เพลงมาร
'เพลงมาร' จุดเริ่มต้นของเรื่องราวการตายอย่างมีเงื่อนงำ หลายชีวิตที่จากไป ล้วนเกี่ยวโยงกับมัน
ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
Tags: เพลง ความตาย อาถรรพ์ อุปรากร ลี้ลับ
ตอน: องก์ที่ ๕
บ้านของปุณฑริกเป็นบ้านสองชั้น ก่ออิฐถือปูนมุงกระเบื้องสีเขียวเข้ม ตัวบ้านทั้งภายนอกและภายในทาสีครีมนวลตา ชานบ้านปลูกไม้ดอกไม้ประดับไว้ร่มรื่น รั้วรอบขอบชิด หน้าประตูเหล็กดัดมีตู้จดหมายขนาดย่อมสีแดงพ่นอักษรสีขาวเด่นชัด
'Post - Box'
บุรุษไปรษณีย์เทียบรถจักรยานยนต์หน้าประตูรั้วเหล็กดัด หย่อนซองจดหมาย ๒ - ๓ ฉบับลงในกล่องรับ บีบแตรเป็นสัญญาณเล็กน้อยก่อนจะออกตัวไป จิตแพทย์สาวที่นั่งอยู่ภายในบ้านมองผ่านบานเกล็ด เห็นเข้าก็พยักพเยิด
"ขอตัวไปดูจดหมายหน้าบ้านหน่อยนะ" ปุณฑริกหันไปบอกเพื่อนหนุ่มซึ่งกำลังนั่งดื่มโกโก้ร้อนที่โต๊ะรับแขก จากนั้นจึงแยกตัวออกไปข้างนอก
บ้านของจิตแพทย์สาวมักเป็นที่สังสรรค์ของเพื่อนในกลุ่มอยู่เสมอ เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมืองภูเก็ต ห่างจากโรงพยาบาลที่หญิงสาวทำงานเล็กน้อย ใกล้ตลาดสดและห้างสรรพสินค้า สะดวกสบายเมื่อมีแขกไปใครมา
อีกประการ...ปุณฑริกยังใช้เป็นสถานที่บำบัดรักษาอาการของเพื่อนหนุ่มทั้งสองคน โดยการให้คำปรึกษา ผสมผสานกับเทคนิค 'การสั่งจิต' หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า 'สะกดจิตบำบัด' ศาสตร์การควบคุมจิตมนุษย์ เพื่อบำบัดอาการที่ฝังแน่นภายใต้จิตสำนึก
กับศาสตร์เหล่านี้หล่อนต้องบินไปต่อยอดเรียนรู้ถึงประเทศญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ประเทศซึ่งให้ความสำคัญและพัฒนาศาสตร์การสะกดจิตอย่างกว้างขวาง กระทั่งจบออกมาจึงได้ลองวิชากับคนไข้สองคนแรกข้างๆ ตัว
รายหนึ่งคือร้อยตำรวจเอกกวี เพื่อนหนุ่มที่มีอาการ 'เกลียด' ที่ชุมนุมชน ซึ่งเวลานี้อาการก็ดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย แม้จะมีหงุดหงิดในบางโอกาส
ส่วนอีกรายคือดารุจ เพื่อนบรรณารักษ์ที่มีอาการประหลาด ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงเป็นช่วงๆ ยากจะวินิจฉัย
ขั้นแรก...จิตแพทย์สาวพยายามพาดารุจไปตรวจสอบความผิดปกติของการได้ยินกับแพทย์ทางโสต ศอ นาสิก หากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็ลงความเห็นว่าเป็นปกติดี การได้ยินของบรรณารักษ์หนุ่มไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ
ครั้นคาดเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องของระบบประสาทซึ่งมีผลทำให้เกิดการได้ยินเสียงที่ผิดปกติไป แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางประสาทวิทยาก็ได้ตรวจสอบสมอง ผลยืนยันยังคงเป็นคำตอบเดียวกับแพทย์ในสาขาโสต ศอ นาสิก
ดารุจ...ปกติ...ทุกประการ
ช่วงแรกของการค้นหาอาการ ชีวิตของดารุจเต็มไปด้วยความกังวล เพราะเรื่องเสียงที่คอยรบกวนชีวิตจึงให้ชายหนุ่มเริ่มมีอาการนอนไม่หลับ ซึมเศร้า โทษตัวเอง จนหญิงสาวต้องให้ยานอนหลับและยาคลายกังวลเข้าช่วย
ระหว่างนั้นจึงไม่อาจละเลยความรู้สึก 'กลัว' ที่ซ่อนเร้นอยู่ลึกๆ ในหัวใจตนเอง
อาจเป็นได้ว่า...บรรณารักษ์หนุ่มจะมีอาการ...ทางจิต
ปุณฑริกลองนำแบบทดสอบสภาพจิตมาให้ดารุจได้ทำ แต่ผลการประเมินก็ออกมาเป็นปกติทุกประการ ครั้นพยายามเก็บข้อมูลเรื่องของเสียงกรีดร้องที่รบกวนชีวิต ปรากฏว่าอยู่ๆ อาการเหล่านั้นก็เงียบหายราวไม่เคยเกิดขึ้น ทำให้จิตแพทย์สาวสงสัยเป็นอย่างมาก
กระทั่งเมื่อลองกลับมาตรวจสอบประวัติการรักษาของเพื่อนหนุ่มย้อนหลัง ปุณฑริกจึงพบข้อมูลน่าสงสัยบางประการเกี่ยวกับการได้ยินเสียงกรีดร้องนั้น
'มันไม่ได้ดังอยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาที่แน่นอน ฉันรู้แต่ว่า...จะได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิง ดังจนปวดในหู แล้วจากนั้น...'
จิตแพทย์สาวเคยเปิดเครื่องบันทึกเสียงย้อนหลังเพื่อตรวจสอบข้อมูล
'จากนั้น...จะเกิดเหตุร้าย ไม่เกิดอุบัติเหตุ ก็จะมีคนตาย'
ครั้นลองเปิดย้อนกลับไปกลับมาในบทสัมภาษณ์หลายๆ รอบ ข้อมูลที่หล่อนได้รับก็เริ่มทำให้เห็นเค้าลางของความผิดปกติบางอย่าง
'ฉันเคยได้ยินเสียงกรีดร้องตอนช่างมาซ่อมหลังคาของหอสมุด จำได้ว่าเสียงร้องดังมาก ดังจนปวดแก้วหู เหมือนแก้วหูจะฉีก แล้วจากนั้น...ทุกอย่างก็รวดเร็ว เร็วจนไม่ทันตั้งตัว ช่างซ่อมหลังคาคนหนึ่งพลัดตกจากห้างไม้ ตายตรงหน้าฉัน พื้นซีเมนเต็มไปด้วยเลือด มีแต่เลือดนอง น่ากลัวเหลือเกินปุ่น'
ครั้นกดย้อนไปวันอื่นๆ อีก
'มีคนถูกรถชนตาย หลังจากฉันได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนั้น ตอนกำลังจะข้ามถนน' เสียงในเครื่องบันทึกสั่นเครือและเริ่มมีสัญญาณบางอย่างสอดแทรก เหมือนคลื่นสัญญาณบางอย่างกำลังรบกวน 'เสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนเดิมเลยปุ่น ดังจนหูจะระเบิด แล้วผู้หญิงที่กำลังจะตายก็มองมาที่ฉัน แววตาของเธอดูหวาดกลัว จากนั้นทุกอย่างก็ผ่านไปเร็วมาก รถยนต์วิ่งมาชนผู้หญิงคนนั้นจนกระเด็น...'
คลื่นสัญญาณเริ่มแทรกรุนแรง หากจิตแพทย์สาวยังพยายามจับใจความคำพูดที่เริ่มอื้ออึง ยานคาง
'ผู้หญิงคนนั้น...กลิ้งไปบนถนน ร่างกายบิดเบี้ยว แล้วเลือด...ก็...ไหลนอง'
ฉับพลันเครื่องบันทึกเสียงของจิตแพทย์สาวก็หยุดทำงาน ไม่ว่าจะพยายามเปิดเท่าไรก็ไม่มีทีท่าจะทำงานต่อได้
สรุปสุดท้าย...ปุณฑริกก็ได้ข้อมูลเกี่ยวกับเสียงที่ดารุจได้ยินมาเพิ่มเติมบางส่วน
มันไม่สม่ำเสมอ ไม่ใช่อาการอย่างพวกคนไข้จิตเวชที่มีการรับรู้บิดเบี้ยว เช่นได้ยินเสียงพัดลมคุยกัน หรือได้ยินเสียงพระผู้เป็นเจ้าสนทนา และเมื่อลองมองทางด้านการคิดรู้ ชายหนุ่มก็ไม่มีอาการหลงผิด หรือความคิดรู้ที่บิดเบือน
ทว่าประการสำคัญ...
เสียงกรีดร้องนั้น...จะดังขึ้น...ก่อนเกิดเหตุร้าย
กรณีของดารุจจึงกลายเป็นกรณีศึกษาที่หินสำหรับจิตแพทย์สาว เป็นเรื่องที่ถูกผูกโยงกับความเชื่อของคนรอบข้างไปโดยปริยาย กระทั่งเมื่อจนหนทางจะรักษา ปุณฑริกจึงตัดสินใจหยิบศาสตร์การสั่งจิตหรือการสะกดจิตบำบัดขึ้นมาใช้ โดยพยายามค้นหาที่มาที่ไปของเสียงกรีดร้องของผู้หญิงที่ดารุจได้ยิน ด้วยเชื่อมั่นว่า มันคงเกี่ยวข้องกับจิตใต้สำนึกที่ชายหนุ่มพยายามเก็บงำบางสิ่ง ไม่ต้องการให้ใครอื่นได้รับรู้
แม้กระทั่ง 'ตัวเขาเอง'
ดังนั้นจึงมีเพียงการสั่งจิตเท่านั้นที่จะทำลายหรือลดทอนอำนาจกลไกการปกป้องทางจิต ปราการสำคัญของจิตใจมนุษย์ ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการถูกคุกคามชีวิต และเมื่ออำนาจกลไกดังกล่าวลดทอนลง จิตแพทย์สาวอาจพบคำตอบที่ต้องการ
แต่ผ่านมาหลายครั้ง...ก็ยังคง...ล้มเหลว
"ตกลงว่า...ยังไม่สามารถหาสาเหตุของเสียงได้" ดารุจเป็นผู้เปิดประเด็น สองมือประคองถ้วยโกโก้ร้อนค่อยๆ จิบทีละนิด ตามคำแนะนำของเพื่อนสาวที่นั่งเยื้องกันในห้องรับแขก
"ขอโทษนะดาด้า" ปุณฑริกวางจดหมายที่เพิ่งเดินออกไปเอานอกบ้านลงบนโต๊ะ ส่งสายตาแสดงความเสียใจ แม้จะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของหล่อน แต่ความล้มเหลวทางการรักษาก็ทำให้จิตแพทย์สาวสูญเสียความมั่นใจไปไม่น้อย "ฉันพยายามแล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้ยินเสียง แกก็จะติดอยู่กับเหตุการณ์ตรงหน้า ถึงฉันจะพยายามชักจูงไปหาต้นตอของเสียง แต่ก็...ล้มเหลว"
"เธอไม่ผิดหรอก..." ดารุจยิ้มอย่างอ่อนระโหย "ฉันเองต่างหาก"
ปุณฑริกไม่รู้ว่าควรจะอธิบายให้เพื่อนหนุ่มฟังอย่างไรถึงจะเข้าใจ กลไกการปกป้องทางจิตของดารุจในเรื่องนี้แข็งแรงมาก แข็งแกร่งราวกำแพงหินหนาที่ไม่ว่าหล่อนจะพยายามทำลายด้วยวิธีการใด มันก็ไม่ยอมทลายหรือเปิดช่องทาง
ดูเหมือนเขากำลังปฏิเสธ และต่อต้านมันอย่างรุนแรง
นั่นยิ่งเพิ่มอำนาจของกลไกป้องกันทางจิตเป็นเท่าตัว
"เอาเป็นว่า..." จิตแพทย์สาวพยายามนึกคำพูดชักจูง "ลองทำใจให้สบาย อยากให้แกลองฟังเสียงนั่น ถ้าได้ยินมันอีกครั้ง ก็ลองฟังดู นอกจากเสียงกรีดร้องของผู้หญิง แกได้ยินอะไรอื่นอีก"
ดารุจพยักพเยิดราวรับฟัง หากสีหน้าไม่สู้ให้ความรู้สึกสบายใจนัก ดูเหมือนเขาคงอึดอัดและฝืดฝืน ยิ่งมีกวีเป็นกองหนุน ปุณฑริกยิ่งอยากหยิบชอกโกเลตกำใหญ่ในจานกระเบื้องบนโต๊ะยัดปากนายตำรวจหนุ่มให้หยุดพูดไปเสียเดี๋ยวนั้น
"จะไปอยากได้ยินทำไม๊! เสียงอะไรก็ไม่รู้" กวีกล่าวไม่แยแส หันไปหยิบชอกโกเลตแท่งขึ้นมาเคี้ยวเพลิดเพลิน พลางหันไปแนะนำดารุจอย่างโอ้อวด "แกอย่าสนใจเลยรุจ ปุ่นมันก็แนะนำบ้าๆ บอๆ เกิดเป็นเสียงภูตผีปีศาจไม่แย่เหรอ ดีไม่ดีแกเกิดฟังแล้วดันไปพูดตอบ คนก็ว่าแกเป็นบ้ากันพอดี"
"ไอ้วี!" ปุณฑริกตวาดแหว ทำเอาแท่งชอกโกเลตที่นายตำรวจหนุ่มกำลังเคี้ยวแทบหลุดออกจากปาก "ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าแกเป็นใบ้หรอก ขวางจริงๆ เลยแกเนี่ย ไม่พูดสักครั้งจะได้ไหม!"
ว่าพลางค้อนปะหลับปะเหลือก หากอีกฝ่ายไม่ยี่หระ หันไปหยิบชอกโกเลตแท่งในจานกระเบื้องมากินต่ออย่างสบายใจ ซดรวดโกโก้แล้วยื่นแก้วเปล่าให้หญิงสาวเป็นเชิงขอเพิ่ม ทำเอาปุณฑริกขบปากเคี้ยวฟันอย่างนึกโมโห
"ฉันละเกลียดมันจริงๆ" จิตแพทย์สาวพึมพำในคอ รีบหันไปดึงจานใส่ชอกโกเลตออก ก่อนกวีจะฉวยคว้าอีกชิ้นเข้าปาก "ไม่ต้องกินแล้ว กินไปก็ไม่ได้ทำให้รอยหยักในสมองเพิ่มขึ้นหรอก!"
"อะไรวะ...แค่ชอกโกเลตก็หวง" นายตำรวจหนุ่มพ้อพลางวางแก้วเปล่าบนโต๊ะ จากนั้นจึงหันไปหาดารุจ ชิงแก้วโกโก้ร้อนในมือบรรณารักษ์หนุ่มมาซดเสียงดังลั่น
"ยี้! เอาไปเลยไอ้วี" ดารุจทำหน้าเหยเกเมื่ออีกฝ่ายส่งแก้วที่มีโกโก้เหลืออีกครึ่งคืน
ปุณฑริกถมึงทึง แทบจะโยนจานใส่ชอกโกเลต ครั้นเห็นว่าเล่นงานไม่ได้เพราะอีกฝ่ายหน้ามึนเหลือเกิน จึงหันไปคว้าบรรดาซองจดหมายบนโต๊ะมาตรวจสอบระงับความโกรธ หากอึดใจกลับขมวดคิ้ว เมื่อพบซองจดหมายจ่าหน้าถึงตัวหล่อน จากบุคคลที่คุ้นเคยมาเนิ่นนาน
'คุณครูอินทร์ สินธุ'
+++++++++++++++++++++
กวีกลับมาถึงห้องพักก็คว้าจดหมายในกล่องข้างหน้าขึ้นเหน็บใต้วงแขน เดินเข้าห้องไปโดยไม่ได้ใส่ใจเพื่อนข้างห้องที่หันมองเป็นตาเดียว
ข่าวการปฏิบัติภารกิจด้วยความบ้าบิ่นจนถูกผู้บังคับบัญชาเรียกตัวไปตำหนิคงสะพัดไปทั่ว ซ้ำร้ายยังถูกพักจากการทำคดีดังกล่าว พร้อมโอนย้ายให้ตำรวจนายอื่นทำแทน
ทว่ามีหรือที่ผู้กองหนุ่มจะแยแสต่อคำสั่งเหล่านั้น
คดีการตายของนางยุพา แม่เลี้ยงของนักร้องสาวยังเป็นคดีที่นายตำรวจหนุ่มสงสัยอยู่ไม่คลาย มีหลายสิ่งหลายอย่างที่กวียังต้องหาคำตอบ ระหว่างนักร้องสาว บทเพลง 'เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น' และการตายของนางยุพาหลังจากเกิดเรื่องทะเลาะวิวาทกับนางสาวทองธาร
เขาไม่ยอมปล่อยคดีนี้ให้หลุดมือเป็นแน่
ปิดประตูห้องแล้ววางจดหมายลงได้ นายตำรวจหนุ่มก็ถอดเครื่องแบบ ปลดเหรียญตรา ก่อนโยนชุดลงตะกร้าสำหรับซัก
ครั้นเปลี่ยนเสื้อกางเกงเป็นชุดลำลองเรียบร้อย ก็นั่งลงบนเตียงในห้องนอนเล็กกะทัดรัด หยิบบรรดาจดหมายขึ้นกวาดสายตาอ่านหน้าซองแต่ละฉบับ กระทั่งพบเข้ากับฉบับสำคัญที่ปุณฑริกเคยเอาให้เขาและดารุจดู เมื่อตอนอยู่ที่บ้านของจิตแพทย์สาว
จดหมายนั้นจ่าหน้าซองถึงเขา พร้อมระบุชื่อผู้ส่งที่ชายหนุ่มคุ้นเคยมาเนิ่นนาน
'คุณครูอินทร์ สินธุ' เสียงปุณฑริกยังดังก้องไม่จางหายไปจากความทรงจำ
แน่ล่ะ...เพิ่งผ่านช่วงโกโก้ยามบ่ายที่เพื่อนสนิททั้งสามสังสรรค์กันในห้องรับแขกมาไม่นานี้เอง 'ถ้าให้เดา ครูอินทร์คงส่งจดหมายเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงเกษียณอายุปีครบปีที่ ๕ ของครูแน่ๆ'
กวีซดโกโก้จากแก้วดารุจหมดก็สำทับ
'แน่ยิ่งกว่าแน่' ว่าพลางวางแก้วแล้วเช็ดปากด้วยมือทั้งสอง 'ว่าแต่ปีที่ ๕ แล้วหรือที่ครูอินทร์แกเกษียณอายุมา ตอนนี้ก็ ๗๐ แล้วสินะ จำได้ว่าเป็นครูประจำชั้นเราตอนอยู่มอ ๓ สอนวิทยาศาสตร์ ใจดีก็จริง แต่ตอนสอบนี่สิ...กดคะแนนไม่มีดี'
'ในจดหมายว่ายังไงบ้างล่ะปุ่น ' ดารุจไม่ได้ใส่ใจเขา หันกลับไปถามจิตแพทย์สาว ปุณฑริกจึงเดินไปหยิบกรรไกรมาตัดปากซอง ก้มลงดึงไส้ในออกมาคลี่อ่านอย่างระมัดระวัง
ระหว่างนั้นนายตำรวจหนุ่มก็คอยจิกกัดเป็นระยะ
'แค่จดหมายทำไมจะต้องพิถีพิถันนักหนา ฉีกมันก็ได้ กลัวมันเจ็บหรือยังไง...แม่คุณ' กวียวนพลางยักคิ้ว จิตแพทย์สาวเห็นเข้าก็เม้มปากแน่น พริบตาก็ฉวยกรรไกรตัดปากซองจดหมายมาชี้ตัวนายตำรวจหนุ่ม ส่งสายตาราวนางเสือเตรียมขย้ำคอเหยื่อ
'ถ้าไม่เงียบปากล่ะก็...แม่จะแทงด้วยกรรไกรให้ตายคาเครื่องแบบจริงๆ ด้วย'
'เฮ้ย!' กวีร้องเสียงหลง รีบโบกมือเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายลดคมกรรไกรลงในทันที 'เอาลงเดี๋ยวนี้ไอ้ปุ่น โบราณเขาถือ...เดี๋ยวผีผลัก'
ปุณฑริกเชิดหน้าเล็กน้อย วางกรรไกรลง จากนั้นจึงหันไปก้มหน้าอ่านจดหมายอย่างละเอียด
เนื้อความภายในจดหมายของครูอินทร์ไม่มีอะไรมากมายนัก นอกเสียจากเชื้อเชิญให้เหล่าศิษย์เก่าซึ่งท่านสนิทสนมด้วยมาร่วมงานเลี้ยงครบรอบวันเกษียณอายุปีที่ ๕ เช่นทุกๆ ปีที่ผ่านมา
กวี ดารุจและปุณฑริก ไปร่วมงานเป็นประจำทุกปีไม่เคยขาด หากก็พบว่ามีศิษย์เก่าเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ไปร่วมงานเลี้ยง โดยมากก็เป็นคนที่ตั้งรกรากอยู่ที่ภูเก็ต ทว่าจำนวนก็ลดลงเรื่อยๆ จาก ๔๐ กว่าคน ก็หลงเหลือเพียง ๒๐ คนเมื่องานเลี้ยงครั้งล่าสุด
กวีเดาไม่ถูกเลยว่าปีนี้ศิษย์เก่าที่ไปร่วมงานเลี้ยง จะถึง ๑๐ คนหรือไม่
'ครูก็ขยันจัดงานเลี้ยงจริงๆ นะ' กวีออกความเห็นพลางเหยียดตัวบิดขี้เกียจ 'จัด ๔ ปี คนก็ร่อยหรอลงทุกปี แต่ก็ยังสั่งโต๊ะจีนตั้งเยอะแยะ เสียดายเงิน น่าจะเก็บเอาไว้ใช้ตอนแก่'
'แต่ฉันว่าครูอินทร์น่าสงสารนะ' ดารุจออกความเห็น 'เกษียณอายุไม่นานเมียก็มาตายจาก บางครั้งฉันขับรถผ่านโรงเรียนมัธยมฯ ที่เราเคยเรียน ยังเห็นครูจอดรถที่หน้าโรงเรียน มองป้ายโรงเรียนอยู่นานสองนาน'
บรรณารักษ์หนุ่มว่าพลางถอนใจเหนื่อยอ่อน 'ฉันว่าครูก็คง...เหงา'
'ดาด้าพูดถูก' ปุณฑริกสำทับ 'ธรรมดาของผู้สูงอายุในวัยเกษียณ จิตใจมักห่อเหี่ยว คงรู้สึกว่าคุณค่าในตนเองลดลง แต่ก่อนเคยทำงานได้นี่นา มีหน้าที่การงาน แต่พอต้องเกษียณตัวเองออกมาก็คงรู้สึกเหมือนคนไม่มีความสามารถ ยิ่งเมียแกมาด่วนจากไปอีก ก็คงรู้สึกเคว้งคว้างเป็นธรรมดา'
จิตแพทย์สาวออกความเห็นพลางยักไหล่ จากนั้นจึงหันไปอ่านข้อความบรรทัดสุดท้ายที่มีปัจฉิมลิขิตพิมพ์ไว้ 'ดูสิ...เหมือนทุกปีที่ผ่านมา ครูอินทร์บอกว่าให้เตรียมการแสดงไปกลุ่มละหนึ่งชุดด้วย'
'ฉันว่าเพราะไอ้เรื่องนี้ด้วยล่ะที่ทำให้คนร่อยหรอลงไป' กวีขัดขึ้นพลางแบะปาก 'ไปงานครูทีไรต้องขึ้นไปเต้น ไม่ก็ร้องเพลงบนเวทีทุกครั้ง คราวก่อนยังจำได้ติดตา ความคิดไอ้ปุ่นคนเดียวที่ให้แต่งหญิงไปเต้น แทบจะเอาปี๊บคลุมหัวกลับบ้าน'
ฟังแล้วจิตแพทย์สาวก็ได้แต่ยิ้มเยาะ
'ก็หุ่นแกมันล่ำนี่นานังกีวี่ แต่งออกมาก็ประหนึ่งกะเทยเพาะกล้าม ให้เต้นก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย ไม่ได้มีความพลิ้วไหวเลย แล้วทำมาเป็นอวด...ดีแต่พูด'
กวีแบะปากพลางเสหน้าออก ไม่มองจิตแพทย์สาว ทว่ากลับเหลียวไปหาดารุจ เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงทองธาร สินธุ นักร้องสาวผู้ต้องสงสัยในคดีการตายของนางยุพา แม่เลี้ยงของหล่อนเอง
'แต่คุ้นๆ ว่าครูอินทร์แกเป็นญาติกับน้ำ ทองธาร นามสกุลสินธุเหมือนกันเลย'
'รู้สึกว่าจะเป็นลุงมั้ง' ปุณฑริกขมวดคิ้ว 'เพราะตอนที่เรียนมอ ๓ จำได้ว่าพวกเราก็อยู่ห้องเดียวกับน้ำ เห็นน้ำเรียกครูอินทร์ว่าลุงอินทร์ตลอด ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าครูอินทร์จะเป็นพี่ชายของพ่อน้ำนะ'
บทสนทนาระหว่างดารุจและปุณฑริกทำให้กวีเริ่มเห็นเค้าลางที่อาจทำให้การสืบคดีเดินหน้าต่อไปได้ แม้การไปร่วมงานเลี้ยงครบรอบวันเกษียณอายุปีที่ ๕ ในปีที่ผ่านๆ มาของครูอินทร์จะไร้เงาของทองธารผู้เป็นหลาน ทว่ากวีมีความรู้สึกบางอย่างที่ชัดเจน เป็นสัมผัสที่ยากจะบอกได้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
เขาจะพบนักร้องสาว ในงานเลี้ยงครบรอบวันเกษียณอายุปีที่ ๕ ของครูอินทร์ สินธุ...อย่างแน่นอน!
++++++++++++++++++++
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ค. 2555, 09:51:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ค. 2555, 09:51:22 น.
จำนวนการเข้าชม : 1320
<< องก์ที่ ๔ | องก์ที่ ๖ >> |