นิราศรักกรุงสยาม
ศักดิ์ศรีมีไว้ให้คนสรรเสริญมิใช่ทำลาย ความรักมีไว้เพื่อให้ได้รักในกันและกัน ปัญหาเดียวของความรักคือความไม่เข้าใจ

Tags: สู้ ไม่ยอม แพ้

ตอน: ตัดไม้ข่มนาม(ข่มใคร)


เมื่อช้องนางไต่ตรองรอบคอบแล้ว ไม่เห็นความผิดของตนเองสักนิด แต่โดนผู้ใหญ่เรียกหามาตำหนิเพียงถ่ายเดียวทำให้หญิงสาวถึงกับนิ่งอึ้ง ตั้งรับขับสู้ อย่างคนไม่อาจยอมคนได้
คุณเหมเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กสาวหน้าตาดีตามความคิด ซึ่งแท้ที่จริง ช้องนางงามมากยากหาคนมาเทียบยากทีเดียว แม้ใบหน้าไม่แต่งแต้ม หรือผัดแป้งให้ขาว เธอก็มีความสดใสด้วยเลือดฝาด แก้มเป็นสีชมพูระเรื่อ ไม่ต้องเปลืองสีดอกไม้มาขยี้ทา หรือแม้แต่ริมฝีปากไม่ต้องพึ่งชาดมาทาให้แดงสด สีแดงระเรื่อของธรรมชาติดูงามจับใจ แต่คุณเหมมองข้ามความสวยนั้นไปเสียหมด นางเอ่ยขึ้นอย่างไร้ความเกรงใจว่า
“ถ้าเป็นแม่น้ำผึ้ง มาควบคุมเองคงจะวางใจได้เพราะแม่น้ำผึ้งถูกสอนสั่งจากชาววัง”
คุณหญิงเอ่ยต่อออกไปว่า
“ แต่ แม่ช้องอาจจะเก่งก็ได้ ฉันรู้มาว่าอยู่โรงเรียนมิชชันนารีมิใช่รึ หล่อนเรียนจบอะไรมา”
“อิฉันอ่านออกเขียนได้แต่ที่บ้าน คุณพ่อส่งไปเรียนอายุได้เจ็ดขวบ*(จากหนังสือเรื่องเล่าในวัง) ก็เทียบมัธยมเรียนไปอีกหกปีจบมัธยมปลาย จะเรียนต่อไปอีกไม่ทันจบก็ออกเสียก่อนเจ้าค่ะ”ช้องนางพาซื่อตอบ
“งามจริง” คุณเหมกับคุณส้มลิ้มย้อนออกมาเป็นเสียงเดียวก่อนพากันหัวร่อสนุก
“แม่ช้องคงจะริเป็นสาวเกินวัยละสิ คุณพ่อของแม่ช้องจึงได้รีบเก็บเข้าเรือน”
“มิเช่นนั้นคงไม่ตกถึงมือหลวงไกร”
ช้องนางรู้สึกถูกบีบคั้นหัวใจจนหายใจติดขัด เธอไม่ทราบว่าทำไมต้องนั่งทนให้แม่เลี้ยงของหลวงไกรเหน็บแนมกันถึงเพียงนี้
คุณหญิงทำห้ามปราม แต่นางปนถ้อยคำเยาะหยันออกมาเช่นกัน
“ไม่เอาน่า แม่เหม แม่ส้มลิ้ม พวกหล่อนไปพูดผิดหูเข้าหรือไรกัน ดูหน้าสะใภ้ข้าซีดสลดไปเหลือใจ ขืนพวกหล่อนแค่นพูดมากกว่านี้คงได้เห็นคนเป็นลมแน่เทียว”
ผิวคันปากยิบๆ อยากโต้เถียงแทนนายสาว เอาชนิดที่ว่าคนเป็นไพร่ด่ากันเสียให้สาแก่ใจ เพราะผิวฟังดูแล้ววาจาของผู้ดีพวกนี้บาดหูจนสุดที่จะทน
สาวใช้ของสะใภ้ใหม่พึ่งเข้าใจบรรดาแม่ผัวทั้งสามว่าเรียกนายสาวของตนมาพูดจาตีกระทบให้ช้ำใจเล่น อย่างต้องการข่มกันเอาไว้ก่อน
คุณส้มลิ้มยังข่มต่อ
“แม่ช้องน่าที่จะแข็งขืนคุณพ่อของหล่อน ขอเรียนให้สำเร็จนะ จะได้เป็นหน้าเป็นตาพ่อไกรมากกว่านี้ หรือว่าแม่ช้องไม่ทราบว่าตัวเองจะมีวาสนามาถึงขั้นนี้ได้”
“อิฉันแล้วแต่คุณพ่อจะเห็นสมควรทุกอย่างเจ้าค่ะ” หล่อนตอบกลบเกลื่อนความขุ่นเคือง
“คุณพ่อของหล่อนรีบให้ออกจากโรงร่ำโรงเรียน เพราะกลัวเรื่องผู้ชายกระมัง” คุณเหมกลับมากระแทกอย่างจงใจ
“มิทราบเจ้าค่ะ แต่คุณพ่อท่านสอนให้ระวังอย่าไปเป็นเมียน้อยเขาเท่านั้น”
สิ้นวาจากระแทกกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบของช้องนาง แต่ดูราวกับเธอเอาน้ำมันสาดเข้าไปในกองเพลิงไม่มีผิด คุณเหมจึงร้อนดังไฟลวก ตะเบ็งเสียงลั่นระงับอารมณ์ไม่อยู่
“แม่ช้อง นี่หล่อนกล้าขนาดนี้เชียวรึ นี่หล่อนพาดพิงมาถึงฉันสองคนใช่หรือหาไม่ มาด่าว่าฉันเป็นน้อย นี่หล่อนปากคอเราะร้ายอย่างนี้เทียวรึ เห็นจะเอาเรื่องกันให้ถึงที่สุดเสียแล้ว”
ช้องนางยิ้มในสีหน้า ไม่หันไปทางคนร้อนสองคน แต่ยิ้มเยื้อนให้คุณหญิงใหญ่ พลางเอ่ยนุ่มนวล
“อิฉันพูดอะไรผิดหรือเจ้าคะคุณแม่ จึงดูคุณแม่เลี้ยงโกรธอิฉันเป็นมากจนขนาดนี้”
คุณเหมโพล่งออกมาอย่างโกรธจัด
“คุณพี่อิฉันไม่ยอมนะคะ เรื่องอะไรจะมาให้ลูกสะใภ้ถอนหงอกอิฉัน”
“ใช่ แล้วยังมาทำกิริยาไม่เดียงสาหน้าซื่ออยู่ได้ นี่คงฝึกละครมาอยู่มากล่ะสิถึงได้แสดงออกไม่เคอะเขินเยี่ยงนี้”คุณส้มลิ้มเองก็ฉุนเฉียวไม่น้อย
“คุณแม่เจ้าขา นี่เป็นวันแรกที่อิฉันเข้าเรือนหอ แต่อิฉันไม่เข้าใจเสียจริงว่าอิฉันทำอะไรให้คุณแม่เลี้ยงโกรธนักหนา จะว่าถอนหงอกพวกท่าน อิฉันยังไม่หาญกล้ากระทำเยี่ยงไพร่ดอกเจ้าค่ะ”
“ไป ๆ แม่ช้อง เรานี่ปากคอเราะร้ายไม่ใช่เล่นเสียแล้ว ปากกล้าจัดจ้านเหลือใจ ไม่เห็นแก่หน้าใครก็ควรเห็นแก่หน้าข้าซึ่งเป็นแม่ผัวของหล่อนบ้าง”
“อิฉันต้องขอประทานโทษคุณแม่นะเจ้าคะ ถ้าอิฉันกล่าวอะไรผิดไป”
“อย่ามาตีหน้าซื่อแม่ช้อง”คุณเหมตะคอกใส่ช้องนางอย่างขุ่นเคือง
“นี่ด่าทั้งตรงทั้งอ้อมอย่างนี้มีหรือหล่อนจะไม่รู้ว่าพูดเหน็บอะไรออกมาบ้าง”
คุณส้มลิ้มมีอาการดุจเดียวกับคุณเหมจึงได้เอ่ยเสียงแข็งว่า
“หากไม่กราบขอสมาลาโทษกันในวันนี้เห็นทีฉันจะไม่ยอมหล่อนเป็นแน่”
ช้องนางสูดลมหายใจยาวนาน รู้ทึ้งรู้เต็มอกว่าจงใจ ตีฝีปากต่อบุคคลทั้งสองจริง แต่จะให้ขอสมาลาโทษ เธอไม่อาจทำได้ เพราะหาไม่เท่ากับเธอยอมรับตามข้อกล่าวหา ซึ่งแม้จะเป็นความจริง แต่ช้องนางไม่เต็มใจรับคำกล่าวโทษนั้นสักนิดเดียว เธอจึงบ่ายเบี่ยงเอาตัวรอดไปว่า
“อิฉันถูกเลี้ยงถูกอบรมมาจากหม่อมยาย หากอิฉันโดนคุณแม่ทั้งสองกล่าวหาว่าเสียกิริยาผู้ดี อิฉันคง ขอพึ่งบารมีคุณแม่ไต่สวนเถิดเจ้าค่ะ เพราะคุณแม่ได้รู้ได้ยินอยู่เต็มที่ อิฉันจะให้ผิวไปเชิญหลวงไกร ซึ่งเป็นสามีของอิฉันมาฟังความด้วยนะเจ้าคะ”
“อุแหม่แม่ช้อง เรานี่ใช่เบาเสียจริง นี่หล่อนมาวอนขอจะยกขบวนมาเป็นตุลาการเลยเชียวหรือนี่ ไป ไป รู้จักกันแล้วก็กลับไปเรือนของหล่อนเถิด เมื่อครู่เห็นพ่อไกรไปหอห้องแล้ว เดี๋ยวจะมาต่อว่าฉันแกล้งกักตัวไว้ ไป ไปเสีย”
ช้องนางก้มกราบแม่สามี และหันไปไหว้สองแม่เลี้ยงพอเป็นพิธี ทั้งสองเมินหน้ารับไหว้เอียงข้างอย่างไม่เต็มใจ แต่ช้องนางแอบซ่อนยิ้มอย่างสมใจที่ไม่ต้องไหว้ขอโทษคนที่ด่าเธอ
หญิงสาวร่างอ้อนแอ้นได้รูปสวยทุกส่วนสัด เดินจากมาโดยที่ได้ยินคุณเหมและคุณส้มลิ้มเปล่งเสียงตะเบ็งฟ้องคุณหญิงใหญ่ ให้เอาเรื่อง
แต่คุณหญิงใหญ่เอ่ยขัดออกมา โดยที่ช้องนางได้ยินชื่อหลวงไกร เธอคิดถึงความสำคัญของชายหนุ่มขึ้นมาทันทีว่า หลวงไกรคงเป็นแก้วตาดวงใจของคุณหญิงใหญ่ไม่น้อย เมื่ออ้างไปถึงหลวงไกร การหาเรื่องจึงได้ยุติเสียดื้อ
คนสำคัญมีที่หมายอื่นก่อนหน้านี้ โดยที่บรรดาแม่ทั้งหลายเต็มใจ เธอชื่อ น้ำผึ้ง ในเมื่อเต็มอกเต็มใจกันมากขนาดนั้นแล้ว ไยจึงไปสู่ขอเธอมานั่งกระแทกแดกดันอย่างจงเกลียดจงชังด้วยเล่า
หรือ…ไกรจะเป็นอย่างเจ้าคุณพ่อ ซึ่งมีเมียเป็นประดับบารมีเต็มเรือน
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เธอยอมได้หรือ หรือว่าเธอต้องยอม หรือเตียงที่ตั้งอยู่นั้นเป็นเตียงใหม่ให้เธอมานอนตามลำพังโดยที่หลวงไกรมีคนนอนเคียงอย่างที่เธอนอนเคียงมาสามคืน…แม่น้ำผึ้งเมียเก็บคนนั้น
ที่ผ่านมาระหว่างนอนหอสามคืน เสียงถอนหายใจยาวของหลวงไกรดังให้ได้ยินอยู่ทุกคืนเป็นเพราะหนักใจคิดถึงเมียของเขาหรือนี่
ผิวเดินตามนายเอ่ยด้วยความเป็นห่วง
“คุณช้องสร้างศัตรูเสียแล้วเจ้าค่ะ โดยเฉพาะเป็นคุณแม่ผัวเสียด้วย ยังคุณฯผึ้งคนสวยมองคุณช้องราวกับตาถนนนอกเบ้า”
“เหตุใดท่านมาจงเกลียดจงชังข้าเล่า ท่านเองไปออกปากขอข้ามาจากคุณพ่อ แต่เมื่อมาแล้วมาแกล้งข้าเล่นอย่างนี้ ข้าไม่เข้าใจ ส่วนแม่น้ำผึ้งจะมาหึงหวงข้าทำไม ตัวเป็นเมียก่อนก็น่าจะยุดผัวเอาไว้เสียให้ดี”
“โอยคุณเจ้าขา พาลเผาทั้งลงกาแล้วเจ้าค่ะ เรื่องเมียเก็บนั้นช่างเถิด ขอคุณช้องของบ่าวก็ทำเป็นหูใบ้ ตาบอดไปก็ได้นี่เจ้าคะ ไปโต้ตอบเหมือนโยนหมามุ่ยใส่พวกท่านอย่างนี้ คงได้ฝังใจ แสบคันไปอีกนานเทียว”
“ข้าไม่ยอมกลัวหงอไปดอกผิว ขัดใจมากนักข้าจะกลับเรือนไม่รอให้ใครมาส่งข้ากลับดอก”
“อุ้ย ทำเช่นนั้นคุณพ่อท่านจะโดนเย้ยไยไพไปทั้งสยามว่า หลอกกินขันหมากเจ้าคุณเปล่าๆนะเจ้าคะคุณช้อง ไม่มีใครทำอย่างที่คุณช้องคิดอ่านกันสักคนนะเจ้าคะ”
“ข้าไม่ยอมให้โยนข้าเล่นเป็นลูกช่วง ที่นึกจะขว้างจะส่งก็ทำตามอำเภอใจอย่างเมื่อครู่นี้”
“เย็นสักนิดเจ้าค่ะคุณช้องของบ่าว เรื่องคงไม่เลวร้ายไปนักดอกเจ้าค่ะ”
“นี่ยังไม่ร้ายอีกหรือผิว ข้าไม่เคยโดนใครตอกกลับหน้าหงายอย่างนี้เลยนะ”
“คุณช้องยอมเงียบเสียที่ไหนเล่าเจ้าคะ หม่อมยายเลี้ยงมาดีเหลือใจ”
“เอ้าเรื่องใดมาเอ่ยอ้างหม่อมยายข้า”
“คุณของบ่าว โตมาจากการเลี้ยงดูของคุณท่านนี่เจ้าคะ กลัวคนที่ไหนกัน”
“ข้าไม่ได้แก้ตัว ข้าพูดเรื่องจริงต่างหาก”
“แม่น้ำผึ้งน้ำพังนั้น คุยเขื่องว่าเป็นชาวรั้วชาววัง ไหงผิวออกคล้ำไปทางคุณเหมก็ไม่ทราบนะเจ้าคะ”
“ข้าไม่มองให้เสียลูกตา”
“ไม่มองได้อย่างไรเจ้าคะ มาไม้ไหนเห็นจะไม่รู้”
“เอ๊ะผิว เอ็งนี่อยู่ฝั่งใคร”
“ฝั่งข้างคุณช้องอย่างแน่อยู่แล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าก็ว่าเถอะ บ่าวเห็นจะอ้างชื่อคุณหลวงพอได้อยู่ดอกนะเจ้าคะ เพราะคุณช้องอ้างไป คุณหญิงท่านถึงยอมจบเรื่องเสียทันที ท่าทางจะใหญ่รองท่านเจ้าคุณเลยนะเจ้าคะ”
“ใหญ่อย่างเจ้าคุณ ที่มีเมียมานั่งเรียงหน้าลอยแข่งกันหรือผิว นี่แม่น้ำผึ้งคนที่นั่งเหยียดปากใส่ข้า ข้ายังไม่เห็นแววคนวังเลย”
ช้องนางประชดกลับ ผิวได้แต่นึกห่วง เพราะศึกแม่ผัวผ่านไปไม่นานนัก ผิวพานนึกห่วงนายสาวที่มาถึงเรือนหอแล้ว ท่าทางช้องนางแบกเรื่อง แม่น้ำผึ้งตามที่เข้าใจ จะกลับมาลงที่คุณหลวงเสียก็ไม่รู้...
ช้องนางร้ายหยอกใครเสียที่ไหน ดื้อเงียบอย่างที่ผิวซึ้งใจทีเดียว!!
ทั้งบ่าวทั้งนายพบหลวงไกรนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ หน้าเรือน ชายหนุ่มเหลือบเห็นช้องนางมาแล้วจึงผุดลุกเดินนำเข้าห้องรโหฐาน ช้องนางตามไปอย่างที่นัดหมายกันแต่แรก
หลวงไกรสำทับมาไม่เบานักว่า
“ปิดประตูเสียแม่ช้อง ฉันไม่อยากให้บ่าวของหล่อนเที่ยวนำไปพูดเล่น เพราะ เรื่องนี้จะให้เป็นเรื่องลับของเราเพียงสองคน”
สิ้นคำคล้ายดั่งสั่งทำให้ช้องนางเหลือบมองผิว บ่าวคู่ทุกข์เพียงคนเดียวที่จะปรึกษากันได้ แต่หลวงไกรเกิดจะมีความลับมาปิดกันเสียอีก หญิงสาวลอบถอนใจเล็กน้อยก่อนที่จะทำตามคำสั่ง
เวลาต่อมาทั้งสองถูกปิดกั้นจากสายตาคนภายนอก โดยที่หลวงไกรยืนหันหลังกลางห้อง ขณะที่ช้องนางนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงนอน มุ้งสายถูกรูดม่านเก็บชาย หญิงสาวนั่งนิ่งรอฟังความลับของหลวงไกร
สีหน้าท่าทางชายหนุ่มขรึมกว่าเดิมไปนิด ช้องนางหวั่นไหวในใจ พานคิดถึงเสียงทุ้มนุ่มของ ก้อง ซึ่งแม้เห็น และสนทนากันชั่วแวบหนึ่ง แต่ช้องนางสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีความนุ่มนวลละม้ายเหมือนชายหนุ่มที่เจอกันเมื่องานกฐินหลวงราวกีบคนเดียว
“แม่ช้อง”เสียงหลวงไกรปลุกช้องนางออกจากภวังค์
“เอ่อเจ้าคะ”
“คุณแม่เรียกไปว่ากล่าวกระไรบ้าง”
“ท่านว่าอิฉันไม่เตรียมธูปเทียนแพไปกราบท่าน อิฉันจึงแก้ไปว่าคุณหลวงไม่ชี้นำจึงไม่ทราบดเจ้าค่ะ”
“เอ่อพวกท่านคงเย้าหล่อนเล่น อย่าถือสาไปเลยนะแม่ช้อง ไม่ต้องทำดอก เราไม่ใช่ผัวเมียหนีตามกันไปนี่นา”
“เจ้าค่ะ”ช้องนางเอ่ย เก็บอารมณ์ขุ่นมัวทั้งที่ผ่านมาและกำลังจะเข้ามาอีกระลอกไว้เงียบ
“คุณหลวงว่ามีเหตุจะบอกกล่าวต่ออิฉัน เชิญคุณหลวงกล่าวให้อิฉันหายข้องใจด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“ดูหล่อนพื้นเสียไม่น้อยนะแม่ช้อง” (พื้นเสีย=โกรธ-อารมณ์ไม่ดี)
“อ้อเปล่าเจ้าค่ะ เมื่ออิฉันข้องใจก็เห็นจะข้องใจอยู่อย่างนั้นเอง คุณหลวงเอ่ยมาเถิดเจ้าค่ะ”
คุณหลวงรูปงามนิ่งไปนิด เหลือบแลภรรยา เห็นเธอแอบผูกคิ้ว นิ่วหน้า เขาจึงคิดว่าเธอไม่มีความสุขที่แต่งงานเอาเสียเลย ดังนั้นชายรูปงามจึงอยากเอ่ยถ้อยคำที่อาจทำให้ช้องนางสบายใจที่ไม่ต้องคิดวุ่นวายว่าต้องมาทนอยู่กับเขานานนักว่า
“เห็นแล้วใช่หรือไม่ว่าห้องหอนี้มีสองเตียง”
ฮึ…อยากจะเอาใครมาร่วมห้องโดยไม่ให้บ่าวไพร่รู้ แต่ให้อิฉันเก็บเงียบหรือไรคุณหลวง!
“สายตาอิฉันยังใช้การได้ดีอยู่เจ้าค่ะ”หญิงสาวเชิดหน้านิด ขึ้นเสียงประชด
“นี่ฉันไม่ได้หาเรื่องแม่ช้องดอกนะ แต่ต้องการบอกกล่าวให้เข้าใจ ไม่อยากให้หล่อนมานอนคิดมากจนกระสับกระส่ายว่าฉันจะถูกเนื้อถูกตัว”
“อ้อ คนของคุณหลวงกำกับมาเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
“แม่ช้อง ว่ากระไรนะ”หลวงไกรออกเสียงดังข่มอารมณ์ร้อนไม่อยู่
“เอ่อ”ช้องนางอึกอัก รู้สึกร้อนรุ่มใจจนทนไม่ได้ ครั้นโดนย้อนถามจึงได้ เก็บอาการหึงหวงที่เธอเองไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรจึงได้รู้สึกชังน้ำหน้าหลวงไกรยิ่งนัก
“อิฉัน เพ้อพกเพราะลมร้อนพัดไม่สะดวกเจ้าค่ะคุณหลวง อย่าถือสาอิฉันเลยเจ้าค่ะ”
“จะไม่ให้พูดเลยเห็นจะไม่ได้ ฉันได้ยินอยู่ว่า หล่อนอ้างว่าคนของฉัน หล่อนหมายถึงคุณแม่ฉันเทียวรึ”
“เรื่องใดกันที่คุณหลวงไปเข้าใจว่าอิฉันจะกล้านำคุณแม่มากล่าวเสียหาย คุณหลวงปิดงำเรื่องเตียงสองเตียง อิฉันเห็นผู้หญิงอยู่ที่เรือนคุณแม่ อิฉันจึงหมายถึงผู้หญิงชื่อน้ำผึ้งต่างหากเจ้าคะ”
สีหน้าของหลวงไกรเปลี่ยนไปจากขรึมเป็นสว่างทันตา เขาหลุดปากออกมาอย่างอดไม่ได้ จึงเอ่ยว่า
“น้ำผึ้งมารึ นี่หล่อนหายโกรธฉันแล้วรึ แล้วนี่แม่ช้องรู้จักกันแล้วสินะ”
แค้น อึดอัด แน่นอก อยากทุบ อยากตะกุยแขนคุณหลวงสามี ของเธอเสียให้เล็บหักไปนัก เธอตอบด้วยหัวใจสั่นระริก หน้าร้อนจัด แม่แต่ริมฝีปากยังสั่นตามอารมณ์
“ไม่รู้จักดอกเจ้าค่ะ เห็นแต่นั่งไม่พูดก ผู้ใหญ่ไม่แนะนำว่าเป็นลูกเป็นเมียคุณลูก อิฉันไม่กล้าอวดตัวไปดอกเจ้าค่ะ”
“นี่ๆแม่ช้อง ฉันกับน้ำผึ้งเป็นพี่น้องกัน แม่ช้องคงคิดมากเพราะ...”หลวงไกรทอดเสียงเศร้า ไม่เอ่ยต่อไปว่า เพราะแม่ช้องเองก็มีใจใฝ่ทางอื่นจึงมาประมาทน้ำใจของเขา คิดแล้วชายหนุ่มหดหู่ยิ่งนัก เห็นท่าทีแข้งกระด้าง หน้าซีดเหมือนคนกำลังโกรธมาก ทำให้หลวงไกร อยากปลอบโยนว่าเขารักเขาหลงมากเพียงนี้ ให้หล่อนลืมคนของหล่อนเสีย
หากว่าลูกผู้ชายมีฐานะการงานใหญ่โต จะมาอ้อนวอนเมียให้เห็นใจ ทิ้งชายอื่นได้หรือ เขาต่างหากที่ต้องเสียสละเพื่อความสุขของนางในดวงใจของเขา ดูเถิดใกล้เพียงมือคว้า แต่เขากลับคว้ามาเป็นของตนเองไม่ได้ คิดแล้วอดเคืองใจขึ้นมาเสียไม่ได้ จึงเอ่ยวาจาอย่างไม่ตั้งใจว่า
“ฉันรู้ว่าหล่อนไม่เต็มใจแต่งงานกับฉัน ดังนั้นฉันสัญญาว่าจะไม่ทำให้แม่ช้องต้องมัวหมอง”
คนพูดเสียงขาดหาย ขณะที่คนฟังเงียบงัน
ความเงียบคุกคามคนทั้งคู่อยู่ครู่ใหญ่ หลวงไกรจึงเอ่ยออกมาว่า
“ฉันจะให้แม่ช้องเลือกเตียงนอนได้ตามใจ”
“อิฉันตามใจคุณหลวง อิฉันจากเรือนของตนเองมาแล้ว มาเป็นคนของคุณหลวง แล้วแต่จะกรุณาเลือกให้อิฉันนั่งดูคุณหลวงที่เตียงไหน”
“หล่อนพูดกระไรออกมานะแม่ช้อง ฉันฟังเหมือนโดนกระแทกแดกดันชอบกลนัก”
“ก็เหตุใดคุณหลวงไม่แยกห้องนอนไปเสียเลยเล่าเจ้าคะ”ช้องนางโพล่งออกไปด้วยเสียงอันสั่นเครือ
หยาดน้ำตารื้นขึ้นมาเต็มหน่วยตา ความน้อยเนื้อต่ำใจทำให้หายใจติดขัด
หลวงไกรยิ่งเจ็บใจมากจึงหันหลังให้ กล่าวโต้กลับมาทันที
“ที่ฉันไม่แยกห้องไปเพราะไม่อยากให้บ่าวไพร่นำไปพูดให้แม่ช้องเสื่อมเสียว่าฉันไม่อยู่ร่วมเตียง”
“อ้อที่แท้ต้องการรักษาหน้าอิฉัน”
ช้องนางสวนออกมาแล้วปล่อยน้ำตารินไหลผ่านร่องแก้มหยาดลงพื้น หลวงไกรขยับก้าวเดินไปหยุดตรงหน้าเอื้อมมือคล้ายจะประคองร่างนั้นให้เข้ามาสู่วงแขนด้วยความรักอัดแน่นในอก
หากท่านั่งหลังตรงไม่มองหน้าเขาสักนิดทำให้เขาถอนใจหนักหน่วง ถอยกายกลับไปพิงกรอบหน้าต่างซึ่งเปิดค้างรับลมกล่าววาจาประชดออกมาว่า
“ขอบพระเดชพระคุณคุณหลวงเต็มหัวใจทีเดียวที่ยังรักหน้าของอิฉันอยู่ เป็นอย่างที่คุณหลวงต้องการก็ดี อิฉันจะได้ไม่ต้องร้อนใจมากไปกว่านี้”
“หล่อนบอกมาตามตรงไม่ได้เชียวหรือว่าร้อนอกร้อนใจเรื่องอันใดกันนักหนา”
จะให้บอกไปได้หรือว่า ไม่พอใจที่คุณหลวงมีเมียแล้ว และเธออายจนสุดอายที่ถูกเรียกไปด่าว่า ตากหน้ากับบ่าวไพร่ที่ก้มหน้ายิ้มเยาะกันเป็นแถว
แล้วยังจะให้เอาหน้าไปไว้ที่ไหนที่ต้องมานอนฟังเสียคุณหลวงกับผู้หญิงของคุณหลวงอยู่ในห้องเดียวกับอิฉัน!!



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 พ.ค. 2555, 07:03:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 พ.ค. 2555, 07:03:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 2204





<< เมียในนาม   ใช้พระเดช >>
คิมหันตุ์ 19 พ.ค. 2555, 11:43:20 น.
ไปกันใหญ่เลยT___T


tookta 19 พ.ค. 2555, 22:37:43 น.
ใช่ คิดไปคนละทาง


Zephyr 20 พ.ค. 2555, 08:47:12 น.
อ่าว อมทำไมนั่น ถามกันให้จบๆ จะดีมาก


นางแก้ว 20 พ.ค. 2555, 08:55:04 น.
ทิฐิ ศักดิ์ศรี ทำให้เรื่องเยอะ


องุ่น 27 พ.ค. 2555, 03:20:56 น.
ขัดใจอะป้ากุ เมื่อไรจะหวานสักที หนูรออยู่


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account