ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว

Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ

ตอน: ไคโร (๑)

นวนิยายเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คแล้ว

++++++++++++++++++

“ยังเหมือนเดิม...”

เสียงใสดังขึ้นในรถแดวูคันงาม นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลเข้มชำเลืองมองบรรยากาศภายนอกผ่านกระจกรถ หนังสือเรื่อง ‘ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการสร้างพีรามิด’ ถูกวางลงบนหน้าตัก มีกระโปรงผ้าลินินขาวยาวกรอมเท้าเข้ากับเสื้อลินินจีบเป็นระบายสีเดียวกันสวมอยู่ ยังไม่นับรวมสร้อยคอ สร้อยข้อมือ และเข็มขัดที่ถูกกรองร้อยจากหินแม่สีซึ่งทำให้หล่อนดูคล้ายชาวอียิปต์โบราณเข้าไปทุกขณะ ทั้งที่โดยแท้จริง หล่อนคือคนไทย เชื้อชาติไทย ที่เพียงแค่หลงใหลในอารยธรรมและประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณเท่านั้น

“กรุงไคโรยังเป็นเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยฝุ่นและควันพิษมหาศาล รู้อะไรไหมวิลเลียม ฉันว่าทางรัฐบาล รวมไปถึงกระทรวงสาธารณสุขของประเทศน่าจะมีนโยบายลดมลภาวะพวกนี้ลงบ้างนะ”

หญิงสาวว่าพลางหยิบหนังสือมาอ่านต่อ เกี่ยวผมดำขลับหยักศกยาวทัดใบหู นัยน์ตาจดจ้องตัวอักษรตามหน้าหนังสืออย่างมีสมาธิ ขณะที่ผู้อาสาขับรถมารับถึงสนามบินยังคงทำหน้าที่ต่อ ทั้งยังยินดีพูดคุยถึงเรื่องที่หล่อนได้เอ่ยไว้ก่อนหน้า

“ยังไง...ยกทะเลทรายซาฮาร่าไปวางในมหาสมุทรแอตแลนติกอย่างนั้นเหรอ?!” สารถีหนุ่มถามยวนคนนั่งข้างๆ ทำทีตกใจเหมือนมันคือเรื่องใหญ่มาก

ส่วนฝ่ายหญิงเพียงลดหน้าหนังสือลง หันส่งค้อนให้

“ดอกเตอร์อารีสครับ บางปัญหาเมื่อเราพิจารณาเข้าจริงๆ แล้ว มันมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งเศรษฐกิจ...การเมือง...หรือบางทีอาจจะไปถึงขั้นวัฒนธรรม บางครั้งมันก็ยากที่จะเข้าไปจัดการ” พลขับหนุ่มร่างใหญ่กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำในสำเนียงชาวเกาะบริเตน

“ใครใช้ให้ออกความคิดเห็นไม่ทราบ...วิลเลียม-โอ-คาริแกน” ว่าพลางยกหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ ไม่อินังขังขอบ จนหนุ่มอังกฤษถึงกับส่ายหน้าอมยิ้ม

นี่ล่ะนิสัยของ 'อารีส วลัยกุล' เพื่อนสาวชาวไทยของเขา

วิลเลียมเป็นนักโบราณคดี ทั้งยังเชี่ยวชาญด้านอียิปต์วิทยา เวลานี้กำลังทำการสำรวจพื้นที่ต่างๆในอียิปต์เพื่อค้นหาวัฒนธรรมซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไอยคุปต์ เขาได้รับเงินทุนจากบริษัทเนบที บริษัทยักษ์ใหญ่ในภาคเอกชนของอียิปต์ร่วมกับภาครัฐบาลให้เข้ามาขุดค้นพร้อมทั้งสำรวจและศึกษาความเป็นมาเป็นไปของสถานที่ตั้งเดิมของวิหารอาบูซิมเบล ซึ่งบัดนี้จมอยู่ใต้ทะเลสาบนัสเซอร์ ทะเลสาปที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ ผลพวงจากการสร้างเขื่อนอัสวานและเขื่อนอัสวานสูงในอียิปต์

สมาชิกภายในคณะสำรวจของวิลเลียม ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เคยร่วมงานกับเขา ทั้งนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี นักธรณีวิทยา และอื่นๆ บางส่วนก็เป็นคนจากภาครัฐที่ส่งมาช่วยเหลือและตรวจสอบงาน สนิทสนมกันเป็นพิเศษก็มีเพียง ๔ - ๕ คน

'ไอซิส อิคราม' นักโบราณคดีสาว เชี่ยวชาญด้านอียิปต์วิทยา รวมไปถึงเครื่องสำอางและศิลปะการแต่งหน้าของชาวอียิปต์โบราณ รายนี้เป็นสาวหัวสมัยใหม่ ชื่นชอบการแต่งกายและแต่งหน้าอย่างนำสมัย เรือนร่างแม้จะสะโอดสะอง อกอิ่ม สะโพกผาย หากเพราะความสูงที่เทียบเท่าหนุ่มยุโรปตัวสูงใหญ่บางคน จึงทำให้หล่อนดูน่าเกรงขามสำหรับผู้ชาย แม้แต่ตัววิลเลียมซึ่งเรียนปริญญาเอกพร้อมกันกับเจ้าหล่อนและอารีส

'หลุยส์ เดอ มาแมร์' นักโบราณคดีหนุ่มชาวฝรั่งเศส เชี่ยวชาญทางด้านอียิปต์วิทยาและภาษาศาสตร์ เป็นผู้สันทัดในการอ่านและแปลอักษรเฮียโรกลิฟิก หรืออักษรภาพของชาวอียิปต์โบราณ เป็นชายหนุ่มร่างสันทัด ใบหน้าคมสัน ตัวเล็กกว่าไอซิสสักหน่อย มักสวมแว่นสายตากรอบวงกลม พร้อมทัดดินสอไม้ไว้ที่หูเป็นประจำ วิลเลียมรู้จักกับเขาเมื่อครั้งพยายามติดต่อเพื่อนซึ่งเรียนมาด้วยกันคนหนึ่ง ฝ่ายนั้นมีความเชี่ยวชาญในเรื่องภาษาศาสตร์ของอียิปต์อย่างยอดเยี่ยม แต่เนื่องจากว่าติดภารกิจสำคัญ จึงได้แนะนำรุ่นน้องหนุ่มชาวฝรั่งเศสที่มีความสามารถเหมือนกันมาช่วย

ร่วมกับ ‘อนัตตา อังกูร’ นักโบราณคดี นักเทววิทยา ผู้เชี่ยวชาญเทพปกรณ์อียิปต์อีกหนึ่งคน ซึ่งทางรัฐบาลอียิปต์ส่งมาร่วมโครงการเพื่อเก็บข้อมูล ตรวจสอบและรายงานผลให้ทางภาครัฐได้ทราบ ถึงความคืบหน้าโครงการสำรวจที่ตั้งเดิมของวิหารอาบูซิมเบล

ส่วน ‘อารีส วลัยกุล’ สมาชิกใหม่ที่วิลเลียมพยายามดึงตัวเข้ามา เป็นนักโบราณคดีสาวชาวไทย รูปร่างอรชรตามแบบฉบับสาวเอเชีย และเพราะร่ำเรียนมาด้วยกัน วิลเลียมจึงรู้ดีว่าหล่อนเป็นพวกอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เวลาดีก็ดีใจหาย แต่เวลาร้ายก็ราวกับคลื่นยักษ์ในทะเลบ้า ดีอยู่อย่างที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านอียิปต์วิทยาและการตรวจสอบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะโบราณวัตถุจำพวกผ้า ชายหนุ่มจึงคิดดึงตัวหล่อนมาช่วยเหลืองานตรวจสอบหลักฐานที่ทางคณะสำรวจเพิ่งได้มาจากการขุดค้นสถานที่ตั้งเก่าของวิหารอาบูซิมเบล ใต้ทะเลสาบนัสเซอร์อีกคน

หลักฐานที่ได้มาคาดว่าฝังอยู่ในส่วนของห้องลับภายในวิหารเนเฟอตารีเดิม เป็นหลักฐานที่ไม่ได้มีพระนามแห่งองค์รามเสสที่สองเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งยังเกี่ยวโยงกับพระนางเนเฟอตารีเพียงพระองค์เดียว

พวกเขาค้นพบหีบทองคำโบราณสลักอักษรเฮียโรกลิฟิก หลุยส์แปลความได้อย่างคร่าวๆ ว่ามันกล่าวถึงเรื่องราวของพระนางเนเฟอตารี ความรัก คำวิงวอนต่อเทวีไอซิส เทวีแห่งปรีชาญาณและมายาศาสตร์ กับบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในหีบ ไม่น่าเชื่อว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญนี้จะสามารถซ้อนเร้นอยู่ภายใต้ทะเลสาบ พ้นจากสายตาผู้คนมานานกว่าสามพันปี

หีบทองอร่าม ภายนอกเป็นทองคำจารึกอักษรเฮียโรกลีฟิก มีพระนามของพระนางเนเฟอตารี บทสวดวิงวอนต่อเทวีไอซิส ครั้นใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการสกัดดินหินที่เชื่อมยึดรอบฝาหีบ ก็พบว่าภายในถูกบรรจุไว้ด้วยผ้าลินินม้วนยาวสีขาวสะอาด ไม่มีเศษดิน...หิน...หรือน้ำ แทรกซึมเข้าไปทำลายเนื้อผ้าให้เสียหาย

ในสายตาของคณะสำรวจเมื่อแรกพบ ผ้าลินินดังกล่าวคาดเดาอายุไม่ควรถึงสามพันกว่าปีตามอายุหีบที่คอยปกป้อง เพราะผืนผ้านั้นยังขาวสะอาด ใยลินินยังคงทน สภาพราวเพิ่งถักทอเสร็จไม่นาน ครั้นเมื่อลองตรวจสอบเปรียบเทียบอายุของหีบและผ้าลินินจากธาตุคาร์บอน โดยนักธรณีวิทยาร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ ผลปรากฏว่าหีบทองคำดังกล่าวมีอายุราวสามพันกว่าปีเช่นเดียวกันกับผ้าลินินที่อยู่ภายใน

วิลเลียมและคณะเกิดความกังขาขึ้นในเวลานั้น จะมีวิทยาการใดสามารถเปิดเผยความลับหรืออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้หรือ ฉับพลันเขาก็ระลึกเห็นใบหน้างามๆ ของใครบางคน อารีส วลัยกุล...เพื่อนสนิทผู้เชี่ยวชาญการตรวจสอบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะโบราณวัตถุจำพวกผ้า

บางทีการที่ได้หญิงสาวมาร่วมงาน อาจจะทำให้ประวัติศาสตร์และปริศนาบางอย่างคลี่คลายลงได้ด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว ท้ายที่สุดชายหนุ่มจึงตัดสินใจติดต่อข้ามทวีปไปหาหล่อนถึงประเทศ ไทย

ช่วงเวลาดังกล่าว หญิงสาวเพิ่งกลับมาจากการตรวจสอบผ้าห่อศพแห่งตูริน ที่อิตาลีได้ไม่นาน กำลังทำงานเป็นอาจารย์พิเศษในสาขาโบราณคดีอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร กรุงเทพมหานคร ทั้งยังเป็นวิทยากรให้ความรู้เรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติและเรื่องโบราณวัตถุแก่พิพิธภัณฑ์สำคัญหลายๆ แห่งที่นั่น

ชายหนุ่มยังจำได้ดี วันที่เขาขอร้องให้หล่อนมาช่วยเหลือเรื่องการตรวจสอบหลักฐานทางโบราณคดี หล่อนกำลังอยู่ในอารมณ์ดีใจอย่างที่สุด พูดคุยอย่างออกรส มีการวาดฝันเตรียมวางแผนในการตรวจสอบหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบ เว้นเสียก็แต่เมื่อหล่อนรู้ว่าสมาชิกร่วมทีมมีใครบ้าง ความหวังที่ลุกโชนเมื่อครู่ก็ดับลงในพริบตา

‘นังไอซิสไปด้วยเหรอ’ ปลายสายสะบัดน้ำเสียงสูง เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจยิ่งยวด

‘ไอซ์ก็อยู่ส่วนของเขา ฉันให้เขามาช่วยตรวจสอบหีบเครื่องแต่งหน้า แล้วก็ข้าวของหลายอย่างในหีบที่ขุดพบก็เท่านั้น’ วิลเลียมพยายามอธิบายเหตุผล ในเวลานั้นชายหนุ่มกลัวเหลือเกินว่าแผนการดึงตัวหล่อนเข้ามาร่วมงานอาจจะล้มไม่เป็นท่า ‘เขาทำงานของเขาไป ส่วนเราก็ทำในส่วนของเรา ไม่เกี่ยวข้องกัน’

‘เชื่อเหลือเกินว่าไม่เกี่ยว!’ เสียงหล่อนดังจนแทบตวาด ‘ฉันทำงานไม่เป็นสุขแน่ ตราบที่มีนังไอซิสอยู่ใกล้ๆ ยิ่งพูดยิ่งพะอืดพะอม คนอะไร้...นิสัยร้ายกาจ แต่ดันตั้งชื่อเป็นถึงเทพธิดา สงสารเทวีไอซิสเธอจริงๆ’

วิลเลียมได้แต่จ้องมองโทรศัพท์แล้วส่ายหน้า ไม่รู้จะหาวิธีใดทำให้อารีสลดทิฐิแล้วยอมมาร่วมงาน

‘เอานา...อารีส นี่เป็นเรื่องผ้าโบราณ ทั้งยังเป็นผ้าลินินอียิปต์สมัยฟาโรห์รามเสสที่สอง เธอจะไม่สนใจเชียวเหรอ’ ชายหนุ่มพยายามโน้มน้าว ‘อีกอย่าง...ช่วงวันหยุด ฉันเองก็มีโปรแกรมจะพาทัวร์สถานที่สำคัญหลายๆ แห่งด้วยนะ’ พูดจบก็รอฟังคำตอบ

‘หาคนอื่นไม่ดีกว่าหรือวิล นี่ฉันก็เพิ่งกลับมาจากช่วยงานยายไพที่อิตาลี’ เสียงของอีกฝ่ายอ่อนลงจากเดิม หากฟังดูลำบากใจพอสมควร 'ถ้าพูดกันตามจริง ฉันต้องอยู่ช่วยไพที่อิตาลีจนกว่างานจะลุล่วงนะ ผ้าห่อศพที่ตูรินตรวจยากชะมัด นักวิชาการเอย...นักโบราณคดีเอย...นักประวัติศาสตร์ศิลป์เอย เถียงกันจนเวียนหัว นี่ยังไม่รวมถึงพวกเคร่งศาสนา รายนั้นเชื่ออยู่แล้วว่าผ้าลินินผืนนั้นเป็นผ้าห่อพระศพพระเยซูจริงๆ'

'ตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ ๑๓ แล้ว ยังไม่เลิกเถียงกันอีกเหรอ' วิลเลียมพูดติดตลก ชวนให้ปลายสายหัวเราะร่า 'แล้วตกลงว่าได้ข้อสรุปหรือยังล่ะ'

'ยังหรอก เถียงกันไปมา...พวกนักประวัติศาสตร์ศิลปะกับนักวิชาการบางคนเชื่อว่าไม่น่าใช้ผ้าห่อพระศพพระเยซู พวกนั้นยึดเอาตามผลการตรวจสอบธาตุคาร์บอนเมื่อ ๒๐ ปีก่อนมายืนยันว่าอายุไม่เกิน ๗๐๐ ปี ทั้งยังสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นผ้าที่ลีโอนาโด ดาร์วินชีใช้สีพิเศษเขียนขึ้น โดยใช้โครงหน้าตัวเองเป็นแบบ ทำให้ภาพมีลักษณะเป็นฟิล์มเนกกาทิฟ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ฝ่ายที่เชื่อก็อ้างว่าชิ้นผ้าที่เอาไปตรวจสอบธาตุคาร์บอน อาจเป็นชิ้นส่วนผ้าที่เอามาปะชุนใหม่ภายหลัง เรื่องราวมันก็ไม่รู้จักจบจักสิ้นนี่ล่ะ'

เสียงทอดถอนใจดังลอดจากปลายสาย 'แต่ยายไพเองก็เชื่อว่าน่าจะเป็นของจริง ก็ตั้งใจกันว่าจะเดินหน้าตรวจสอบจริงๆ จังๆ พอดีแม่ก็มาป่วย พี่อารยาก็ต้องตะลอนทัวร์ไปแต่งหน้าให้ดาราที่ฮ่องกง ฉันก็เลยต้องขอยายไพกลับมาดูแลแม่ก่อน ปล่อยให้ยายไพทำงานไปคนเดียว'

วิลเลียมพยักพเยิดกับโทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างเข้าใจ

เขารู้ดี...ปัจจุบันอารีสอยู่กับมารดาและพี่สาว บิดาและพี่ชายเสียชีวิตไปนานแล้วจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตัวหล่อนเองต้องตะลอนทำงานไปทั่วโลก ไม่ผิดกับพี่สาวซึ่งเป็นช่างแต่งหน้าระดับดาวเด่นของเอเชีย หรือที่เรียกกันอย่างโก้หรูในวงสังคมว่า 'เมคอัพอาร์ทติส'

'ฉันก็อยากไปช่วยงานนะวิล แม่เองตอนนี้ก็หายป่วยแล้ว เดี๋ยวมะรืนพี่อารยาก็จะกลับจากฮ่องกง' อารีสอธิบาย 'แต่ฉันเกรงใจยายไพ ตัวฉันขอกลับมาดูแลแม่ แม่หายป่วยแล้วก็ควรไปช่วยงานต่อ แต่ถ้ามารับงานของนาย ยายไพคงโกรธฉันแน่ๆ'

ข้อนี้วิลเลียมก็เข้าใจอยู่ อารีส...อำไพ...และเขา ต่างก็เป็นเพื่อนกันมาแต่ไหนแต่ไร จะมาเสียน้ำใจด้วยเรื่องการทำงานก็ใช่ที่ ท้ายที่สุดชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่าจะช่วยจัดการปัญหาดังกล่าวเอง อย่างไรเสียงานของเขาคงใช้เวลาไม่นานนัก อารีสทำส่วนของผ้าลินินเรียบร้อย คงจะได้ไปช่วยอำไพทำงานที่อิตาลีต่อเหมือนเดิม

'เอาอย่างนี้ เดี๋ยวฉันจะติดต่อไปหายายไพ ขอร้องยายนั่นเอง ว่าแต่เธอเถอะ ช่วยงานฉันหน่อยได้ไหม'

'คนอื่นไม่มีเลยหรือ...วิล' น้ำเสียงปลายบ่งบอกความลำบากใจยิ่งยวด

'ไม่ได้หรอกอารีส' ชายหนุ่มรีบออกตัว รู้ดีว่าถ้าพูดถึงเรื่องโบราณวัตถุจำพวกผ้า ไม่มีใครที่เขารู้จักและเชี่ยวชาญเท่าเพื่อนสาวชาวไทยที่ร่ำเรียนมาด้วยกันอีกแล้ว ‘เธอกับยายไพเป็นคนที่เชี่ยวชาญที่สุด แต่ยายไพก็ติดงานตรวจผ้าห่อศพที่อิตาลี ก็เหลือแต่เธอ...ขอร้องเถอะอารีส มาช่วยตรวจสอบผ้าลินินผืนนี้ให้ฉันหน่อย เรื่องค่าใช้จ่าย ค่าตอบแทน เธอไม่ต้องกังวลเลยด้วยซ้ำ เพราะบริษัทที่ออกทุนให้เราร่วมกับรัฐบาลเป็นบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ของอียิปต์ทีเดียว’

‘ฉันเชื่อล่ะว่าใหญ่’ ปลายสายยอมรับในข้อนี้ ‘ก็ลงถ้าทำให้รัฐบาลยอมร่วมมือลงนามในสัญญาอนุญาตการขุดสำรวจที่ตั้งเดิมของอาบูซิมเบลใต้ทะเลสาบนัสเซอร์ได้ แถมด้วยเรือดำน้ำเล็กราคาแพงแสนแพงเพื่อใช้สำรวจสิ่งที่อยู่ใต้ทะเลสาบ ตบท้ายด้วยสวัสดิการเลิศหรูสำหรับสมาชิกผู้ทำโครงการ ไม่ร่ำรวยจริงทำไม่ได้หรอก’

วิลเลียมเห็นพ้อง...

แรกเริ่มเดิมทีที่เขารับจดหมายจากโครงการดังกล่าว อดแปลกใจไม่ได้ว่ารัฐบาลอียิปต์ไม่มีการคัดค้านหรือต่อต้านเลยหรือ กระทั่งได้พบกับนายหน้าอย่างนายอีริค เค เกียน ที่คอยดำเนินเรื่องต่างๆให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่เช่นเนบที วิลเลียมจึงเริ่มเข้าใจทีละน้อยถึงความมั่งคั่งดังกล่าว ทว่าบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวของบริษัทก็ยังดูคลุมเครือ

เท่าที่นักโบราณคดีหนุ่มทราบมา เนบทีเป็นเจ้าของแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและเจ้าของเหมืองแร่สำคัญในหลายประเทศแถบแอฟริกา ซึ่งถือได้ว่าเป็นของล้ำค่า จึงไม่น่าแปลกใจถึงความมั่งคั่งที่มี แต่การเป็นตัวตั้งตัวตีในการสำรวจที่ตั้งเดิมของวิหารอาบูซิมเบลซึ่งปัจจุบันจมอยู่ใต้ทะเลสาบนัสเซอร์ กลับเป็นเรื่องที่ทำให้วิลเลียมแปลกใจ

ในวัตถุประสงค์ของโครงการที่ได้อ่าน ไม่มีการค้นหาทองคำหรือน้ำมันดิบอย่างที่ชายหนุ่มคิดไว้ เอกสารปรากฏว่าเป็นการร่วมมือระหว่างภาครัฐกับบริษัทเนบที พยายามค้นหาอารยธรรมชาติที่จมอยู่ใต้น้ำ ซึ่งนักวิชาการหลายท่านได้ตั้งสมมติฐานเอาไว้ว่า ที่ตั้งเดิมของอาบูซิมเบลน่าจะยังมีอารยธรรมบางอย่างหลงเหลือซ่อนเร้น ภายหลังจากการสกัดตัววิหารย้ายมาอยู่เหนือพื้นที่เดิมกว่า ๒๐๐ ฟุต เมื่อหลายสิบปีก่อน

และที่น่าแปลกใจอีกอย่าง ระหว่างการทำงาน วิลเลียมและคณะสำรวจมักทำงานผ่านนายหน้าอย่างอีริคเสมอ ไม่เคยพบเจ้านายใหญ่ผู้เป็นเจ้าของโครงการแม้เพียงครั้ง เท่าที่ทราบมาก็เพียงแค่ชื่อและเสียงร่ำลือถึงความงดงามราวเจ้าหญิงอาหรับเท่านั้น

มาดามซิต เซติ...

‘วิลเลียม-โอ-คาริแกน! ฟังฉันอยู่หรือเปล่า!’ เสียงแหลมแสบแก้วหูดังออกมาจากปลายสาย ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง รีบดึงโทรศัพท์ออกพลางทำหน้าเหยเก

‘ยายบ้า ทำไมจะต้องตะโกนใส่หูด้วยนะ’ ชายหนุ่มต่อว่าผ่านสายโทรศัพท์ ยังไม่กล้าเอาแนบใบหู ‘พูดธรรมดาๆ ก็ได้’

‘ก็แล้วฟังไหมล่ะ พูดด้วยตั้งหลายรอบก็ไม่เห็นตอบ’ หล่อนย้อน ‘เหม่ออะไรไม่ทราบ’

อยู่ๆ ชายหนุ่มก็นิ่งไปอึดใจ หวนคิดถึงเรื่องราวที่ยังค้างคาใจหลายอย่าง ทั้งเรื่องโครงการ เรื่องราวของบริษัทเนบที ทั้งยังเรื่องหลักฐานทางโบราณคดีที่ดูใหม่กว่าความเป็นจริง แต่เพราะกลัวว่าเยื่อแก้วหูอาจจะฉีกขาดอีกรอบเพราะเสียงแหลมของอารีส ชายหนุ่มจึงตั้งสติ ตอบหล่อนผ่านสายโทรศัพท์ไป

‘ก็เหม่อเรื่องผ้ากับหลักฐานอะไรนิดหน่อย’ วิลเลียมพยายามพูดให้เป็นปกติที่สุด ‘ว่าแต่เธอเถอะ จะเอายังไง จะยอมมาช่วยฉันหรือเปล่า...อารีส’

อีกฝ่ายเงียบไป ได้ยินเสียงเปิดแผ่นกระดาษกับเสียงขูดขีดบางอย่างเล็ดลอดออกมา แต่เพียงอึดใจเดียว ปลายสายก็ตอบอย่างฉาดฉาน ทำเอานักโบราณคดีหนุ่มที่รอฟังแทบผงะหงาย

‘ก็ได้ แต่มีข้อแม้คือนายจะต้องพาฉันทัวร์สถานที่ดังรายการต่อไปนี้’ หล่อนเริ่มประเด็น ซึ่งลงได้ยินประโยคดังกล่าวนี้ การันตีได้ว่าที่ตามมาจะต้องยาวเป็นหางว่าว ‘ลงไคโรแล้วเที่ยวพิพิธภัณฑ์สถานอียิปต์ ชมราชสมบัติของฟาโรห์ตุตันคาเมน จากนั้นไปดูมหาพีรามิดแห่งกิซา ชอปปิ้งที่เอล-คาลีลี ตกเย็นไปนั่งเรือสำราญล่องแม่น้ำไนล์ดูระบำหน้าท้อง’

วิลเลียมกำลังจะเอ่ยปากปราม หากก็ยังช้าไปกว่ารายการต่อไป ราวกับว่าที่เงียบไปก่อนหน้า เป็นการก้มหน้าก้มตาจดรายการเที่ยวสุดสัปดาห์อย่างไรอย่างนั้น

‘จากนั้นไปต่อที่อเลกซานเดรีย ถ่ายรูปกับเสาหินปอมเปย์หน้าหอสมุดอเลกซานเดรีย แล้วทอดน่องชมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก่อนจะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ป้อมปราการกอยเบย์ เรียบร้อยจากทางเหนือก็ล่องใต้ไปอัสวาน ชมวิหารแห่งฟิเล นั่งเรือเฟลุกกะกินลม ถ่ายรูปกับเขื่อนยักษ์อัสวาน แล้วต่อที่...’

‘เฮ้!’ วิลเลียมร้องห้ามแทบกลายเป็นตวาด ฟังดูแล้วมันเยอะเกินไป นี่เขามาทำงาน ไม่ได้มาทัวร์สักหน่อย ‘อะไรมันจะมากมายขนาดนั้นอารีส ฉันให้เธอมาตรวจสอบผ้าลินินเฉยๆ นะ’

‘แล้วยังไง’ หล่อนยวน ‘ในฐานะที่นายเป็นคนเชิญฉันไปช่วยงาน มิหนำซ้ำยังต้องไปทำงานกับยายหน้าคอสเมติกอีก การนำเที่ยวแค่นี้น่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันสบายใจขึ้นไม่ใช่เหรอ ออ...หรือถ้าลำบากใจนัก ฉันไปทัวร์ของฉันเองก็ได้ เงินฉันก็มี ช่วยงานเสร็จเรียบร้อยฉันก็ขอโบกมืออำลาแล้วไปตามทางของฉันเอง’

วิลเลียมส่ายหน้า อารีสใช้ไม้นี้ทีไรมีหรือที่เขาจะใจจืดใจดำกับหล่อนได้

‘ก็ได้ๆ อยากไปเที่ยวที่ไหนก็บอกมา แต่ขอสั้นๆ ได้ใจความ รายละเอียดว่ากันทีหลัง’

‘วิลนี่น่ารักที่สุดเลย’ ปลายสายระริกระรี้ขึ้นมาฉับพลัน ‘น่ารักอย่างนี้ สมควรได้พรจากฉันให้พบคนที่รักวิล ให้มีความสุขสมหวังในความรัก หาแฟนให้ได้โดยเร็ว แล้วก็ขอ...’

‘เลิกพูดมากแล้วบอกมาเสียทีว่าจะไปไหน ฉันจะได้จัดการโปรแกรมให้เธอได้ถูก’ ชายหนุ่มตัดบทอย่างรำคาญ ‘ให้พูดทีไรเหมือนไม่เคยได้พูดมาตั้งแต่น้ำยังไม่ท่วมโลก’

พูดจบก็ได้ยินเสียงจุปากผ่านปลายสาย

‘ก็ได้ๆ โปรแกรมที่ฉันจดไว้ก็มีดังนี้’ นั่นอย่างไร ผิดอย่างที่เขาคิดเสียที่ไหน ที่หญิงสาวเงียบหายไปในช่วงแรกก็คงเพราะไปก้มหน้าก้มตาจดรายการท่องเที่ยวนี่เอง ‘พอฉันลงที่ไคโรเรียบร้อยก็อยู่เที่ยวที่ไคโรเรียกน้ำย่อย ต่อด้วยไปดูมหาพีรามิดที่กิซ่า หนำใจก็นั่งรถขึ้นเหนือไปอเลกซานเดรีย แล้วลงใต้จากไคโรมาอัสวาน สำราญพอใจก็ขึ้นไปลักซอร์ ระหว่างทางก็แวะคอมออมโบกับเอ็ดฟู แล้วถ้ายังมีเวลาเหลือก็ขอไปทัวร์ต่อที่คาบสมุทรไซนาย กับคลองสุเอชเป็นของหวานตบท้าย’

‘ถามจริงๆ เถอะ...อารีส’ วิลเลียมถามปลายสายอย่างสงสัย ‘เคยทำงานในบริษัททัวร์มาก่อนหรือเปล่า จัดโปรแกรมเสียดิบดี มาถึงอียิปต์นี่งานการคิดจะทำไหม’

เป็นอีกรอบที่ชายหนุ่มได้ยินเสียงจุปากผ่านปลายสาย

‘ร้ายกาจจริงๆเลยวิล’ ภาษาอังกฤษของหล่อนพูดได้ดัดจริตอย่างที่สุดเท่าที่วิลเลียมเคยได้ยินมา ยิ่งกว่าเจ้าของภาษาอย่างเขาเสียอีก ‘ก็มีผ้าแล้วนี่ พอไปถึง ช่วงที่ฉันว่างจากการท่องเที่ยวเดี๋ยวฉันจะดูให้ ไม่ต้องห่วง งานคืองานฉันรู้ ว่าแต่เธอพาฉันทัวร์ตามนี้ได้ไหมล่ะ’

นักโบราณคดีหนุ่มแทบอยากตะโกนใส่ปลายสายจริงว่า ‘อยากเที่ยวก็ไปเที่ยวเองเลยไป’ แต่เพราะหน้าที่การงานนั้นสำคัญกว่า ท้ายที่สุดวิลเลียมจึงได้แต่กล่าวว่า

‘ได้...’

‘เยี่ยมไปเลย อย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะรีบจองตั๋วนะ เอาเป็นสายการบินอียิปต์แอร์ดีกว่า จากสุวรรณภูมิตรงไปอียิปต์เลย ไม่ต้องเปลี่ยนเครื่อง แพงหน่อยแต่ก็สะดวกดี ส่วนนายก็ช่วยจัดการโทร.ไปบอกไพที่อิตาลี เบอร์โทรศัพท์ก็มีนี่ แล้วก็อย่าลืมเปิดห้องสำหรับฉันด้วย แน่นอนว่านายรู้เหตุผลนั้นดี ฉันไม่มีทางไปอยู่ร่วมห้องกับยายหน้าคอสเมติกแน่’

‘ตามแต่ใจเธอเถอะ...อีริส’ วิลเลียมรำพึง ฉับพลันปลายสายก็เงียบสงบ ก่อนเสียงตวาดลั่นจะดังขึ้นมาแทน

‘ดอกเตอร์วิลเลียม-โอ-คาริแกน!’ หล่อนเรียกเต็มยศ ‘เมื่อกี้นี้นายเรียกฉันว่าอะไรนะ!’

‘เปล่านี่’ ชายหนุ่มกลบเกลื่อน

‘ฉันได้ยิน! นายเรียกฉันว่า...อี-ริส’ หล่อนกำลังแผดเสียง มันดังลั่นจนนักโบราณคดีหนุ่มต้องดึงหูโทรศัพท์ออกอีกครั้ง

‘กล้าดียังไงถึงเรียกฉันอย่างนั้น ตอบฉันมาเดี๋ยวนี้นะวิล!’

ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก จะนิ่งฟังคงหูชาไปอีกหลายชั่วโมง ท้ายที่สุดจึงตัดสินใจตัดบทด้วยการบอกลาและวางหูโทรศัพท์เคลื่อนที่ลง

‘โอ้...อารีส ตอนนี้ฉันมีงานด่วน สงสัยอยู่คุยไม่ได้แล้ว เรื่องผ้าลินิน เรื่องทัวร์ แล้วก็เรื่องห้องหับของเธอก็เอาตามนั้นนะ แค่นี้ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันต้องติดต่อไปหาอำไพแล้วล่ะ’ ชายหนุ่มอ้าง ขณะที่ปลายสายยังพยายามยื้อยุดให้อีกฝ่ายพุดคุยกันให้รู้เรื่อง

‘เดี๋ยว! อย่าเพิ่งวางนะวิล เรายังเคลียร์ไม่จบเรื่องที่นายเรียกฉันว่าอีริสเลย ดอกเตอร์วิลเลียม-โอ-คาริแกน!’

‘คงต้องไปแล้วนะ’ ชายหนุ่มตัดบท กล่าวคำอำลาสุดท้ายที่ตั้งใจมอบให้หญิงสาวโดยเฉพาะ ‘แล้วพบกันนะ...อีริส’

ก่อนสายโทรศัพท์จะถูกวาง วิลเลียมได้ยินเสียงกรีดร้องของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง แม้ไม่ต้องแนบโทรศัพท์ที่ใบหู เสียงนั้นก็ดังพอที่เขาจะต้องหลับตาปี๋แล้วหันหน้าออก กระทั่งสัญญาณถูกตัด ชายหนุ่มจึงค่อยโล่งใจ

คิดไปคิดมา วิลเลียมก็ได้แต่ขบขันที่สามารถปาระเบิดลูกสุดท้ายใส่เพื่อนสาวได้ แน่ล่ะ...หล่อนเกลียดชื่ออีริสยิ่งกว่าอะไรดี อารีสไม่มีทางยอมให้ใครเรียกชื่อหล่อนผิดเพี้ยนจนกลายไปเป็นชื่อเทวีแห่งความขัดแย้งและความแตกแยกของกรีกโบราณเป็นแน่ ยิ่งกว่า...ชื่อดังกล่าวยังเป็นชื่อที่ไอซิส ศัตรูตัวฉกาจของหล่อนเป็นคนตั้งให้อีกด้วย

++++++++++++++++++++++++++

“อารีส...อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล น่าทึ่งจังที่พ่อแม่เธอตั้งชื่อได้ตรงกับตัวตนจริงๆ” ร่างใหญ่ในเสื้อเชิ้ตสีเข้มตัดกับผิวขาวซีดว่าพลางขบขัน หากร่างแบบบางที่นั่งข้างๆ กลับไม่นึกสนุกด้วย

“ขับรถต่อไปเลยวิล ฉันยังไม่ได้เคลียร์เรื่องที่นายเรียกฉันว่าอีริสเลยนะ” อารีสพูดโดยไม่สนใจแม้แต่จะเลื่อนหนังสือลงจากใบหน้า ชายหนุ่มจึงเพียงแต่ยักไหล่ ปฏิบัติหน้าที่ของตนต่อไปอย่างแข็งขัน กระทั่งเกิดเรื่องจนพานเอาหญิงสาวแทบหัวทิ่ม

รถแดวูคันงามเกิดชะงักตัวกะทันหัน ทำเอาทั้งข้าวของ หนังสือ และตัวของหญิงสาวเซถลาไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

วิลเลียมหยัดตัวนำพาใบหน้าที่เกือบประทับพวงมาลัยขึ้น ทอดสายตามองก็พบรถโฟล์คยุโรปคันโบราณที่ดูแล้วน่าจะมีอายุอานามมากกว่ายี่สิบปีจอดนิ่งอยู่ข้างหน้า ไม่รู้ว่าเกิดเหตุเภทภัยอะไร อยู่ๆ มันก็เคลื่อนตัววิ่งเข้ามา แล้วหยุดอยู่กับที่ขวางหน้ารถของเขาอย่างไม่เกรงใจ

“ให้ตายเถอะ!” ชายหนุ่มสบถจนไม่เหลือมาด พยายามกดแตรไล่อย่างไม่ขาดสาย ผสมผสานกับเสียงแตรจากรถคันอื่นที่ประสบปัญหาเฉกเช่นเดียวกัน

อารีสพยายามพยุงตัว จนเมื่อลุกขึ้นมานั่งพร้อมจัดข้าวของเข้าที่เรียบร้อย หล่อนก็เริ่มมองดูรถเจ้ากรรมที่มีสภาพเก่าแก่บุบบี้เกินกว่าจะนำมาใช้งานอย่างสยดสยอง รถนั้นจอดขวางหน้ารถของวิลเลียมนิ่ง นิ่งจนน่ากลัวว่าจะสึกหรอ ขัดข้อง จนพานระเบิดใส่ คิดไปคิดมาก็ยิ่งกลัวว่าตนเองจะมากลายเป็นผีตายโหงเฝ้าสี่แยกไฟแดงกรุงไคโรเอา

แต่ไม่นานนัก รถบุโรทั่งก็เริ่มเคลื่อนตัวออกไปช้าๆ ราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจในเสียงแตรที่ดังระงม

“ปัญญาอ่อนจริงๆเลย!” เป็นอีกครั้งที่อารีสได้ฟังคำสบถจากเพื่อนหนุ่มชาวเมืองผู้ดี หากหล่อนเองก็ไม่นึกตำหนิ เพราะจะว่าไป...ทุกครั้งที่หล่อนมาเยือนอียิปต์ ไม่ว่าจะมาด้วยการท่องเที่ยว การทำงาน หรือการศึกษา สุดท้ายปัญหาการจราจรที่นี่ก็ยังเหมือนเดิม

“สบายดีอยู่ใช่ไหม...อารีส” วิลเลียมหันมาถาม

“สบายดี ไม่ต้องห่วงหรอกวิล...นายล่ะ” อารีสย้อนถามบ้าง หนุ่มร่างใหญ่จึงยกนิ้วทำเป็นสัญลักษณ์ของคำว่า 'โอเค' ให้เป็นคำตอบ จากนั้นจึงเริ่มออกตัวไปตามเส้นทางบนถนนที่คุ้นชินอีกครั้ง

อารีสหันออกไปมองนอกกระจก ได้ยินเสียงแตรที่เล็ดลอดผ่านเข้ามาเป็นช่วงๆ เสียงแตรรถเป็นเสียงธรรมชาติสำหรับท้องถนนของมหานครแห่งนี้ไปเสียแล้ว ผู้คนแถวนี้มีคติเหมือนกันว่า ก่อนขับรถออกจากบ้าน ลืมเบรกไม่สำคัญเท่าลืมแตรรถ เพราะไม่ว่าจะแซงหน้า ปาดซ้าย ปาดขวา จะหยุด จะจอด จะขับช้า หรือขับเร็ว พวกเขาก็ต้องบีบแตร

สักครู่หล่อนจึงเลิกใส่ใจ ละสายตาหันมายกหนังสือข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับการสร้างพีรามิดที่อ่านครบยี่สิบรอบขึ้นอ่านซ้ำเป็นรอบที่ยี่สิบเอ็ด ปล่อยให้วิลเลียมพาไปยังที่พัก เตรียมตัวเริ่มงานชิ้นใหม่กับการทำงานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ผ้าลินิน ซึ่งหลายๆ คน แม้ตัวตัวหล่อนเองก็ตั้งสมมติฐานเอาไว้ว่า น่าจะเป็นภูษาทรงแห่งพระนางผู้เป็นที่รักในองค์ฟาโรห์รามเสสที่สอง

ราชินีผู้เลอโฉมแห่งราชวงศ์ที่ ๑๙ บุคคลที่อารีสเทิดทูน นึกศรัทธาในความงดงามและความดีของพระนางนับตั้งแต่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม

พระนางเนเฟอตารี...

+++++++++++++++++++++++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ค. 2555, 08:45:36 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 พ.ค. 2555, 08:47:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1484





<< บทนำ   ไคโร (๒) >>
Edelweiss 21 พ.ค. 2555, 19:52:00 น.
อารีสแอบฮานะนี่


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account