ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว

Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ

ตอน: ไคโร (๒)

นวนิยายเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์แล้ว

+++++++++++++++

รถแดวูคันงามหยุดลงที่หน้าเคมพินสกี ไนล์ โฮเตล โรงแรมหรูระดับ ๕ ดาว ใจกลางกรุงไคโร ทิวทัศน์รอบนอกรายล้อมด้วยแมกไม้เขียวริมแม่น้ำไนล์ ถนนซึ่งคนพลุกพล่านจอแจ ส่วนตัวตึกโรงแรมเป็นอาคารสูงสีครีมไข่ไก่ตัดกับกระจกสีเขียวซึ่งสถาปนิกจงใจใส่ระหว่างช่วงชั้น ด้านบนสุดมีอักษรสีเงินตั้งตระหง่าน

‘KEMPINSKI’

แม้ไม่ได้พักใกล้ทิวทัศน์มหาพีรามิดแห่งกิซาอย่างที่คิด หากการทดแทนด้วยสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งกระจายอยู่รอบๆ กลับทำให้อารีสยิ้มออก เคมพินสกี ไนล์ โฮเตล อยู่ในย่านธุรกิจการท่องเที่ยว รอบด้านเต็มไปด้วยสถานที่น่าสนใจ สำคัญๆ ที่หล่อนวางแผนไว้ก็คงไม่พ้นพิพิธภัณฑ์สถานอียิปต์ ตรงขึ้นไปตามถนนคอร์นิช ออล ไนล์ แล้วเลี้ยวขวา ใช้เวลาเดินเท้าไม่ถึง ๒๐ นาที ระยะทางใกล้เคียงกับโอเปร่า เฮาส์ ไคโร ซึ่งห่างไปทางตะวันตกเพียงข้ามแม่น้ำ ถ้าคิดจะจับจ่ายใช้สอยที่ตลาดเอล-คาลีลี ก็ไม่ไกลมากนับจากเคมพินสกี

ระหว่างรถแล่นไปตามถนนหนทางแสนคับคั่งในเมืองใหญ่ เสียงแตรรอบตัวดังระงมราวผู้คนกำลังกรีดร้องโต้เถียง อารีสนั่งอยู่ในรถ ไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งรอบตัว หากกำลังนึกแปลกใจว่า บริษัทเนบทีช่างลงทุนกับงานในครั้งนี้อย่างมหาศาล แม้จะเชื่อมั่นว่าฝ่ายผู้ว่าจ้างจะมั่งคั่งร่ำรวย แต่การสั่งซื้อเรือดำน้ำเล็ก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เพื่อใช้ในการสำรวจสถานที่ตั้งเดิมของวิหารอาบูซิมเบลแทนมนุษย์ ดูจะเป็นสิ่งที่เกินความสามารถของหลายๆ บริษัท

ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายในการสำรวจ ด้านสวัสดิการ ค่าตอบแทน ค่าเบี้ยเลี้ยงของสมาชิกในคณะสำรวจ การเลือกโรงแรมหรูระดับ ๕ ดาวให้เป็นที่พักแก่สมาชิกโดยเหมาจ่ายเป็นรายเดือน แน่นอนว่ามันไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ

วิลเลียมว่าเนบทีทำโครงการครั้งนี้ร่วมกับภาครัฐเพื่อต้องการค้นหาอารยธรรมชาติ หากอารีสยังไม่ปักใจเชื่อ ลงเสียต้นทุนไปมากมายขนาดนี้ หญิงสาวคาดว่าสิ่งที่เนบทีต้องการคงสำคัญและล้ำค่ากว่าที่พวกเขาจ่ายไป

รถแดวูคันงามค่อยๆ เคลื่อนตัวจอด วิลเลียมหันมาเรียก ทำให้อารีสหลุดจากภวังค์ความคิดสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน มีเจ้าหน้าที่ชายในชุดสูทภูมิฐานเดินเข้ามาต้อนรับ เขาเอื้อมมือเปิดประตูรถ และทันทีที่เสียงเชื้อเชิญดังขึ้น ร่างแบบบางในชุดลินินสะอาดตากับเรือนเท้าขาวนวลสวมใส่รองเท้าแตะบุหนังนุ่มจึงเคลื่อนออกจากรถ

“ขอบคุณค่ะ” อารีสกระดกลิ้นกล่าวภาษาอังกฤษอย่างชัดถ้อยชัดคำ ใบหน้าผุดผ่องซับสีเลือดงดงามแม้แต้มแต่งด้วยเครื่องสำอางบางเบา

วิลเลียมเพิ่งจัดการเรื่องรถราเสร็จเรียบร้อยเดินมาสมทบ เจ้าหน้าที่หนุ่มเห็นเข้าจึงหันทักทายอย่างคุ้นเคย อีกฝ่ายก็ยิ้มรับพลางขอบคุณ ครั้นหอมปากหอมคอกับบทสนทนาเล็กๆ เจ้าหน้าที่โรงแรมจึงเชื้อเชิญให้แขกทั้งสองเดินทางไปยังที่พัก พร้อมอำนวยความสะดวกและให้การบริการเป็นอย่างดี

เดินทางเข้าไปภายในโรงแรมส่วนโถงต้อนรับ วิลเลียมพาอารีสไปรับกุญแจห้องพักจากพนักงานสาวตาคมในชุดเครื่องแบบเรียบร้อย เขาเปิดห้องรอไว้โดยเฉพาะตามคำขอของหญิงสาว ครั้นทุกอย่างเรียบร้อย กลับหลังหันเตรียมขึ้นไปพัก ทั้งสองกลับต้องชะงักฝีเท้า เมื่อพบใครบางคนปรากฏตัวโดยไม่ได้รับเชิญ

“ว่ายังไงอีริส ไม่คิดว่าเธอจะทรงเครื่องมาถึงที่นี่” ภาษาอังกฤษติดสำเนียงอาหรับทำให้อารีสสบสายตาผู้เป็นเจ้าของอย่างไม่กลัวเกรง เพียงพบกันครั้งแรกอีกฝ่ายก็เริ่มฉกหล่อนอย่างรวดเร็ว

อันลิ้นสองแฉก คมเขี้ยว กับคำเรียกชื่อของหล่อนเพี้ยนๆ ยังไม่เท่าไร หากดวงตาที่จดจ้องพินิจเรือนร่างรวมทั้งการแต่งกายของอารีสนับตั้งแต่หัวจดเท้านี่สิ มันทำให้นักโบราณคดีสาวชาวไทยรู้สึกหงุดหงิดมากกว่า

“เธอคงอยู่กับผ้าเก่าๆ นานเกินไปแล้วล่ะอีริส ชีวิตเธอเลยแยกแยะไม่ออกระหว่างปัจจุบันกับอดีต”

หญิงสาวร่างสะโอดสะองสูงใหญ่กล่าวหยัน นัยน์ดวงตาไร้แววแห่งความเป็นมิตร เครื่องหน้าสวยงาม เฉียบคมอย่างชาวอาหรับถูกแต้มแต่งด้วยเครื่องสำอางจนเฉิดฉาย ทั้งลิปสติกสีแดงชาดเคลือบมันเงา อายแชร์โดวสีเขียวเข้มเป็นประกาย ยังไม่รวมถึงอายไลเนอร์ซึ่งบรรจงกรีดไว้อย่างงดงามบนเปลือกตา

เจ้าหล่อนขยับเรือนกายเล็กน้อย คล้ายตั้งใจจะโอ้อวดการแต่งกายที่นำยุคนำสมัย เสื้อผ้าเนื้อดีถูกตัดตามแบบที่ลงในนิตยสารชื่อดัง สีของมันฉูดฉาดจนผู้มองเริ่มปวดตา หากอารีสก็ยังคงพยายามแข็งใจโต้ตอบต่อไปกับไม้เบื่อไม้เมาเช่นแม่สาวผมดำม้วนลอนบางๆ

“สวัสดี อี-ซุส” อารีสเน้นคำเรียกชื่อของไอซิสอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง และมันก็ได้ผล

“ให้ตายเถอะ” ไอซิสถลึงตา ตัวสั่นระริกเดี๋ยวนั้น “กล้าดียังไงถึงเรียกฉันด้วยชื่อน่าเกลียดแบบนั้น...อารีส”

“ทำไมจะไม่ได้” หญิงสาวลอยหน้าลอยตาตอบ “ทีเธอยังเรียกฉันว่าอีริส ทำไมฉันจะเรียกเธอว่า อี-ซุส ไม่ได้” อารีสเน้นคำว่า ‘อี-ซุส’ พลางยักคิ้วหลิ่วตา มองดูไอซิสขบปากเคี้ยวฟัน เห็นว่าไม่ต่อปากต่อคำ หล่อนจึงเป็นคนต่อให้เอง

“พอดีฉันเป็นพวกเหนื่อยง่าย ไม่ชอบวิ่งตามอะไรที่มันเป็นเส้นวงกลม การยืนอยู่กับที่ดูจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า” อารีสว่าพลางทำท่าทีพินิจพิจารณาเรือนร่างไอซิสตั้งแต่หัวจดเท้า ดังที่เคยถูกกระทำ จากนั้นจึงกระตุกยิ้มที่มุมปาก เบือนหน้าหนี

“รู้อะไรไหม ฉันยอมเป็นศิลปะเก่าแก่ที่มีความยิ่งใหญ่ยาวนานนับสามพันปี ดีกว่าจะเป็นเพียงศิลปะที่ไม่กี่เดือนก็ต้องล่มสลาย”

เสียงนั้นเปรยมาตามสายลมขณะที่อารีสเบี่ยงตัวเดินผ่านร่างสะโอดสะองสูงใหญ่ ราวอีกฝ่ายเป็นอากาศธาตุ ชายกระโปรงผ้าลินินตวัดตัวไปมาตามเรือนร่างที่นวยนาดอย่างไม่อินังขังขอบ

หญิงสาวรู้ตัวเสมอว่าการที่หล่อนต้องนั่งเครื่องบินจนเหน็บแทบกินจากไทยมายังอียิปต์ ไม่ใช่เพื่อต้องการมาฟังคำเสียดสีของศัตรูหมายเลขหนึ่ง แต่หล่อนต้องการมาตรวจสอบประวัติศาสตร์ของผ้าลินินโบราณ พร้อมกับการท่องเที่ยวพักผ่อนในอียิปต์ที่ร่างโปรแกรมเอาไว้ จึงไม่มีความจำเป็นใดที่หล่อนเองจะต้องเสียเวลากับเรื่องไร้สาระที่แม่สาวนำสมัยอย่างไอซิสพล่ามขึ้น

ทว่าสำหรับไอซิสกลับตรงกันข้าม

การกระทำของหญิงสาวชาวเอเชียเมื่อครู่ ดูจะทำให้หล่อนเป็นเดือดเป็นร้อนยิ่งกว่าตอนที่ปรากฏตัวใหม่ๆ หล่อนเคืองวิลเลียมตั้งแต่ชายหนุ่มเสนอความคิดจะชวนอารีสเข้ามาร่วมทีมอีกคน ครั้นพามาจริงๆ ก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้

“วิลเลียม! นี่คุณพานังนั่นมาที่นี่จริงๆด้วย! อยากเห็นฉันอกแตกตายหรือยังไงกัน?!” ร่างสูงเทียบเท่าหนุ่มชาวอังกฤษตวาดแหว ทำเอานักโบราณคดีหนุ่มได้แต่ก้มหน้างุด แม้พยายามแหงนหน้าอ้าปากเพื่อแก้ตัว หากก็ยังช้าไปกว่าไอซิส

“ถ้าคุณอยากเห็นอาบูซิมเบลถล่ม คาร์นักทลาย คุณได้เห็นแน่!” ไอซิสลั่นกร้าว ขู่ด้วยสำบัดสำนวนที่ทำให้วิลเลียมต้องกุมขมับ หนุ่มนัยน์ตาสีน้ำทะเลมองตามหลังร่างซึ่งกำลังก้าวขาฉับๆ กลับไปด้วยความอ่อนล้า รำพึงรำพันขอให้พระเป็นเจ้าช่วยยุติสงครามระหว่างนางมารร้ายทั้งสองคน ก่อนที่มหาวิหารและเหล่าโบราณสถานแห่งแดนไอยคุปต์จะถูกถล่มราบเป็นหน้ากลอง

+++++++++++++++++

ภายหลังจากการเดินทางอันแสนยาวไกล ในที่สุดร่างแบบบางก็ได้ทิ้งตัวลงบนที่นอนหนานุ่มเสียที การเดินทางในวันนี้ทำให้หล่อนเหนื่อยล้าแทบสิ้นกำลัง ทั้งความร้อนกว่าสี่สิบองศากลางกรุงไคโร ยังไม่นับรวมสงครามในสนามรบขนาดย่อมที่เพิ่งเปิดฉากกับแม่สาวนำสมัยอย่างไอซิสไปเมื่อครู่

“ยายหน้าคอสเมติกเอ้ย!” อารีสว่าพลางส่ายหน้า จากนั้นจึงก่ายแขนขาไปมาบนที่นอนสีขาวขนาดใหญ่ในห้องสีอ่อน

แม้สงครามจะผ่านไปแล้ว ทว่าเสียงเหน็บแนมของไอซิสก็ยังดังก้องอยู่ในหู ใบหน้าสีฉูดฉาดจากเครื่องสำอางยังล่องลอยหลอกหลอนเป็นรูปวิญญาณในความทรงจำ มีหลายครั้งที่อารีสเคยสวนความถามว่ามีเครื่องสำอางยี่ห้อใดบ้างที่ไอซิสไม่เคยใช้ ไม่ว่าจะเป็นตมจากใต้แม่น้ำไนล์ ไปจนถึงโคลนตามปลักควายแถบจังหวัดชนบทของประเทศไทย

เพียงคิดก็นึกขำ เพราะหลังจากสิ้นคำถามนั้น แม่สาวนำสมัยก็กรีดเสียงร้องโวยวายไล่ด่าหล่อนลั่น ทั้งยังแช่งชักหักกระดูกให้หล่อนไม่ได้ไปผุดไปเกิด ต้องเน่าตายคาผ้าลินินที่หล่อนรักอีกด้วย

คิดไปคิดมา ภาพฝ้าเพดานขาวกับโคมไฟเบื้องบนก็เริ่มเลือนรางลงทุกขณะ มันซ้อนทับหมุนวนเหลื่อมล้ำจนน่าเวียนหัว ครั้นหลับตาลงเพื่อพักสายตา แขนขากลมกลึงไปถึงต้นคอระหงซึ่งเคยตึงเครียดก็เริ่มผ่อนคลาย เปลือกตาเริ่มหนักอึ้ง

แล้วที่สุด...หล่อนก็ผล็อยหลับอย่างรวดเร็ว

เวลาล่วงเลยผ่านไปนานเท่าใดไม่มีใครทราบ หากร่างแบบบางในชุดลินินยาวยังคงหลับใหลไม่ได้สติเพราะความอ่อนล้า

ในห้วงนิทรา ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความมืด หล่อนเดินเข้าไปเรื่อยๆในหนทางที่ถูกปูด้วยสีดำ มองไม่เห็นจุดหมายปลายทางข้างหน้า เพียงสิ่งเดียวที่เป็นเครื่องนำทางให้แก่หญิงสาว

‘เสียง’

เป็นเสียงบางอย่างที่ดังขึ้นจากความมืด คล้ายเสียงสะอื้นไห้ของใครบางคน

“ข้าบริสุทธิ์ เทวีมาอัตทรงเป็นพยานแห่งคำสัจนั้นได้...”

“เทวีมาอัต ทรงเป็นพยานแห่งคำสัจนั้นได้...”

“เทวีมาอัต ทรงเป็นพยาน...”

“เทวีมาอัต...”

แล้วฉับพลันทั่วทุกแห่งก็สว่างวาบ ไฟในคบข้างเสาหินลุกโชน เสาแต่ละต้นเขียนภาพลงสีเป็นแม่น้ำไนล์ เรือพิธีศพ กอปาปิรุสและดอกบัว

สิ่งที่อารีสเห็นมีลักษณะคล้ายเป็นห้องโถงแบบไฮโปสไตล์ เช่นที่เคยเห็นที่คาร์นัก ศาสนสถานยุคโบราณที่สร้างถวายสุริยเทพอามุน-รา มันเป็นห้องที่มีเสาไพลอน...เสาหินใหญ่กลมเกลี้ยงเรียงราย เสาทุกต้นสลัก ลงสีภาพ จารึกอักษรเฮียโรกลีฟิก หากจะผิดกันก็แต่เพียงสิ่งที่อารีสเห็นดูเหมือนของใหม่เอี่ยม ราวกับเพิ่งสร้างสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ อักษรอียิปต์โบราณทั้งหลายก็ไม่ได้คล้ายคลึงกับวิหารคาร์นักมากนัก

หญิงสาวเพลิดเพลินกับการเดินชมสิ่งปลูกสร้างตระกานตา แสงจากคบไฟคอยส่องแสงสว่างนำทางไปตลอด แต่แล้วอยู่ๆหล่อนก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินผ่านด้านหลัง ห่างไปประมาณสองต้นเสาหิน ลองหันกลับไป กลับพบเพียงความว่างเปล่าและเปลวไฟซึ่งสะบัดวูบไหวตามสายลม

เวลานี้หัวใจของหญิงสาวเต้นระทึก ดังอยู่ในอกจนรู้สึกได้ หล่อนเริ่มไม่มั่นใจในความปลอดภัย หันรีหันขวาง ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อ อากาศที่หายใจไม่สู้จะทั่วท้อง แล้วอึดใจหนึ่ง เสียงฝีเท้าคนเดินก็ดังขึ้นอีกครั้ง อารีสจึงรีบเหลียวไปมอง

“ให้ตายเถอะ!” หญิงสาวชักเท้าหนี นัยน์ตาตื่นตระหนก เมื่อครู่เหมือนหล่อนเห็นคนสวมเสื้อลินินเปิดต้นแขนกำยำ นุ่งกระโปรงลินินอัดพลีตถี่ยาวเพียงเข่า ตามเนื้อตัวประดับประดาด้วยเครื่องทองของมีค่า แต่น่ากลัวยิ่งกว่า...คนผู้นั้นมีหัวเป็นหมาในสีดำ

สัญลักษณ์ของอานูบิส เทพแห่งพิธีมรณะ

อารีสได้แต่ภาวนาอย่าให้เป็นเช่นที่หล่อนคิด หญิงสาวหันซ้ายแลขวาหาบุคคลคนดังกล่าวอีกครั้ง หากก็ไม่มีวี่แววของใคร นอกเสียจากเปลวไฟในวิหาร

เข่าทั้งสองเริ่มสั่น คล้ายจะหมดเรี่ยวแรงทรงตัว หล่อนเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าอย่างตั้งใจ หากไร้วี่แววสิ่งที่รอคอย กระทั่งสายลมบางๆ เริ่มก่อตัว เปลวไฟในคบสะบัดวูบ แล้วอึดใจ สายลมใหญ่ก็โหมพัดตามมา ดับไฟในสถานที่ดังกล่าวจนสิ้น เหลือเพียงความมืดดำ

“ให้ตายเถอะ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” หญิงสาวหันมองรอบตัว ไม่สามารถเห็นสิ่งใดได้อีกนอกจากความมืดมิด แล้วจากนั้นเสียงและประโยคที่คุ้นหูก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง

ฟังดูเหมือนเสียงฝีเท้าคนเดินกำลังใกล้เข้ามาจากด้านหน้า หากอารีสกลับไม่อาจมองเห็นตัวคน และนอกจากเสียงฝีเท้าซึ่งคืบคลานคุกคาม เสียงโหยหวนเย็นเยียบก็ลอยมาตามสายลม ผสานคละเคล้ากลายเป็นเสียงน่าสะพรึงกลัว

“ข้าบริสุทธิ์ เทวีมาอัตทรงเป็นพยานแห่งคำสัจนั้นได้...”

“เทวีมาอัต ทรงเป็นพยานแห่งคำสัจนั้นได้...”

“เทวีมาอัต ทรงเป็นพยาน...”

“เทวีมาอัต...”

เสียงดังก้องขึ้นเรื่อยๆ อารีสเริ่มประสาทเสีย ตัวสั่นงันงก หันรีหันขวาง สายตากวาดมองหวาดระแวง มือทั้งสองกำแน่นจนรู้สึกถึงความเจ็บจากการจิกเล็บลงบนผิวหนัง เหงื่อเม็ดใหญ่น้อยผุดพราว แล้วเสียงพูดที่คอยหลอกหลอนก็ดังลั่น จนในที่สุดก็ไม่อาจจะข่มตาหลับต่อได้

“เทวีมาอัต...”

อารีสลืมตาตื่น หลุดจากภวังค์หลับใหล เหงื่อโทรมกายจนชุดลินินเปียกชุ่ม เวลานี้หญิงสาวยังคงนอนนิ่งไม่ขยับตัว หายใจหอบเหนื่อยกับความฝันเมื่อครู่ หญิงสาวรู้สึกถึงบางสิ่งที่แปลกประหลาด ในความฝันนั้นดูเหมือนจริงเหลือเกิน ทั้งความงดงามและความน่ากลัว เสียงพูดก็ฟังดูโหยหวนเยียบเย็น ทว่ายังไม่สู้ชัดเจนดี ฟังดูคล้ายภาษาอียิปต์โบราณ แต่ด้วยน้ำเสียงยานคางและแปร่งพร่า การจะฟังให้ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียดเป็นความหมายจึงค่อนข้างยาก อย่างไรก็ตามแต่ อย่างน้อยคำว่า ‘มาอัต’ อันหมายถึงความยุติธรรม เที่ยงตรง หล่อนก็พอจะจับความได้

“มาอัตเหรอ?” อารีสกลอกนัยน์ตาซ้ายขวา อึดใจหนึ่งจึงระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “สงสัยคงจะหิว มาถึงก็ยังไม่ได้อะไรลงท้องเลยนี่นา”

หญิงสาวตัดสินใจลุกจากเตียง ปาดเหงื่อเช็ดหน้า จากนั้นจึงเข้าห้องน้ำไปชำระล้างร่างกายให้สดชื่น ตั้งใจว่าเรียบร้อยแล้วจะนำชุดผ้าลินินตัวใหม่ ซึ่งสั่งย้อมสีชมพูกลีบกุหลาบมาใส่ จากนั้นจึงค่อยนวยนาดลงไปรับอาหารเย็นในส่วนภัตตาคารของโรงแรม

++++++++++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 พ.ค. 2555, 22:54:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 พ.ค. 2555, 22:55:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1381





<< ไคโร (๑)   ไคโร (๓) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account