เพลงมาร
'เพลงมาร' จุดเริ่มต้นของเรื่องราวการตายอย่างมีเงื่อนงำ หลายชีวิตที่จากไป ล้วนเกี่ยวโยงกับมัน

ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
Tags: เพลง ความตาย อาถรรพ์ อุปรากร ลี้ลับ

ตอน: องก์ที่ ๔

ทองธารวางหนังสือพิมพ์บนโต๊ะ จากนั้นจึงหันไปจิบชามะลิยามเช้าแล้วละเลียดขนมปังกรอบอย่างไม่รู้สึกรู้สม ผิดกับผู้จัดการสาวในเดรสกระโปรงบานสีแดงที่นั่งเยื้องกัน นัยน์ตาคู่นั้นจับจ้องหน้าหนังสือพิมพ์เอาเรื่อง

"น้องน้ำ พี่ว่าปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้นะคะ" ผู้จัดการสาวพูดพลางกัดกรามกรอด "นี่มันเรื่องแย่ที่สุดในรอบปีเลย พวกนักข่าวเอาไปเขียนได้ยังไงกัน ทำเหมือนน้องน้ำเป็นฆาตกรไปแล้ว อย่างนี้ต้องจัดแถลงข่าวแล้วฟ้องร้องนะคะน้องน้ำ"

"ไม่จำเป็นหรอกค่ะพี่สาลี่" หญิงสาววางถ้วยกระเบื้องด้วยกิริยาสงบเย็น ไม่รีบร้อน เรียบร้อยก็ลุกเดิน ไปยืนกอดอกหน้าบานกระจกใสกรุเป็นผนัง ทอดสายตามองทิวทัศน์มหานครยามเช้าพลางถอนหายใจ "เดี๋ยวทางคุณบายก็จัดงานแถลงข่าวเอง หรือไม่...ก็เป็นพวกนักข่าวนั่นล่ะค่ะที่จะวิ่งมาหาเรา"

น้ำเสียงทองธารเรียบเฉย ราวไม่ได้ให้ว่าความสลักสำคัญ ครั้นพูดจบ หญิงสาวก็ทอดสายตามองการจราจรบนท้องถนนในกรุงเทพมหานคร รายรอบดารดาษด้วยตึกสูงระฟ้า ตระหง่านง้ำผิดจากใจของคนที่นับวันยิ่งจมลงต่ำใต้ ตรงข้ามกับยอดตึก

๘ นาฬิกาสำหรับวันอังคาร การจราจรช่างคับคั่งจอแจ ขบวนรถแน่นขนัด ติดกันยาวเหยียดราวงูใหญ่หลายตัวพยายามยื้อแย่ง หาทางเลื้อยผ่านบรรดาตึกสูง

"น้องน้ำก็ช่างใจเย็นเหมือนชื่อเหลือเกิน" สาลี่ลุกตาม พยายามโน้มน้าวนักร้องสาวต่อ "แต่พี่แซลลี่ไม่เห็นด้วยนะคะ คุณบายเธอก็ต้องออกตัวตามประสาคนไม่อยากให้มีเรื่องเสื่อมเสียมาทำลายชื่อเสียงบริษัท แต่ตัวน้องน้ำเองก็ต้องแก้ต่างให้ตัวเองด้วย จะมามัวรอธรณีนี่นี้เป็นพยานไม่ได้หรอกนะคะ"

ว่าพลางสะบัดผมพลาง "แล้วอีกเรื่องที่น้องน้ำควรรู้ก็คือ เพื่อนนักข่าวของพี่มันกระซิบบอกถึงนักข่าวตัวแม่ที่เอาเรื่องน้องน้ำไปใส่สีตีไข่แล้ว..."

ทองธารนิ่งฟัง ครู่หนึ่งจึงขมวดคิ้วหันกลับมามองผู้จัดการสาวด้วยความสงสัย

"ก็จะใครเล่าคะ...นอกจากไอ้ลักษมณ์ศิษย์ซ้อสิบ" สาลี่ถามเองตอบเอง เฉลยแล้วก็สะบัดหน้าเชิด จนผมยาวดัดฟาร่ากวัดแกว่ง "ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห! ลองไอ้ตัวนี้ทำข่าว...น้องน้ำเจอศึกหนักแน่ค่ะ!"

"ทำไมคนชื่อลักษณ์จะต้องมาเกี่ยว?" หญิงสาวถอนใจ ถามอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก

"แหม...น้องน้ำละก็ ทำเป็นไม่รู้จักไอ้นักข่าวมะเขือตอแหลตัวนี้ไปได้" สาลี่ลากเสียงพลางใส่จริตขัดใจ "ก็ไอ้คนชื่อลักษมณ์นี่ล่ะค่ะตัวแสบที่สุดในวงการนักข่าว มันเป็นนักข่าวบันเทิง อยู่สำนักพิมพ์ดังด้วยนะคะ พวกข่าวคาวๆ" หล่อนเผยอปากเน้นเสียง "ยิ่งคาวคละคลุ้งมันยิ่งชอบ อย่างข่าวดารานักร้องทั้งหลายที่มีออกมาหน้าหนังสือพิมพ์ ส่วนมากก็จากอีตาคนนี้ล่ะค่ะ อย่างล่าสุดนี่ก็ข่าวของนายนิมิต นักร้องหนุ่มเทรนด์เกาหลีของค่ายอีเอฟนี่ยังไง คืนเดียว...สะพัดทั่วประเทศ"

รายนี้ทองธารไม่สู้สนใจนัก ก็สมควรแล้วที่เขาจะกลายเป็นข่าวโด่งดังของประเทศ การให้สัมภาษณ์แต่ละอย่างกับสื่อ เหล่านั้นล้วนบ่งบอกวุฒิภาวะและความคิดที่หลงผิดอย่างรุนแรง

'ผมจำเป็นต้องใช้ยา ไม่อย่างนั้นผมจะทำงานไม่ได้ คุณต้องเข้าใจคำว่าศิลปินนะ'

ทองธารฟังคำให้สัมภาษณ์ทางหน้าจอโทรทัศน์เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนก็รู้สึกเวทนา ตัวหล่อนเองถือว่าเป็นศิลปินไม่ต่างกัน แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องพึ่งยาเสพติดเพื่อให้ตัวเองทำงานได้

ที่นักร้องหนุ่มพูดมาทั้งหมดก็เพียงข้อแก้ตัวทั้งนั้น

อีกประการ หล่อนว่าแทนที่ยาจะทำให้ได้งาน มันคงจะไปทำลายระบบประสาทและสมองมากกว่า ดูอย่างข่าวล่าสุดที่ประโคมออกมาตามสื่อต่างๆ นี่สิ นายนิมิตให้สัมภาษณ์กับสื่อว่ามีคนคิดร้ายติดตามและตั้งใจจะฆ่า ว่ากันตามจริง นักร้องสาวคาดเดาว่านักร้องหนุ่มคงถูกอำนาจยาเสพติดครอบงำทำลายสมอง และคงทำให้เกิดภาพหลอนกับอาการทางจิตไปเสียแล้ว

"แต่นิมิตเขาก็เสพยาจริงๆ นี่คะพี่สาลี่" นักร้องสาวยังคงตอบด้วยท่าทีเรียบเฉย

"มันก็ใช่ล่ะค่ะ แต่น้องน้ำลองคิดถึงข่าวน้องลิลลี่ นักร้องสาวที่ถูกหมอดูทายว่าท้องสิคะ น้องลิลลี่เกือบตายเพราะข่าวนี้มาแล้ว สำหรับนายลักษมณ์นักข่าวนะคะ บางข่าวไม่จริงก็กุขึ้น บางข่าวมีจริงก็ใส่สีเติมไข่ แล้วมันก็ทำให้ดารานักร้องหลายคนดับไปเพราะปลายปากกาของมันเองเลยนะคะ" สาลี่เน้นย้ำ "เพราะอย่างนี้พี่เลยอยากให้น้องน้ำระวัง มีโอกาสก็ต้องแถลงข่าว แก้ข่าวกันไป"

นักร้องสาวพยักพเยิด จากนั้นจึงตอบอย่างไม่แยแส

"แก้ตอนนี้ ก็มีข่าวใหม่ออกมาอีก แก้กันไปไม่รู้จบ" เสียงตอบเรียบเรื่อย "น้ำไม่รู้ว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิดที่มาเป็นคนของประชาชน นี่ถ้าเป็นแค่นางสาวทองธาร สินธุ เด็กสาวธรรมดาๆ ในเมืองภูเก็ต คงไม่มีใครสนใจแล้วก็คอยใส่ไคล้สร้างข่าวอย่างทุกวันนี้"

สาลี่ถอนหายใจพลางค้อนลมค้อนแล้ง

"ชะตาฟ้าลิขิต ไม่ใช่ใครก็จะเป็นได้นะคะ" ผู้จัดสาวเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้บุนวมตามเดิม "หลายคนอยากมายืนที่ที่น้องน้ำยืนจะตายไป ตำแหน่งที่ทุกคนรักใคร่อิจฉา จับตามองอยู่ตลอด"

พูดแล้วก็มองทองธารพลางถอนใจ

"พี่เข้าใจนะคะน้องน้ำ การเป็นคนของประชาชนไม่ใช่เรื่องสนุกนักหรอก คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ คนไม่ชอบมันก็จ้องจะเล่นงานจับผิดเราตลอด อยู่เฉยไม่โต้ตอบมันก็ดีในบางกรณี แต่บางกรณีมันก็ต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน น้องน้ำไม่ใช่แม่ชีนะคะที่จะตัดทางโลกไปได้" พูดพลางถอนใจอย่างนึกขัดเคือง "ลงถ้าเป็นแม่ชีทองธารแล้วล่ะก็ เรื่องอะไรพี่จะยุส่งให้ไปสู้รบปรบมือกับบรรดาเหาฉลามพวกนั้นเล่าคะ"

นักร้องสาวหัวเราะร่า เห็นท่าทางของสาลี่ก็นึกเอ็นดูในกิริยากระเง้ากระงอดน่ารัก ยังอดขอบคุณโชคชะตาไม่ได้ที่นำพาให้หล่อนมารู้จัก และสนิทกับผู้จัดการสาวจนเกิดเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจ ถึงขั้นให้พักในคอนโดมีเนียมเดียวกัน กลายเป็นเพื่อนร่วมห้องไปในที่สุด

"พี่สาลี่ก็พูดเกินไป" หญิงสาวพยายามกลั้นหัวเราะ "น้ำก็แค่คิดว่าน้ำจะไปสู้กับเขาเพื่ออะไร ไม่มีอะไรดีขึ้น ทุกวันนี้น้ำพยายามทำงาน รักษาตัวรอดให้พ้นจากปากเหยี่ยวปากกาที่จ้องจะเอาเราไปเป็นข่าว ถึงมีข่าวมันก็ซาไปเอง"

ทองธารยังคงกล่าวอย่างใจเย็น "อีกอย่าง...จากที่พี่สาลี่เล่ามา เขาใช้ความสามารถในการทำร้ายคนอื่นจนเสียชื่อเสียง ไม่นานเดี๋ยวกรรมก็ตามทัน"

ผู้จัดการสาวถอนใจเฮือกใหญ่ ดูท่าทางเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่างต่อ แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก เสียงโทรศัพท์เคลื่อนที่ในกระเป๋าก็ชิงดังตัดหน้า

ทองธารเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้บุนวม เห็นสาลี่วุ่นวายอยู่กับการค้นกระเป๋าหนังหาโทรศัพท์ ตัวหล่อนก็หันไปรินชามะลิอุ่นจัดจากกากระเบื้องใส่ถ้วย ละไอควันม้วนตลบ กลิ่นมะลิหอมอ่อนๆ โชยแตะปลายจมูก

ผู้จัดการสาวเจอโทรศัพท์แล้วก็นิ่งมองหมายเลข ครู่หนึ่งจึงขมวดคิ้วพลางทำหน้าเหยเก ชวนให้ทองธารซึ่งกำลังละเลียดน้ำชาชำเลืองดูอยากใคร่รู้ อึดใจอีกฝ่ายจึงหันหน้าจอโทรศัพท์ให้หล่อนเห็น

'คุณปกรณ์'

หญิงสาวถอนใจเล็กน้อย จากนั้นจึงพยักพเยิดให้สาลี่รับสาย

โดยส่วนตัว ทองธารเชื่อว่าผู้กำกับคงโทร. ติดต่อมาเพราะเรื่องข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เป็นแน่ และที่สำคัญ...หากหล่อนคาดเดาไม่ผิด

คงได้เวลา...โยกย้าย...ตัวละคร

"สวัสดีค่ะคุณบาย นี่แซลลี่เองค่ะ" สาลี่กดเปิดลำโพง วางมือถือลงบนโต๊ะเพื่อให้ทองธารได้ยินร่วมด้วย จากนั้นก็พยายามปรับเสียงให้อ่อนหวาน พินอบพิเทา ทว่าน้ำเสียงอีกฝ่ายที่ดังลั่นกลับทำสองสาวสะดุ้งโหยง

"นี่!" เสียงตวาดแหวทำเอาชาในถ้วยกระเบื้องกระฉอก ทองธารรีบวางลงพลางหยิบทิชชูมาซับ กระนั้นก็ยังเงี่ยหูฟังเสียงจากปลายสาย "ให้คนโทร. เป็นร้อยก็ไม่ติด โทร. เองเป็นสิบก็ไม่รับ ทำอะไรอยู่ยายสาลี่ แล้วเครื่องแม่ดีวาก็ปิดด้วยใช่ไหม"

นักร้องอุปรากรสาวชะงักงัน กิจกรรมทุกอย่างหยุดนิ่ง สรรพนามเรียกขานจากปลายสายเมื่อครู่ ไม่น่าเชื่อว่าจะได้ยินจากผู้กำกับละครเพลงที่หล่อนร่วมงานด้วย

ดีวา...

แม้ไม่คิดว่าปกรณ์จะพูดด้วยความรู้สึกเหน็บแนมจิกกัดโดยแท้จริง แต่ถ้าคะนองปากพูดออกมาตามคำร่ำลือหรือตามการนินทาปากต่อปากของคนในที่ทำงาน หญิงสาวก็รู้สึกว่าน่าใจหายอยู่ไม่น้อย

'ดีวา' คำนี้ แปลว่า เทพธิดา ใช้เรียกตัวละครเอกหญิงในละครอุปรากร รวมถึงผู้หญิงที่มีความสามารถโดดเด่นในวงการเพลงอุปรากร ละครเพลง ละครเวทีหรือกระทั่งวงการเพลงป๊อบ

ทว่าด้วยน้ำเสียงซึ่งทองธารบอกได้เต็มปากว่า 'ไม่ให้เกียรติ' มันคงมีความหมายทางลบ เฉกความหมายในปัจจุบันที่คนมักมอบให้แก่กัน

พวกผู้มีชื่อเสียงในวงการเพลงที่มีความต้องการสุดโต่งในอภิสิทธิ์ส่วนตน จนทำงานกับคนอื่นลำบาก

ทว่าบางครั้ง...ทองธารก็อดคิดไม่ได้

ผิดหรือ...ที่หล่อนปฏิเสธสื่อ เพราะต้องการเวลาส่วนตัวบ้าง ให้เวลาว่างเพื่อจะได้พักผ่อนและดูแลตัวเอง ผิดหรือ...ที่หล่อนไม่อยากเสวนากับคนในที่ทำงาน เพราะพวกเขาเหล่านั้นใช้เวลาว่างในการนินทาคนอื่นด้วยเรื่องที่คนอื่นทำผิดพลาด และผิดหรือ...ที่หล่อนจะทำหน้านิ่งเฉย เพราะรู้สึกว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่ควรค่าให้หล่อนคลี่ยิ้มออกมาได้

ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งผิด ทำให้คนอื่นทำงานร่วมกับหล่อนลำบาก...หล่อนยอมให้ทุกคนตราหน้าหล่อนว่าเป็น 'ดีวา' ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

"อุ๊ยตาย!" สาลี่อุทานเบาๆ พลางจุปาก

ดูเหมือนผู้จัดการสาวเองก็ไม่สู้พอใจกับคำที่ผู้กำกับเรียกนักร้องสาวในความดูแล หล่อนนิ่วหน้าแล้วแบะปากใส่โทรศัพท์เคลื่อนที่ หากครู่หนึ่งก็รีบปรับน้ำเสียงและสีหน้าเสียใหม่ พยายามพินอบพิเทาอย่างที่เป็นมา

"พอดีนักข่าวโทร. จิกตลอดเลยค่ะ ทั้งน้องน้ำ ทั้งแซลลี่ ก็เลยต้องปิดเครื่องหนี นี่แซลลี่ก็เพิ่งเปิดเครื่องนะคะ ถือว่าคุณบายโทร. มาเป็นคนแรกในรอบวัน"

"เลิกพูดได้แล้ว" ปลายสายตวาดแหว "แม่ดีวาอยู่ไหน ให้มาคุยกับฉันหน่อยซิ"

"ฟังอยู่ค่ะ...คุณบาย" ทองธารพูดแทรกในทันที

แม้น้ำเสียงแว่วหวาน หากในกระแสเสียงกลับเต็มไปด้วยความเชือดเฉือน ถ้าเปรียบเป็นคมมีด เชื่อว่าปลายสายคงถูกกรีดสักแผลสองแผล "ฟังตั้งแต่ต้นเลยค่ะ"

มีเสียงอุทานตกใจเล็ดลอดสาย คาดว่าปกรณ์คงคิดไม่ถึงว่าสาลี่จะเปิดลำโพงให้หล่อนได้ยินคำพูดเหล่านั้นด้วย

"เอ่อ...น้ำฟังอยู่เหรอ" ปลายสายคงพยายามหาทางแก้ตัวกับคำพูดเมื่อครู่ "คือ...ขอโทษที เวลาพี่พูดกับยายสาลี่พี่ก็จะดุอย่างนี้ล่ะ"

หญิงสาวกระตุกมุมปากยิ้มหยัน ไม่คิดว่าคำแก้ตัวของผู้กำกับชื่อดังจะออกมาในรูปแบบนี้

ช่างน่าสมเพชจริงๆ

"โทร. หาน้ำเองอย่างนี้ พี่บายมีเรื่องด่วนใช่ไหมคะ?" ทองธารไม่นำพากับคำแก้ตัวดังกล่าว ในเมื่อไม่ใช่คำขอโทษ หล่อนก็ไม่จำเป็นต้องแยแส

"คือ...พี่จะบอกน้ำว่าตอนนี้มันมีข่าวออกมา เช้านี้พี่ก็เลยวุ่นวายเรื่องจัดสถานที่เตรียมแถลงข่าว พี่เลยอยากให้น้ำมาร่วมแถลงข่าวด้วย"

"น้ำว่าพี่บายจัดแถลงข่าวไปเลยก็ได้ค่ะ" หล่อนตัดบทน้ำเสียงเฉียบคม "จะบอกว่าน้ำไปให้การณ์กับตำรวจ เตรียมการเรื่องการสู้คดีหรืออะไรก็ตามแต่ แต่น้ำไม่ไปแถลงข่าวด้วยหรอกค่ะ พี่บายก็รู้ว่ามากคนก็มากความ ยืดเยื้อเรื้อรัง"

สาลี่ที่นั่งข้างๆ หน้าซีดฉับพลัน แต่ก็นี่ล่ะนิสัยของหล่อน เบื่อหน่ายกับสื่อเต็มทน หล่อนยอมสื่ออยู่เรื่องเดียวคือเรื่องงาน แต่ถ้าจะพัวพันไปถึงเรื่องครอบครัว ความรู้สึก ทองธารไม่มีวันร่วมมือในทุกกรณี

"น้ำจะมาถือทิฐิว่าตัวเองเก่ง ตัวเองดีเลิศไม่ได้แล้วนะ" น้ำเสียงปลายสายขึงเคียดกดดัน "น้ำต้องเข้าใจพี่ เข้าใจบริษัท แค่ออกมาแถลงข่าวกับสื่อมันจะอะไรนักหนา!"

หญิงสาวสูดหายใจลึก หากผ่อนออกได้ยากเย็น

"น้ำยอมพี่บายทุกอย่างถ้าเป็นเรื่องงาน พี่บายก็รู้ แต่ถ้าจะมาล้วงลับตับแตกเรื่องครอบครัวหรือเรื่องส่วนตัวของน้ำ น้ำพูดคำเดียวเลยค่ะ...ไม่"

"น้ำพูดอย่างนี้ได้ยังไง คนของประชาชนนะ!" เห็นได้ชัดว่าปลายสายหมดความอดทนแล้ว "ก็ถ้าน้ำยืนยันคำเดิมว่าไม่ พี่ก็คงต้องขอให้น้ำงดแสดงไปชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด รอให้ข่าวมันซาลงหรือความจริงมันกระจ่างก่อน คงเข้าใจนะว่าพี่ก็ห่วงชื่อเสียงของบริษัทเหมือนกัน"

สาลี่ได้ฟังก็หลุดโพล่ง สีหน้าตื่นตระหนก

"อะไรนะคะ! ไม่ได้นะคะคุณบาย" ผู้จัดการสาวคาดคอเป็นเอ็น "น้องน้ำไม่ผิดเสียหน่อย วันก่อนแซลลี่ก็คุยกับผู้กองแล้ว น้องน้ำเองก็ให้ปากคำแล้วด้วย"

"แต่หนังสือพิมพ์ไม่ได้ว่าอย่างนั้นนี่ยายสาลี่" คราวนี้ปลายสายตวาดแหว "ฉันพยายามปิดข่าวแล้ว แต่มันก็กระจายออกไปจนได้ แล้วตอนนี้คนเขาก็รู้ทั่วประเทศแล้วว่าน้ำมีคดี ยิ่งเจ้าตัวถือว่าเป็นแม่ดีวาใครแตะต้องไม่ได้ อย่างนี้มันก็ย่อมมีผลกระทบต่อละครเพลงของฉันด้วยเหมือนกัน"

"ก็คงมีใครสักคนหลุดปากพูด หรือจงใจพูดกับนักข่าวให้มันสะพัดไปนั่นล่ะค่ะ" สาลี่ยังเถียงไม่เลิก "ไม่อย่างนั้นคงไม่เลือกนักข่าวอย่างนายลักษมณ์มาทำข่าวนี้หรอก เผลอแวบเดียว ข่าวกระจายไปทั่วประเทศ เรื่องนี้แซลลี่สืบรู้มาหมดแล้ว!"

การโต้เถียงระหว่างปกรณ์กับสาลี่ยังคงมีต่อไปเรื่อยๆ หากทองธารกลับนั่งสงบ นัยน์ตามองต่ำที่หนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันใหม่ที่มีรูปของหล่อนขึ้นหรา เสียงโต้เถียงที่ได้ยิน อื้ออึงราวพูดผ่านห้วงน้ำ ทว่าที่ชัดเจนในโสตประสาท กลับกลายเป็นเสียงเพลงที่หญิงสาวมักได้ยินเวลาที่อยู่คนเดียว

เสียง...คลื่นซัดฝั่ง มันคลุ้มคลั่ง ฝังรอยสวาทใจ
มันซุก...มันไซ้...มันซบทรวงทราย แทรกซึมไม่มีวันวาย
มันเคลิ้ม...มันคลุก...มันเคล้ามิคลาย รสทรายรื่นรมย์

บทเพลงแสนอ่อนหวาน โหยหวน น้ำเสียงนั้นสูงราวเสียงสะท้อนที่ดังอยู่ในห้วงแก้ว กรีดลึกลงในใจของทองธาร ย้ำเตือนให้หล่อนรู้เสมอ

บทเพลงนี้...คือจุดเริ่มต้น...เรื่องราว

"ตามที่พี่บายตัดสินเถอะค่ะ" นักร้องสาวกล่าวขึ้นท่ามกลางการโต้เถียง เสียงอื้ออึงที่เคยทะเลาะเบาะแว้งชะงักฉับพลัน "อะไรที่ว่าเหมาะสม พี่บายทำไปเถอะค่ะ ขออย่างเดียวว่าอย่ามาวุ่นวายกับเรื่องครอบครัวของน้ำ มันไม่ใช่เรื่องศิวิไลซ์ที่ใครๆ ควรรู้หรอกค่ะ"

"น้องน้ำ!" สาลี่พ้อ สะบัดหน้าหนีพลางกอดอกขัดใจ

ทองธารส่งสายตาขอโทษ นัยน์แววตาวูบไหวเป็นประกายจากม่านน้ำที่คลอรื่น รอยยิ้มบางเคลือบไว้ด้วยความขมขื่นในส่วนลึก ครั้นสาลี่หันมองก็ได้แต่ถอนใจ ก่อนพยักพเยิดเป็นเชิงยอมรับในการตัดสินใจของนักร้องสาว

++++++++++++++++++++++

ดารุจทอดตัวลงนอนบนเก้าอี้บุนวมตัวยาว ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจตามคำแนะนำของปุณฑริกที่นั่งอยู่ข้างๆ

เขากวาดสายตามองไปรอบๆ มีเพดานห้องที่เจาะเป็นหลุมลึก ฝังโคมไฟไว้อย่างประณีต จากนั้นก็เป็นผนังห้องสีครีมนวลตา ก่อนจะมาจบลงที่หญิงสาวในเดรสผ้าชีฟองสีขาวจีบเป็นระบาย หล่อนกำลังนั่งไขว่ห้างข้างๆ ก้าวอี้นอนตัวยาว ถัดไปด้านหลังเป็นชายหนุ่มร่างสันทัดในเครื่องแบบตำรวจสีเข้มกำลังยืนพิงโต๊ะทำงาน

"ทำใจให้สบาย ค่อยๆ หลับตา แล้วแกจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อเริ่มผ่อนคลาย" ดารุจทำตามคำบอก หลับตาลง ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ จากนั้นก็รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อทุกส่วนเริ่มคลายตัว กะปลกกะเปลี้ย "ถ้ารู้สึกง่วงก็หลับได้"

ชายหนุ่มทำตามที่บอกอย่างว่าง่าย สัมปชัญญะเริ่มหลุดลอย เคว้งคว้าง

"ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง" จิตแพทย์สาวถาม "เสียงยังรบกวนอยู่ไหม"

น้ำเสียงของปุณฑริกอ่อนนุ่ม ละมุนเบา ยิ่งคลอด้วยเสียงสายน้ำไหลและเสียงร้องของนกที่หล่อนเปิดระหว่างการพูดคุย ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเป็นพิเศษ ในความมืดแห่งห้วงภวังค์ เขายังคงอบอุ่นที่มีเพื่อนอยู่ข้างๆ

"หายไป" ดารุจตอบ "ไม่ได้ยินมานานมากแล้ว เกือบหกเดือนได้"

"แล้วกลางคืนหลับสบายดีไหม ฝันอะไรหรือเปล่า"

"หลับ แต่ไม่สบายนัก ฉันฝัน...แต่มันยุ่งเหยิง...ยุ่งมาก"

"ยุ่งเหยิง..." ปุณฑริกย้ำคำพูดนั้น

เสียงจิตแพทย์สาวที่สะท้อนก้องในความมืดทำให้ดารุจรู้สึกเหมือนถูกถามซ้ำ คำตอบของคำว่า 'ยุ่งเหยิง' คืออะไรกันแน่

"ภาพมันเยอะ สลับกันไปมาวุ่นวาย" เสียงดนตรีที่ปุณฑริกเปิดคลอไว้แต่แรกเริ่ม กลายเป็นเสียงระฆังแก้วหรือไม่ก็กระดิ่งลม เหล่านั้นเหมือนดึงให้ชายหนุ่มจมจ่อมไปสู่ความทรงจำและความฝันที่อยู่ลึกสุดในห้วงจิตใต้สำนึก

"นึกถึงเสียงนั้นสิดารุจ เสียงที่เธอพยายามตามหามาตลอดชีวิต ฝันถึงมันบ้างไหม กลับไปหามันว่ามันอยู่ที่ไหน"

เสียงที่เขาตามหาเช่นนั้นหรือ?

ดูเหมือนระฆังแก้วหรือกระดิ่งลมที่ดังเป็นระลอกกำลังนำทาง จากรอบตัว สู่ทิศทางที่ชัดเจน แล้วทันใดในความมืดมิดก็สว่างวาบ ภาพความฝันพลันผลัดปรากฏ จับต้นชนปลายไม่ถูก

"ฝันถึงอามะ...ตัวอี๋...อาอี๋ ฝันว่าได้กอดกับอามะ แล้วตัวอี๋มากอดเวลาฉันร้องไห้ แล้วก็เป็นภาพอาเตี้ย...อาเตี้ย!"

อยู่ๆ หนึ่งภาพในความทรงจำก็ผุดขึ้นมา เสียงกระดิ่งลมกังวานแว่วราวจะย้ำเตือนถึงความทรงจำดังกล่าว กลายเป็นภาพเด็กชายดารุจกำลังนั่งอยู่กับบิดาในรถยนต์ เขายิ้มร่าเริง เมื่อบิดาขับรถพาเขาไปเที่ยว พ่อเป็นคนรูปหล่อ อบอุ่น เข็มแข็ง คอยกางแขนปกป้องเด็กชายดารุจอยู่เสมอ

เด็กชาย...อยากเป็นเหมือน 'พ่อ'

แต่จากนั้น เสียงกรีดร้องของหญิงสาวก็แผดดังในหู ราวจะฉีกเยื่อแก้วหูของเด็กชายออกเป็นชิ้นๆ ดารุจเอามือปิดป้องทั้งสองข้าง ร้องไห้ปิ่มจะขาดใจ

'อาเตี้ย...เสียงร้องอีกแล้ว! ผมปวดหู! ผมเจ็บหู! อาเตี้ยช่วยผมด้วย!' เด็กชายร้องจ้า น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม 'อาเตี้ยช่วยผมด้วย!'

บิดาเทียบรถจอดข้างทาง หันมากอดเด็กชายไว้แน่นพลางปลอบประโลม แต่แล้ว...ภาพทุกอย่างก็กระเทือนรุนแรง ตัวรถหมุนคว้าง กระเด็นกระดอนเพราะถูกชนจากรถพ่วงที่ไถลลื่นมาข้างทาง รถของเขาและบิดาละลิ่วลอย หมุนแล้วพลิกตลบหงาย เศษกระจกกระจายสะพัดรอบบริเวณ

แล้วทุกอย่าง...ก็...เงียบงัน

+++++++++++++++++++

"เสียงกรีดร้องเมื่อกี้หายไปแล้ว! แล้วเสียงดังโครมครามนั่นอีก ทำไมฉันขยับตัวไม่ได้ล่ะ!" ดารุจยังคงหลับตาพูดต่อไป ปุณฑริกที่นั่งอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว พยายามถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีกวีเดินเข้ามาฟังข้างๆ อีกคน

"เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เสียงร้องดัง...รถคว่ำ...แล้วอะไรอีกดารุจ?!"

"ฉันค่อยๆ ขยับตัว" บรรณารักษ์หนุ่มเพ้อตามภาพความทรงจำที่กำลังฉายอยู่ในมโนนึกคิด "แต่ขยับไม่ได้ ใครคนหนึ่งกอดฉันอยู่"

เด็กชายค่อยๆ ขยับตัว แต่รู้สึกเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน เป็นอ้อมกอดที่แข็งแรง ราวกำแพงหินที่คอยปกป้องชีวิตเขาให้พ้นจากภยันตราย ครั้นหันมองก็พบว่าบิดากำลังกอดเขาอยู่

กอดไว้แน่นทีเดียว...

'อาเตี้ย...' เด็กชายดารุจร้องเรียก 'อาเตี้ย...ผมหายใจไม่ออก อาเตี้ยตื่นเถอะ ปล่อยผมก่อนอาเตี้ย'

ไร้เสียงตอบรับจากผู้เป็นบิดา ดูเหมือนท่านกำลังหลับอยู่ เด็กชายดารุจคงต้องปลุก ทว่าเมื่อพยายามผลักอกของบิดา เลือดสีแดงสดก็หยดลงบนพวงแกมขาวราวกระเบื้องกังไส หยดแล้ว...หยดเล่า ดารุจเฝ้าดูด้วยความพรั่นพรึง ก่อนสติจะขาดผึงด้วยความหวาดกลัว

'เลือด...อาเตี้ย!' เด็กชายร้องลั่น พยายามเขย่าเรียกบิดาให้ตื่นขึ้นมาดูเลือดที่ไหล มันเปื้อนหน้าตาและเนื้อตัวของบิดารวมถึงตัวเขา หยาดหยดจากบาดแผลเหวอะหวะที่ลำคอและหน้าผาก 'อาเตี้ย...เลือดเต็มไปหมดเลย อาเตี้ยมีแผลนะ อาเตี้ยต้องไปหาหมอให้หมอดูแผล อาเตี้ยตื่นซี!'

เด็กชายดารุจร้องไห้ น้ำตาไหลราวสายน้ำหลาก แต่ไม่ว่าจะพยายามปลุกเท่าไร บิดาก็ไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้น เลือดที่ไหลยังคงนองต่อไป แม้เด็กชายจะพยายามเอามือปิดปากแผล หากมือน้อยๆ ก็ไม่อาจห้ามมันลงไหลได้

'อาเตี้ย...ผมบอกให้อาเตี้ยตื่นยังไง! เลือดเต็มตัวอาเตี้ยไปหมด ตื่นสิอาเตี้ย!' น้ำตาไหลพรากเต็มหน้าเด็กชายตัวน้อย

ณ เวลานั้น...ดารุจไม่รู้ว่าเด็กชายร่ำไห้เพราะอะไร มันเป็นความรู้สึกกลัวไปหมดทุกอย่าง กลัวเลือด กลัวแผล กลัวบิดาจะไม่ตื่น กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมลุกมาดูแผลและไปหาหมอ กลัวว่าพ่อจะทิ้งเขาไป ไม่อยู่กอดให้ความอบอุ่น พร้อมทั้งคอยบอกว่าเขาเป็นเด็กดีของพ่อเสมอ

ตอนนั้น...เขาคงเด็กเกินกว่าจะรู้จัก...ความตาย

'อาเตี้ย!' เสียงกรีดร้องของเด็กชายดังลั่น ทำให้บรรณารักษ์หนุ่มนึกเกลียดตัวเอง เขาทำให้พ่อต้องจบชีวิต หากไม่เพราะเสียงกรีดร้องบ้าๆ นั่น พ่อคงไม่ต้องมาจากเขาไป

ดารุจที่นอนทอดตัวบนเก้าอี้บุนวมตัวยาวเรียกผู้เป็นบิดาดังลั่น ดิ้นไปมาหมิ่นเหม่จะตกจากเตียง ใบหน้าเต็มไปด้วยทางน้ำตาเปรอะเปื้อน กวีที่ยืนอยู่ข้างๆ ปุณฑริกรีบปราดไปกอดบรรณารักษ์หนุ่มไว้แน่น พยายามปลุกปลอบทว่าก็ไม่ดีขึ้น

"เฮ้ย! ไอ้ปุ่น...ทำอะไรสักอย่าง!" นายตำรวจหนุ่มหันไปหาปุณฑริกที่ยังขมวดคิ้ว นิ่งดูอาการของดารุจ "อย่าเพิ่งสนใจหาที่มาที่ไปของเสียงกรีดร้องนั่นเลย ตอนนี้มันคุมตัวเองไม่อยู่แล้ว!"

จิตแพทย์สาวละล้าละลัง ทว่าเมื่อเห็นบรรณารักษ์หนุ่มเอาแต่ร่ำไห้กอดร่างกวี ทั้งพยายามดิ้นไปดิ้นมาจนนายตำรวจหนุ่มแทบเอาไม่อยู่ ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปหาดารุจ ดีดนิ้วใกล้ๆ หูอีกฝ่าย พร้อมกันนั้นก็ขานชื่อเสียงดัง

"ดารุจ! เธอตื่นแล้ว!"

ทุกอย่างหยุดชะงัก บรรณารักษ์หนุ่มได้สติ ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ หายใจหอบเหนื่อย สิ่งแวดล้อมรอบกายยังคงเป็นห้องทำงานกะทัดรัดของปุณฑริก

จิตแพทย์สาวผู้เป็นเพื่อนยังอยู่ข้างๆ นั่งมองเขาด้วยสายตาเป็นห่วง หากเมื่อหันมามองคนตรงหน้า กลับพบว่าเป็นนายตำรวจหนุ่มกำลังกอดเขาเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย

"ไอ้บ้าวี!" ดารุจผลักเพื่อนออกจนอีกฝ่ายล้มกลิ้งม้วนตลบไปตามพื้น "แกเล่นอะไรวะ! บ้าหรือเปล่า"

นัยน์ตาบรรณารักษ์หนุ่มหวาดกลัว ทว่าเมื่อกวีหยัดตัวขึ้นได้ ก็หันไปตอกกลับทันที

"แหม...เสร็จกิจก็ถีบหัวส่งเลยนะ" พูดพลางส่ายหน้าแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงานของจิตแพทย์สาว ไม่ใยดีว่าดารุจจะทอดสายตามองเขาด้วยความสับสนมึนงง

"อะไร?!"

"ก็ไม่อะไร" ปุณฑริกตอบแทน เห็นดารุจดีขึ้นก็ค่อยโล่งใจ จึงเดินกลับไปนั่งข้างๆ เก้าอี้นอนตัวยาวที่ดารุจนั่งอยู่ "ฉันก็กำลังหาที่มาที่ไปของเสียงที่แกสงสัยนักหนายังไงล่ะ แล้วแกก็พูดเรื่องอาเตี้ย...กับเรื่องรถคว่ำ ร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ นังกีวี่มันเห็นแกดิ้น หวิดจะตกเตียงหัวฟาดพื้น มันก็เลยรีบไปคว้าตัวแกไว้ ก่อนจะฉวยโอกาสจูบปากแกอย่างดูดดื่มตอนแกไม่รู้สึกตัว"

ท่อนหลังนี้ปุณฑริกจีบปากจีบคอพูด พลางส่งสายตาหวานฉ่ำไปที่นายตำรวจหนุ่ม "ไม่งั้นนังกีวี่จะพูดหรือว่า...เสร็จกิจก็ถีบหัวส่ง"

"เฮ้ย! เรื่องจูบปากไม่มีโว้ย!" กวีแยกเขี้ยวใส่ปุณฑริก ก่อนจะหันไปแก้ตัวกับดารุจ "ไม่จริงนะเว้ยรุจ ใครจะบ้าขนาดนั้น แล้วอีกอย่างแกก็รู้ว่าฉันก็เป็นคนพูดจาอย่างนี้อยู่แล้ว ไปเชื่อไอ้ปุ่นก็มีเขางอกกันพอดี"

"แกน่ะสิเขางอก!" ปุณฑริกสวนทันควัน "ทั้งเขา...ทั้งนอ"

"นี่แกว่าฉันเหรอไอ้ปุ่น" กวีทุบโต๊ะเสียงดังปัง ถลึงตามองจิตแพทย์สาวราวยักษ์ร้าย หากฝ่ายหญิงกลับไม่แยแส ยังเชิดหน้าพูดต่ออย่างสบายอารมณ์

"ก็ถ้าไม่ใช่...จะคิดแผนประหลาดบุกไปหลังโรงละครเพื่อหาทองธาร สินธุได้เหรอ" ปุณฑริกยิ้มเยาะ "ไม่มีเขา...ไม่มีนอ...คิดไม่ได้นะคะ แผนกลวงแบบนี้"

นายตำรวจหนุ่มขบปากเคี้ยวฟัน หากก็ยังเถียงไม่ทันเพื่อนสาว

"พ่อยอดตำรวจขมองอิ่มเอ้ย! คิดว่าตัวเองเป็นแบทแมนหรือยังไงจ๊ะ ดีนะที่หัวหน้าแค่เรียกไปด่า ไม่ได้สั่งให้พักงาน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางใส่ชุดตำรวจเดินมาอวดตาเบ๊ะได้ถึงบ้านฉันหรอก" ว่าพลางทำวันทยหัตถ์ล้อเลียน

ดารุจนิ่งมองการถกเถียงของสองเพื่อนรัก ผู้กองหนุ่มขบปากเคี้ยวฟัน นัยน์ตาจับจ้องเล่นงานจิตแพทย์สาว หากยังคงสงบปากคำเอาไว้ ด้วยเรื่องทั้งหมดที่ปุณฑริกว่ามาก็เป็นจริงทุกประการ บรรณารักษ์หนุ่มรู้ดี กวีจะนิ่งเมื่อรู้ว่าตัวเองผิดจริง ส่วนปุณฑริกนั้นไม่ยี่หระ ยังคงไขว่ห้างเชิดหน้าสวยสะอางเต็มอิ่ม ปากของหล่อนก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร

"เอาล่ะ...พอกันทั้งสองคนเลย ทะเลาะกันไม่รู้จักเบื่อ" ดารุจห้ามศึก สองมือโบกเป็นสัญญาณ "ฉันปวดหัวมากเลย สงสัยเมื่อกี้นี้ร้องไห้มากไปหน่อย ปุ่น...แกมียาแก้ปวดไหม ขอฉันสักสองเม็ดเถอะ ยาคลายเครียดด้วยก็ได้"

ได้ผล...หลังดารุจพูดจบ เพื่อนทั้งสองก็หันมาดูแลเขาแทน

จิตแพทย์สาวแยกตัวไปดูยาพร้อมกับน้ำดื่ม ส่วนกวีก็เดินเข้ามานั่งข้างเขา ยื่นผ้าเช็ดหน้าตราหมากรุกสีเข้มมาให้ ก่อนจะโอบบ่ากระชับไหล่เขาไว้แน่น สีหน้าคมเข้มเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

"เป็นยังไงบ้าง?"

"ปวดหัวนิดหน่อย" ดารุจหันไปยิ้ม เช็ดหน้าจนหมดจดก็ยื่นผ้านั้นคืนเจ้าของ ครั้นหันมาถอนใจเหนื่อยอ่อนก็พานนึกถึงเรื่องที่ปุณฑริกจิกกัดกวีไปเมื่อครู่

ทองธาร สินธุ!

ชื่อของผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว นักร้องสาวที่กำลังโด่งดังตามหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยข่าวลือว่ามีส่วนพัวพันคดีการเสียชีวิตของแม่เลี้ยงของหล่อนเอง

"เอ...เมื่อกี้นี้พูดกันเรื่องทองธาร สินธุใช่ไหม?" ความสงสัยข้อนี้คาใจดารุจมาหลายวัน "ฉันอยากรู้จังว่าเรื่องมันเป็นมายังไงกันแน่ ตกลงทองธารนี่เกี่ยวข้องยังไงกับการตายของแม่เลี้ยง"

บรรณารักษ์หนุ่มขมวดคิ้ว หรี่ตามองกวีด้วยความสงสัย ทว่านายตำรวจเองก็ไม่ต่างจากเขานัก ใบหน้าคมเข้มหล่อเหลากำลังครุ่นคิด สีหน้าเต็มไปด้วยคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ

"ฉันไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดีว่ะรุจ" กวีกัดริมฝีปาก หัวคิ้วขมวดแน่น "คำให้การสามปากตรงกันก็จริง แต่ฉันก็ยังคิดว่ามันมีบางอย่างซ่อนอยู่ ที่สำคัญ...มันซ่อนอยู่ในตัวผู้หญิงคนนั้นล่ะ"

ดารุจนิ่งฟังเพื่อนรัก ได้ยินอีกฝ่ายพึมพำในลำคอ

"ซ่อนอยู่ในตัวของผู้หญิงคนนั้น...แน่ๆ"

++++++++++++++++++++++++++




นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 พ.ค. 2555, 09:31:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 พ.ค. 2555, 09:31:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 1357





<< องก์ที่ ๓   องก์ที่ ๕ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account