คุณทวดออนไลน์ (The Real of Life online)
เมื่อคุณทวดเข้าไปเล่นเกมออนไลน์ (เนื้อเรื่องนี้ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ เขียนเน้นฮาเพียงอย่างเดียวค่ะ)
Tags: เฮฮา บ้าบอ มาริโอ เกมออนไลน์ คุณทวด
ตอน: บทที่ 2
บทที่ 2 ลืมตาดูโลก
ทางด้านราตรีพิสุทธิ์หลังจากเธอนอนหลับไปพักใหญ่แล้ว ตื่นมาอีกทีก็ถูกท่านแม่พาไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วถูกพาอุ้มไปเดินเล่นไหนต่อไหนซึ่งเธอไม่สามารถรับรู้ได้เพราะดวงตาของเธอยังลืมไม่ขึ้น ซึ่งชีวิตทารกของเธอนี้ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากกิน นอน ถ่าย อาบน้ำ ฟังท่านแม่ร้องเพลง และก็นอนหลับ ซึ่งวนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปได้ห้าวัน…
ปัง!
เสียงประตูถูกเปิดดังสนั่น ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์ที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับเสียงร้องเพลงของท่านแม่ถึงกับสะดุ้งตกใจ
“อุแว้! อุแว้!”
ราตรีพิสุทธิ์ร้องเสียงดังลั่นโดยที่ตัวเธอเองไม่สามารถบังคับหรือฝืนมันได้
“ที่รัก ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าเวลาเปิดประตู ก็อย่าเปิดให้มันเสียงดังนัก” เสียงของท่านแม่พูดอย่างฉุนเฉียว แล้วราตรีพิสุทธิ์ก็ได้รู้สึกถึงมือของท่านแม่มาตบเข้าที่สะโพกของเธอเบาๆ “โอ๋ๆ ไม่มีอะไรแล้วนะลูกรัก ไม่มีอะไรแล้ว”
“ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำ เจ้าก็รู้”
เสียงทุ้มแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นพูด ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์พอจะเดาได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร
“ฮึ ถ้าไม่ได้ตั้งใจทำแล้วไฉนถึงเปิดประตูเสียงดังล่ะเดรค” เสียงท่านแม่พูดเสียงย้อนอย่างห้วนๆ “ลูกเกิดมาทั้งที ไม่เห็นมีของขวัญมอบให้ลูกบ้าง อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้ว”
โอ้ ท่านแม่ดุจัง
ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจอย่างขำขัน เพราะช่วงสี่วันมานี้เธอได้รับความรักความอบอุ่นจากท่านแม่มาโดยตลอด ดังนั้นเธอจึงเปรียบแม่มังกรประดุจแม่แท้ๆของเธอ
“ข้าไม่ได้ลืม” เดรคบอกก่อนจะเงียบไป แล้วทันใดนั้นราตรีพิสุทธิ์ก็รู้สึกว่ามีมือหนามาจับมือของเธออย่างเบาๆ “นี่หรือลูกของข้า เขายังแปลงร่างเป็นมังกรไม่ได้สินะ”
เขา? ท่านพ่อหมายถึงใครกัน
“ก็ยังนะสิคะที่รัก แหม เด็กทารกแรกเกิดก็เป็นแบบนี้กันทุกคนแหละ เอ หรือว่าท่านอยากให้ลูกชายของเรากลายเป็นมังกรตลอดเวลาเลยรึไง”
ลูกชาย?!
โอ้มายก็อด…นี่เราเกิดมาเป็นผู้ชายรึเนี่ย!!
“นั่นสินะ ขืนให้ลูกชายของเราแปลงร่างเป็นมังกรตลอดก็คงไม่ดีแน่” เมื่อราตรีพิสุทธิ์ได้ยินคำพูดของท่านแม่กับท่านพ่อแล้ว ยิ่งทำให้เธออยากรู้มากขึ้น ดังนั้นเธอจึงพยายามที่จะลืมตาขึ้นมาให้ได้ ทว่าเธอลองทำอยู่หลายรอบแต่ก็ไม่สามารถลืมตาขึ้นได้เลยสักนิด “ว่าแต่ลูกของเรายังลืมตาไม่ขึ้นอีกหรือ”
“ดูเหมือนจะยังนะคะที่รัก เฮ้อ ข้าล่ะนึกเป็นห่วงลูกคนนี้เหลือเกิน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะลืมตาดูโลกกับเขาได้เสียที”
ท่านแม่พูดเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ ซึ่งทำเอาราตรีพิสุทธิ์นึกเสียใจที่ตนทำตามอย่างที่ท่านแม่คาดหวังไม่ได้
“อย่าได้ห่วงเลยเหม่ยจิง อีกไม่นานลูกเราก็จะเติบโตขึ้นมาแข็งแกร่งอย่างแน่นอน เชื่อข้าสิ” เดรคพูดปลอบคนรัก “ตอนนี้พวกเราทำได้แค่เลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอ”
“อือ ข้าก็ได้แต่หวังให้มันเป็นเช่นนั้น”
ท่านพ่อท่านแม่…
นี่เป็นหนแรกที่ราตรีพิสุทธิ์รู้สึกซาบซึ้งถึงความห่วงใยของท่านพ่อกับท่านแม่ที่มีให้ต่อตัวเอง ถ้าเป็นไปได้ เธออยากให้ทั้งคู่มีตัวตนจริงขึ้นมาเสียแล้ว ไม่ใช่แค่เนื้อหาบนเกมที่ถูกสร้างขึ้น
“จะว่าไปเมื่อไหร่ท่านจะให้ของขวัญกับลูกเสียทีล่ะ”
เหม่ยจิงพูดย้อนเรื่องเก่า ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์ที่กำลังซาบซึ้งอยู่นั้น ถึงกับหัวเราะทันที
“เอิ้กๆ”
แม้เธอจะหัวเราะ แต่ทว่าเสียงของเธอก็ยังเป็นแค่เสียงเด็กทารกอยู่ดี
“ท่านได้รับทักษะการหัวเราะ ระดับ1, 2, 3”
เสียงระบบประกาศในหัวของราตรีพิสุทธิ์
ดู! แค่หัวเราะก็ยังเอามานับเป็นทักษะ!!
ทำไปได้!!
ราตรีพิสุทธิ์คิดอย่างเอือมระอากับความสมจริงของเกมนี้ เพราะหลายวันที่ผ่านมาเธอได้รับทักษะแปลกๆมาไม่รู้ต่อกี่ครั้งแล้ว นี่ถ้าเป็นคนอื่นแล้วล่ะก็ คงจะรำคาญกับเสียงของระบบไม่น้อยเลยทีเดียว
“โธ่เหม่ยจิง ก็ข้ากำลังจะให้อยู่นี่ไง” เดรคพูดอย่างน้อยอกน้อยใจเมื่อโดนคนรักบ่น “ดูสิเพราะเจ้าแท้ๆ ลูกหัวเราะเยาะข้าเลยเห็นไหม”
“ท่านจะมาโทษข้าไม่ได้นะเดรค ท่านทำตัวของท่านเอง”
เหม่ยจิงพูดจาประชดประชัน จนราตรีพิสุทธิ์นึกขำท่านแม่ที่ยังไม่ยอมหายโกรธท่านพ่อเสียที
“ก็ได้ๆ ข้าผิดเองก็ได้” เดรคพูดยอมแพ้ยกธงขาว “ถ้างั้นเจ้ากับลูกก็รีบไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย ประเดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอกกัน”
“ไปข้างนอก? ไปทำไมกัน ไหนท่านว่าจะให้ของขวัญกับลูกยังไงล่ะคะที่รัก”
เหม่ยจิงถามอย่างสงสัย ซึ่งเดรคก็ตอบกลับมาด้วยเสียงระรื่นว่า
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้…”
หวือ!
เสียงลมปะทะเข้ากับใบหน้าของราตรีพิสุทธิ์ทำให้เธออดเสียววาบไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะท่านพ่อมังกรเล่นแปลงร่างตัวเองให้เป็นมังกรก่อนจะพาเธอขึ้นบินสู่เหนือฟ้าโดยมีเหม่ยจิงคอยอุ้มอยู่ไม่ห่างกาย ถึงแม้ราตรีพิสุทธิ์จะได้รับความคุ้มครองจากผู้เป็นแม่แล้ว แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังรู้สึกกลัวความสูงนับพันฟุตไม่ได้อยู่ดี
“กลัวหรือลูกรัก เอ่เอไม่ต้องกลัวนะ อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้วจ้ะ” คนเป็นแม่พูดปลอบลูกทันทีที่เห็นลูกตัวสั่นเทา ก่อนจะหันไปตะโกนแข่งกับสายลมว่า “ยังไม่ถึงที่หมายอีกรึที่รัก! ลูกเรากลัวจนตัวสั่นแล้วนะ!”
“จวนจะถึงแล้ว ใจเย็นๆ!”
เสียงของเดรคตะโกนตอบกลับมา ซึ่งไม่นานนักจนกระทั่งเดรคบอกว่าตอนนี้ได้บินลงมาบนพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ที่นี่มัน…” เสียงเหม่ยจิงพูดในขณะที่อุ้มเธอเดินลงจากหลังของเดรค ซึ่งราตรีพิสุทธิ์เองก็อยากเห็นแต่ตาของเธอยังลืมไม่ขึ้น “น้ำพุสวรรค์”
“สวยใช่ไหมล่ะเหม่ยจิง ที่นี่แหละที่จะเหมาะกับลูกของเรา” เดรคพูดเสียงตื่นเต้น
“สวยค่ะ แหม ท่านนี่ช่างเข้าใจคิดนะ อยากจะให้ลูกเรามาแช่น้ำพุสวรรค์เพื่อเพิ่มพลังล่ะสิ”
เหม่ยจิงพูดราวกับรู้ทันความคิดของเดรค
“ใช่แล้ว เพราะการแช่น้ำพุสวรรค์เป็นการเพิ่มพูนพลังร่างกายของมังกรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แถมนอกจากนี้น้ำพุสวรรค์ก็ยังช่วยบำบัดโรคภัยเกือบทุกชนิดให้หายเป็นปลิดทิ้งอีกด้วย ดังนั้นข้าคิดว่าน้ำพุสวรรค์แห่งนี้น่าจะช่วยให้ลูกของเราสามารถลืมตาขึ้นมาดูโลกได้”
เดรคตอบพลางอธิบายคุณประโยชน์ของการแช่น้ำพุสวรรค์
“เยี่ยมไปเลยค่ะที่รัก ความคิดของท่านช่างฉลาดหลักแหลมสมกับที่เป็นราชามังกร แต่จะดีกว่านี้ถ้าท่านไม่เอาเวลานั้นไปทำอย่างอื่นเช่น…” เหม่ยจิงพูดชมคนรักด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “กกอีหนูโดยที่ข้าไม่รู้”
“เฮ้ย ใครกกอีหนูกันเล่า! เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้วเหม่ยจิง”
เดรครีบพูดแก้ตัวทันควัน
“แน่นะว่าไม่มี” เหม่ยจิงถามย้ำอย่างเอาเรื่อง
“ไม่มีแน่นอนจ้ะ ข้าให้สัญญา”
“อ้อ งั้นก็แล้วไป” เหม่ยจิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แต่อย่าให้ข้าจับได้แล้วกัน ไม่งั้นแม่จะเจี๋ยนของท่านทิ้งลงบ่อน้ำร้อนเสีย”
“โธ่เหม่ยจิง เจ้าไม่เชื่อข้าบ้างเลยหรือ” เดรคพูดเสียงอ่อย แต่หญิงสาวไม่สนใจที่จะฟัง
“มามะลูกรัก เราไปอาบน้ำแช่น้ำเซียนด้วยกันดีกว่า ปล่อยให้มังกรบ้ายืนพูดคนเดียวไปเถอะ”
“เอิ้กๆ!”
ราตรีพิสุทธิ์หัวเราะอย่างถูกใจที่ท่านพ่อโดนท่านแม่ปราบซะจนหงอ ซึ่งทำให้เธอนึกหวนความหลังครั้งสมัยสาวๆที่ตัวเธอเองก็เคยปราบคนรักด้วยวิธีนี้มาก่อน เมื่อเหม่ยจิงได้อุ้มราตรีพิสุทธิ์เดินเข้าไปยังข้างในแล้ว ก็รีบถอดเสื้อผ้าให้ราตรีพิสุทธิ์ก่อนที่ตัวเองจะถอดตาม
“ข้าขอแช่น้ำด้วยคนไม่ได้เหรอเหม่ยจิง” เดรคพูดเสียงอ้อนวอนอย่างแผ่วเบา ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์เดาได้ว่าท่านพ่อคงจะยืนอยู่ห่างออกไปจากจุดที่เธอกับท่านแม่อยู่ “ข้าเป็นคนพาเจ้ากับลูกมาแท้ๆ น่าจะได้แช่น้ำพุร้อนพร้อมหน้าพร้อมตากันสามพ่อแม่ลูกนะ”
“ไม่ได้”
เหม่ยจิงตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด ซึ่งทำให้เดรคถึงกับร้องไห้
“ข้าล้อเล่นค่ะที่รัก ท่านจะมาแช่น้ำด้วยก็มาเถอะค่ะ” เหม่ยจิงบอกขณะที่อุ้มราตรีพิสุทธิ์ขึ้นมา
“จริงเหรอเหม่ยจิง เจ้าจะให้ข้าลงไปจริงเหรอ”
เดรคถามด้วยเสียงหวาดหวั่น
“จริงสิคะที่รัก”
เหม่ยจิงตอบ ซึ่งทำให้เดรคแทบโห่ร้องด้วยความยินดี ก่อนจะรีบถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปในบ่อน้ำพุอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเหม่ยจิงที่ค่อยเดินจุ่มเท้าลงไปอย่างเชื่องช้าโดยระวังมิให้ราตรีพิสุทธิ์ต้องโดนน้ำพุร้อนเร็วเกินไป ส่วนราตรีพิสุทธิ์ก็รู้สึกถึงไอความร้อนที่แผ่มาจากข้างล่าง
ไออุ่นจากน้ำพุร้อนนี่ช่าง…ดีจริงๆ
ไว้ว่างๆให้ตานพพาไปเที่ยวน้ำพุร้อนบ้างดีกว่า
ราตรีพิสุทธิ์คิดลอบในใจโดยไม่รู้ว่าหลานชายของตนผู้ซึ่งถูกนินทาได้จามฮัดเช้ยอยู่หลายครั้งต่อหลายครั้งอย่างน่าสงสาร แล้วราตรีพิสุทธิ์ก็ต้องหยุดคิดเนื่องจากเธอรู้สึกถึงน้ำอุ่นจากบนมือของท่านแม่มาสัมผัสบนตัวเธอ ซึ่งทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่
“เอ่เอ ไม่ร้อนนะไม่ร้อน”
เสียงท่านแม่พูดราวกับต้องการจะบอกเธอว่าไม่ต้องกลัวน้ำร้อนที่กำลังโดนอยู่ในตอนนี้ เมื่อราตรีพิสุทธิ์ได้สัมผัสกับหยาดน้ำจากน้ำพุร้อนแล้ว เธอก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก และยิ่งเมื่อท่านแม่อุ้มเธอหย่อนตัวลงแช่น้ำร้อนอย่างช้าๆ เธอก็สัมผัสได้ถึงพลังงานอันมหาศาลที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่าง
“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้แช่น้ำพุสวรรค์ จึงเลื่อนระดับพื้นฐานให้เป็นเด็กทารกระดับ 2”
พอสิ้นเสียงระบบประกาศ นัยน์ตาทั้งสองข้างก็ได้ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำเงินที่ส่องประกายสดใสประดุจห้วงท้องทะเลลึก จากที่เคยเห็นแต่ความมืดมิด มาบัดนี้เธอได้เห็นแสงสว่างทีละเล็กทีละน้อย
“เดรคมาดูลูกเรานี่สิคะ!”
ถึงแม้ควันไอน้ำจากน้ำพุร้อนจะมีมาก แต่ก็ไม่ทำให้ราตรีพิสุทธิ์พลาดรายละเอียดใบหน้าของท่านแม่เลยสักนิด ริมฝีปากเรียวอมชมพู ใบหน้าเรียวคมไร้เครื่องสำอางตกแต่ง นัยน์ตาสีทองส่องประกายความตื่นเต้น ผนวกกับผมสีน้ำตาลประกายทองสลวยสวยเก๋ถูกม้วนเกล้าขึ้นไปเหนือศีรษะด้วยปิ่นไม้สีน้ำตาลแลดูงดงาม
สวย…สวยอะไรอย่างนี้!
“อะไรหรือเหม่ยจิง เจ้าเล่นพูดซะข้าตกอกตกใจหมดเลย”
เสียงเดรคพูดด้วยความตกใจปนสงสัยพร้อมกับเสียงใครบางคนเดินลุยน้ำเข้ามาใกล้ๆ ก่อนต้นเสียงนั้นจะเผยให้ราตรีพิสุทธิ์เห็นเป็นชายหนุ่มรูปงามผมยาวสีเงินปะบ่ากับนัยน์ตาสีน้ำเงินสะท้อนความเย็นชาแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน
นี่หรือท่านพ่อของเรา
เนื่องจากพ่อของราตรีพิสุทธิ์ได้เสียไปเพราะอุบัติเหตุตั้งแต่เธอยังเล็ก ก็เลยทำให้แม่ต้องคอยเลี้ยงดูเธอมาโดยตลอด ดังนั้นเธอจึงอดหวนนึกถึงพ่อของตัวเองเสียมิได้
“ฮึก...ฮึก...อุแว้! อุแว้!”
“ท่านได้รับทักษะการร้องไห้ ระดับ6, 7, 8, 9, 10”
เสียงระบบประกาศบอกในหัวแต่ทว่าราตรีพิสุทธิ์หาได้สนใจไม่
“โอ๋ๆ อย่าร้องไห้เลยนะจ้ะลูกรัก”
เหม่ยจิงรีบอุ้มลูกทารกน้อยขึ้นแนบอกเพื่อปลอบขวัญ ส่วนคนเป็นพ่อได้แต่หน้าเสียเพราะเมื่อครู่นี้ตนเพิ่งจะเดินลุยน้ำเพื่อมาดูหน้าลูกชายตามเสียงเรียกร้องของผู้เป็นภรรยา แต่ทว่าลูกชายกลับร้องไห้ขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉย ดังนั้นตนจึงรีบไปยืนหลบอยู่ด้านหลังภรรยาแทน หลังจากเหม่ยจิงใช้เวลาในการปลอบอยู่นาน ราตรีพิสุทธิ์ก็ได้หยุดร้องไห้ซึ่งเหลือแต่เพียงเสียงสะอื้นเบาๆ
“สมกับเป็นน้ำพุสวรรค์ มันสามารถทำให้ลูกเราลืมตาขึ้นมาได้จริงๆ มหัศจรรย์ยิ่งนัก”
เดรคพูดพลางจ้องน้ำพุอันใสสะอาดที่ตนแช่อยู่ในขณะนี้
“ที่รักคะ ใจคอท่านจะไม่ดูลูกชายเราหน่อยหรือ เขาอุตส่าห์ลืมตาขึ้นมาได้แล้วแท้ๆ”
“ดูสิ ใครว่าจะไม่ดูกันล่ะ” เดรคพูดพลางชะเง้อหน้าเอียงคอดูจากทางหลังคนรัก ก่อนจะมองเห็นราตรีพิสุทธิ์ซึ่งมีนัยน์ตาสีเดียวกับตน “โอ้ ลูกเรามีนัยน์ตากับสีผมเหมือนพ่อไม่มีผิด ฮ่า! ฮ่า! สงสัยเชื้อพ่อมันแรง”
“ฮึ ลูกเหมือนท่านหมดเสียเมื่อไหร่ สีผิวกับใบหน้าก็เหมือนข้าด้วยนะ”
เหม่ยจิงพูดเสียงเง้างอน ซึ่งทำให้เดรครีบหอมแก้มเพื่อเอาอกเอาใจคนรัก
“จริงด้วย เหมือนเจ้าจริงๆด้วย” ชายหนุ่มพูดพลางมองหน้าราตรีพิสุทธิ์ “อือ แต่จะว่าไปลูกเราก็…น่ารักใช่ย่อยนะ หน้าหวานแบบนี้คงจะมีผู้หญิงมาติดพันเยอะแน่”
“เนื้อหอมไม่ว่า แต่ขออย่าให้เจ้าชู้เหมือนท่านแล้วกัน”
เหม่ยจิงพูดประชด ซึ่งทำให้เดรคได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ หลังจากนั้นสามพ่อแม่ลูกได้แช่น้ำอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนเดรคจะพาคนรักกับลูกชายกลับบ้านทันที ซึ่งครั้งนี้แตกต่างกับตอนขามาโดยสิ้นเชิง เพราะราตรีพิสุทธิ์สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้แล้ว แต่ทว่าราตรีพิสุทธิ์ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก จึงทำให้เธอผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
“ปฐพี...ปฐพี!”
เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้น ทำเอาคนที่นั่งหลับเอนหลังพิงต้นไม้ถึงกับลืมตาขึ้นมา ทีแรกปฐพีแทบงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน และเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่พอได้เห็นสิ่งรอบข้างที่เป็นเวลากลางคืนผนวกกับต้นไม้รอบกายที่มีอยู่เยอะแล้ว ปฐพีก็จำเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมดภายในช่วงพริบตาเดียว
จริงสิ ตอนนี้เขากับเพื่อนๆกำลังออกตามหาคุณยายที่บนเกาะเริ่มต้นนี่
พอชายหนุ่มคิดเสร็จ ปฐพีก็หันมามองสองหนุ่มที่กำลังนั่งจ้องหน้าเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามกองไฟที่ลุกโชติช่วง ซึ่งคนที่เรียกปฐพีเป็นเด็กหนุ่มหน้าละอ่อนวัยสิบห้าสิบหกกำลังนั่งกอดอกอยู่ เจ้าตัวมีนัยน์ตาสีเขียวด้านขวาเพียงข้างเดียว ส่วนข้างซ้ายกลับถูกผ้าผืนสีดำปกปิดไว้ เสื้อผ้าที่สวมก็เป็นผ้าฝ้ายสีขาวกางเกงขาสั้นสามส่วนสีเขียวใบไม้เข้มกับรองเท้าบู๊ตสีน้ำตาลเข้มแลดูทะมัดทะแมงดี และนอกจากนี้อีกฝ่ายยังมีใบหูสองข้างที่แหลมเหมือนกับหูของเอลฟ์อีกด้วย
“นายเรียกฉันเหรอศาสตรา”
ปฐพีถามพลางเอามือขยี้ตา ตอนนี้เขากับเพื่อนอีกสองคนที่กลางป่าบนเกาะเริ่มต้น
“ก็ใช่นะสิปฐพี” ศาสตราพูดตอบพลางส่งยื่นไก่ปิ้งให้กับปฐพี “พอได้นั่งพักปุ๊บ นายก็หลับปั๊บทันที ถามหน่อยเถอะ กะอีแค่เกมนายจะกังวลไปทำไมกัน คุณยายของนายคงเอาตัวรอดในเกมได้อยู่หรอกน่า”
ปฐพียังไม่ตอบคำถามของศาสตราเดี๋ยวนั้น เขารับไก่ปิ้งของอีกฝ่ายมาฉีกเนื้อไก่ใส่ปากเคี้ยวให้ละเอียด ก่อนจะกลืนลงคออย่างรวดเร็ว "จะไม่ให้เป็นกังวลได้ยังไงกัน ก็ในเมื่อคุณยายของฉันไม่เคยแตะคอมพิวเตอร์เลยด้วยซ้ำ จะให้ท่านเล่นเกมออนไลน์เป็นได้ยังไงกัน พวกนายลองคิดดูสิ เอ่อ ฉันลืมบอกไปว่าตอนนี้ท่านมีอายุหนึ่งร้อยสิบปีแล้วด้วย ไม่ใช่หกสิบเจ็ดสิบเหมือนผู้เล่นที่หนึ่งของเกมนี้นะจะบอกให้”
ผู้ฟังทั้งสองตกใจจนตาเกือบถลนออกจากเบ้าเมื่อได้รับทราบถึงอายุคุณยายของปฐพี
“โอ้แม่เจ้า! หนึ่งร้อยสิบปี อยู่ไปได้ยังไงกันล่ะนั่น” คนพูดเป็นชายร่างยักษ์ มีผมสีดำยาวปะบ่า ผิวสีเขียวเข้ม นัยน์ตาสีแดงเข้ม สวมเสื้อเกราะสีดำกับกางเกงผ้าฝ้ายขายาวสีดำ ซึ่งผิดกับใบหน้าที่ทะเล้นตึงตัง ไม่โหดเหี้ยมเหมือนยักษ์ในนิทานเลยสักนิด “ขนาดยายของฉันว่าอายุเจ็ดสิบแล้ว ยังสู้ยายของนายไม่ได้เลยปฐพี สุดยอดเลยจริงๆ ว่าแต่ยายของนายไม่แก่จนละเลือนไปเลยรึ”
คนถูกถามส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ไม่เลยพิภพ” ปฐพีตอบพลางยกกระติกน้ำขึ้นดื่ม “ถึงท่านจะอายุมากก็จริง แต่สุขภาพของท่านแข็งแรงพอๆกับคนอายุห้าสิบหกสิบ เพราะฉะนั้นพวกนายสองคนเลิกกังวลเรื่องความทรงจำของท่านไปได้เลย”
“ถ้านายยืนยันอย่างนั้น พวกฉันก็ค่อยหายห่วงหน่อย”
ศาสตราพูดพลางถอนหายใจ ซึ่งความกังวลของผู้เป็นเพื่อนที่แสดงออกมา ทำให้ปฐพีถึงกับซาบซึ้งน้ำใจเพื่อนที่มีให้กับเขา
“ฉันต้องขอบใจพวกนายสองคนจริงๆ ที่อุตส่าห์มาช่วยออกตามหาคุณยายของฉันทั้งๆที่งานในสมาคมจับฉ่ายของพวกเรายังมีอยู่อีกมาก”
ปฐพีพูดขอบคุณเพื่อนอย่างจริงใจ ซึ่งทีแรกเขาตั้งใจจะเคลียร์งานในสมาคมจับฉ่ายกับเคลียร์ภารกิจของศาสตราที่ค้างคาให้เสร็จพร้อมกันเลยทีเดียว แล้วจากนั้นค่อยออกมาตามหาคุณยายที่เกาะเริ่มต้นตามลำพัง แต่ทว่าปฐพีกลับโดนสองคนนี้รุมมะตุ้มถามเหตุผลที่เขาเลือกจะกลับไปยังเกาะเริ่มต้น ทั้งๆที่ปฐพีมีระดับที่สูงเกินสี่สิบแถมยังไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปเลยด้วยซ้ำ ซึ่งพอปฐพีเล่าให้เพื่อนทั้งสองคนฟังจนจบแล้ว ทั้งคู่ก็ขอตามเขาไปด้วยอย่างหน้าตาเฉย
“มิได้ๆปฐพี แค่นายไม่โกรธที่พวกฉันขอตามมาด้วยก็พอแล้วล่ะ”
พิภพตอบ ซึ่งศาสตราเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับพิภพ
“อย่างที่พิภพพูดนั่นแหละ งานนี้พวกเราเต็มใจที่จะมาเอง เพราะฉะนั้นนายห้ามปฏิเสธหรือไล่พวกเรากลับไปเสียให้ยาก” ศาสตราพูดพลางโบกมือที่ถือช้อนไปมา แล้วศาสตราทำท่านึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิ ตอนนี้พวกเราก็อยู่บนเกาะเริ่มต้นแล้ว นายจะเริ่มต้นหาคุณยายที่ไหนก่อนดีล่ะ”
“คงจะเป็นที่เมืองเริ่มต้น...ฉันคิดว่าจะไปสอบถามกับเจ้าหน้าที่เกมเกี่ยวกับปัญหาการติดต่อกับคุณยายไม่ได้นะ แล้วจากนั้นค่อยไปติดประกาศขอความช่วยเหลือคนในเกมให้ช่วยออกตามหาคุณยายด้วยอีกแรง”
ปฐพีตอบอย่างที่เคยคิดไว้ล่วงหน้าอยู่นานแล้ว
“อืม เป็นความคิดที่ดี” พิภพพูดพลางพยักหน้า “ว่าแต่ทำไมนายไม่ไปขอความช่วยเหลือพวกสมาชิกในสมาคมจับฉ่ายดูบ้างล่ะ เป็นหัวหน้าสมาคมจับฉ่ายแท้ๆ กลับไม่ใช้ประโยชน์นี้ในการตามหาคุณยายของนายซะเลย”
“เห็นทีคงจะไม่ เพราะการใช้อำนาจเพียงเพื่อเรื่องส่วนตัวย่อมไม่ใช่วิสัยผู้นำควรพึงกระทำ แล้วอีกอย่างเรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันควรจะจัดการด้วยตัวของฉันเอง”
คำตอบที่กลั่นกรองมาจากปากปฐพี ซึ่งทำให้ผู้ฟังทั้งสองถึงกับตะลึง
เพราะมันเป็นคนแบบนี้ไงเล่า พวกเขาถึงได้ยอมติดตามมันมาตั้งแต่ระดับศูนย์จนถึงเดี๋ยวนี้!
ศาสตรากับพิภพคิดไปอมยิ้มไปพลาง คนดีอย่างปฐพี ไม่ว่าใครก็อยากคบหาด้วย ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงไม่คิดจะทอดทิ้งหัวหน้าผู้แสนดีของสมาคมจับฉ่ายได้ลงคอหรอก
“คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว ฉันว่าพวกเราควรรีบเข้านอนพักผ่อนเอาแรงจะดีกว่านะ แล้วตอนเช้าค่อยว่ากันใหม่”
ปฐพีพูดตัดบทพลางอ้าปากหาววอดโดยไม่ลืมเอามือปิดปากด้วย ซึ่งศาสตรากับพิภพเองก็รู้สึกง่วงนอนแล้วเช่นกัน จึงพากันแยกย้ายเข้านอนในเต็นท์ใครเต็นท์มัน
ทางด้านราตรีพิสุทธิ์หลังจากเธอนอนหลับไปพักใหญ่แล้ว ตื่นมาอีกทีก็ถูกท่านแม่พาไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วถูกพาอุ้มไปเดินเล่นไหนต่อไหนซึ่งเธอไม่สามารถรับรู้ได้เพราะดวงตาของเธอยังลืมไม่ขึ้น ซึ่งชีวิตทารกของเธอนี้ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากกิน นอน ถ่าย อาบน้ำ ฟังท่านแม่ร้องเพลง และก็นอนหลับ ซึ่งวนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปได้ห้าวัน…
ปัง!
เสียงประตูถูกเปิดดังสนั่น ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์ที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับเสียงร้องเพลงของท่านแม่ถึงกับสะดุ้งตกใจ
“อุแว้! อุแว้!”
ราตรีพิสุทธิ์ร้องเสียงดังลั่นโดยที่ตัวเธอเองไม่สามารถบังคับหรือฝืนมันได้
“ที่รัก ข้าเคยบอกท่านแล้วว่าเวลาเปิดประตู ก็อย่าเปิดให้มันเสียงดังนัก” เสียงของท่านแม่พูดอย่างฉุนเฉียว แล้วราตรีพิสุทธิ์ก็ได้รู้สึกถึงมือของท่านแม่มาตบเข้าที่สะโพกของเธอเบาๆ “โอ๋ๆ ไม่มีอะไรแล้วนะลูกรัก ไม่มีอะไรแล้ว”
“ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำ เจ้าก็รู้”
เสียงทุ้มแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นพูด ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์พอจะเดาได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใคร
“ฮึ ถ้าไม่ได้ตั้งใจทำแล้วไฉนถึงเปิดประตูเสียงดังล่ะเดรค” เสียงท่านแม่พูดเสียงย้อนอย่างห้วนๆ “ลูกเกิดมาทั้งที ไม่เห็นมีของขวัญมอบให้ลูกบ้าง อย่าบอกนะว่าลืมไปแล้ว”
โอ้ ท่านแม่ดุจัง
ราตรีพิสุทธิ์คิดในใจอย่างขำขัน เพราะช่วงสี่วันมานี้เธอได้รับความรักความอบอุ่นจากท่านแม่มาโดยตลอด ดังนั้นเธอจึงเปรียบแม่มังกรประดุจแม่แท้ๆของเธอ
“ข้าไม่ได้ลืม” เดรคบอกก่อนจะเงียบไป แล้วทันใดนั้นราตรีพิสุทธิ์ก็รู้สึกว่ามีมือหนามาจับมือของเธออย่างเบาๆ “นี่หรือลูกของข้า เขายังแปลงร่างเป็นมังกรไม่ได้สินะ”
เขา? ท่านพ่อหมายถึงใครกัน
“ก็ยังนะสิคะที่รัก แหม เด็กทารกแรกเกิดก็เป็นแบบนี้กันทุกคนแหละ เอ หรือว่าท่านอยากให้ลูกชายของเรากลายเป็นมังกรตลอดเวลาเลยรึไง”
ลูกชาย?!
โอ้มายก็อด…นี่เราเกิดมาเป็นผู้ชายรึเนี่ย!!
“นั่นสินะ ขืนให้ลูกชายของเราแปลงร่างเป็นมังกรตลอดก็คงไม่ดีแน่” เมื่อราตรีพิสุทธิ์ได้ยินคำพูดของท่านแม่กับท่านพ่อแล้ว ยิ่งทำให้เธออยากรู้มากขึ้น ดังนั้นเธอจึงพยายามที่จะลืมตาขึ้นมาให้ได้ ทว่าเธอลองทำอยู่หลายรอบแต่ก็ไม่สามารถลืมตาขึ้นได้เลยสักนิด “ว่าแต่ลูกของเรายังลืมตาไม่ขึ้นอีกหรือ”
“ดูเหมือนจะยังนะคะที่รัก เฮ้อ ข้าล่ะนึกเป็นห่วงลูกคนนี้เหลือเกิน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะลืมตาดูโลกกับเขาได้เสียที”
ท่านแม่พูดเสียงสั่นเครือราวกับจะร้องไห้ ซึ่งทำเอาราตรีพิสุทธิ์นึกเสียใจที่ตนทำตามอย่างที่ท่านแม่คาดหวังไม่ได้
“อย่าได้ห่วงเลยเหม่ยจิง อีกไม่นานลูกเราก็จะเติบโตขึ้นมาแข็งแกร่งอย่างแน่นอน เชื่อข้าสิ” เดรคพูดปลอบคนรัก “ตอนนี้พวกเราทำได้แค่เลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอ”
“อือ ข้าก็ได้แต่หวังให้มันเป็นเช่นนั้น”
ท่านพ่อท่านแม่…
นี่เป็นหนแรกที่ราตรีพิสุทธิ์รู้สึกซาบซึ้งถึงความห่วงใยของท่านพ่อกับท่านแม่ที่มีให้ต่อตัวเอง ถ้าเป็นไปได้ เธออยากให้ทั้งคู่มีตัวตนจริงขึ้นมาเสียแล้ว ไม่ใช่แค่เนื้อหาบนเกมที่ถูกสร้างขึ้น
“จะว่าไปเมื่อไหร่ท่านจะให้ของขวัญกับลูกเสียทีล่ะ”
เหม่ยจิงพูดย้อนเรื่องเก่า ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์ที่กำลังซาบซึ้งอยู่นั้น ถึงกับหัวเราะทันที
“เอิ้กๆ”
แม้เธอจะหัวเราะ แต่ทว่าเสียงของเธอก็ยังเป็นแค่เสียงเด็กทารกอยู่ดี
“ท่านได้รับทักษะการหัวเราะ ระดับ1, 2, 3”
เสียงระบบประกาศในหัวของราตรีพิสุทธิ์
ดู! แค่หัวเราะก็ยังเอามานับเป็นทักษะ!!
ทำไปได้!!
ราตรีพิสุทธิ์คิดอย่างเอือมระอากับความสมจริงของเกมนี้ เพราะหลายวันที่ผ่านมาเธอได้รับทักษะแปลกๆมาไม่รู้ต่อกี่ครั้งแล้ว นี่ถ้าเป็นคนอื่นแล้วล่ะก็ คงจะรำคาญกับเสียงของระบบไม่น้อยเลยทีเดียว
“โธ่เหม่ยจิง ก็ข้ากำลังจะให้อยู่นี่ไง” เดรคพูดอย่างน้อยอกน้อยใจเมื่อโดนคนรักบ่น “ดูสิเพราะเจ้าแท้ๆ ลูกหัวเราะเยาะข้าเลยเห็นไหม”
“ท่านจะมาโทษข้าไม่ได้นะเดรค ท่านทำตัวของท่านเอง”
เหม่ยจิงพูดจาประชดประชัน จนราตรีพิสุทธิ์นึกขำท่านแม่ที่ยังไม่ยอมหายโกรธท่านพ่อเสียที
“ก็ได้ๆ ข้าผิดเองก็ได้” เดรคพูดยอมแพ้ยกธงขาว “ถ้างั้นเจ้ากับลูกก็รีบไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย ประเดี๋ยวเราจะออกไปข้างนอกกัน”
“ไปข้างนอก? ไปทำไมกัน ไหนท่านว่าจะให้ของขวัญกับลูกยังไงล่ะคะที่รัก”
เหม่ยจิงถามอย่างสงสัย ซึ่งเดรคก็ตอบกลับมาด้วยเสียงระรื่นว่า
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้…”
หวือ!
เสียงลมปะทะเข้ากับใบหน้าของราตรีพิสุทธิ์ทำให้เธออดเสียววาบไม่ได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะท่านพ่อมังกรเล่นแปลงร่างตัวเองให้เป็นมังกรก่อนจะพาเธอขึ้นบินสู่เหนือฟ้าโดยมีเหม่ยจิงคอยอุ้มอยู่ไม่ห่างกาย ถึงแม้ราตรีพิสุทธิ์จะได้รับความคุ้มครองจากผู้เป็นแม่แล้ว แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังรู้สึกกลัวความสูงนับพันฟุตไม่ได้อยู่ดี
“กลัวหรือลูกรัก เอ่เอไม่ต้องกลัวนะ อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้วจ้ะ” คนเป็นแม่พูดปลอบลูกทันทีที่เห็นลูกตัวสั่นเทา ก่อนจะหันไปตะโกนแข่งกับสายลมว่า “ยังไม่ถึงที่หมายอีกรึที่รัก! ลูกเรากลัวจนตัวสั่นแล้วนะ!”
“จวนจะถึงแล้ว ใจเย็นๆ!”
เสียงของเดรคตะโกนตอบกลับมา ซึ่งไม่นานนักจนกระทั่งเดรคบอกว่าตอนนี้ได้บินลงมาบนพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ที่นี่มัน…” เสียงเหม่ยจิงพูดในขณะที่อุ้มเธอเดินลงจากหลังของเดรค ซึ่งราตรีพิสุทธิ์เองก็อยากเห็นแต่ตาของเธอยังลืมไม่ขึ้น “น้ำพุสวรรค์”
“สวยใช่ไหมล่ะเหม่ยจิง ที่นี่แหละที่จะเหมาะกับลูกของเรา” เดรคพูดเสียงตื่นเต้น
“สวยค่ะ แหม ท่านนี่ช่างเข้าใจคิดนะ อยากจะให้ลูกเรามาแช่น้ำพุสวรรค์เพื่อเพิ่มพลังล่ะสิ”
เหม่ยจิงพูดราวกับรู้ทันความคิดของเดรค
“ใช่แล้ว เพราะการแช่น้ำพุสวรรค์เป็นการเพิ่มพูนพลังร่างกายของมังกรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แถมนอกจากนี้น้ำพุสวรรค์ก็ยังช่วยบำบัดโรคภัยเกือบทุกชนิดให้หายเป็นปลิดทิ้งอีกด้วย ดังนั้นข้าคิดว่าน้ำพุสวรรค์แห่งนี้น่าจะช่วยให้ลูกของเราสามารถลืมตาขึ้นมาดูโลกได้”
เดรคตอบพลางอธิบายคุณประโยชน์ของการแช่น้ำพุสวรรค์
“เยี่ยมไปเลยค่ะที่รัก ความคิดของท่านช่างฉลาดหลักแหลมสมกับที่เป็นราชามังกร แต่จะดีกว่านี้ถ้าท่านไม่เอาเวลานั้นไปทำอย่างอื่นเช่น…” เหม่ยจิงพูดชมคนรักด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “กกอีหนูโดยที่ข้าไม่รู้”
“เฮ้ย ใครกกอีหนูกันเล่า! เจ้าเข้าใจข้าผิดแล้วเหม่ยจิง”
เดรครีบพูดแก้ตัวทันควัน
“แน่นะว่าไม่มี” เหม่ยจิงถามย้ำอย่างเอาเรื่อง
“ไม่มีแน่นอนจ้ะ ข้าให้สัญญา”
“อ้อ งั้นก็แล้วไป” เหม่ยจิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แต่อย่าให้ข้าจับได้แล้วกัน ไม่งั้นแม่จะเจี๋ยนของท่านทิ้งลงบ่อน้ำร้อนเสีย”
“โธ่เหม่ยจิง เจ้าไม่เชื่อข้าบ้างเลยหรือ” เดรคพูดเสียงอ่อย แต่หญิงสาวไม่สนใจที่จะฟัง
“มามะลูกรัก เราไปอาบน้ำแช่น้ำเซียนด้วยกันดีกว่า ปล่อยให้มังกรบ้ายืนพูดคนเดียวไปเถอะ”
“เอิ้กๆ!”
ราตรีพิสุทธิ์หัวเราะอย่างถูกใจที่ท่านพ่อโดนท่านแม่ปราบซะจนหงอ ซึ่งทำให้เธอนึกหวนความหลังครั้งสมัยสาวๆที่ตัวเธอเองก็เคยปราบคนรักด้วยวิธีนี้มาก่อน เมื่อเหม่ยจิงได้อุ้มราตรีพิสุทธิ์เดินเข้าไปยังข้างในแล้ว ก็รีบถอดเสื้อผ้าให้ราตรีพิสุทธิ์ก่อนที่ตัวเองจะถอดตาม
“ข้าขอแช่น้ำด้วยคนไม่ได้เหรอเหม่ยจิง” เดรคพูดเสียงอ้อนวอนอย่างแผ่วเบา ซึ่งทำให้ราตรีพิสุทธิ์เดาได้ว่าท่านพ่อคงจะยืนอยู่ห่างออกไปจากจุดที่เธอกับท่านแม่อยู่ “ข้าเป็นคนพาเจ้ากับลูกมาแท้ๆ น่าจะได้แช่น้ำพุร้อนพร้อมหน้าพร้อมตากันสามพ่อแม่ลูกนะ”
“ไม่ได้”
เหม่ยจิงตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด ซึ่งทำให้เดรคถึงกับร้องไห้
“ข้าล้อเล่นค่ะที่รัก ท่านจะมาแช่น้ำด้วยก็มาเถอะค่ะ” เหม่ยจิงบอกขณะที่อุ้มราตรีพิสุทธิ์ขึ้นมา
“จริงเหรอเหม่ยจิง เจ้าจะให้ข้าลงไปจริงเหรอ”
เดรคถามด้วยเสียงหวาดหวั่น
“จริงสิคะที่รัก”
เหม่ยจิงตอบ ซึ่งทำให้เดรคแทบโห่ร้องด้วยความยินดี ก่อนจะรีบถอดเสื้อผ้าแล้วลงไปในบ่อน้ำพุอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเหม่ยจิงที่ค่อยเดินจุ่มเท้าลงไปอย่างเชื่องช้าโดยระวังมิให้ราตรีพิสุทธิ์ต้องโดนน้ำพุร้อนเร็วเกินไป ส่วนราตรีพิสุทธิ์ก็รู้สึกถึงไอความร้อนที่แผ่มาจากข้างล่าง
ไออุ่นจากน้ำพุร้อนนี่ช่าง…ดีจริงๆ
ไว้ว่างๆให้ตานพพาไปเที่ยวน้ำพุร้อนบ้างดีกว่า
ราตรีพิสุทธิ์คิดลอบในใจโดยไม่รู้ว่าหลานชายของตนผู้ซึ่งถูกนินทาได้จามฮัดเช้ยอยู่หลายครั้งต่อหลายครั้งอย่างน่าสงสาร แล้วราตรีพิสุทธิ์ก็ต้องหยุดคิดเนื่องจากเธอรู้สึกถึงน้ำอุ่นจากบนมือของท่านแม่มาสัมผัสบนตัวเธอ ซึ่งทำให้เธอรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไรอยู่
“เอ่เอ ไม่ร้อนนะไม่ร้อน”
เสียงท่านแม่พูดราวกับต้องการจะบอกเธอว่าไม่ต้องกลัวน้ำร้อนที่กำลังโดนอยู่ในตอนนี้ เมื่อราตรีพิสุทธิ์ได้สัมผัสกับหยาดน้ำจากน้ำพุร้อนแล้ว เธอก็รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก และยิ่งเมื่อท่านแม่อุ้มเธอหย่อนตัวลงแช่น้ำร้อนอย่างช้าๆ เธอก็สัมผัสได้ถึงพลังงานอันมหาศาลที่พลุ่งพล่านไปทั่วร่าง
“เนื่องจากผู้เล่นราตรีพิสุทธิ์ได้แช่น้ำพุสวรรค์ จึงเลื่อนระดับพื้นฐานให้เป็นเด็กทารกระดับ 2”
พอสิ้นเสียงระบบประกาศ นัยน์ตาทั้งสองข้างก็ได้ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำเงินที่ส่องประกายสดใสประดุจห้วงท้องทะเลลึก จากที่เคยเห็นแต่ความมืดมิด มาบัดนี้เธอได้เห็นแสงสว่างทีละเล็กทีละน้อย
“เดรคมาดูลูกเรานี่สิคะ!”
ถึงแม้ควันไอน้ำจากน้ำพุร้อนจะมีมาก แต่ก็ไม่ทำให้ราตรีพิสุทธิ์พลาดรายละเอียดใบหน้าของท่านแม่เลยสักนิด ริมฝีปากเรียวอมชมพู ใบหน้าเรียวคมไร้เครื่องสำอางตกแต่ง นัยน์ตาสีทองส่องประกายความตื่นเต้น ผนวกกับผมสีน้ำตาลประกายทองสลวยสวยเก๋ถูกม้วนเกล้าขึ้นไปเหนือศีรษะด้วยปิ่นไม้สีน้ำตาลแลดูงดงาม
สวย…สวยอะไรอย่างนี้!
“อะไรหรือเหม่ยจิง เจ้าเล่นพูดซะข้าตกอกตกใจหมดเลย”
เสียงเดรคพูดด้วยความตกใจปนสงสัยพร้อมกับเสียงใครบางคนเดินลุยน้ำเข้ามาใกล้ๆ ก่อนต้นเสียงนั้นจะเผยให้ราตรีพิสุทธิ์เห็นเป็นชายหนุ่มรูปงามผมยาวสีเงินปะบ่ากับนัยน์ตาสีน้ำเงินสะท้อนความเย็นชาแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยน
นี่หรือท่านพ่อของเรา
เนื่องจากพ่อของราตรีพิสุทธิ์ได้เสียไปเพราะอุบัติเหตุตั้งแต่เธอยังเล็ก ก็เลยทำให้แม่ต้องคอยเลี้ยงดูเธอมาโดยตลอด ดังนั้นเธอจึงอดหวนนึกถึงพ่อของตัวเองเสียมิได้
“ฮึก...ฮึก...อุแว้! อุแว้!”
“ท่านได้รับทักษะการร้องไห้ ระดับ6, 7, 8, 9, 10”
เสียงระบบประกาศบอกในหัวแต่ทว่าราตรีพิสุทธิ์หาได้สนใจไม่
“โอ๋ๆ อย่าร้องไห้เลยนะจ้ะลูกรัก”
เหม่ยจิงรีบอุ้มลูกทารกน้อยขึ้นแนบอกเพื่อปลอบขวัญ ส่วนคนเป็นพ่อได้แต่หน้าเสียเพราะเมื่อครู่นี้ตนเพิ่งจะเดินลุยน้ำเพื่อมาดูหน้าลูกชายตามเสียงเรียกร้องของผู้เป็นภรรยา แต่ทว่าลูกชายกลับร้องไห้ขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉย ดังนั้นตนจึงรีบไปยืนหลบอยู่ด้านหลังภรรยาแทน หลังจากเหม่ยจิงใช้เวลาในการปลอบอยู่นาน ราตรีพิสุทธิ์ก็ได้หยุดร้องไห้ซึ่งเหลือแต่เพียงเสียงสะอื้นเบาๆ
“สมกับเป็นน้ำพุสวรรค์ มันสามารถทำให้ลูกเราลืมตาขึ้นมาได้จริงๆ มหัศจรรย์ยิ่งนัก”
เดรคพูดพลางจ้องน้ำพุอันใสสะอาดที่ตนแช่อยู่ในขณะนี้
“ที่รักคะ ใจคอท่านจะไม่ดูลูกชายเราหน่อยหรือ เขาอุตส่าห์ลืมตาขึ้นมาได้แล้วแท้ๆ”
“ดูสิ ใครว่าจะไม่ดูกันล่ะ” เดรคพูดพลางชะเง้อหน้าเอียงคอดูจากทางหลังคนรัก ก่อนจะมองเห็นราตรีพิสุทธิ์ซึ่งมีนัยน์ตาสีเดียวกับตน “โอ้ ลูกเรามีนัยน์ตากับสีผมเหมือนพ่อไม่มีผิด ฮ่า! ฮ่า! สงสัยเชื้อพ่อมันแรง”
“ฮึ ลูกเหมือนท่านหมดเสียเมื่อไหร่ สีผิวกับใบหน้าก็เหมือนข้าด้วยนะ”
เหม่ยจิงพูดเสียงเง้างอน ซึ่งทำให้เดรครีบหอมแก้มเพื่อเอาอกเอาใจคนรัก
“จริงด้วย เหมือนเจ้าจริงๆด้วย” ชายหนุ่มพูดพลางมองหน้าราตรีพิสุทธิ์ “อือ แต่จะว่าไปลูกเราก็…น่ารักใช่ย่อยนะ หน้าหวานแบบนี้คงจะมีผู้หญิงมาติดพันเยอะแน่”
“เนื้อหอมไม่ว่า แต่ขออย่าให้เจ้าชู้เหมือนท่านแล้วกัน”
เหม่ยจิงพูดประชด ซึ่งทำให้เดรคได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ หลังจากนั้นสามพ่อแม่ลูกได้แช่น้ำอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ก่อนเดรคจะพาคนรักกับลูกชายกลับบ้านทันที ซึ่งครั้งนี้แตกต่างกับตอนขามาโดยสิ้นเชิง เพราะราตรีพิสุทธิ์สามารถมองเห็นโลกภายนอกได้แล้ว แต่ทว่าราตรีพิสุทธิ์ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก จึงทำให้เธอผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
“ปฐพี...ปฐพี!”
เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้น ทำเอาคนที่นั่งหลับเอนหลังพิงต้นไม้ถึงกับลืมตาขึ้นมา ทีแรกปฐพีแทบงุนงงจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน และเขากำลังทำอะไรอยู่ แต่พอได้เห็นสิ่งรอบข้างที่เป็นเวลากลางคืนผนวกกับต้นไม้รอบกายที่มีอยู่เยอะแล้ว ปฐพีก็จำเรื่องราวก่อนหน้านี้ได้ทั้งหมดภายในช่วงพริบตาเดียว
จริงสิ ตอนนี้เขากับเพื่อนๆกำลังออกตามหาคุณยายที่บนเกาะเริ่มต้นนี่
พอชายหนุ่มคิดเสร็จ ปฐพีก็หันมามองสองหนุ่มที่กำลังนั่งจ้องหน้าเขาอยู่ฝั่งตรงข้ามกองไฟที่ลุกโชติช่วง ซึ่งคนที่เรียกปฐพีเป็นเด็กหนุ่มหน้าละอ่อนวัยสิบห้าสิบหกกำลังนั่งกอดอกอยู่ เจ้าตัวมีนัยน์ตาสีเขียวด้านขวาเพียงข้างเดียว ส่วนข้างซ้ายกลับถูกผ้าผืนสีดำปกปิดไว้ เสื้อผ้าที่สวมก็เป็นผ้าฝ้ายสีขาวกางเกงขาสั้นสามส่วนสีเขียวใบไม้เข้มกับรองเท้าบู๊ตสีน้ำตาลเข้มแลดูทะมัดทะแมงดี และนอกจากนี้อีกฝ่ายยังมีใบหูสองข้างที่แหลมเหมือนกับหูของเอลฟ์อีกด้วย
“นายเรียกฉันเหรอศาสตรา”
ปฐพีถามพลางเอามือขยี้ตา ตอนนี้เขากับเพื่อนอีกสองคนที่กลางป่าบนเกาะเริ่มต้น
“ก็ใช่นะสิปฐพี” ศาสตราพูดตอบพลางส่งยื่นไก่ปิ้งให้กับปฐพี “พอได้นั่งพักปุ๊บ นายก็หลับปั๊บทันที ถามหน่อยเถอะ กะอีแค่เกมนายจะกังวลไปทำไมกัน คุณยายของนายคงเอาตัวรอดในเกมได้อยู่หรอกน่า”
ปฐพียังไม่ตอบคำถามของศาสตราเดี๋ยวนั้น เขารับไก่ปิ้งของอีกฝ่ายมาฉีกเนื้อไก่ใส่ปากเคี้ยวให้ละเอียด ก่อนจะกลืนลงคออย่างรวดเร็ว "จะไม่ให้เป็นกังวลได้ยังไงกัน ก็ในเมื่อคุณยายของฉันไม่เคยแตะคอมพิวเตอร์เลยด้วยซ้ำ จะให้ท่านเล่นเกมออนไลน์เป็นได้ยังไงกัน พวกนายลองคิดดูสิ เอ่อ ฉันลืมบอกไปว่าตอนนี้ท่านมีอายุหนึ่งร้อยสิบปีแล้วด้วย ไม่ใช่หกสิบเจ็ดสิบเหมือนผู้เล่นที่หนึ่งของเกมนี้นะจะบอกให้”
ผู้ฟังทั้งสองตกใจจนตาเกือบถลนออกจากเบ้าเมื่อได้รับทราบถึงอายุคุณยายของปฐพี
“โอ้แม่เจ้า! หนึ่งร้อยสิบปี อยู่ไปได้ยังไงกันล่ะนั่น” คนพูดเป็นชายร่างยักษ์ มีผมสีดำยาวปะบ่า ผิวสีเขียวเข้ม นัยน์ตาสีแดงเข้ม สวมเสื้อเกราะสีดำกับกางเกงผ้าฝ้ายขายาวสีดำ ซึ่งผิดกับใบหน้าที่ทะเล้นตึงตัง ไม่โหดเหี้ยมเหมือนยักษ์ในนิทานเลยสักนิด “ขนาดยายของฉันว่าอายุเจ็ดสิบแล้ว ยังสู้ยายของนายไม่ได้เลยปฐพี สุดยอดเลยจริงๆ ว่าแต่ยายของนายไม่แก่จนละเลือนไปเลยรึ”
คนถูกถามส่ายหน้าก่อนจะตอบกลับไปว่า
“ไม่เลยพิภพ” ปฐพีตอบพลางยกกระติกน้ำขึ้นดื่ม “ถึงท่านจะอายุมากก็จริง แต่สุขภาพของท่านแข็งแรงพอๆกับคนอายุห้าสิบหกสิบ เพราะฉะนั้นพวกนายสองคนเลิกกังวลเรื่องความทรงจำของท่านไปได้เลย”
“ถ้านายยืนยันอย่างนั้น พวกฉันก็ค่อยหายห่วงหน่อย”
ศาสตราพูดพลางถอนหายใจ ซึ่งความกังวลของผู้เป็นเพื่อนที่แสดงออกมา ทำให้ปฐพีถึงกับซาบซึ้งน้ำใจเพื่อนที่มีให้กับเขา
“ฉันต้องขอบใจพวกนายสองคนจริงๆ ที่อุตส่าห์มาช่วยออกตามหาคุณยายของฉันทั้งๆที่งานในสมาคมจับฉ่ายของพวกเรายังมีอยู่อีกมาก”
ปฐพีพูดขอบคุณเพื่อนอย่างจริงใจ ซึ่งทีแรกเขาตั้งใจจะเคลียร์งานในสมาคมจับฉ่ายกับเคลียร์ภารกิจของศาสตราที่ค้างคาให้เสร็จพร้อมกันเลยทีเดียว แล้วจากนั้นค่อยออกมาตามหาคุณยายที่เกาะเริ่มต้นตามลำพัง แต่ทว่าปฐพีกลับโดนสองคนนี้รุมมะตุ้มถามเหตุผลที่เขาเลือกจะกลับไปยังเกาะเริ่มต้น ทั้งๆที่ปฐพีมีระดับที่สูงเกินสี่สิบแถมยังไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปเลยด้วยซ้ำ ซึ่งพอปฐพีเล่าให้เพื่อนทั้งสองคนฟังจนจบแล้ว ทั้งคู่ก็ขอตามเขาไปด้วยอย่างหน้าตาเฉย
“มิได้ๆปฐพี แค่นายไม่โกรธที่พวกฉันขอตามมาด้วยก็พอแล้วล่ะ”
พิภพตอบ ซึ่งศาสตราเองก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับพิภพ
“อย่างที่พิภพพูดนั่นแหละ งานนี้พวกเราเต็มใจที่จะมาเอง เพราะฉะนั้นนายห้ามปฏิเสธหรือไล่พวกเรากลับไปเสียให้ยาก” ศาสตราพูดพลางโบกมือที่ถือช้อนไปมา แล้วศาสตราทำท่านึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิ ตอนนี้พวกเราก็อยู่บนเกาะเริ่มต้นแล้ว นายจะเริ่มต้นหาคุณยายที่ไหนก่อนดีล่ะ”
“คงจะเป็นที่เมืองเริ่มต้น...ฉันคิดว่าจะไปสอบถามกับเจ้าหน้าที่เกมเกี่ยวกับปัญหาการติดต่อกับคุณยายไม่ได้นะ แล้วจากนั้นค่อยไปติดประกาศขอความช่วยเหลือคนในเกมให้ช่วยออกตามหาคุณยายด้วยอีกแรง”
ปฐพีตอบอย่างที่เคยคิดไว้ล่วงหน้าอยู่นานแล้ว
“อืม เป็นความคิดที่ดี” พิภพพูดพลางพยักหน้า “ว่าแต่ทำไมนายไม่ไปขอความช่วยเหลือพวกสมาชิกในสมาคมจับฉ่ายดูบ้างล่ะ เป็นหัวหน้าสมาคมจับฉ่ายแท้ๆ กลับไม่ใช้ประโยชน์นี้ในการตามหาคุณยายของนายซะเลย”
“เห็นทีคงจะไม่ เพราะการใช้อำนาจเพียงเพื่อเรื่องส่วนตัวย่อมไม่ใช่วิสัยผู้นำควรพึงกระทำ แล้วอีกอย่างเรื่องนี้มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันควรจะจัดการด้วยตัวของฉันเอง”
คำตอบที่กลั่นกรองมาจากปากปฐพี ซึ่งทำให้ผู้ฟังทั้งสองถึงกับตะลึง
เพราะมันเป็นคนแบบนี้ไงเล่า พวกเขาถึงได้ยอมติดตามมันมาตั้งแต่ระดับศูนย์จนถึงเดี๋ยวนี้!
ศาสตรากับพิภพคิดไปอมยิ้มไปพลาง คนดีอย่างปฐพี ไม่ว่าใครก็อยากคบหาด้วย ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงไม่คิดจะทอดทิ้งหัวหน้าผู้แสนดีของสมาคมจับฉ่ายได้ลงคอหรอก
“คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว ฉันว่าพวกเราควรรีบเข้านอนพักผ่อนเอาแรงจะดีกว่านะ แล้วตอนเช้าค่อยว่ากันใหม่”
ปฐพีพูดตัดบทพลางอ้าปากหาววอดโดยไม่ลืมเอามือปิดปากด้วย ซึ่งศาสตรากับพิภพเองก็รู้สึกง่วงนอนแล้วเช่นกัน จึงพากันแยกย้ายเข้านอนในเต็นท์ใครเต็นท์มัน
dragonp
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 พ.ค. 2555, 09:26:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 พ.ค. 2555, 09:26:16 น.
จำนวนการเข้าชม : 1472
<< บทที่ 1 เข้าเกม | บทที่ 3 >> |