช้า นอกจากจะให้ต้นไม้ได้รับน้ำ มันยังทำให้เรารู้สึกสดชื่นไปกับกลิ่นหอมของดอกไม้ด้วยนะคะ”

“ใช่...บรรยากาศในตอนเช้า ทำให้เราสดชื่นมากขึ้น อีกอย่างตอนเช้าเช่นนี้ต้นไม้จะได้เก็บน้ำเอาไว้เพื่อเอาไปสังเคราะห์กับแสงอาทิตย์ในตอนกลางวันด้วย” หญิงชราเอ่ยบอก

“หนูจันทร์เอาอาหารมาแบบนี้ทุกวัน อย่างนี้ย่าไม่ต้องทำอาหารเช้าแล้วล่ะสิ” พูดกลั้วหัวเราะ จนหญิงสาวก็อดจะขำด้วยไม่ได้

“ก็ดีสิคะ จันทร์จะได้มาฟังคุณย่าเล่าเรื่องราวในสมัยโบราณให้ฟังเป็นการตอบแทน”

“ย่ารู้ไม่มากหรอก สิ่งที่รู้ก็รู้มาจากท่านทวดทั้งนั้นแหละ และจากที่คนเฒ่าคนแก่ท่านเล่าให้ฟังเท่านั้น”

“แต่มันก็มีความรู้มากไม่ใช่หรือคะ แม้จะได้ไม่มาก จันทร์ก็ยินดีเอาไว้ประดับความรู้ค่ะ...อ้อ คุณย่าคะ จันทร์เพิ่งรู้มาว่าดอกพุทธรักษาชาวล้านนาของเราเรียกว่าบัวละวงหรือคะ”

“ใช่แล้วล่ะ บ้านเราเรียกว่าดอกบัวละวง”

“ชื่อเพราะจังนะคะ แต่ละชื่อนี้อยากจะรู้จริงๆ ว่าใครเป็นคนตั้งกัน”

“มันก็อยู่ที่แต่ละท้องถิ่นแต่ละที่นั่นแหละหนู อย่างภาคเหนือเราเรียกแบบนี้ ชาวภาคกลางเรียกอีกอย่าง ชาวภาคอีสานหรือชาวภาคใต้ก็อาจจะเรียกไปอีกแบบหนึ่ง แต่ละพื้นที่มีวัฒนธรรมในการเรียกชื่อไม่เหมือนกันหรอก มันอยู่ที่ว่าเราจะศึกษา หรือไม่ศึกษาเท่านั้น”

“ค่ะ...มาคุยกับคุณย่าแบบนี้ได้ความรู้เยอะ รู้อย่างนี้จันทร์มาตั้งนานแล้ว”

“ย่าจะว่าอะไรล่ะ ลูกหลานมาเยี่ยมเยือนกันก็ย่อมจะดีใจ หนูจันทร์มาหาแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ ย่าจะได้มีเพื่อนคุยด้วย”

“จันทร์สัญญาค่ะว่าจะมาเป็นเพื่อนคุยคุณย่าทุกๆ วันเลย”

หญิงสาวทำเสียงอ้อน จนหญิงชราคลี่ยิ้มแล้วจ้องมองกรอบหน้าสวยอย่างนึกเอ็นดู

“ขอให้เป็นทุกวันจริงๆ เถอะ เผื่อมีธุระไม่มา ย่ารอจะเป็นยังไง” ว่าแล้วก็หัวเราะตามประสาของคนแก่ที่ชอบใจกับการมาดูแลเอาใจใส่ตน “เออ...ว่าแต่เมื่อวานย่าเล่าเรื่องราวของเจ้าจันทร์งามไปถึงไหนแล้วนะ คนแก่นี่อะไรๆ ก็ลำบาก เล่านิดเล่าหน่อยก็จำไม่ได้เสียแล้ว นี่ขนาดเมื่อวานเท่านั้นนะ ยังจำไม่ได้อีก”

จันทร์เจ้าหัวเราะคิก กับการพูดเป็นเชิงทีเล่นทีจริงของหญิงชราตรงหน้า

“คุณย่ายังความจำดีอยู่ต่างหากค่ะ ขนาดเรื่องราวของเจ้าจันทร์งาม คุณย่ายังจำและเล่าให้จันทร์ฟังได้เลย...เมื่อวานคุณย่าเล่าถึงตอนที่เจ้างามได้ออกมาส่งเจ้าแสนเมือง และต่อจากนั้นจันทร์ก็ถามว่าแล้วเจ้าน้อยภูมินทร์ล่ะคะ คุณย่าก็บอกว่าทั้งเจ้าจันทร์งามและเจ้าน้อยภูมินทร์ได้เจอกันอีกครั้งในหลังจากนั้น เอ้อ...แล้วตอนที่เจ้าจันทร์งามเดินทางไปยังเวียงอังวะล่ะคะ เป็นอย่างไรบ้าง ระหว่างการเดินทางเกิดอะไรขึ้นบ้างล่ะคะ นางไปถึงเมืองของเจ้าแสนเมืองหรือเปล่าคะ”

“ใช่จ้ะ...เจ้างามนางได้เดินทางไปยังเวียงอังวะบูรีพร้อมกับเจ้าแสนเมือง และก่อนหน้านั้นทั้งสองก็ได้เข้าพิธีกินแขกกันแล้วด้วย”

“เฮ้อ...สงสารเจ้างามจังนะคะ ที่ได้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก แล้วเจ้าน้อยภูมินทร์ล่ะคะ เมื่อได้เจอกันแล้วทั้งสองว่าอย่างไรกันบ้าง”

“หลังจากวันนั้น วันที่เจ้าแสนเมืองเดินทางกลับไปนั้น เจ้าจันทร์งามก็เอาแต่เก็บตัวเงียบ และนึกหวั่นกลัวอยู่ตลอดเวลาถึงวันที่เจ้าแสนเมืองจะกลับมา ในคืนวันลอยกระทง หรือวันงานพิธีลอยพระประทีป นางคำแปงและนางมะปิงได้ช่วยเหลือทั้งสองให้ได้มาพบเจอกันอีกครั้ง คืนนั้นเหมือนจะเป็นคืนสุดท้ายที่ทั้งสองจะมีความสุขด้วยกัน เจ้าน้อยและเจ้างามได้ตั้งสัจจาอธิฐานกับพระแม่คงคา ทั้งอธิฐานกับโคมลอย สัญญาว่าแม้นว่าชาตินี้ตนจะไม่สมหวัง ขอให้ชาติหน้าบุญพาวาสนาส่งให้ได้พบกันอีกครั้ง”

“แล้วหลังจากนั้นเป็นยังไงต่อล่ะคะ...” จันทร์เจ้ามีแววตาหม่นเศร้า สิ่งที่ได้รับฟังจากหญิงชราทำให้เธออดจะใจหายไปด้วยไม่ได้

“หลังจากนั้นไม่นานเจ้าแสนเมืองก็เดินทางมาถึง และได้แต่งงานกินแขกกับเจ้าจันทร์งาม ท่ามกลางความทุกข์ระทมแทนการมีความสุขของเจ้างาม แล้วจากนั้นเจ้าแสนเมืองก็พาเจ้าจันทร์งามกลับกรุงอังวะบูรี ว่ากันว่าขบวนนั้นใหญ่โตมาก ให้สมกับขบวนเชิญนางแก้วของเจ้าแสนเมือง”

จันทร์เจ้าพยักหน้ารับทราบกับการเล่าของหญิงชรา พรางนึกไปถึงภาพขบวนช้างที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีช้างเผือกซึ่งนั้นพอจะนึกออกว่าคงจะถูกประดับและตกแต่งได้
สวยงามอลังการมากเลยทีเดียว เพื่อให้สมกับการเดินทางสู่อังวะบูรีของนางแก้วแห่งเจ้าแสนเมือง

/////

เสียงปี่พาทย์ ระนาดเอก ทั้งสล้อ ซอ ปิน ดังประชันเสียงกัน พร้อมกับขบวนช้างส่งเจ้านางจันทร์งาม ช้างเผือกเชือกที่ให้เจ้างามนั่งนั้นทำเป็นเสลี่ยงคานนั่ง กูบประดับด้วยยอดฉัตรรัตนมณี มีโคมเงินโคมทองประดับทั้งสี่ทิศ ผู้ที่นั่งอยู่ในกูบนั้นไหวโยกไปตามจังหวะของการก้าวย่างของช้างเชือกนั้น ดวงตาละห้อยเหลียวมองไปยังสถานที่ อันที่เพิ่งจากมาด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์เป็นยิ่งนัก

ปานประหนึ่ง การจากบ้านจากเมืองในครั้งนี้ นางจักไม่ได้กลับมาเหยียบที่นี่อีก
ความรู้สึกเป็นเช่นนั้นและมันก็ไม่ต่างกันนักกับความรู้สึกเศร้าและเสียใจที่จำต้อง
พลัดพรากจากคนรักไป...ชั่วนิจนิรันดร์

อีกนานแค่ไหนนางจักหายเจ็บปวด

อีกนานเท่าไร ที่ความรู้สึกเหล่านี้จะผ่านพ้นไป

ไม่...ไม่มีเลย

ไม่มีสักน้อยนิดเพราะนางนึกรู้ นี่เป็นแค่เพียงการเริ่มต้น ยังอีกยาวไกลที่นางจักต้องเจ็บปวด

โอ...สวรรค์ฤๅเล่นกลให้เจ็บช้ำหรืออย่างไร

คิดพลางน้ำตาไหล เสียงสะอึกสะอื้นพลอยทำให้สองนางซึ่งนั่งขนาบแนบข้างต้องรีบเข้ามาโอบกอดแลปลอบประโลม

“บ่เป็นอะหยังเจ้า เฮาไปบ่เมิน ประเดี๋ยวก็จักปิ๊กมาแอ่วบ้านแอ่วเมืองได้ วรนครบ่ได้อยู่ไก๋ดอกเจ้านาง” นางคำแปงเอ่ยปลอบเสียงอ่อนโยน

“ไจ้แล้วเจ้า...ไปบ่เมิน เจ้านางก่จะได้ปิ๊กมาแล้วเจ้า ทางมันบ่ได้ไก๋กั๋นไจ้ก่เจ้าแม่ป้าคำแปง”

“ไจ้แล้วมะปิง ทางมันบ่ได้ไก๋กั๋น เพียงแต่ว่าจะต้องเปิ้งเจ้าแสนเมืองเปิ้น”

“เป๋นอะหยังเฮาจะต้องเปิ้งเปิ้นตวยคำแปง” เจ้านางน้อยเอ่ยถามในที่สุด

“เพราะว่าหมู่เฮาบัดนี้บ่ไจ้ข้าบาทของเจ้าป้อเจ้าแม่แห่งวรนครแห๋มแล้ว แต่เจ้านางคือข้าบาทของเจ้าแสนเมืองเจ้า จะไปจะมาอะหยังเฮาจึ่งต้องบอกต้องเปิ้งเจ้าเปิ้นเจ้า”

“เฮาเปิ้งคนอื่นบ่ได้ก่า เพราะจะอี้ไจ้ก่ เจ้าป้อถึงได้เลือกเจ้าแสนเมืองแตนตี้จะเป็นเจ้าน้อยภูมินทร์”

“เจ้านาง คำแปงก่เคยบอกแล้วบ่ไจ้กาว่ามันมีหลายเหตุผลและหนึ่งในเหตุผลนั้นก่คือบ้านเมืองของหมู่เฮา ที่เจ้านางจะต้องเสียสละ”

“เป๋นหยังจะต้องเป๋นเฮาตวย เฮาบ่ปรารถนาจะอั้น”

“ฟ้าเปิ้นเลือกแล้วเจ้า...เจ้านาง เจ้านางบ่อาจที่จะปฏิเสธเปิ้นได้”

“...โดยที่เฮาจะต้องเจ็บปวดหัวใจ๋จะอี้ตลอดไปกา”

“เจ้านาง...”

ไม่มีคำไหนหลุดออกมาอีกเลยนอกจากนั้น ก่อนนางคำแปงจะโผเข้ากอดเจ้าจันทร์งามอย่างนึกสงสารต่อโชคชะตา เช่นเดียวกับน้ำตาที่หลั่งไหลออกมา เช่นเดียวกับเจ้าจันทร์งามที่ไม่อาจจะหักห้ามความเจ็บปวดในหัวใจได้

/////

สองราตรีผ่านไป เส้นทางการเดินทางจากที่เป็นหมู่บ้านสลับกับป่า แลบัดนี้กลับยิ่งหาหมู่บ้านที่ปรากฏในเส้นทางไม่มีอีกแล้ว ทุกสิ่งโดยรอบมีแต่ป่าเพียงเท่านั้น

เสียงสรรพสัตว์หลากหลายชนิดต่างร้องโหยหวนชวนวังเวง โดยเฉพาะเวลาย่ำค่ำและเช้ามืด ไอหมอกกระจายไปทั่วทุกพื้นที่ เช่นเดียวกับกระแสความเย็นที่เกาะกุมทุกอณูของผิวเนื้อของทุกผู้ทุกคน

เย็นนี้ก็เช่นเดียวกัน ปางพักของเจ้าจันทร์งามถูกสร้างอยู่ติดกับลำห้วยสายหนึ่ง
เหล่าทหารทั้งของเจ้าแสนเมืองและทหารที่มาจากวรนครซึ่งตามเจ้างามมา ต่างสร้างที่พักอยู่รอบๆ ลำห้วยแห่งนั้น โดยมีประโจมของเจ้างามตั้งอยู่ตรงกลาง

การรักษาความปลอดภัยแน่นหนา หากมีสัตว์ป่าอันดุร้ายเข้ามาจะต้องผ่านด่านของหมู่ทหารไปเสียก่อน

เสียงชะนีร้องโหยหวน เจ้าจันทร์งามซึ่งประทับอยู่ในกระโจมรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วสรรพางค์กาย ทั้งหนาวจากอากาศ แลหนาวจากทั้งเสียงที่ดังขึ้น

เสียงนั้นปานผีห่าซาตานร้องกวักเรียกวิญญาณก็ไม่ปาน

“มะปิง เฮากลั๋ว” เจ้าจันทร์งามทำหน้าทำตาเลิ่กลัก กรอกสายตามองไปโดยรอบกระโจมอย่างนึกหวั่นๆ “เสียงอะหยังมันช่างน่ากลั๋วปานนี้”

“เจ้านางบ่ต้องกลั๋วเจ้า มะปิงอยู่ทั้งคน”

สาวมะปิงขยับเข้ามาหาเจ้านาง พรางเอื้อมมือเกาะชายผ้าซิ่นของเจ้านางเพื่อจะให้อีกฝ่ายอุ่นใจ

“เห็นเจ้าแสนเมืองเปิ้นว่าเป็นเสียงของชะนีเจ้า มันร้องหาผัว”

“มันร้องหาผัวจะใดถึงได้มาร้องในป่าจะอี้ แถมมันยังร้องเสียงน่ากลั๋วแห๋ม”

“คนเฒ่าคนแก่เปิ้นว่า นางชะนีมันถูกสาปเจ้า เพราะมันบ่ดี”

“มันบ่ดี...เป๋นอะหยังมันถึงบ่ดี”

“มันฆ่าผัวของตั๋วเองแลคบจู้เจ้า พระอินทร์เปิ้นก่เลยสาปมันเจ้า”

“แต่เสียงร้องของมันน่ากลั๋วขนาดเลยหนามะปิง ปั๋นเสียงผีจะใดจะอั้น”

“ข้าเจ้าก่ว่าจะอั้นเหมือนกั๋นเจ้า ฮือ...เจ้านางมันดังแห๋มแล้วเจ้า”

คนที่คิดว่าจะพึ่งได้ บัดนี้กลับรีบโผเข้าไปโอบกอดเจ้านางจันทร์งามเอาไว้ เมื่อเสียงร้องอันน่ากลัว ทั้งเยือกเย็นนั้นมันดังขึ้นอีกครั้ง

“แม่ป้าคำแปงก่หายไปไหนบ่ฮู้...”

มะปิงเอ่ยเสียงสั่น ฟันกระทบกันกุกกัก กรอกสายตามองไปรอบๆ ไม่ต่างจากนายสาวมากมัก

เพียงชั่วครู่ เสียงนั้นก็เงียบสงบลง พร้อมกับสายลมที่พัดเข้ามาทางผ้าแพรซึ่งใช้ต่างประตู ก่อนผ้าผืนนั้นจะถูกถลกออกด้วยมือของนางคำแปง เมื่อนั้นแหละความอุ่นใจจึงเดินทางมาหาทั้งสองนางนายและบ่าวอีกครั้ง

“แม่ป้าคำแปง ไปไหนมาเจ้า ข้าเจ้ากับเจ้านางอยู่กั๋นสองคนกลั๋วขนาด”

มะปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ ที่หญิงมากอายุตรงหน้าปล่อยให้ทั้งสองอยู่กันแต่เพียงลำพังเสียนาน

“เฮาไปเอากำกิ๋นมา...เจ้านางกิ๋นข้าวก่อนเน้อเจ้า”

ว่าพร้อมกับวางขันโตกซึ่งยกมาวางลงตรงแท่นไม้ กลิ่นหอมของเหล่าอาหารลอยโชยจนทำให้ทั้งสองน้ำลายส่อไปตามๆ กัน

“ท่าจะลำขนาดเจ้า ผ่อโละหอมขนาด” มะปิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใสมากขึ้น

“มะปิง ของตั๋วอยู่นี่ อันนั้นของเจ้านางเปิ้น”

เห็นว่าอีกฝ่ายจะยื่นมือล่วงล้ำอาหารของผู้เป็นนาย นางคำแปงจึงเอ่ยแทรกขึ้น
ก่อนจะยื่นปิ่นโตเถาใหญ่ให้กับอีกฝ่ายเพื่อจะเปิดมันออกและกินด้วยกัน

“มากิ๋นตวยกั๋นเต๊อะ อยู่ในป่าในเขาจะอี้ บ่มีเจ้านางบ่มีบ่าวแห๋มแล้ว”

“ข้าเจ้าบ่อาจเอื้อมเจ้า” นางคำแปงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเกรงใจ

“มาเต๊อะ นี่บ่ไจ้วรนคร ที่นี่มันในป่า มากิ๋นตวยเฮาเต๊อะ”

เมื่อไม่อาจที่จะขัดขวางคำของเจ้านางได้ เพราะถ้ายิ่งปฏิเสธเจ้างามมักจะคะยั้นคะยออยู่ตลอดเวลา นางคำแปงจึงตัดสินใจขยับเข้าไปทานอาหารกับเจ้านายสาวในที่สุด

/////

หลังทานอาหารจนอิ่น และนางคำแปงได้ยกขันโตกออกไปอีกครั้ง ภายในกระโจมแห่งนั้นจึงตกอยู่ภายใต้ความเงียบอีกคราหนึ่ง บัดนี้ความมืดได้โรยตัวลงมามากแล้ว เช่นเดียวกับอากาศหนาวซึ่งทำให้ผิวเนื้อนวลเนียนรู้สึกว่าเย็นยะเยือก จนเจ้านางต้องเอาผ้าตุ๊มมาคลุมที่ไหล่ เพื่อจะให้คลายความหนาวไปได้บ้าง

จะมีแต่แสงจากคบไฟซึ่งอยู่ด้านนอกของกระโจมเท่านั้นพอจะทำให้แสงสว่างมีอยู่บ้าง หากแต่มันก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้มากนัก จนนางคำแปงกลับมาอีกครั้งพร้อม
กับคบไฟในมือเท่านั้นแหละ ความสว่างในที่แห่งนั้นจึงดำเนินมาอีกครั้งหนึ่ง

“เจ้าแสนเมืองเปิ้นฝากมาถามเจ้านางว่ากิ๋นข้าวอิ่มก่เจ้า” นางคำแปงถ่ายทอดคำสั่งจากเจ้าแสนเมือง เพื่อเอามาถามกับเจ้าจันทร์งาม

“อิ่ม...หื้อกิ๋นเต้าใดเฮาก่อิ่ม”

แม้ในใจจะยังติดโกรธงอนกับคนที่เป็นต้นเหตุทำให้ตนต้องเจ็บปวด หากหลายวันที่ผ่านมา เจ้าแสนเมืองก็พอจะพิสูจน์ให้เจ้านางน้อยรู้ว่าเขานั้นก็พอจะเป็นคนดีอยู่บ้าง ทุกวันหรือเกือบจะทุกวินาทีเสียด้วยซ้ำที่เจ้าแสนเมืองดูแลและคอยเพียรถาม
เจ้านางจันทร์งามด้วยความเป็นห่วง

“เจ้านางเจ้า...เจ้าเปิ้นถามอย่างเป๋นห่วง เจ้านางบ่ดีอู้จะอี้เน้อ เจ้าเปิ้นมาได้ยินเข้าเปิ้นจะเสียใจ๋นะเจ้า”

“แต่เฮา...”

เจ้านางต้องเป็นฝ่ายหยุดคำพูดเพียงแค่นั้น เมื่อไม่อาจจะหาคำไหนมาพูดต่อว่าและต่อความกับนางคำแปงนางพี่เลี้ยงได้อีก

“เจื้อคำแปงเต๊อะเจ้า เจ้าแสนเมืองเปิ้นเป๋นคนดี จะใดคำแปงก่ผ่อออกว่าเจ้าเปิ้นก่ฮักเจ้านางของคำแปงเหมือนกั๋น”

“แต่เฮาบ่ได้ฮักเปิ้น เข้าใจ๋ก่ คำแปง”

ว่าแล้วก็หันหน้าไปทางอื่น ไม่อยากจะเถียงอีกฝ่ายให้มันมากความอีกต่อไป เถียงไปนางมีแต่จะเจ็บปวดและยิ่งพูดใบหน้าของเจ้าน้อยภูมินทร์ซึ่งลอยมาทำให้นางนึกเสียใจที่ตนไม่ได้สมหวังกับความรักกับเขาคนนั้น

แต่กลับต้องมาเดินทางร่วมชีวิตไปกับเจ้าแสนเมือง ชาวม่านที่นางเกลียดนักเกลียดหนา

แม้ชาตินี้จะพบกัน ขออธิฐานชาติหน้าฉันใด ขออย่าได้พบปะกันอีกเลย แค่ชาตินี้ชาติเดียวนางก็เจ็บปวดมากพอแล้ว

หากยิ่งวิ่งหนี มันก็เหมือนจะลอยเข้ามาใกล้จนนางอึดอัด เจ้าแสนเมืองเป็นคนดี
นางรู้ เขาดูแลเอาใจใส่นาง...นางก็เข้าใจ อีกทั้งความรักที่เขามอบให้...นางก็พอจะดูออก แต่สิ่งไหนล่ะที่พอจะทำให้นางรู้สึกดีได้ หากว่าไม่ต้องคิดถึงเจ้าน้อย
ภูมินทร์อีกต่อไป

ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งเขาชิดใกล้ นางก็ยิ่งคิดถึงเจ้าน้อยจนต้องเจ็บปวดมากไปอีก

ในช่วงค่ำของวันนี้ก็เช่นกัน เหมือนฟ้าจะแกล้งกัน เจ้าแสนเมืองเข้ามาภายใน
กระโจมแห่งนั้นด้วยรอยยิ้มอบอุ่น จนบางครั้งเจ้านางก็รู้สึกหวั่นไหวไปกับบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ เจ้าแสนเมืองเข้ามาบอกกับนางว่าตนอยากจะพาเจ้านางให้ไปดูอะไรสักอย่าง เผื่อเจ้านางจะได้คลายความคิดถึงบ้านคิดถึงเมืองไปได้

“ผ่ออะหยัง...เฮาบ่ไป”

น้ำเสียงเรียบเย็นดังขึ้น จนทำให้ประกายตาของผู้ที่มองมาด้วยความหวังดีสลดลงไปในทันที

“เจ้านางเจ้า บ่ลองไปผ่อกับเจ้าเปิ้นกา คำแปงกับมะปิงจะไปตวย บ่ต้องกลั๋วดอกเจ้า”

นางคำแปงเข้ามาสะกิดบอกและเตือนสติเจ้านายสาวของตนเอง เพื่อจะให้เจ้าจันทร์งามได้เปิดใจให้กับเจ้าแสนเมืองดูบ้าง

“ไจ้แล้วน้อง...อ้ายบ่ได้พาเจ้าน้องไปคนเดียว หื้อมะปิงกับคำแปงไปตวย อ้ายเจื้อว่าเจ้านางจะใจ๋ชื่นขึ้นมาบ้าง”

“แล้วไปผ่ออะหยังละ”

น้ำเสียงนั้นแม้ว่าจะเรียบเฉยในระดับเดิม แต่เจ้าแสนเมืองก็ดูออกว่านางเริ่มอ่อนลงบ้างแล้ว และก็นึกขอบคุณนางคำแปงที่คอยสนับสนุนตนอยู่ใกล้ๆ

“อ้ายว่าเจ้านางไปผ่อคนเดียวดีกว่า บอกตอนนี่ก่บ่ม่วนกา”

“จะอั้นก่ได้ นำไปก่า เจ้าแสนเมือง”

เห็นอีกฝ่ายตกปากรับคำแต่โดยดี เจ้าแสนเมืองก็คลี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนร่างสูงจะหมุนตัวแล้วเดินนำออกกระโจมไป

“ไปเจ้า...”

นางคำแปงเอ่ยบอก พร้อมกับดึงแขนของเจ้านางน้อยให้ตามชายร่างสูงไปในที่สุด
เหล่าแมลงกลางคืนต่างกรีดปีกประสานเสียงกันอยู่กลางไพรกว้างอันอ้างว้างและเงียบสงบ ความหนาวแผ่กระจายไปทั่วทุกอณูของพื้นที่ สายลมเย็นพัดผะแผ่ว
ทำให้เหล่าไม้ใหญ่ไม้ต้นต่างสะบัดกวัดไกวอยู่ภายในความมืดและเส้นไหมของไอหมอก

เสียงน้ำซัดซ่ากระทบโขดหินดังแว่วมาเป็นระยะ หมู่ดาวน้อยใหญ่ต่างกะพริบพราวอวดแสงกันในคืนเดือนแรม เช่นเดียวกับกลิ่นหอมของกล้วยไม้ป่าซึ่งส่งกลิ่นหอมลอยโชยมากับสายลม แล้วสิ่งที่ตื่นตาตื่นใจต่อเจ้านางก็เกิดขึ้น ในยามที่ทั้งสี่เดินลัดเลาะไปตามลำธาร จนไปถึงตรงสายน้ำที่ตกลงมาจากหน้าผาอันสูงชัน
แสงจันทร์เสี้ยวในเดือนแรมหลบอยู่ภายใต้หมู่เมฆสีดำทะมึน ปล่อยให้หมู่หิ่งห้อยน้อยใหญ่พากันออกมาสาดแสงสีอวดกับดวงดาวน้อยใหญ่จากปลายฟ้า

เหล่าหิ่งห้อยต่างพากันกระพือปีกส่องแสงกันอยู่เหนือผิวน้ำตกนั้นเอง มันช่างเป็นภาพอันที่สวยงามเป็นยิ่งนักในสายตาของเจ้างาม มันพอจะทำให้เจ้านางลืมเรื่องบางเรื่องไปชั่วขณะ

“งาม...งามแต้ๆ เจ้า” มะปิงสะกิดเจ้านายสาวให้มองภาพสวยตรงหน้า

“ไจ้แล้ว...งามขนาด คำแปงบ่เคยหันหิ่งห้อยตี้ไหนนักขนาดนี้เลย ในเวียงก็มีบ่นักเท่า”

“งามก่เจ้านางน้อย”

เจ้าแสนเมืองหันมาถามร่างบางซึ่งยืนอยู่เคียงข้าง ส่วนสายตานั้นจ้องมองต่อภาพสวยตรงหน้าด้วยความตื่นตาตื่นใจ

“งามเจ้า...” นางตอบเสียงเบาหวิว

“อ้ายหันว่ามันงาม ก่เลยพาเจ้านางมา อ้ายดีใจ๋ที่เจ้านางชอบมัน”

“ขอบใจ๋ขนาดเจ้า”

เจ้าจันทร์งาม นางผู้งามทั่วหล้าทั่งแผ่นดินล้านนาตะวันออก เลื่อนสายตาจากการมองภาพน้ำตกและหิ่งห้อยตรงหน้า มาหยุดยังกรอบหน้าคมเข้มของเจ้าแสนเมืองในเชิงขอบคุณ ซึ่งอีกฝ่ายก็กำลังมองหน้าของนางเช่นกัน
นั่นจึงทำให้ตาสองตาสบประสานกัน...

แม้จะรู้สึกดีและรู้สึกหวั่นไหวต่อประกายตาอ่อนโยนนั้น หากนางก็ทำใจไม่ได้ที่จะยอมรับเขา

เพราะเขาไม่ใช่หรือที่ทำให้นางเจ็บเช่นนี้

ก็เพราะเขาอีกไม่ใช่หรือที่ทำให้เจ้าน้อยภูมินทร์ต้องเจ็บปวดบ่แพ้กัน

นางต้องจากกับคนที่รัก ความรักบ่สมหวัง จนในเวลานี้ นางต้องมาทนกล้ำกลืนอยู่เคียงข้างกับคนที่ไม่ได้รักเช่นนี้

บ่ได้...แม้ชาตินี้หรือชาติไหน นางก็ไม่มีวันจะให้อภัย

“เจ้านาง...อ้ายมีอะหยังจะหื้อเจ้านางแห๋ม”

ว่าจบร่างทรงสง่านั้นก็เคลื่อนกายหายไปจากเงามืดของคบไฟอันถูกจุดมาตามทางระหว่างกระโจมของเจ้านาง จนมาถึงที่ตรงนี้

“เจ้าแสนเมืองเปิ้นจะทิ้งเฮาอยู่ที่นี่ก่เจ้า เจ้านาง”

มะปิงเอื้อมมือไปเกาะแขนของเจ้านาง เอ่ยถามอย่างนึกกลัว สถานที่จากน้ำตกแห่งนี้ไปถึงกระโจมที่พักไม่ใช่ใกล้ๆ แม้ว่าจะมีคบไฟปักไว้อยู่เป็นระยะก็เถอะ แต่คนที่ชอบคิดเล็กคิดน้อยอย่างมะปิงก็อดที่จะคิดไม่ได้

“บ่ไจ้มะปิง..ปู้น เปิ้นปิ๊กมาแล้ว”

นางคำแปงเอ่ยบอก พร้อมกับบุ้ยใบ้ให้ทุกคนหันไปทางเจ้าแสนเมืองซึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับอะไรบางอย่างซึ่งอยู่ในมือ

กลิ่นหอมจากไม้ชนิดหนึ่งลอยโชยมา กลิ่นนั้นช่างคุ้นจมูกเป็นยิ่งนัก

ดอกเก็ตถวา...ไม้ดอกหอมที่นางเอามาเสียดแซมผมอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

“ดอกเก็ตถวา...เจ้าเอาตี้ไหนมาเจ้า” เป็นนางคำแปงที่เอ่ยแทรกขึ้น

“เฮาหันต้นของมันอยู่ทางเหนือปู้นตอนบ่แลงก็เลยปิ๊กไปเก็บมา เพราะฮู้ว่าเจ้านางน้อยเปิ้นชอบเอาดอกไม้นี้แซมผมตอนนอน”

“เจ้านี่ ฮู้ใจ๋เจ้านางเปิ้นขนาดเนอะ”

มะปิงเอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงชื่นชม พอรู้ว่าเจ้าจันทร์งามเปิ้นชอบจะเอาดอกไม้มาแซมผม โดยเฉพาะดอกเก็ตถวา เจ้าแสนเมืองก็หามาให้อย่างทันท่วงที

รอยยิ้มของมะปิงและคำพูดที่ทำให้เจ้าตัวอายม้วนแทนเจ้านายสาวต้องหุบฉับลงไปในทันที เมื่อเห็นสายตาที่มองมาของเจ้าจันทร์งาม

“อ้ายหื้อน้อง เจ้างาม...มะ อ้ายจะแซมผมหื้อน้อ...”

ว่าแล้วเจ้าหนุ่มก็ขยับมายังตรงหน้าของเจ้าจันทร์งาม นำดอกไม้สีขาวอันมีกลีบซ้อนเรียงรายกันอย่างสวยงามขึ้นทัดยังซอกหูของนาง กลิ่นหอมของมันช่างหอมเย็นจมูกเป็นยิ่งนัก ผสมกับกลิ่นจากกายนางซึ่งติดตรึงยังจมูกและความรู้สึกของเจ้าแสนเมือง

“ขอบใจ๋ขนาดเจ้า” เรียวปากคลี่แย้มยิ้ม พรางชม้ายมองผู้ที่ทัดดอกไม้ให้กึ่งยินดี
แม้จะรู้สึกยินดีกับการดูแลเอาใจใส่ของชายผู้นี้ หากเจ้านางก็อดจะเจ็บปวดในหัวใจไม่ได้ ต่อความไม่สมหวังของตนเอง

เจ็บปวดเหลือแสนในยามที่ชายผู้นี้ทำดีด้วย แม้จะยินดี หากแต่มันก็ยังเคลือบแฝงเอาไว้ซึ่งความไม่พึงใจของนางอยู่ดี

ไม่เคยมีใครเข้าใจ ไม่เคยมีใครล่วงรู้ ว่านางนั้นจักกล้ำกลืนมากเพียงไร กับการกระทำเช่นนี้ของตนเองกับชายตรงหน้า

อีกนานแค่ไหนกัน นางจักหลุดพ้น...

“เจ้านาง...อ้ายมีอะหยังจะบอกน้อง น้องยินดีที่จะฟังอ้ายก่”

“เรื่อง...เรื่องอะหยังล่ะเจ้า”

อดจะถามอีกฝ่ายด้วยความแปลกใจไม่ได้ หัวใจสาวที่เต้นรัวหยุดการสั่นรัวไปชั่วขณะ เพราะความอยากรู้ซึ่งเข้าจู่โจมแทนที่

“แห๋มบ่ไก๋จะถึงดอยผาลั่นจันทร์เสี้ยว ซึ่งเป๋นเขตแดนระหว่างบ้านเมืองอ้ายกับล้านนา อ้ายเคยได้ยินมาว่าในสมัยเจ้าปู่ทวดบาเยงนองเมื่อคราใดที่เปิ้นจะออกศึก เปิ้นชอบมาเสี่ยงทายลั่นผาที่นั่น เปิ้นว่ากันว่าผานั่นมีความศักดิ์สิทธิ์นัก เจ้าปู่ทวดบาเยงนองเปิ้นมาลูบผาจนลั่นแลคราใดเปิ้นก็ทำศึกชำนะครานั้น คนบ่าเก่าเปิ้นว่าหากไผลูบผาจนลั่น เมื่อเสี่ยงทายขออะหยังจะสำเร็จ...ผ่านไปครานี้อ้ายจะพาเจ้านางไปลูบผาลั่นผ่อ เผื่อว่าสิ่งที่เจ้านางขอจักได้เป๋นดั่งหวัง”

“ขอบใจ๋เจ้าที่เจ้าอ้ายบอกน้อง...แต่สิ่งที่น้องอยากจะขอและเสี่ยงทายนั่น ก่คือขอหื้อน้องได้ปิ๊กบ้านปิ๊กเมือง เจ้าอ้ายจะว่าจะใดตี้น้องบ่ใค่ไปเมืองม่านกับอ้าย”

ประโยคนั้นของเจ้าจันทร์งาม ถึงกับทำให้เจ้าแสนเมืองนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคย
คิดว่าตนจะได้ยินคำนี้จากเจ้านางอันเป็นที่รักของตน

แลเมื่อได้ยินแล้ว ตนก็รู้สึกเจ็บปวดตรงหัวใจไม่แพ้กัน

อุตส่าห์ทำดีต่อนางมาตลอด แต่นางไม่เคยเห็นความดีของตนเลยสักน้อยนิด
หรือว่าชาตินี้ตนบ่มีบุญวาสนาเป็นคู่สมของแม่หญิงนางนี้แล้ว...

“หากน้องจะขอเช่นนั้นก่ต๋ามใจ๋เต๊อะ อ้ายบ่ขัด หากผาลั่นได้ อ้ายก่จะยินดีส่งน้องคืนเวียง”

จำใจจะเอ่ยประโยคนั้นออกมาในที่สุดและนั่นก็ถึงกับทำให้ผู้พูดและเอ่ยประโยคซึ่งจะทำร้ายหัวใจอีกฝ่ายเป็นคนแรก ก็ถึงกับอึ้งไม่แพ้กัน

นี่เขายอมแพ้แล้วจริงๆ หรือ

“อ้ายอู้แต้...ชาติเชื้อกษัตริย์แห่งอังวะบูรี เปิ้นอู้คำไหนเป๋นคำนั้นเจ้างาม”

“เจ้าอ้าย...”

“อ้ายว่าเฮาปิ๊กเข้าไปในกระโจมเต๊อะ ออกมาเมินละ ประเดี๋ยวทหารจะเป๋นห่วง”

เจ้าแสนเมืองคลี่ยิ้ม ไม่แสดงซึ่งความเสียใจออกมาทางใบหน้าที่กล้ำแดดนั้น จะมีเพียงประกายตาเท่านั้นซึ่งเจ้าจันทร์งามพอจะมองออกว่าเขานั้นก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน

/////

ยามเช้า...แสงเงินแสงทองโผล่ขึ้นพ้นเหนือทิวเขาลูกใหญ่ซึ่งวางตัวสงบนิ่งเป็นทางยาวขวางอยู่ข้างหน้า ขบวนช้างที่เดินลัดเลาะไปตามเส้นทางเกวียนเริ่มต้นอีกครั้งในช่วงสายของวันนั้น เจ้าแสนเมืองบอกว่า วันนี้จะเป็นการเดินทางวันสุดท้ายใน
แผ่นดินล้านนา เพราะพอข้ามผาลั่นจันทร์เสี้ยวไปแล้ว ก็จะเข้าสู่แดนม่านรามัญ ซึ่งเจ้างามบอกว่าเกลียดนักเกลียดหนา

เช้าวันนี้ เจ้านางน้อยแห่งวรนครดูจะตื่นเต้นเป็นยิ่งนัก ที่นางจะได้ทำการเสี่ยงทายกับผาลั่น ประกอบกับการเปิดทางของเจ้าแสนเมือง ที่เหมือนจะยอมแพ้ให้นางกลับสู่เวียงวังได้กระนั้น

หากผานั้นลั่นนางก็จักได้กลับสู่เวียง แลอาจจะได้กลับไปหาเจ้าน้อยภูมินทร์อีกครั้ง
แล้วหากผาไม่ลั่นล่ะ...

คิดมาถึงตรงนี้ก็นึกเศร้า ก่อนจะตัดสินใจตัดเอาเรื่องที่ผาไม่ลั่นออกไป เพราะอย่างไรแล้วบุญของนางก็จักต้องสมกับเจ้าน้อยภูมินทร์เท่านั้น ไม่ใช่เจ้าแสนเมืองผู้นี้

ในเมื่อเจ้าแสนเมืองยอมเปิดทางให้กับนาง นั่นก็อาจจะเป็นเพราะองค์พระธาตุเจ้าแห่งวัดเชียงหมิ่นดลใจ หรือไม่บุญพาวาสนาของเจ้านางที่ส่งมาตั้งแต่ชาติปางก่อนแลลิขิตเส้นว่าคู่แท้ของเจ้านางมีเพียงเจ้าน้อยภูมินทร์เพียงผู้เดียวเท่านั้น แม้ว่าก่อนหน้าทั้งสองจะประสบพบเจอกับความเจ็บปวดมาก่อนก็ตาม สุดท้ายแล้วทุกอย่างจึ่งจะดีขึ้น

เจ้าก่ขึ้นจ๊าง เดินกลางป่าใหญ่
จ๊างงามพาไป หัวใจเจ้ากล้า
ยอมือพนม ก้มกราบไหว้สา
หื้อสมเจ้ายา ลั่นฟ้าแลเฮย

สาธุองค์พระธาตุเจ้า เจดีย์
เชียงหมิ่นเป๋นสักขี พยานข้า
หื้อถ้อยคำวจี นางได้ สมใจ๋
ผาลั่นดั่งบุญพา ได้สมเจ้าพี่ฟ้า...นายเฮย



พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 พ.ค. 2555, 21:10:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ค. 2555, 21:10:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1575





<< ตอนที่ ๑๑ จากทั้งน้ำตา   ตอนที่ ๑๓ คำอธิฐาน >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account