ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก
Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ
ตอน: บทที่ ๑๐
ภายในห้องนอนใหญ่ของคอนโดมิเนี่ยมหรู เสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่กลางเตียงกว้างดังขึ้นขณะร่างของอนาวินกำลังกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตอยู่หน้ากระจกเงาในส่วนของห้องแต่งตัว จึงหันเดินไปดูเมื่อเห็นว่าเป็นคนของเขาก็กดรับโดยเปิดลำโพงเสียงและลงมือแต่งตัวต่อ
“มีอะไร”
“คุณภัสราอยากนั่งรถเข้างานพร้อมคุณครับ” ลูกน้องของเขาเอ่ยถึงคู่ควงคนล่าสุดของเจ้านายหนุ่ม ซึ่งเขาได้รับมอบหมายให้มารับเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้
“เจอกันหน้างานอย่างที่ฉันสั่งไว้แต่แรก แต่ถ้าเขาไม่พอใจก็ไม่ต้องไป”
“ครับ”
ลูกน้องหนุ่มรับคำ ก่อนหันไปส่งต่อคำสั่งของเจ้านายให้สาวสวยนักเรียนนอก ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่สังคมชั้นสูงกำลังยืนกอดอกจ้องเขม็งในชุดเสื้อคลุมเนื้อเบา และเมื่อได้ยินในสิ่งที่ชายหนุ่มรายงาน ใบหน้าที่บรรจงแต่งแต้มสีสันสวยงามเบ้เล็กน้อยพลางบ่นพึมพำเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนหันเข้าห้องนอนเพื่อแต่งตัวต่อ นึกหงุดหงิดในตัวชายหนุ่มที่นอกจากจะทำตัวห่างเหินแล้ว ยังไม่สนใจที่จะเอาอกเอาใจเธออีก..แบบนี้คงคบกันต่อไปได้อีกไม่นานหรอก หึ!
ในขณะที่อนาวินยังคงแต่งตัวไปเรื่อยๆอย่างไม่สะทกสะท้านว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นไร..วันนี้เขาได้รับเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงวันเกิดผู้บริหารของบริษัทคู่ค้า และเขาตั้งใจจะอยู่ร่วมฉลองไม่นานนัก เพราะเบื่อหน่ายกับการปั้นหน้ายิ้มแย้มพูดคุยแต่เรื่องของธุรกิจพ่วงด้วยเรื่องชวนปวดหัวของการเมือง ทุกวันนี้ ลำพังแค่การรับช่วงบริหารงานต่อจากบิดาเขาก็เครียดจะตายอยู่แล้ว ความสำราญอย่างเต็มเปี่ยมที่เคยมีก็จางหาย หลงเหลือเพียงความเคร่งเครียด หมกมุ่น และชวนเบื่อหน่ายไปเสียทุกสิ่ง ซึ่งความเบื่อหน่ายนี้มันได้ลุกลามไปถึงหญิงสาวที่กำลังคบหา จากความตื่นเต้นเร้าใจก็เปลี่ยนเป็นจืดชืดไร้ชีวิตชีวา
และนอกจากหน้าที่การงานที่สร้างความยุ่งเหยิงในชีวิตแล้ว อีกสิ่งที่กำลังสร้างความยุ่งยากไม่แพ้กันก็คือเรื่องของราโมน่า แม้ว่าเขาจะรับปากคนสนิทของบิดาว่าจะปล่อยเธอไป แต่ถึงตอนนี้เขายังคงเตะถ่วง จนถูกอีกฝ่ายกระตุ้นบีบคั้นให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องในฐานะที่เขาเป็นผู้นำสูงสุดขององค์กร ซึ่งความเป็นจริงในข้อนี้มันทำให้เขาหัวเราะเย้ยหยันในชะตาชีวิตของตนเอง เมื่อรอบกายมีผู้หญิงมากมายที่พร้อมจะผูกพันกับเขา แต่ขณะนี้เกือบทุกนาทีในความคิดคำนึงกลับมีแต่ภาพของราโมน่าเต็มไปหมด ทั้งๆที่รู้ดีว่าเธอคือสิ่งต้องห้าม แต่ยิ่งพยายามปัดภาพเหล่านั้นออกไปมันกลับยิ่งเด่นชัดอยู่ภายในใจ พลางตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า..เขาจะตัดใจปล่อยเธอไปได้จริงๆหรือ!?
รถยนต์หรูต่างทยอยแล่นเข้าโรงแรมระดับห้าดาวสถานที่จัด..และภายในห้องจัดเลี้ยง แขกเหรื่อทั้งชาย-หญิงที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีในวงสังคมธุรกิจต่างทักทาย พูดคุย และในค่ำคืนนี้ ชนาธิปควงลูกสาวคนสวยเข้าร่วมงาน
ร่างเพรียวระหงในชุดราตรีสั้นเข้ารูปของชญาภายืนเคียงข้างบิดาฟังบทสนทนาของบรรดาเพื่อนนักธุรกิจไปเงียบๆ และความรู้สึกเรื่อยเปื่อยของเธอเริ่มกระตือรือร้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีที่ร่างของปริพันธ์เดินเข้ามาทักทายกลุ่มนักธุรกิจที่อาวุโสกว่าด้วยทีท่านอบน้อมและคุ้นเคย ในฐานะที่ธนาคารของครอบครัวเขามีส่วนส่งเสริมในการเติบโตของกิจการของบรรดานักธุรกิจกลุ่มนี้มาเป็นเวลาหลายปี ..ชญาภาก้มหน้าลงเล็กน้อย ซ่อนความยินดีปรีดาจากสายตาผู้คนรอบข้าง และจดจ่ออยู่กับเสียงทุ้มต่ำที่ผ่านออกจากริมฝีปากได้รูปและแย้มยิ้มจนเห็นไรฟันขาวสะอาดเรียงตัวสวย จนกระทั่ง..ใบหน้าหล่อเหลา ขาวเกลี้ยงเกลาหันมาเอ่ยทักทายเธอเป็นคนสุดท้ายที่มีอายุน้อยสุด เธอถึงได้เงยหน้าสบเขาพร้อมรอยยิ้มที่พยายามอย่างหนัก ที่จะไม่ให้ความนิยมชมชอบเป็นพิเศษในตัวเขามันแสดงชัดออกมาทางสายตาให้ใครต่อใครได้สังเกตเห็น
“สวัสดีครับ คุณภา”
“สวัสดีค่ะคุณปอ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
สองหนุ่มสาวแยกเดินห่างออกมาเพียงไม่กี่ก้าว เพื่อไม่ให้การพูดคุยของพวกเขาไปรบกวนบทสนทนาของบรรดาผู้อาวุโสที่เริ่มต้นกันอีกครั้ง และปริพันธ์ก็ต่อบทสนทนาระหว่างเขากับหญิงสาว
“ช่วงนี้ผมเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครับ เดือนนี้ทั้งเดือนอยู่เมืองไทยไม่ถึงสิบวันเลย คุณแม่ผมยังแซวเลยว่าผมหายหน้าหายตาไปจนท่านเกือบจะจำหน้าลูกชายไม่ได้แล้ว” เขาพูดกลั้วหัวเราะในตอนท้ายให้ผู้เฝ้ามองได้อมยิ้มกับความน่ารักน่าชังในรอยยิ้มที่เห็น
“อย่างนี้นี่เอง ฉันถึงไม่ค่อยเห็นคุณ”
“คงยุ่งๆแค่ช่วงเดือนนี้เท่านั้นล่ะมั้งครับ..เดือนหน้าผมก็คงจะมีเวลาชวนคุณออกมาทานข้าวกลางวันด้วยกันแล้วล่ะ”
“แล้วฉันจะรอค่ะ” เธอตอบรับพร้อมจังหวะหัวใจที่เต้นแรงขึ้นมานิดหน่อย แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้ใส่ใจในคำพูดนั้นนัก เพราะตั้งแต่ที่รู้จักกันมา เขากับเธอทานข้าวด้วยกันก็นับครั้งได้เลยและแต่ละครั้ง ก็เป็นเหตุบังเอิญตามมารยาทของธุรกิจเท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากความตั้งใจของเขา ต่างจากญาติสาวผู้น้อง ที่เขาตั้งใจไปไหนมาไหนด้วยจนกลายเป็นที่จับตาของบรรดานักข่าว และด้วยเหตุนี้ เธอไม่อยากให้ใครรู้สึกสมเพชเวทนาถึงพยายามปกปิดความรู้สึกของตนไม่ให้เขาหรือใครๆรับรู้ โดยเฉพาะกับญาติสาวคนสำคัญ
ปริพันธ์มองเธอ แล้วก็ลอบคิดถึงใครอีกคนอย่างแสนเสียดาย ที่ค่ำคืนนี้เขาไม่มีโอกาสได้พบเจอ เพราะจากที่พูดคุยกันทางโทรศัพท์ จึงรู้ว่าเธอกำลังอยู่ต่างจังหวัด ซึ่งกว่าเวลาว่างของเธอและเขาจะโคจรมาชนกันอีกครั้งก็คงจะใช้เวลาพอสมควรหรือไม่ก็คงต้องใช้โชคช่วยเท่านั้นถึงจะมีโอกาสเจอกับเธอได้ในเร็ววัน
ชายหนุ่มพูดคุยด้วยไม่นาน ก็ขอตัวแยกจากไปเมื่อกลุ่มเพื่อนนักธุรกิจรุ่นใหม่พยักเพยิดเรียก ชญาภาจึงเดินกลับไปยืนเคียงข้างบิดาอีกครั้ง แต่สายตาของเธอก็มักจะหาโอกาสมองผ่านไปยังปริพันธ์อย่างที่ไม่มีใครสังเกตได้
นักข่าวหลายสำนักต่างยกกล้องคู่ใจกดชัตเตอร์ส่งแสงแฟลชวูบวาบเข้าดวงตาของอนาวินขณะเดินเข้างานกับคู่ควงคนสวย ชายหนุ่มยิ้มให้แต่ไม่ยอมหยุดให้สัมภาษณ์ใดๆ และตรงเข้าหาเจ้าของงาน ซึ่งขณะนี้กำลังยืนคุยอยู่กับชนาธิปและชญาภาพอดี
สองหนุ่มต่างวัยสบสายตากันเพียงไม่กี่วินาทีต่างก็แสร้งยิ้มให้กัน เพื่อจะได้ไม่สร้างบรรยากาศชวนอึดอัดไปถึงเจ้าของงาน ซึ่งเป็นหนุ่มใหญ่ที่รับการทักทายจากผู้มาใหม่ด้วยใจระทึกเช่นกัน เพราะเหตุลอบทำร้ายเจ้าของไพศาลกรุ๊ปนั้น คนวงในหลายฝ่ายต่างซุบซิบตรงกันว่า กลุ่มของรัตนากรเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่นั่นก็เป็นเพียงข่าวซุบซิบเลื่อนลอยเท่านั้น ยังไม่มีใครสามารถนำหลักฐานออกมายืนยันได้แม้แต่ฝ่ายตำรวจ
และแม้ว่าอนาวินจะค่อนข้างเชื่อว่า ขณะนี้มีบุคคลที่สามกำลังสร้างสถานการณ์เพิ่มความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเขากับชนาธิปให้ยิ่งรุนแรงขึ้น โดยที่ตัวของชนาธิปเองอาจไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ แต่เมื่อทุกอย่างยังไม่มีอะไรเปิดเผยออกมา เขาจึงจำต้องเล่นไปตามเกมของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเขาเชื่อแน่ว่า ขณะนี้ตัวเขาคงกำลังถูกพวกมันจับตาดูอย่างแน่นอน
หลังจากที่ทักทายเจ้าของงานแล้ว อนาวินจึงหันไปทักทายชนาธิปตามมารยาทด้วยน้ำเสียงแกนๆ
“สวัสดีครับ คุณชนาธิป”
“สวัสดีคุณอนาวิน” ชนาธิปตอบรับด้วยน้ำเสียงเดียวกัน “ได้ข่าวว่า พ่อของคุณอาการดีขึ้นแล้ว”
“ครับ..แล้วก็ขอบคุณสำหรับกระเช้าดอกไม้ที่ส่งไปเยี่ยม แต่เผอิญว่ามันเฉาเร็ว มันก็เลยถูกโยนทิ้งก่อนที่พ่อของผมจะตื่นขึ้นมาเห็นมัน”
เจ้าของงานปรายตามอง เมื่อรู้สึกถึงการกระทบกระเทียบแฝงอยู่ในประโยคนั้น และเขาก็ยังคงเงียบรอดูปฏิกิริยาของชนาธิป ว่าจะตอบโต้ชายหนุ่มคราวลูกอย่างไร
ชนาธิปมองสบแววตากระด้างเย็นชาของอนาวินชั่วครู่ ก็ส่งรอยยิ้มเยือน
“เสียดายจริงๆ คุณไม่น่ารีบด่วนสรุปทิ้งมันไปเลย เพราะบางทีพ่อของคุณอาจจะชอบดอกไม้ที่ส่งไปให้ก็ได้ แต่ไม่เป็นไร เพราะดูเหมือนว่า เลขาของผมเตรียมส่งกระเช้าใหม่ที่ทั้งสดและสวยไปให้แล้ว และมันอาจช่วยต่ออายุพ่อของคุณให้ยาวนานขึ้นก็ได้”
คราวนี้ มีเสียงสะอึกดังในลำคอเบาๆจากเจ้าของงาน เมื่อรู้สึกว่าชนาธิปโต้กลับได้รุนแรง จนผู้อ่อนวัยกว่านั้นออกอาการข่มกลั้นอารมณ์จนหน้าแดงไปเหมือนกัน จนเขาคิดว่าต้องรีบออกเบรกอารมณ์กันก่อนที่จะลุกลามมากไปกว่านี้
“เอ่อ..”
แต่เขาอ้าปากพูดได้เพียงเท่านั้น ชนาธิปก็ชิงพูดต่อ
“แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ขอให้พ่อของคุณหายเร็วๆ..ด้วยใจจริง” ย้ำชัดเจนถึงเจตนารมณ์
“ขอบคุณครับ” อนาวินตอบรับเรียบเฉย ก่อนหันไปหาเจ้าของงานและพูดด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ผมขอตัวไปทักทายคนอื่นนะครับ”
“อ้อ! ได้เลยครับ” เจ้าของงานตอบรับอย่างมึนๆ
และเมื่อคล้อยหลังชายหนุ่มไปแล้ว เขาก็หันมาทางชนาธิปพร้อมเป่าปาก
“เมื่อกี้ผมนึกว่าเขาจะกระโดดมาบีบคอคุณแล้วเสียอีก”
“ไม่หรอก เจ้าหนุ่มนี่ปรับอารมณ์ได้เร็วเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี..คุณก็เห็นแล้วนี่”
“ใช่..ผมว่าถ้าเขามีอายุมากกว่านี้อีกสักหน่อย เขาคงเป็นคู่ปรับของใครหลายๆคนโดยไม่ต้องอาศัยบารมีพ่อของเขาแล้ว..รวมทั้งคุณด้วย”
ชนาธิปตอบด้วยรอยยิ้มมาดมั่น
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ มันก็คงจะสนุกล่ะ”
อนาวินร่วมงานเลี้ยงอีกไม่นานก็ขอตัวกลับกับเจ้าของงานอย่างที่ตั้งใจ และให้ลูกน้องขับรถไปส่งคู่ควงสาว โดยไม่สนใจจะไปต่อกับเธอตามคำเชื้อเชิญอันแสนเย้ายวน และไม่ใส่ใจว่าเธอจะทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่เขาสักแค่ไหน ชายหนุ่มหันเดินขึ้นรถสปอร์ตของตนโดยบอดี้การ์ดคนสนิทขับรถให้เช่นเดิม
“ไม่ต้องขับเร็วนะโจ้ อั๊วะอยากคิดอะไรหน่อย”
ชายหนุ่มสั่งจบก็หลับตานิ่งภายในความเงียบ รับรู้เพียงความเย็นของแอร์และแรงสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อยยามตัวรถแล่นทะยานไปยังจุดหมายปลายทาง
แต่ไม่กี่อึดใจ เสียงของคนขับก็เอ่ยออกมาทำลายความเงียบสงบ
“คุณจิล รู้สึกว่าเรากำลังถูกตามนะครับ”
อนาวินลืมตาและเหลียวมองด้านหลัง เห็นเพียงไฟคู่หน้าของรถยนต์ที่แล่นตามโดยทิ้งระยะห่างพอสมควร ท่ามกลางรถคันอื่นที่แล่นแซงขึ้นหน้าไปคันแล้วคันเล่า ก่อนหันกลับมาถามย้ำ
“นายแน่ใจเรอะ”
“ครับ มันตามเราตั้งแต่ออกจากคอนโดมาที่งานแล้ว” โจ้ตอบอย่างมั่นใจ “แล้วคุณจิลจะเอายังไงกับมันดีครับ”
อนาวินใช้เวลาคิดไม่กี่อึดใจก็สั่งออกไป
“เลี้ยวขวาแยกหน้า” และเปิดช่องเก็บของหยิบปืนพกออกมาปลดเซฟ “อยากจะรู้เหมือนกัน ว่ามันเป็นคนของใคร”
และเมื่อรถของเป้าหมายเลี้ยวออกนอกเส้นทาง ชายฉกรรจ์สองคนที่นั่งภายในรถซีดานมองด้วยความฉงน และหนึ่งในสองเปรยออกมา
“มันจะไปไหนวะ”
“ไม่รู้ว่ะ แต่ลองตามมันไปก่อนก็แล้วกัน เจ้านายสั่งไว้แล้วว่า ถ้าเก็บมันได้ก็ให้เก็บเลย”
คนขับจึงตั้งหน้าขับตามรถเป้าหมายโดยทิ้งระยะห่างเช่นเดิมและให้ผิดสังเกตเมื่อเส้นทางนี้เริ่มเปลี่ยวขึ้นทุกที และความเร็วของรถที่ติดตามก็เพิ่มขึ้น
“เฮ้ย ข้าว่ามันรู้ตัวแล้วว่ะ”
“งั้นก็ลงมือเลย คราวหน้าเราอาจไม่มีโอกาสแบบนี้แล้วก็ได้”
คนขับประเมินการว่าอีกฝ่ายก็มีแค่สองคงไม่ยากที่จะจัดการตามคำสั่งของผู้เป็นนาย จึงเหยียบคันเร่งไล่ล่า โดยเพื่อนที่นั่งข้างกายหยิบปืนกลมือมากระชับด้วยรอยยิ้มกระหยิ่ม
และเมื่อรถสปอร์ตสีดำแล่นทะยานผ่านโค้งมาไม่กี่อึดใจ ผู้ควบคุมพวงมาลัยก็กดเบรกพรืดกลางถนนให้เจ้านายหนุ่มเปิดประตูก้าวลงจากรถ เล็งปลายกระบอกปืนไปยังรถยนต์คันที่แล่นตามมาเพียงเสี้ยวนาที ก็ลั่นไก
เปรี้ยง..เปรี้ยง!!
“เฮ้ย!!”
สองหนุ่มถึงกับอุทานเสียงหลง เมื่อกระสุนที่พวกเขาเอี้ยวหลบพุ่งเข้าเจาะล้อหน้าอย่างแม่นยำ จนตัวรถที่ยังไม่ผ่านโค้งดีนักเสียหลักพลิกคว่ำกระเด็นกระดอนไปกระแทกอัดกับต้นไม้ใหญ่ข้างทางในสภาพตะแคงข้าง พังยับเยิน..ทว่าสองชีวิตยังคงมีลมหายใจ คนขับเลือดอาบใบหน้าร้องครางแผ่วเบา แต่เพื่อนนั้นหมดสติไปแล้ว
อนาวินก้าวเข้าไปหาหมายจะลากทั้งสองออกมาเพื่อเค้นถามความจริงถึงผู้บงการ ก่อนจะส่งตัวพวกมันให้ตำรวจ โดยโจ้กระชับปืนพกของตนเดินตามนายหนุ่มอย่างระแวงระวัง แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะถึงตัวรถ โจ้เหลือบเห็นประกายไฟติดพรึบขึ้นมาบริเวณท้องรถด้านท้าย
“คุณจิล!”
ร่างที่กำลังก้าวเดินชะงักตามเสียงเรียกตื่นๆของคนสนิท แต่เขายังไม่ทันจะเหลียวไปมองด้วยซ้ำ ใบหน้าพลัน! ร้อนวูบ เสียงระเบิดสะเทือนกึกก้อง พร้อมๆกับร่างของเขาถูกรวบลงไปนอนกับพื้นโดยที่ร่างหนาแกร่งของโจ้กางกั้นปกป้องอันตรายอยู่เหนือร่างเขา..เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งก่อนสงบ หลงเหลือเพียงเปลวเพลิงโชติช่วงเผาไหม้ซากรถและลามขึ้นไปตามก้านใบของต้นไม้ใหญ่ส่งเสียงปะทุ เปรียะประ
โจ้จึงผละลุกขึ้นให้นายหนุ่มลุกขึ้นยืนตาม
ความร้อนยังคงผ่าวบนใบหน้าของอนาวิน และเขาเอ่ยถามพร้อมกวาดตามองหาบาดแผลทั่วร่างของคนสนิท
“นายเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“ไม่ครับ แค่รู้สึกเหมือนว่าผมข้างหลังของผมจะไหม้เท่านั้นเอง” โจ้ตอบด้วยรอยยิ้มที่ติดทะเล้นจนเป็นเอกลักษณ์ สร้างความโล่งใจให้อนาวิน “มันน่าจะไหม้ผมของนายให้หมดหัวเลยนะ”
พ่นลมหายใจฟืดแล้วก็หันมองเปลวเพลิงอย่างหัวเสีย เมื่อเขาพลาดเบาะแสสำคัญไปอีกครั้ง
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ”
โจ้เหลียวมองถนนและหันกลับมายังเจ้านายหนุ่มอีกครั้ง
“เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะครับคุณจิล เดี๋ยวจะมีใครมาเห็นเข้าเสียก่อน”
อนาวินจึงหันก้าวตามโจ้ขึ้นรถ และพากันจากไป
เมื่อกลับมาถึงบ้าน อนาวินหันไปสั่งกับโจ้
“ไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับใคร อั๊วะไม่อยากให้แม่หรือป๊ารู้ เดี๋ยวจะเป็นห่วงกันโดยไม่ใช่เหตุ”
“ครับ”
เมื่อบอดี้การ์ดคนสนิทรับคำ เขาก็เปิดประตูรถเดินขึ้นบันไดหน้าบ้านและเจอกับลูกน้องที่เฝ้าบ้านคนหนึ่ง จึงเอ่ยถาม
“วันนี้มีอะไรให้น่าตื่นเต้นบ้างมั้ย”
“ปกติดีครับ”
“อืมม์ แล้ว..”ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจก็เอ่ยปากถามหาถึงใครอีกคน “..ราโมน่าล่ะ”
“ก็ปกติดีครับ..แล้วตอนนี้เธออยู่ที่สระว่ายน้ำครับ” และประโยคนี้เรียกความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของเขาให้สว่างวาบขึ้นภายในใจ แต่เขาก็ยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย
“อืมม์..นายไปเดินดูที่อื่นต่อเถอะ”
“ครับ”
เมื่อคล้อยหลังลูกน้องไปแล้ว อนาวินเหลือบสายตาขึ้นมองกล้องวงจรปิดเพียงครู่ก็หันเดินเรียบเรื่อยตรงไปยังสระว่ายน้ำ ทั้งๆที่สามัญสำนึกพยายามส่งเสียงเตือนให้เขากลับขึ้นห้องของเขาเสียเดี๋ยวนี้ อย่าได้สนใจในการมีตัวตนของราโมน่า แต่สองขากลับยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างไม่อาจห้ามได้
ร่างอวบอิ่มขาวกระจ่างในชุดทูพีซสีเขียวเทอร์คอยซ์แหวกว่ายดำดิ่งอยู่ใต้สายน้ำที่ใสจนเห็นถึงก้นสระด้วยสปอร์ตไล้ฟหุ้มฉนวนกันน้ำติดตั้งรอบสระ และเมื่อเธอพุ่งตัวโผล่ขึ้นน้ำอีกครั้ง จากพื้นที่ที่เคยว่างเปล่า บัดนี้กลับมีร่างสูงเพรียวของอนาวินยืนอยู่ตรงนั้น และสูทลำลองตัวนอกของเขาวางพาดใกล้กับเสื้อคลุมของเธอบนเตียงริมสระน้ำ
“ไม่นึกว่าบ้านนี้จะมีนางเงือกแสนสวยแอบมาเล่นน้ำกลางดึกขนาดนี้นะ”
“แต่ต่อให้แอบขนาดไหน ก็ไม่รอดหูรอดตาคนของพี่ไม่ได้อยู่ดี”
เธอตอบน้ำเสียงติดงอนเล็กน้อยกับการที่ต้องถูกกำจัดอิสรภาพ ขณะที่ยังลอยคออยู่ในน้ำ และเริ่มว่ายอีกครั้งอย่างอ้อยอิ่ง โดยมีร่างของอนาวินที่เอามือไพล่หลังเดินตามบนริมขอบสระ และราโมน่าสังเกตใบหน้าคมเข้มที่สะท้อนใต้แสงไฟนั้นเคร่งขรึม ครุ่นคิด
“มีอะไรหรือคะ พี่จิล”
เธอหยุดว่าย และเขาก็หยุดเดิน หันมาสบตาซึ่งกันและกัน
“ขึ้นมาก่อนสิ พี่มีเรื่องจะพูดด้วย..”
และเมื่อเธอว่ายใกล้ถึงบันไดทางขึ้น เขาก็ยื่นมือไปช่วยฉุดดึงร่างของเธอขึ้นจากน้ำมายืนตรงหน้าใกล้ๆ ให้เขาได้กวาดมองดวงหน้าและเรือนร่างเปียกชุ่มแสนเย้ายวน กระตุ้นปฏิกิริยาเคมีที่พวกเขาต่างก็มีตรงกันให้ปั่นป่วน แม้จะตระหนักดีว่านั่นคือสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่ยามชิดใกล้กันเช่นนี้ จะมีสิ่งใดสามารถปิดกั้นแรงปรารถนาระหว่างเขากับเธอได้
อนาวินยังคงกุมมือนุ่มเปียกชื้น สายตาทอดตกลงกลีบปากระเรื่ออิ่มเต็ม ก่อนเลื่อนสายตามาสบดวงตาสีเขียวน้ำทะเล ซึ่งรอคอยในสิ่งที่เขากำลังจะบอกกับเธอ
“มีเรื่องอะไรจะพูดกับโม้นาหรือคะ”
ชายหนุ่มถอนสายตาจากเธอและหันเดินนำกลับไปยังเตียงริมสระด้วยจังหวะก้าวที่เชื่องช้า และฝ่ามือยังกระชับมั่นกับมือของเธอ ก่อนเกริ่นนำในสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกถึงความโหวงเหวงในใจ
“..พรุ่งนี้..โม้นาจะได้รับอิสระคืนอย่างที่ต้องการ”
ราโมน่ามองเขาเต็มตา
“จริงหรือคะ”
“จริงครับ”
และเมื่อเขายืนยัน รอยยิ้มของเธอก็กระจ่างเต็มดวงหน้า แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเขาที่ไม่ได้ร่วมยินดีด้วยสักนิด อารมณ์ปรีดาจึงค่อยเจื่อนลง และพยายามพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น
“ความจริง บ้านหลังนี้ก็น่าอยู่ดีนะคะ เพียงแต่..ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่โม้นาสมควรจะเกี่ยวข้องด้วย..พี่จิลเข้าใจใช่มั้ยคะ”
เธอถามความรู้สึกของเขาในท้ายประโยคขณะที่เดินมาถึงเตียงสระน้ำ และสายตายังจดจ้องรอคำตอบจากเสี้ยวหน้าเคร่งขรึมยามโน้มตัวลงหยิบเสื้อคลุมมาช่วยเธอสวมมัน และไม่เพียงเท่านั้น ปลายนิ้วเรียวยาวจากสองมือใหญ่ยังช่วยกันบรรจงผูกเชือกรัดเอวให้อย่างแสนเชื่องช้า ราวกับกำลังพยายามยื้อเวลาออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่ราโมน่ายืนนิ่ง ฟังเสียงหัวใจของตนเต้นกระหน่ำกึกก้องอยู่ภายในร่าง สายตาเริ่มจับรายละเอียดของสิ่งที่เห็น..เส้นผมของเขากำลังขยับไหวยามต้องสายลมโชยเบาๆ..เงาของเรือนที่ยืนจนชิดทาบทับราวจะห่มกอดร่างของเธอไว้ทั้งหมด..กลิ่นเจือจางหอมละมุนของน้ำหอมผู้ชายที่เธอมักได้กลิ่นจนคุ้นชินกำลังแทรกซึมเข้ามาเขย่าอนุสติของเธอให้สั่นไหวโคลงเคลง
และจากคำถามเมื่อครู่ของเธอ ปฏิกิริยาของเขายังคงเงียบงัน และเธอก็รอ..รอ..รอจนกระทั่งเขาผูกปมผ้าที่เอวเสร็จ เธอก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง ก่อนที่ความรู้สึกของเธอจะถูกเขาดูดกลืนไปจนหมดสิ้น
“พี่จิล..”
เสียงที่เรียกนั้นสะดุดค้าง เมื่อเขาเงยใบหน้าขึ้นให้เธอได้จ้องเต็มตาในระยะเกือบจะประชิด..ดวงตาเฉียบคมส่องประกายเจิดจ้าใต้เรียวคิ้วยาวเป็นระเบียบพาดเฉียง..จมูกโด่งเป็นสัน..เรียวปากสวยได้รูป..ทุกสิ่งทุกอย่างประกอบได้อย่างเหมาะเจาะ สมบูรณ์แบบ จนกลายมาเป็นบุรุษที่เธอหลงใหลมานานหลายปี จนกระทั่งถึงทุกวันนี้
และแม้ว่าเธอจำต้องมาอยู่ร่วมชายคากับเขาในสถานการณ์บีบบังคับ แต่ลึกๆในใจแล้วก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เธอมีความสุขมากแค่ไหนที่ในแต่ละวันได้พูดคุยกับเขา ยิ้มให้เขา ทานอาหารเช้าร่วมกัน จนกระทั่งเดินไปส่งเขาที่รถ และในตอนกลางวัน เขาจะโทรหาให้เธอยิ่งผูกพัน และในขณะนี้..เธอกำลังอาลัยอาวรณ์ความรู้สึกเหล่านั้น นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปเธอไม่สามารถทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นต่อเขาได้อีก..ความเหงา..ความเดียวดายที่คุ้นเคยในวัยเยาว์กำลังหวนกลับมาทักทายหัวใจของเธออีกครั้ง
และเหมือนว่าความรู้สึกของเธอได้ส่งผ่านให้อนาวินได้รับรู้ แต่ตัวเขาเองก็กำลังอึดอัดคับใจกับความรู้สึกนี้เช่นกัน..มือข้างหนึ่งของเขายื่นมาเกี่ยวนิ้วเธอไปกุมไว้หลวมๆ ปลายนิ้วหัวแม่มือของเขาหมุนวนไปมาบนหลังมือเธอ ถอนหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่ตรึกตรอง
“พี่รู้ว่าโม้นาไม่ได้เกลียดบ้านหลังนี้..และพี่อยากให้โม้นารู้อีกด้วยว่า พี่รู้สึกดีมากทีเดียวที่โม้นามาอยู่บ้านหลังนี้ร่วมกับพี่..จนพี่อยากเก็บโม้นาให้อยู่กับพี่แบบนี้ไปนานๆ..นานที่สุดเท่าที่จะทำได้..”
ราโมน่ากล้ำกลืนในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนตอบเสียงแผ่น
“มันไม่มีทางเป็นไปได้ พี่จิลก็น่าจะรู้ดี..”
“ใช่ พี่รู้ดี..ทั้งๆที่รู้ แต่พี่ก็ยังคิดกับโม้นาแบบนั้น แม้กระทั่งตอนนี้พี่ก็หยุดคิดเรื่องระหว่างเราไม่ได้เลย พี่อยากจะปล่อยโม้นาไป แล้วก็ทำเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น โม้นาไม่เคยอยู่บ้านหลังนี้..ไม่เคยหัวเราะ..ไม่เคยร้องไห้..ไม่เคยมาว่ายน้ำในสระ หรือ..เรื่องที่โม้นาไม่เคยนอนหลับบนเตียงของพี่”
จู่ๆความร้อนผ่าวเหมือนพุ่งทะลุจากความเย็นเยียบปะทะใบหน้าของราโมน่ากะทันหัน ก่อนความร้อนนั้นกระจายลามเลียไปตามเนื้อตัว และหัวใจของเธอยังคงเต้นตึกตัก หนักหน่วง รัวแรง เมื่อร่างกายของเขาขยับใกล้จนชิด มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นไล้ปลายนิ้วบนผิวแก้มของเธอจนเลื่อนมาเชยปลายคาง ปลายนิ้วโป้งของเขาลูบผ่านกับริมฝีปากล่างของเธอเบาๆ และอนาวินหายใจลึก เมื่อความอดทนอดกลั้นต่อความเย้ายวนได้ถึงจุดสิ้นสุด
“พี่ไม่อยากปล่อยโม้นาไปเลย..”
ในความรู้สึกของราโมน่า เสียงกระซิบนั้นที่ได้ยินเหมือนดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ก่อนความอุ่นจัดประทับลงมาที่ริมฝีปาก ก่อเกิดอารมณ์วาบหวาม ลอยล่องไปสู่ดินแดนแสนหวานละไม ไร้ซึ่งความขัดแย้งใดๆมากีดกั้นความปรารถนาของเธอให้แยกจากเขา สองแขนของเธอยกขึ้นโอบกอดรอบหลังและไหล่กว้าง ในขณะที่ลำแขนของเขาโอบรัดร่างของเธอแนบแน่นจนยอดอกอวบนุ่มเบียดชิดแผ่นอกแกร่ง และฝ่ามือใหญ่ยึดกุมท้ายทอยของเธอ ยามวินาทีของการทักทายหยอกเอินอย่างอ่อนหวานเคลื่อนผ่าน ให้ความเร่าร้อนเข้มลึกในแรงปรารถนาเข้าครอบงำ ฝ่ามืออีกข้างของอนาวินเลื่อนลูบไล้ไปตามลาดโค้งของความอ่อนนุ่มละมุนทั่วแผ่นหลัง เอว สะโพกผายกลมกลึงที่เขาลูบคลำด้วยน้ำหนักมือไม่เบานัก ก่อนกดตรึงเบียดเข้าปะทะกลางลำตัวของเขาให้ราโมน่าสะท้านหวั่นไหว เมื่อสัมผัสชัดเจนถึงแรงอารมณ์ของเขา และร่างกายของเธอก็กำลังก่อเกิดปฏิกิริยาตอบสนองจนรวดร้าวไปทั่วทุกอณู
และก่อนที่จะถึงจุดอันตรายจนควบคุมไม่ได้ อนาวินรีบถอนริมฝีปาก แนบหน้าผากเขากับหน้าผากเธอ ลมหายใจผ่าวรดใบหน้าซึ่งกันและกัน เป็นการยุติความฝันทั้งปวงและกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของการจากลาไปตลอดกาล
อนาวินผละห่าง สองมือโอบประคองใบหน้าของราโมน่า กวาดสายตามองทุกองค์ประกอบของเครื่องหน้า อ้อยอิ่งอยู่กับริมฝีปากอิ่มชุ่มแดงช้ำ ก่อนกลับมาสบดวงตาที่กำลังเอ่อนองด้วยหยาดน้ำตาของเธอกับความเจ็บปวดที่เธอพยายามหลีกหนีมาตลอดเวลา
ชายหนุ่มกล้ำกลืนความรู้สึกต่อแรงปรารถนาที่จะโอบกอดปลอบประโลมเธอไว้สุดกลั้น และสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก
“รีบกลับขึ้นห้องไปซะ..แล้วก็ล็อกประตูให้แน่น หรือถ้าให้ดีก็ลากตู้ลากเตียงมาขวางประตูไว้ด้วย..ต่อให้พี่ไปเรียกก็ห้ามเปิดเด็ดขาด จนกว่าจะเช้า..เข้าใจมั้ย”
ราโมน่าถอนสะอื้นพลางพยักหน้ารับ และทันทีที่ฝ่ามือของเขาผละจากใบหน้า เธอก็หันเดินกึ่งวิ่งเข้าบ้านตรงขึ้นห้องนอนทำตามอย่างที่เขาสั่ง โดยไม่แน่ใจนักว่า หากเขามาเรียกจริงๆ..ประตูไม้บานนี้จะสามารถขวางกั้นเขาได้หรือเปล่า ในเมื่อ ตัวของเธอเองนั้นก็พร้อมจะเปิดรับเขาในทุกขณะจิต
อนาวินผินหน้ามองผิวน้ำใสกระเพื่อมไหวเป็นละลอกเล็กๆภายใต้แสงสว่างของสปอร์ตไลฟ์ ข่มใจให้สงบนิ่ง และปล่อยความคิดที่มีให้เลื่อนลอยไปในความเงียบงัน พร้อมทำใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับราโมน่าเป็นเพียงความฝัน..ฝันอันแสนวิเศษที่เขาจะไม่มีวันลืม..
..................................................................................
จบอีกตอนค่า
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ
^^
“มีอะไร”
“คุณภัสราอยากนั่งรถเข้างานพร้อมคุณครับ” ลูกน้องของเขาเอ่ยถึงคู่ควงคนล่าสุดของเจ้านายหนุ่ม ซึ่งเขาได้รับมอบหมายให้มารับเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้
“เจอกันหน้างานอย่างที่ฉันสั่งไว้แต่แรก แต่ถ้าเขาไม่พอใจก็ไม่ต้องไป”
“ครับ”
ลูกน้องหนุ่มรับคำ ก่อนหันไปส่งต่อคำสั่งของเจ้านายให้สาวสวยนักเรียนนอก ซึ่งเป็นที่รู้จักในหมู่สังคมชั้นสูงกำลังยืนกอดอกจ้องเขม็งในชุดเสื้อคลุมเนื้อเบา และเมื่อได้ยินในสิ่งที่ชายหนุ่มรายงาน ใบหน้าที่บรรจงแต่งแต้มสีสันสวยงามเบ้เล็กน้อยพลางบ่นพึมพำเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนหันเข้าห้องนอนเพื่อแต่งตัวต่อ นึกหงุดหงิดในตัวชายหนุ่มที่นอกจากจะทำตัวห่างเหินแล้ว ยังไม่สนใจที่จะเอาอกเอาใจเธออีก..แบบนี้คงคบกันต่อไปได้อีกไม่นานหรอก หึ!
ในขณะที่อนาวินยังคงแต่งตัวไปเรื่อยๆอย่างไม่สะทกสะท้านว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นไร..วันนี้เขาได้รับเชิญให้ร่วมงานเลี้ยงวันเกิดผู้บริหารของบริษัทคู่ค้า และเขาตั้งใจจะอยู่ร่วมฉลองไม่นานนัก เพราะเบื่อหน่ายกับการปั้นหน้ายิ้มแย้มพูดคุยแต่เรื่องของธุรกิจพ่วงด้วยเรื่องชวนปวดหัวของการเมือง ทุกวันนี้ ลำพังแค่การรับช่วงบริหารงานต่อจากบิดาเขาก็เครียดจะตายอยู่แล้ว ความสำราญอย่างเต็มเปี่ยมที่เคยมีก็จางหาย หลงเหลือเพียงความเคร่งเครียด หมกมุ่น และชวนเบื่อหน่ายไปเสียทุกสิ่ง ซึ่งความเบื่อหน่ายนี้มันได้ลุกลามไปถึงหญิงสาวที่กำลังคบหา จากความตื่นเต้นเร้าใจก็เปลี่ยนเป็นจืดชืดไร้ชีวิตชีวา
และนอกจากหน้าที่การงานที่สร้างความยุ่งเหยิงในชีวิตแล้ว อีกสิ่งที่กำลังสร้างความยุ่งยากไม่แพ้กันก็คือเรื่องของราโมน่า แม้ว่าเขาจะรับปากคนสนิทของบิดาว่าจะปล่อยเธอไป แต่ถึงตอนนี้เขายังคงเตะถ่วง จนถูกอีกฝ่ายกระตุ้นบีบคั้นให้ทำในสิ่งที่ถูกต้องในฐานะที่เขาเป็นผู้นำสูงสุดขององค์กร ซึ่งความเป็นจริงในข้อนี้มันทำให้เขาหัวเราะเย้ยหยันในชะตาชีวิตของตนเอง เมื่อรอบกายมีผู้หญิงมากมายที่พร้อมจะผูกพันกับเขา แต่ขณะนี้เกือบทุกนาทีในความคิดคำนึงกลับมีแต่ภาพของราโมน่าเต็มไปหมด ทั้งๆที่รู้ดีว่าเธอคือสิ่งต้องห้าม แต่ยิ่งพยายามปัดภาพเหล่านั้นออกไปมันกลับยิ่งเด่นชัดอยู่ภายในใจ พลางตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า..เขาจะตัดใจปล่อยเธอไปได้จริงๆหรือ!?
รถยนต์หรูต่างทยอยแล่นเข้าโรงแรมระดับห้าดาวสถานที่จัด..และภายในห้องจัดเลี้ยง แขกเหรื่อทั้งชาย-หญิงที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีในวงสังคมธุรกิจต่างทักทาย พูดคุย และในค่ำคืนนี้ ชนาธิปควงลูกสาวคนสวยเข้าร่วมงาน
ร่างเพรียวระหงในชุดราตรีสั้นเข้ารูปของชญาภายืนเคียงข้างบิดาฟังบทสนทนาของบรรดาเพื่อนนักธุรกิจไปเงียบๆ และความรู้สึกเรื่อยเปื่อยของเธอเริ่มกระตือรือร้นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีที่ร่างของปริพันธ์เดินเข้ามาทักทายกลุ่มนักธุรกิจที่อาวุโสกว่าด้วยทีท่านอบน้อมและคุ้นเคย ในฐานะที่ธนาคารของครอบครัวเขามีส่วนส่งเสริมในการเติบโตของกิจการของบรรดานักธุรกิจกลุ่มนี้มาเป็นเวลาหลายปี ..ชญาภาก้มหน้าลงเล็กน้อย ซ่อนความยินดีปรีดาจากสายตาผู้คนรอบข้าง และจดจ่ออยู่กับเสียงทุ้มต่ำที่ผ่านออกจากริมฝีปากได้รูปและแย้มยิ้มจนเห็นไรฟันขาวสะอาดเรียงตัวสวย จนกระทั่ง..ใบหน้าหล่อเหลา ขาวเกลี้ยงเกลาหันมาเอ่ยทักทายเธอเป็นคนสุดท้ายที่มีอายุน้อยสุด เธอถึงได้เงยหน้าสบเขาพร้อมรอยยิ้มที่พยายามอย่างหนัก ที่จะไม่ให้ความนิยมชมชอบเป็นพิเศษในตัวเขามันแสดงชัดออกมาทางสายตาให้ใครต่อใครได้สังเกตเห็น
“สวัสดีครับ คุณภา”
“สวัสดีค่ะคุณปอ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะ”
สองหนุ่มสาวแยกเดินห่างออกมาเพียงไม่กี่ก้าว เพื่อไม่ให้การพูดคุยของพวกเขาไปรบกวนบทสนทนาของบรรดาผู้อาวุโสที่เริ่มต้นกันอีกครั้ง และปริพันธ์ก็ต่อบทสนทนาระหว่างเขากับหญิงสาว
“ช่วงนี้ผมเดินทางไปต่างประเทศบ่อยครับ เดือนนี้ทั้งเดือนอยู่เมืองไทยไม่ถึงสิบวันเลย คุณแม่ผมยังแซวเลยว่าผมหายหน้าหายตาไปจนท่านเกือบจะจำหน้าลูกชายไม่ได้แล้ว” เขาพูดกลั้วหัวเราะในตอนท้ายให้ผู้เฝ้ามองได้อมยิ้มกับความน่ารักน่าชังในรอยยิ้มที่เห็น
“อย่างนี้นี่เอง ฉันถึงไม่ค่อยเห็นคุณ”
“คงยุ่งๆแค่ช่วงเดือนนี้เท่านั้นล่ะมั้งครับ..เดือนหน้าผมก็คงจะมีเวลาชวนคุณออกมาทานข้าวกลางวันด้วยกันแล้วล่ะ”
“แล้วฉันจะรอค่ะ” เธอตอบรับพร้อมจังหวะหัวใจที่เต้นแรงขึ้นมานิดหน่อย แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้ใส่ใจในคำพูดนั้นนัก เพราะตั้งแต่ที่รู้จักกันมา เขากับเธอทานข้าวด้วยกันก็นับครั้งได้เลยและแต่ละครั้ง ก็เป็นเหตุบังเอิญตามมารยาทของธุรกิจเท่านั้น ไม่ใช่เกิดจากความตั้งใจของเขา ต่างจากญาติสาวผู้น้อง ที่เขาตั้งใจไปไหนมาไหนด้วยจนกลายเป็นที่จับตาของบรรดานักข่าว และด้วยเหตุนี้ เธอไม่อยากให้ใครรู้สึกสมเพชเวทนาถึงพยายามปกปิดความรู้สึกของตนไม่ให้เขาหรือใครๆรับรู้ โดยเฉพาะกับญาติสาวคนสำคัญ
ปริพันธ์มองเธอ แล้วก็ลอบคิดถึงใครอีกคนอย่างแสนเสียดาย ที่ค่ำคืนนี้เขาไม่มีโอกาสได้พบเจอ เพราะจากที่พูดคุยกันทางโทรศัพท์ จึงรู้ว่าเธอกำลังอยู่ต่างจังหวัด ซึ่งกว่าเวลาว่างของเธอและเขาจะโคจรมาชนกันอีกครั้งก็คงจะใช้เวลาพอสมควรหรือไม่ก็คงต้องใช้โชคช่วยเท่านั้นถึงจะมีโอกาสเจอกับเธอได้ในเร็ววัน
ชายหนุ่มพูดคุยด้วยไม่นาน ก็ขอตัวแยกจากไปเมื่อกลุ่มเพื่อนนักธุรกิจรุ่นใหม่พยักเพยิดเรียก ชญาภาจึงเดินกลับไปยืนเคียงข้างบิดาอีกครั้ง แต่สายตาของเธอก็มักจะหาโอกาสมองผ่านไปยังปริพันธ์อย่างที่ไม่มีใครสังเกตได้
นักข่าวหลายสำนักต่างยกกล้องคู่ใจกดชัตเตอร์ส่งแสงแฟลชวูบวาบเข้าดวงตาของอนาวินขณะเดินเข้างานกับคู่ควงคนสวย ชายหนุ่มยิ้มให้แต่ไม่ยอมหยุดให้สัมภาษณ์ใดๆ และตรงเข้าหาเจ้าของงาน ซึ่งขณะนี้กำลังยืนคุยอยู่กับชนาธิปและชญาภาพอดี
สองหนุ่มต่างวัยสบสายตากันเพียงไม่กี่วินาทีต่างก็แสร้งยิ้มให้กัน เพื่อจะได้ไม่สร้างบรรยากาศชวนอึดอัดไปถึงเจ้าของงาน ซึ่งเป็นหนุ่มใหญ่ที่รับการทักทายจากผู้มาใหม่ด้วยใจระทึกเช่นกัน เพราะเหตุลอบทำร้ายเจ้าของไพศาลกรุ๊ปนั้น คนวงในหลายฝ่ายต่างซุบซิบตรงกันว่า กลุ่มของรัตนากรเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่นั่นก็เป็นเพียงข่าวซุบซิบเลื่อนลอยเท่านั้น ยังไม่มีใครสามารถนำหลักฐานออกมายืนยันได้แม้แต่ฝ่ายตำรวจ
และแม้ว่าอนาวินจะค่อนข้างเชื่อว่า ขณะนี้มีบุคคลที่สามกำลังสร้างสถานการณ์เพิ่มความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเขากับชนาธิปให้ยิ่งรุนแรงขึ้น โดยที่ตัวของชนาธิปเองอาจไม่มีส่วนรู้เห็นใดๆ แต่เมื่อทุกอย่างยังไม่มีอะไรเปิดเผยออกมา เขาจึงจำต้องเล่นไปตามเกมของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งเขาเชื่อแน่ว่า ขณะนี้ตัวเขาคงกำลังถูกพวกมันจับตาดูอย่างแน่นอน
หลังจากที่ทักทายเจ้าของงานแล้ว อนาวินจึงหันไปทักทายชนาธิปตามมารยาทด้วยน้ำเสียงแกนๆ
“สวัสดีครับ คุณชนาธิป”
“สวัสดีคุณอนาวิน” ชนาธิปตอบรับด้วยน้ำเสียงเดียวกัน “ได้ข่าวว่า พ่อของคุณอาการดีขึ้นแล้ว”
“ครับ..แล้วก็ขอบคุณสำหรับกระเช้าดอกไม้ที่ส่งไปเยี่ยม แต่เผอิญว่ามันเฉาเร็ว มันก็เลยถูกโยนทิ้งก่อนที่พ่อของผมจะตื่นขึ้นมาเห็นมัน”
เจ้าของงานปรายตามอง เมื่อรู้สึกถึงการกระทบกระเทียบแฝงอยู่ในประโยคนั้น และเขาก็ยังคงเงียบรอดูปฏิกิริยาของชนาธิป ว่าจะตอบโต้ชายหนุ่มคราวลูกอย่างไร
ชนาธิปมองสบแววตากระด้างเย็นชาของอนาวินชั่วครู่ ก็ส่งรอยยิ้มเยือน
“เสียดายจริงๆ คุณไม่น่ารีบด่วนสรุปทิ้งมันไปเลย เพราะบางทีพ่อของคุณอาจจะชอบดอกไม้ที่ส่งไปให้ก็ได้ แต่ไม่เป็นไร เพราะดูเหมือนว่า เลขาของผมเตรียมส่งกระเช้าใหม่ที่ทั้งสดและสวยไปให้แล้ว และมันอาจช่วยต่ออายุพ่อของคุณให้ยาวนานขึ้นก็ได้”
คราวนี้ มีเสียงสะอึกดังในลำคอเบาๆจากเจ้าของงาน เมื่อรู้สึกว่าชนาธิปโต้กลับได้รุนแรง จนผู้อ่อนวัยกว่านั้นออกอาการข่มกลั้นอารมณ์จนหน้าแดงไปเหมือนกัน จนเขาคิดว่าต้องรีบออกเบรกอารมณ์กันก่อนที่จะลุกลามมากไปกว่านี้
“เอ่อ..”
แต่เขาอ้าปากพูดได้เพียงเท่านั้น ชนาธิปก็ชิงพูดต่อ
“แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็ขอให้พ่อของคุณหายเร็วๆ..ด้วยใจจริง” ย้ำชัดเจนถึงเจตนารมณ์
“ขอบคุณครับ” อนาวินตอบรับเรียบเฉย ก่อนหันไปหาเจ้าของงานและพูดด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ผมขอตัวไปทักทายคนอื่นนะครับ”
“อ้อ! ได้เลยครับ” เจ้าของงานตอบรับอย่างมึนๆ
และเมื่อคล้อยหลังชายหนุ่มไปแล้ว เขาก็หันมาทางชนาธิปพร้อมเป่าปาก
“เมื่อกี้ผมนึกว่าเขาจะกระโดดมาบีบคอคุณแล้วเสียอีก”
“ไม่หรอก เจ้าหนุ่มนี่ปรับอารมณ์ได้เร็วเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี..คุณก็เห็นแล้วนี่”
“ใช่..ผมว่าถ้าเขามีอายุมากกว่านี้อีกสักหน่อย เขาคงเป็นคู่ปรับของใครหลายๆคนโดยไม่ต้องอาศัยบารมีพ่อของเขาแล้ว..รวมทั้งคุณด้วย”
ชนาธิปตอบด้วยรอยยิ้มมาดมั่น
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ มันก็คงจะสนุกล่ะ”
อนาวินร่วมงานเลี้ยงอีกไม่นานก็ขอตัวกลับกับเจ้าของงานอย่างที่ตั้งใจ และให้ลูกน้องขับรถไปส่งคู่ควงสาว โดยไม่สนใจจะไปต่อกับเธอตามคำเชื้อเชิญอันแสนเย้ายวน และไม่ใส่ใจว่าเธอจะทำท่ากระฟัดกระเฟียดใส่เขาสักแค่ไหน ชายหนุ่มหันเดินขึ้นรถสปอร์ตของตนโดยบอดี้การ์ดคนสนิทขับรถให้เช่นเดิม
“ไม่ต้องขับเร็วนะโจ้ อั๊วะอยากคิดอะไรหน่อย”
ชายหนุ่มสั่งจบก็หลับตานิ่งภายในความเงียบ รับรู้เพียงความเย็นของแอร์และแรงสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อยยามตัวรถแล่นทะยานไปยังจุดหมายปลายทาง
แต่ไม่กี่อึดใจ เสียงของคนขับก็เอ่ยออกมาทำลายความเงียบสงบ
“คุณจิล รู้สึกว่าเรากำลังถูกตามนะครับ”
อนาวินลืมตาและเหลียวมองด้านหลัง เห็นเพียงไฟคู่หน้าของรถยนต์ที่แล่นตามโดยทิ้งระยะห่างพอสมควร ท่ามกลางรถคันอื่นที่แล่นแซงขึ้นหน้าไปคันแล้วคันเล่า ก่อนหันกลับมาถามย้ำ
“นายแน่ใจเรอะ”
“ครับ มันตามเราตั้งแต่ออกจากคอนโดมาที่งานแล้ว” โจ้ตอบอย่างมั่นใจ “แล้วคุณจิลจะเอายังไงกับมันดีครับ”
อนาวินใช้เวลาคิดไม่กี่อึดใจก็สั่งออกไป
“เลี้ยวขวาแยกหน้า” และเปิดช่องเก็บของหยิบปืนพกออกมาปลดเซฟ “อยากจะรู้เหมือนกัน ว่ามันเป็นคนของใคร”
และเมื่อรถของเป้าหมายเลี้ยวออกนอกเส้นทาง ชายฉกรรจ์สองคนที่นั่งภายในรถซีดานมองด้วยความฉงน และหนึ่งในสองเปรยออกมา
“มันจะไปไหนวะ”
“ไม่รู้ว่ะ แต่ลองตามมันไปก่อนก็แล้วกัน เจ้านายสั่งไว้แล้วว่า ถ้าเก็บมันได้ก็ให้เก็บเลย”
คนขับจึงตั้งหน้าขับตามรถเป้าหมายโดยทิ้งระยะห่างเช่นเดิมและให้ผิดสังเกตเมื่อเส้นทางนี้เริ่มเปลี่ยวขึ้นทุกที และความเร็วของรถที่ติดตามก็เพิ่มขึ้น
“เฮ้ย ข้าว่ามันรู้ตัวแล้วว่ะ”
“งั้นก็ลงมือเลย คราวหน้าเราอาจไม่มีโอกาสแบบนี้แล้วก็ได้”
คนขับประเมินการว่าอีกฝ่ายก็มีแค่สองคงไม่ยากที่จะจัดการตามคำสั่งของผู้เป็นนาย จึงเหยียบคันเร่งไล่ล่า โดยเพื่อนที่นั่งข้างกายหยิบปืนกลมือมากระชับด้วยรอยยิ้มกระหยิ่ม
และเมื่อรถสปอร์ตสีดำแล่นทะยานผ่านโค้งมาไม่กี่อึดใจ ผู้ควบคุมพวงมาลัยก็กดเบรกพรืดกลางถนนให้เจ้านายหนุ่มเปิดประตูก้าวลงจากรถ เล็งปลายกระบอกปืนไปยังรถยนต์คันที่แล่นตามมาเพียงเสี้ยวนาที ก็ลั่นไก
เปรี้ยง..เปรี้ยง!!
“เฮ้ย!!”
สองหนุ่มถึงกับอุทานเสียงหลง เมื่อกระสุนที่พวกเขาเอี้ยวหลบพุ่งเข้าเจาะล้อหน้าอย่างแม่นยำ จนตัวรถที่ยังไม่ผ่านโค้งดีนักเสียหลักพลิกคว่ำกระเด็นกระดอนไปกระแทกอัดกับต้นไม้ใหญ่ข้างทางในสภาพตะแคงข้าง พังยับเยิน..ทว่าสองชีวิตยังคงมีลมหายใจ คนขับเลือดอาบใบหน้าร้องครางแผ่วเบา แต่เพื่อนนั้นหมดสติไปแล้ว
อนาวินก้าวเข้าไปหาหมายจะลากทั้งสองออกมาเพื่อเค้นถามความจริงถึงผู้บงการ ก่อนจะส่งตัวพวกมันให้ตำรวจ โดยโจ้กระชับปืนพกของตนเดินตามนายหนุ่มอย่างระแวงระวัง แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะถึงตัวรถ โจ้เหลือบเห็นประกายไฟติดพรึบขึ้นมาบริเวณท้องรถด้านท้าย
“คุณจิล!”
ร่างที่กำลังก้าวเดินชะงักตามเสียงเรียกตื่นๆของคนสนิท แต่เขายังไม่ทันจะเหลียวไปมองด้วยซ้ำ ใบหน้าพลัน! ร้อนวูบ เสียงระเบิดสะเทือนกึกก้อง พร้อมๆกับร่างของเขาถูกรวบลงไปนอนกับพื้นโดยที่ร่างหนาแกร่งของโจ้กางกั้นปกป้องอันตรายอยู่เหนือร่างเขา..เสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้งก่อนสงบ หลงเหลือเพียงเปลวเพลิงโชติช่วงเผาไหม้ซากรถและลามขึ้นไปตามก้านใบของต้นไม้ใหญ่ส่งเสียงปะทุ เปรียะประ
โจ้จึงผละลุกขึ้นให้นายหนุ่มลุกขึ้นยืนตาม
ความร้อนยังคงผ่าวบนใบหน้าของอนาวิน และเขาเอ่ยถามพร้อมกวาดตามองหาบาดแผลทั่วร่างของคนสนิท
“นายเจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“ไม่ครับ แค่รู้สึกเหมือนว่าผมข้างหลังของผมจะไหม้เท่านั้นเอง” โจ้ตอบด้วยรอยยิ้มที่ติดทะเล้นจนเป็นเอกลักษณ์ สร้างความโล่งใจให้อนาวิน “มันน่าจะไหม้ผมของนายให้หมดหัวเลยนะ”
พ่นลมหายใจฟืดแล้วก็หันมองเปลวเพลิงอย่างหัวเสีย เมื่อเขาพลาดเบาะแสสำคัญไปอีกครั้ง
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ”
โจ้เหลียวมองถนนและหันกลับมายังเจ้านายหนุ่มอีกครั้ง
“เรารีบไปจากที่นี่กันเถอะครับคุณจิล เดี๋ยวจะมีใครมาเห็นเข้าเสียก่อน”
อนาวินจึงหันก้าวตามโจ้ขึ้นรถ และพากันจากไป
เมื่อกลับมาถึงบ้าน อนาวินหันไปสั่งกับโจ้
“ไม่ต้องบอกเรื่องนี้กับใคร อั๊วะไม่อยากให้แม่หรือป๊ารู้ เดี๋ยวจะเป็นห่วงกันโดยไม่ใช่เหตุ”
“ครับ”
เมื่อบอดี้การ์ดคนสนิทรับคำ เขาก็เปิดประตูรถเดินขึ้นบันไดหน้าบ้านและเจอกับลูกน้องที่เฝ้าบ้านคนหนึ่ง จึงเอ่ยถาม
“วันนี้มีอะไรให้น่าตื่นเต้นบ้างมั้ย”
“ปกติดีครับ”
“อืมม์ แล้ว..”ชายหนุ่มนิ่งไปอึดใจก็เอ่ยปากถามหาถึงใครอีกคน “..ราโมน่าล่ะ”
“ก็ปกติดีครับ..แล้วตอนนี้เธออยู่ที่สระว่ายน้ำครับ” และประโยคนี้เรียกความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของเขาให้สว่างวาบขึ้นภายในใจ แต่เขาก็ยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย
“อืมม์..นายไปเดินดูที่อื่นต่อเถอะ”
“ครับ”
เมื่อคล้อยหลังลูกน้องไปแล้ว อนาวินเหลือบสายตาขึ้นมองกล้องวงจรปิดเพียงครู่ก็หันเดินเรียบเรื่อยตรงไปยังสระว่ายน้ำ ทั้งๆที่สามัญสำนึกพยายามส่งเสียงเตือนให้เขากลับขึ้นห้องของเขาเสียเดี๋ยวนี้ อย่าได้สนใจในการมีตัวตนของราโมน่า แต่สองขากลับยังคงก้าวเดินต่อไปอย่างไม่อาจห้ามได้
ร่างอวบอิ่มขาวกระจ่างในชุดทูพีซสีเขียวเทอร์คอยซ์แหวกว่ายดำดิ่งอยู่ใต้สายน้ำที่ใสจนเห็นถึงก้นสระด้วยสปอร์ตไล้ฟหุ้มฉนวนกันน้ำติดตั้งรอบสระ และเมื่อเธอพุ่งตัวโผล่ขึ้นน้ำอีกครั้ง จากพื้นที่ที่เคยว่างเปล่า บัดนี้กลับมีร่างสูงเพรียวของอนาวินยืนอยู่ตรงนั้น และสูทลำลองตัวนอกของเขาวางพาดใกล้กับเสื้อคลุมของเธอบนเตียงริมสระน้ำ
“ไม่นึกว่าบ้านนี้จะมีนางเงือกแสนสวยแอบมาเล่นน้ำกลางดึกขนาดนี้นะ”
“แต่ต่อให้แอบขนาดไหน ก็ไม่รอดหูรอดตาคนของพี่ไม่ได้อยู่ดี”
เธอตอบน้ำเสียงติดงอนเล็กน้อยกับการที่ต้องถูกกำจัดอิสรภาพ ขณะที่ยังลอยคออยู่ในน้ำ และเริ่มว่ายอีกครั้งอย่างอ้อยอิ่ง โดยมีร่างของอนาวินที่เอามือไพล่หลังเดินตามบนริมขอบสระ และราโมน่าสังเกตใบหน้าคมเข้มที่สะท้อนใต้แสงไฟนั้นเคร่งขรึม ครุ่นคิด
“มีอะไรหรือคะ พี่จิล”
เธอหยุดว่าย และเขาก็หยุดเดิน หันมาสบตาซึ่งกันและกัน
“ขึ้นมาก่อนสิ พี่มีเรื่องจะพูดด้วย..”
และเมื่อเธอว่ายใกล้ถึงบันไดทางขึ้น เขาก็ยื่นมือไปช่วยฉุดดึงร่างของเธอขึ้นจากน้ำมายืนตรงหน้าใกล้ๆ ให้เขาได้กวาดมองดวงหน้าและเรือนร่างเปียกชุ่มแสนเย้ายวน กระตุ้นปฏิกิริยาเคมีที่พวกเขาต่างก็มีตรงกันให้ปั่นป่วน แม้จะตระหนักดีว่านั่นคือสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่ยามชิดใกล้กันเช่นนี้ จะมีสิ่งใดสามารถปิดกั้นแรงปรารถนาระหว่างเขากับเธอได้
อนาวินยังคงกุมมือนุ่มเปียกชื้น สายตาทอดตกลงกลีบปากระเรื่ออิ่มเต็ม ก่อนเลื่อนสายตามาสบดวงตาสีเขียวน้ำทะเล ซึ่งรอคอยในสิ่งที่เขากำลังจะบอกกับเธอ
“มีเรื่องอะไรจะพูดกับโม้นาหรือคะ”
ชายหนุ่มถอนสายตาจากเธอและหันเดินนำกลับไปยังเตียงริมสระด้วยจังหวะก้าวที่เชื่องช้า และฝ่ามือยังกระชับมั่นกับมือของเธอ ก่อนเกริ่นนำในสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกถึงความโหวงเหวงในใจ
“..พรุ่งนี้..โม้นาจะได้รับอิสระคืนอย่างที่ต้องการ”
ราโมน่ามองเขาเต็มตา
“จริงหรือคะ”
“จริงครับ”
และเมื่อเขายืนยัน รอยยิ้มของเธอก็กระจ่างเต็มดวงหน้า แต่เมื่อเห็นสีหน้าของเขาที่ไม่ได้ร่วมยินดีด้วยสักนิด อารมณ์ปรีดาจึงค่อยเจื่อนลง และพยายามพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น
“ความจริง บ้านหลังนี้ก็น่าอยู่ดีนะคะ เพียงแต่..ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่โม้นาสมควรจะเกี่ยวข้องด้วย..พี่จิลเข้าใจใช่มั้ยคะ”
เธอถามความรู้สึกของเขาในท้ายประโยคขณะที่เดินมาถึงเตียงสระน้ำ และสายตายังจดจ้องรอคำตอบจากเสี้ยวหน้าเคร่งขรึมยามโน้มตัวลงหยิบเสื้อคลุมมาช่วยเธอสวมมัน และไม่เพียงเท่านั้น ปลายนิ้วเรียวยาวจากสองมือใหญ่ยังช่วยกันบรรจงผูกเชือกรัดเอวให้อย่างแสนเชื่องช้า ราวกับกำลังพยายามยื้อเวลาออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่ราโมน่ายืนนิ่ง ฟังเสียงหัวใจของตนเต้นกระหน่ำกึกก้องอยู่ภายในร่าง สายตาเริ่มจับรายละเอียดของสิ่งที่เห็น..เส้นผมของเขากำลังขยับไหวยามต้องสายลมโชยเบาๆ..เงาของเรือนที่ยืนจนชิดทาบทับราวจะห่มกอดร่างของเธอไว้ทั้งหมด..กลิ่นเจือจางหอมละมุนของน้ำหอมผู้ชายที่เธอมักได้กลิ่นจนคุ้นชินกำลังแทรกซึมเข้ามาเขย่าอนุสติของเธอให้สั่นไหวโคลงเคลง
และจากคำถามเมื่อครู่ของเธอ ปฏิกิริยาของเขายังคงเงียบงัน และเธอก็รอ..รอ..รอจนกระทั่งเขาผูกปมผ้าที่เอวเสร็จ เธอก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง ก่อนที่ความรู้สึกของเธอจะถูกเขาดูดกลืนไปจนหมดสิ้น
“พี่จิล..”
เสียงที่เรียกนั้นสะดุดค้าง เมื่อเขาเงยใบหน้าขึ้นให้เธอได้จ้องเต็มตาในระยะเกือบจะประชิด..ดวงตาเฉียบคมส่องประกายเจิดจ้าใต้เรียวคิ้วยาวเป็นระเบียบพาดเฉียง..จมูกโด่งเป็นสัน..เรียวปากสวยได้รูป..ทุกสิ่งทุกอย่างประกอบได้อย่างเหมาะเจาะ สมบูรณ์แบบ จนกลายมาเป็นบุรุษที่เธอหลงใหลมานานหลายปี จนกระทั่งถึงทุกวันนี้
และแม้ว่าเธอจำต้องมาอยู่ร่วมชายคากับเขาในสถานการณ์บีบบังคับ แต่ลึกๆในใจแล้วก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เธอมีความสุขมากแค่ไหนที่ในแต่ละวันได้พูดคุยกับเขา ยิ้มให้เขา ทานอาหารเช้าร่วมกัน จนกระทั่งเดินไปส่งเขาที่รถ และในตอนกลางวัน เขาจะโทรหาให้เธอยิ่งผูกพัน และในขณะนี้..เธอกำลังอาลัยอาวรณ์ความรู้สึกเหล่านั้น นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไปเธอไม่สามารถทำสิ่งต่างๆเหล่านั้นต่อเขาได้อีก..ความเหงา..ความเดียวดายที่คุ้นเคยในวัยเยาว์กำลังหวนกลับมาทักทายหัวใจของเธออีกครั้ง
และเหมือนว่าความรู้สึกของเธอได้ส่งผ่านให้อนาวินได้รับรู้ แต่ตัวเขาเองก็กำลังอึดอัดคับใจกับความรู้สึกนี้เช่นกัน..มือข้างหนึ่งของเขายื่นมาเกี่ยวนิ้วเธอไปกุมไว้หลวมๆ ปลายนิ้วหัวแม่มือของเขาหมุนวนไปมาบนหลังมือเธอ ถอนหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่ตรึกตรอง
“พี่รู้ว่าโม้นาไม่ได้เกลียดบ้านหลังนี้..และพี่อยากให้โม้นารู้อีกด้วยว่า พี่รู้สึกดีมากทีเดียวที่โม้นามาอยู่บ้านหลังนี้ร่วมกับพี่..จนพี่อยากเก็บโม้นาให้อยู่กับพี่แบบนี้ไปนานๆ..นานที่สุดเท่าที่จะทำได้..”
ราโมน่ากล้ำกลืนในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนตอบเสียงแผ่น
“มันไม่มีทางเป็นไปได้ พี่จิลก็น่าจะรู้ดี..”
“ใช่ พี่รู้ดี..ทั้งๆที่รู้ แต่พี่ก็ยังคิดกับโม้นาแบบนั้น แม้กระทั่งตอนนี้พี่ก็หยุดคิดเรื่องระหว่างเราไม่ได้เลย พี่อยากจะปล่อยโม้นาไป แล้วก็ทำเหมือนว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น โม้นาไม่เคยอยู่บ้านหลังนี้..ไม่เคยหัวเราะ..ไม่เคยร้องไห้..ไม่เคยมาว่ายน้ำในสระ หรือ..เรื่องที่โม้นาไม่เคยนอนหลับบนเตียงของพี่”
จู่ๆความร้อนผ่าวเหมือนพุ่งทะลุจากความเย็นเยียบปะทะใบหน้าของราโมน่ากะทันหัน ก่อนความร้อนนั้นกระจายลามเลียไปตามเนื้อตัว และหัวใจของเธอยังคงเต้นตึกตัก หนักหน่วง รัวแรง เมื่อร่างกายของเขาขยับใกล้จนชิด มือข้างหนึ่งของเขายกขึ้นไล้ปลายนิ้วบนผิวแก้มของเธอจนเลื่อนมาเชยปลายคาง ปลายนิ้วโป้งของเขาลูบผ่านกับริมฝีปากล่างของเธอเบาๆ และอนาวินหายใจลึก เมื่อความอดทนอดกลั้นต่อความเย้ายวนได้ถึงจุดสิ้นสุด
“พี่ไม่อยากปล่อยโม้นาไปเลย..”
ในความรู้สึกของราโมน่า เสียงกระซิบนั้นที่ได้ยินเหมือนดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ก่อนความอุ่นจัดประทับลงมาที่ริมฝีปาก ก่อเกิดอารมณ์วาบหวาม ลอยล่องไปสู่ดินแดนแสนหวานละไม ไร้ซึ่งความขัดแย้งใดๆมากีดกั้นความปรารถนาของเธอให้แยกจากเขา สองแขนของเธอยกขึ้นโอบกอดรอบหลังและไหล่กว้าง ในขณะที่ลำแขนของเขาโอบรัดร่างของเธอแนบแน่นจนยอดอกอวบนุ่มเบียดชิดแผ่นอกแกร่ง และฝ่ามือใหญ่ยึดกุมท้ายทอยของเธอ ยามวินาทีของการทักทายหยอกเอินอย่างอ่อนหวานเคลื่อนผ่าน ให้ความเร่าร้อนเข้มลึกในแรงปรารถนาเข้าครอบงำ ฝ่ามืออีกข้างของอนาวินเลื่อนลูบไล้ไปตามลาดโค้งของความอ่อนนุ่มละมุนทั่วแผ่นหลัง เอว สะโพกผายกลมกลึงที่เขาลูบคลำด้วยน้ำหนักมือไม่เบานัก ก่อนกดตรึงเบียดเข้าปะทะกลางลำตัวของเขาให้ราโมน่าสะท้านหวั่นไหว เมื่อสัมผัสชัดเจนถึงแรงอารมณ์ของเขา และร่างกายของเธอก็กำลังก่อเกิดปฏิกิริยาตอบสนองจนรวดร้าวไปทั่วทุกอณู
และก่อนที่จะถึงจุดอันตรายจนควบคุมไม่ได้ อนาวินรีบถอนริมฝีปาก แนบหน้าผากเขากับหน้าผากเธอ ลมหายใจผ่าวรดใบหน้าซึ่งกันและกัน เป็นการยุติความฝันทั้งปวงและกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงของการจากลาไปตลอดกาล
อนาวินผละห่าง สองมือโอบประคองใบหน้าของราโมน่า กวาดสายตามองทุกองค์ประกอบของเครื่องหน้า อ้อยอิ่งอยู่กับริมฝีปากอิ่มชุ่มแดงช้ำ ก่อนกลับมาสบดวงตาที่กำลังเอ่อนองด้วยหยาดน้ำตาของเธอกับความเจ็บปวดที่เธอพยายามหลีกหนีมาตลอดเวลา
ชายหนุ่มกล้ำกลืนความรู้สึกต่อแรงปรารถนาที่จะโอบกอดปลอบประโลมเธอไว้สุดกลั้น และสั่งด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก
“รีบกลับขึ้นห้องไปซะ..แล้วก็ล็อกประตูให้แน่น หรือถ้าให้ดีก็ลากตู้ลากเตียงมาขวางประตูไว้ด้วย..ต่อให้พี่ไปเรียกก็ห้ามเปิดเด็ดขาด จนกว่าจะเช้า..เข้าใจมั้ย”
ราโมน่าถอนสะอื้นพลางพยักหน้ารับ และทันทีที่ฝ่ามือของเขาผละจากใบหน้า เธอก็หันเดินกึ่งวิ่งเข้าบ้านตรงขึ้นห้องนอนทำตามอย่างที่เขาสั่ง โดยไม่แน่ใจนักว่า หากเขามาเรียกจริงๆ..ประตูไม้บานนี้จะสามารถขวางกั้นเขาได้หรือเปล่า ในเมื่อ ตัวของเธอเองนั้นก็พร้อมจะเปิดรับเขาในทุกขณะจิต
อนาวินผินหน้ามองผิวน้ำใสกระเพื่อมไหวเป็นละลอกเล็กๆภายใต้แสงสว่างของสปอร์ตไลฟ์ ข่มใจให้สงบนิ่ง และปล่อยความคิดที่มีให้เลื่อนลอยไปในความเงียบงัน พร้อมทำใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับราโมน่าเป็นเพียงความฝัน..ฝันอันแสนวิเศษที่เขาจะไม่มีวันลืม..
..................................................................................
จบอีกตอนค่า
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ
^^

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 พ.ค. 2555, 13:40:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 พ.ค. 2555, 13:40:37 น.
จำนวนการเข้าชม : 2402
<< ตอนที่ ๙ | บทที่ ๑๑ >> |

sai 22 พ.ค. 2555, 14:23:49 น.
T^Tน่าสงสารพี่จิลกะโม้นาจังเลยอ่ะ แต่พี่จิลน่ารักอ่ะ ชอบบบบบ
T^Tน่าสงสารพี่จิลกะโม้นาจังเลยอ่ะ แต่พี่จิลน่ารักอ่ะ ชอบบบบบ

bloomberg 22 พ.ค. 2555, 14:48:54 น.
บทสวีทอาบน้ำตา โฮ....
มือปืนก็มอดไหม้ไปแล้ว จะแกะมือใครดมได้ล่ะเนี่ย
บทสวีทอาบน้ำตา โฮ....
มือปืนก็มอดไหม้ไปแล้ว จะแกะมือใครดมได้ล่ะเนี่ย


ann 22 พ.ค. 2555, 18:20:36 น.
เหมือนโรมิโอกะจูเลียตเลยค่า อิอิ
เหมือนโรมิโอกะจูเลียตเลยค่า อิอิ

อริสา 22 พ.ค. 2555, 21:00:34 น.
น่าสงสารจัง แต่ท่าทางยังจะอีกยาวไกลกว่าจะสมหวัง ปัญหาเพียบ
น่าสงสารจัง แต่ท่าทางยังจะอีกยาวไกลกว่าจะสมหวัง ปัญหาเพียบ

Zephyr 22 พ.ค. 2555, 23:35:19 น.
โอ้ บทนี้เซ็กซี่ขาดใจ ตอนท้ายๆเนี่ย ลุ้นอยู่ว่าจะสวรรค์หรือนรก แต่ เหอะ พี่จิลเลือกนรกแฮะ
แมนมากเฮีย อุอุ เฮ้อ จะไปต่อไงล่ะเนี่ย คู่เนี้ย อุปสรรคเพียบบบบบบ
โอ้ บทนี้เซ็กซี่ขาดใจ ตอนท้ายๆเนี่ย ลุ้นอยู่ว่าจะสวรรค์หรือนรก แต่ เหอะ พี่จิลเลือกนรกแฮะ
แมนมากเฮีย อุอุ เฮ้อ จะไปต่อไงล่ะเนี่ย คู่เนี้ย อุปสรรคเพียบบบบบบ

หมูอ้วน 23 พ.ค. 2555, 06:06:21 น.
ฝ่ายไหนเอ๋ย ที่ตามเก็บพี่จิลเนี่ย
ฝ่ายไหนเอ๋ย ที่ตามเก็บพี่จิลเนี่ย

ระรินใจ 23 พ.ค. 2555, 11:35:02 น.
คุณsai === อิอิ เฮียจิลได้เชื้อป๊ามาพอสมควร
คุณbloomberg === เดี๋ยวก็มีช่องโหว่ให้สาวถึงตัวการค่า..แต่ต้องรอหน่อย^^
คุณnunoi === พอพ้นช่วงทุกข์ไปแล้ว สองคนนี่จะได้รักกันมากๆไงคะ
คุณann === แหะๆ เรื่องนั้นน่ะเป็นแรงบันดาลใจของเรื่องนี้เลยนะจ้ะ
คุณ อริสา ===ยาวไกลจริงๆค่ะ กว่าจะจบก็ฝ่าฟันกันพอสมควร สำหรับคู่นี้
คุณ Zephyr === พี่จิลเลือกนรกแค่ตอนนี้เท่านั้นล่ะค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักก็ดีแตกแล้ว
คุณหมูอ้วน === เค้าบอกไม่ได้อ่ะ เดี๋ยวจะไม่ลุ้น ^^"
คุณsai === อิอิ เฮียจิลได้เชื้อป๊ามาพอสมควร
คุณbloomberg === เดี๋ยวก็มีช่องโหว่ให้สาวถึงตัวการค่า..แต่ต้องรอหน่อย^^
คุณnunoi === พอพ้นช่วงทุกข์ไปแล้ว สองคนนี่จะได้รักกันมากๆไงคะ
คุณann === แหะๆ เรื่องนั้นน่ะเป็นแรงบันดาลใจของเรื่องนี้เลยนะจ้ะ
คุณ อริสา ===ยาวไกลจริงๆค่ะ กว่าจะจบก็ฝ่าฟันกันพอสมควร สำหรับคู่นี้
คุณ Zephyr === พี่จิลเลือกนรกแค่ตอนนี้เท่านั้นล่ะค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักก็ดีแตกแล้ว
คุณหมูอ้วน === เค้าบอกไม่ได้อ่ะ เดี๋ยวจะไม่ลุ้น ^^"

anOO 23 พ.ค. 2555, 16:22:40 น.
ว๊า พี่จิลจะปล่อยดม้นากลับบ้านแล้วเหรอ
อีกนานเลยสิ กว่าจะได้เห็นคู่นี้หวานใส่กันอีก
ว๊า พี่จิลจะปล่อยดม้นากลับบ้านแล้วเหรอ
อีกนานเลยสิ กว่าจะได้เห็นคู่นี้หวานใส่กันอีก

ระรินใจ 23 พ.ค. 2555, 19:38:01 น.
คุณan00 === ถึงปล่อยไป แต่เดี๋ยวพี่จิลก็สติแตกแล้วค่ะ..รับรองว่าได้เห็นบทหวานๆอีกแน่ ^^
คุณan00 === ถึงปล่อยไป แต่เดี๋ยวพี่จิลก็สติแตกแล้วค่ะ..รับรองว่าได้เห็นบทหวานๆอีกแน่ ^^