ซีรี่ย์ ดอกไม้ หัวใจในควันปืน : ไฟซ่อนรัก

Tags: บู๊หน่อยๆโรมานซ์นิดๆ

ตอน: บทที่ ๑๑

ราโมน่านั่งกอดเข่าบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง มองออกไปยังท้องฟ้ากว้างภายในห้องชุดของตนเอง ซึ่งเธอนั่งอยู่เช่นนี้ร่วมชั่วโมงมาแล้ว กระเป๋าเสื้อผ้าก็ยังคงวางอยู่กลางห้อง ไม่ได้ใส่ใจที่จะเปิดออกมาหยิบจับอะไรใส่ตู้เสื้อผ้าเลยแม้สักอย่างเดียว เพราะจิตใจของเธอนั้นแสนเฉื่อยชา หดหู่ ยามนึกถึงใบหน้าเคร่งขรึมของอนาวินที่ยืนส่งเธอขึ้นรถเมื่อเช้า โดยให้ลูกน้องขับรถตามมาส่งถึงหน้าคอนโด..เธอยังจดจำได้ดีถึงสายตาของเขามันช่างว่างเปล่า และคำพูดที่แสนห่างเหินเพียงสั้นๆว่า “โชคดีนะ..” แต่กลับทำให้เธอสะท้านสะเทือนจนแทบร้องไห้ เมื่อมันคือการตอกย้ำถึงสัมพันธภาพระหว่างเขากับเธอได้ถูกตัดขาดซึ่งกันและกันอย่างสิ้นเชิง..

และในความเป็นจริงที่น่าเจ็บปวด เมื่อเธอยังคงคิดถึงเขา โหยหาเขากว่าครั้งที่ผ่านมา..รสจูบของเขายังติดตรึงบนริมฝีปากของเธอ..อ้อมกอดเขายังคงอบอุ่นเสมอในความคิดคำนึง และแรงปรารถนาของเขาก็ยังคงไหลเวียนในกระแสรุ่มร้อนในกายเธอ และในเมื่อเธอพยายามแล้วที่จะลบเขาออกจากใจ แต่ในเมื่อทำไม่ได้ เธอก็จะขอคิดถึงเขา..คิดถึงไปเรื่อยๆ จนกว่าความทรมานจากการคิดถึงจะจางหายไป

ราโมน่ายังคงนั่งเช่นนั้น จนคิดได้ว่า การมัวมานั่งเฉยๆปล่อยให้เวลาผ่านไปเช่นนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากจะทำให้เธอยิ่งฟุ้งซ่านและหมองเศร้า จึงโทรศัพท์หาผู้จัดการส่วนตัว เช็คดูว่ามีงานอะไรติดต่อเข้ามาบ้าง ซึ่งในนาทีนี้ เธอคิดจะรับงานไว้ทั้งหมด ยกเว้นแค่งานเปลื้องผ้าเท่านั้น แค่อยากให้ทุกนาทีของเธอมีแต่เรื่องวุ่นวายมากพอที่จะไม่หลงเหลือเวลาไปพร่ำเพ้อหาถึงบุคคลต้องห้าม อย่าง

..อนาวิน พาณิชย์ไพศาล..


//////

เสียงเคาะประตูทำให้ฉันทัชที่นั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานใหญ่ของผู้เป็นบิดาชะงักคำพูด ก่อนจะหมุนเก้าอี้มายังบานประตูที่เปิดกว้างพร้อมร่างของญาติสาวที่ไม่เห็นหน้าค่าตากันนานร่วมเดือนก้าวเข้ามาด้วยรอยยิ้มแจ่มใส

“สวัสดีค่ะ คุณลุง” และยกมือไหว้พลางปรี่เข้ามาสวมกอดบิดาของเขาที่ลุกขึ้นยืน โดยไม่มีทีท่าว่าจะเห็นเขานั่งอยู่ภายในห้องนี้ด้วยซ้ำไป และน้ำเสียงกังวานใสนั้นยังดังเจื้อยแจ้วต่อไป

“คิดถึงคุณลุงจังเลยค่ะ”

ชนาธิปหัวเราะในลำคอ พลางลูบศีรษะที่ซุกซบแนบอกนั้นอย่างเอ็นดู
“ลุงก็คิดถึงเราเหมือนกัน..งานยุ่งจนไม่มีเวลากลับไปกินข้าวที่บ้านเลยนะ เราน่ะ”

ราโมน่าคลายวงแขน ยิ้มจืดเจื่อน
“ขอโทษค่ะ..โม้นางานยุ่งมากจริงๆ” บอกพร้อมหลุบสายตาลงมองพื้น เกรงว่าลุงจะจับโกหกได้ และอึดใจต่อมาจึงเงยสายตามองสบเขาอีกครั้ง

“แต่ว่าตอนนี้โม้นาก็กลับมาแล้ว..งั้น คุณลุงออกไปทานข้าวกับโม้นาได้มั้ยคะ”

ชนาธิปยิ้มกว้าง
“แค่กินข้าวกับหลานสาว ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

“งั้นก็ไปกันเลยค่ะ”

หญิงสาวควงแขนทำท่าว่าจะพาเขาออกจากห้อง จนอีกหนึ่งชีวิตที่ถูกเมินต้องรีบเคาะโต๊ะพร้อมส่งเสียงเรียกร้องความสนใจ
“เฮ้!หยุดเลยทั้งสองคนน่ะ ผมไม่ใช่อากาศธาตุนะ ไม่คิดจะชวนกันบ้างรึไง”

ชนาธิปเลิกคิ้วสูงมองสายตาน้อยอกน้อยใจของลูกที่ปรายมองมา ในขณะที่ราโมน่าอมยิ้ม เพราะเธอตั้งใจแกล้งทำไม่เห็นเขาตั้งแต่แรก โดยมีคุณลุงรู้เห็นเป็นใจด้วย

และเมื่อเขาออกตัวมาถึงขนาดนี้ เธอก็ต้องให้เขาไปด้วยอยู่แล้ว
“ฉันรู้ว่า ยังไงเสียนายก็จะต้องร้องตามไปด้วยอยู่ดีนั่นล่ะ..รึไม่จริง”

“เฮอะ! ทำมาเป็นอวดรู้ใจคนอื่น” ฉันทัชพ่นลมหายก่อนลุกขึ้นยืน ขยับชุดสูททำงานของตนให้เรียบร้อย “แต่ก็อย่างว่าล่ะฉันก็กำลังหิวพอดี และไหนๆก็มีคนเลี้ยงข้าวแล้วนี่ จะปฏิเสธทำไมให้เสียน้ำใจ” และหันมายิ้มทะเล้นพร้อมยักคิ้วให้บิดา “เนอะ..พ่อ”

ชนาธิปแค่นยิ้มตอบกลับการตีขลุมของลูกชาย
“ใครบอกจะเลี้ยงข้าวแก”

“ไม่เอาน่าพ่อ..เลี้ยงข้าวหลานแต่ปล่อยให้ลูกชายตัวเองอดข้าวตายเนี่ย ใครรู้เข้าเขาจะเอาไปนินทาจนเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ เชียวนา..ไป จะไปกินร้านไหนก็ตกลงกันซะ เดี๋ยวผมขับรถให้”

ชายหนุ่มยื่นมือมาตบไหล่ผู้ให้กำเนิดเบาๆเป็นการหยอกเย้าพร้อมรอยยิ้มทะเล้น ก่อนเดินนำไปเปิดประตูห้องทำงานให้
“เชิญคร้าบบ..”

ชนาธิปหันมองราโมน่าที่รอยยิ้มยังเกลื่อนใบหน้า ก่อนเขาจะโคลงหัวด้วยรอยยิ้มเช่นกัน และพากันก้าวออกไปจากห้อง



และขณะมื้ออาหารที่แสนอร่อยกำลังจะถึงจุดอิ่มตัว แต่จำต้องสะดุดลงเสียก่อนด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือของผู้เป็นลุง..จากเลขา
“มีอะไรรึ”

“คือ..” เลขาหนุ่มวัยกลางคนอ้ำอึ้ง ก่อนรายงานผู้เป็นนาย “เรื่องงานประมูลที่เราเพิ่งได้มา ถูกตัดสิทธิ์แล้วครับ”

ชนาธิปชะงักงัน ถามกลับเสียงเครียด
“ทำไม!”

“มีคนส่งคลิปขณะที่คุณคณินกำลังยื่นข้อเสนอผลตอบแทนให้เพื่อนของเขาที่เป็นคณะกรรมการพิจารณางานให้หัวหน้าคณะกรรมการครับ..แล้วตอนนี้ งานของเราก็ถูกโอนให้ไพศาลกรุ๊ปทำแทนแล้ว”

“บ้าจริง! เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้ไง..แล้วรู้รึเปล่าว่าคลิปนั่นมาจากใคร”

“ทางคณะกรรมการไม่ได้บอกครับ ส่งมาแค่ตัวคลิปกับเอกสารตัดสิทธิ์”

“งั้นคุณก็ดูคลิปนั่นแล้วใช่มั้ย”

“ครับ..หลักฐานชัดเจนเลย”

“งั้นเดี๋ยวฉันเข้าไป”
ชนาธิปวางสายพร้อมพ่นลมหายใจ ก่อนมองทั้งลูกชายและหลานสาวที่กำลังถือช้อน-ส้อมค้างในมือ เขม็งมองอย่างสงสัย และเป็นฉันทัชที่ถาม

“เรื่องคลิปอะไรรึพ่อ”

“คลิปที่ลุงนินกำลังตกลงผลประโยชน์กับเพื่อนของเขาน่ะถูกส่งให้หัวหน้าคณะกรรมการ ทำให้ตอนนี้งานที่เราได้มาถูกตัดสิทธิ์ไปให้บริษัทอันดับสองแทน”

“นั่นก็คือพวกไพศาลกรุ๊ป” ฉันทัชต่อให้ทันควันอย่างเจ็บใจ พลางรวบช้อน-ส้อม หมดอารมณ์อยากอาหารในทันใด “แล้วไอ้คลิปนั่น ผมว่ามันก็เป็นฝีมือของพวกนั้นนั่นล่ะ”

ชนาธิปส่ายใบหน้าเคร่งเครียด “ไม่รู้เหมืนกัน”

ราโมน่านิ่งขึงในสิ่งที่ได้ยิน พลางรวบช้อน-ส้อมวางบนจานแผ่วเบา ฉันทัชหันไปเรียกบริกรมาเก็บเงินโดยไม่ถามความคิดเห็นของใคร เพราะมั่นใจว่าเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เคร่งเครียดขนาดนี้ คงไม่มีใครนึกอยากทานอาหารแล้ว

และเมื่อชนาธิปจ่ายค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว ราโมน่าหยิบกระเป๋าถือลุกเดินตามสองพ่อลูกออกจากร้าน และนั่งเงียบไปตลอดทางกลับเข้าบริษัท..ทั้งๆที่ตั้งใจจะไม่คิดถึงอนาวินแล้วแท้ๆ แต่สุดท้ายก็ยังมีเรื่องเกี่ยวโยงให้เธอต้องคิดถึงเขาอีกจนได้ พลางทอดถอนลมหายใจยาวอย่างปลงตก


ฉันทัชก้าวดุ่มๆนำผู้ให้กำเนิดตรงไปยังห้องทำงานของคณิน และเจอกับก้องภพที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะหน้าห้อง ซึ่งรีบลุกขึ้นคล้ายขวางทันที
“มีเรื่องรีบร้อนอะไรรึครับคุณทัช”

“ผมมีเรื่องพูดกับเจ้านายของคุณเท่านั้น คุณไม่เกี่ยว”

ฉันทัชตอบเสียงกร้าวอย่างถืออำนาจเหนือกว่า และนอกเหนือจากนั้น ตั้งแต่ที่เข้าทำงาน เขาไม่เคยถูกชะตากับก้องภพเลย ซึ่งก้องภพเองก็รู้ตัวเช่นกัน และแม้ว่าตัวเขาเองก็ไม่เคยชอบหน้าฉันทัช แต่เนื่องจากหน้าที่การงานที่ด้อยกว่า เขาจึงพยายามรักษาท่าทีให้อ่อนน้อมต่อหนุ่มรุ่นน้องเข้าไว้ และเมื่อเหลือบสายตาไปยังชนาธิปที่เดินตามมาด้วย เขาก็น้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นการเคารพกันพอเป็นพิธีก่อนนั่งลงตามเดิม และทำท่าจะต่อโทรศัพท์ภายในเข้าไปบอกผู้เป็นนาย แต่ช้ากว่าฉันทัชที่เปิดประตูผัวะก้าวเข้าไป

ซึ่งภายในห้องทำงานก่อนที่ฉันทัชจะมาถึงเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา..คณินกำลังพูดโทรศัพท์ต่อว่าเพื่อน โทษว่าสาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะความสะเพร่าของอีกฝ่าย แต่เพื่อนของเขาก็โต้กลับมาด้วยถ้อยคำรุนแรง และยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เคยแพร่งพรายให้ใครรู้เลยแม้แต่ภรรยา และตอนนี้ก็กำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะกำลังถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน แต่คณินก็ไม่สนใจเพราะตอนนี้เขาก็เดือดร้อนเช่นกัน จึงโต้เถียงกันอีกหลายคำก่อนอีกฝ่ายจะตัดสัญญาณเสียดื้อๆ ด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองจนถึงขนาดตัดขาดความเป็นเพื่อนกันเลยทีเดียว

และขณะที่กำลังยืนกุมขมับ เจ้าหลานชายคู่อริก็เปิดประตูเข้ามาอย่างไร้มารยาทด้วยใบหน้าถมึงทึง โดยมีร่างของน้องชายก้าวตามเข้ามา ให้เขารู้โดยอัตโนมัติว่า ปัญหาที่เขากำลังกลัดกลุ้มอยู่ขณะนี้ ได้รู้ถึงหูของน้องชายแล้ว

และเป็นฉันทัชเช่นเคยที่เปิดฉากต่อว่า อย่างไม่คิดจะไว้หน้า
“ลุงไปทำอีท่าไหน มันถึงได้มีไอ้คลิปบ้าๆนั่นออกมาประจานความโง่เขลาของลุงได้”

“ไอ้ทัช!” คณินตวาดกลับอย่างเดือดดาล “กูเป็นลุงของมึงนะ จะพูดอะไรก็หัดเกรงใจกันบ้าง”

“ก็เพราะว่าเป็นลุงไง ถึงยังไม่ไล่ออกเสียเดี๋ยวนี้..หึ! มีอย่างที่ไหน หอบเงินเป็นฟ่อนโยนให้หมาแดกฟรีๆแล้ว ยังต้องมาขายขี้หน้าไอ้พวกบริษัทคู่แข่งรายอื่นๆอีก..ไหนคุยนักคุยหนาไงว่าไม่มีปัญหา..แล้วนี่มันอะไรล่ะ ลุงตอบผมมาได้มั้ย”

ทั้งคำพูด สีหน้าท่าทางของฉันทัชมีแต่ความเย้ยหยัน จนคณินจ้องตาเขม็ง กำหมัดแน่นสั่นไปทั้งตัว ใบหน้าแดงก่ำ..ชนาธิปดึงตัวลูกชายให้ถอยห่างออกมา
“ทัช เดี๋ยวพ่อคุยกับลุงเอง” และก้าวมาเผชิญหน้ากับพี่ชายแทน พูดด้วยโทนเสียงที่อ่อนกว่า แต่สายตาที่มองสบเต็มไปด้วยคำตำหนิติเตียนไม่ต่างจากผู้เป็นลูกชายเลย

“พี่ไม่ควรประมาทถึงขั้นนี้เลยนะ”

“ข้าไม่ได้ประมาทอย่างที่แกว่านะ..แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดไอ้เรื่องบ้าๆนี้ได้” คณินถอนใจฟืดฟาดแล้วตวัดสายตาเกรี้ยวกราดไปยังหลานชาย เมื่อได้ยินเสียง “หึ!” อย่างเยาะเย้ยลอยมา

“แล้วทางเพื่อนของพี่ล่ะ เขาว่าไง” ชนาธิปถามต่อเรียกความสนใจของคณินกลับมาอีกครั้ง

“มันยืนยันว่าไม่เคยบอกใครเหมือนกัน และตอนนี้มันก็กำลังจะโดนสอบด้วย..แต่ถ้ามาลองคิดให้ดีๆ ข้าว่าพวกไพศาลกรุ๊ปนั่นล่ะที่เป็นคนปล่อยไอ้คลิปบ้าๆนี่ออกมา”

“ไม่ต้องไปโทษคนอื่นหรอก ถ้าพี่ไม่ประมาทจนเปิดช่องโหว่ขนาดนี้ พวกมันก็ทำอะไรเราไม่ได้..แล้วก็อีกเรื่องนึง ตัวพี่เองก็เตรียมหาคำตอบสำหรับเรื่องนี้ให้ดีก็แล้วกัน เพราะพวกบอร์ดคงไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆหรอก ต่อให้ผมจะพยามช่วยพี่สักแค่ไหนก็ตาม..เตรียมใจไว้เถอะ”

ชนาธิปพูดทิ้งท้ายก่อนหันเดินนำลูกชายเปิดประตูออกจากห้อง จนก้องภพที่ยืนแอบฟังอยู่หลังบานประตูกระโดดกลับมาประจำที่โต๊ะทำงานแทบไม่ทัน และแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ จนกระทั่ง..คล้อยหลังสองพ่อลูกไปแล้ว เขาจึงค่อยแง้มบานประตูเยี่ยมหน้าเข้าไปดูสถานการณ์ภายใน ซึ่งคณินกำลังฟาดฟันอารมณ์ใส่แฟ้มเอกสารที่วางบนโต๊ะจนปลิวกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นพรมด้วยความคับแค้นใจ

ก้องภพรอจนอารมณ์ของเจ้านายค่อยซาลง จึงก้าวเข้าไปพร้อมปิดประตูตามหลังแผ่วเบา
“ใจเย็นๆก่อนครับ คุณคณิน” และเดินก้มเก็บแฟ้มเอกสารเหล่านั้นขึ้นมาวางเรียงบนโต๊ะเช่นเดิม ในขณะผู้เป็นเจ้าของห้องยังหายใจฟืดฟาดต่อไปอีกหลายอึดใจ ก่อนจะยอมเอ่ยกับลูกน้องคนสนิท

“แค่ไอ้เรื่องคลิประยำนั่นก็ทำให้เจ็บใจมากพอแล้ว ยังถูกไอ้สองพ่อลูกนี่ซ้ำเติมอีก แล้วแบบนี้ใครมันจะยังใจเย็นกันได้อีก”

ก้องภพซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ และหันมาตีสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
“ในเมื่อคุณก็ทำดีที่สุดแล้ว แต่เผอิญโชคมันไม่เข้าข้าง ทำให้เราพลาดท่าพวกไพศาลกรุ๊ป จนมันถ่ายคลิปมาเล่นงานเราได้..มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย”

“นายก็คิดว่าเรื่องคลิปนั่นเป็นฝีมือของพวกไพศาลเรอะ”

“แน่นอนครับ ก็ในเมื่อมีแต่พวกนั้นนั่นล่ะที่จ้องจะเล่นงานเรามาตั้งแต่ต้น และคราวนี้ นอกจากมันจะดิสเครดิตเราได้สำเร็จแล้ว มันยังเอางานของเราไปกินอีก หึ! มันน่าเจ็บใจนะครับ”

“ใช่ และข้าก็เสียเงินไปกับงานนี้เยอะทีเดียว” คณินแค่นเสียงคำราม “ แต่ที่เจ็บใจมากที่สุดก็คือ ขนาดนายเป็นคนอื่นยังเข้าใจข้ามากกว่าน้องแท้ๆเสียอีก หึ! ไอ้ชัชมันไม่น่าเกิดมาเป็นพี่น้องกับข้าเลย”

“นั่นก็เป็นเพราะคุณชนาธิปเห็นคุณเป็นเพียงลูกจ้าง มากกว่าที่จะเป็นพี่ชายไงล่ะครับ เขาถึงไม่เคยเชื่อมั่นอะไรในตัวของคุณเลย”

คณินนิ่งอึ้ง จ้องผู้พูดเขม็ง
“ทำไมนายถึงคิดอย่างนั้น”

“ผมคาดเดาจากพฤติกรรมที่เขาปฏิบัติต่อคุณครับ และโดยเฉพาะคุณฉันทัชที่ไม่เคยให้ความเคารพคุณเลย นั่นก็เป็นเพราะคุณชนาธิปให้ท้ายส่งเสริม เขาถึงได้กล้าพูด หรือทำอะไรที่เป็นการเหยียบย่ำคุณได้ตามใจอย่างทุกวันนี้”

ก้องภพนำความขัดแย้งระหว่างลุง-หลานมาเป็นเชื้อเพลิงสุมเข้าไปให้ความขุ่นมัวของคณินลุกลามใหญ่โต
“ใช่ ไอ้หลานเวรนั่นมันไม่เคยเห็นหัวข้าเลย นับวัน มันยิ่งทำให้ข้าเกลียดมันเข้ากระดูกดำ”

ก้องภพยิ่งยิ้มเย็น
“เรื่องคุณฉันทัชจะไม่เป็นปัญหากวนใจคุณเลย..ถ้าบริษัทนี้เป็นของคุณ”

และเป็นอีกครั้งที่คณินนิ่งงัน พลางกลืนน้ำลายลงคอ เพราะตลอดมาภายในจิตสำนึก เขาก็อยากยึดบริษัทนี้คืนเช่นกัน เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นทำอย่างไร และที่สำคัญ ตัวเขาเองก็อ่อนแอเกินกว่าจะต่อกรกับอำนาจของน้องชาย เขาจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทนอยู่ใต้อำนาจของน้องชายมาจนถึงทุกวันนี้

“..มันคงเป็นไปไม่ได้..” คณินเปรยออกมาอย่างสิ้นหวัง

“ได้สิครับ และถ้าหากคุณคิดจะทำจริงๆแล้วล่ะก็ ผมมีคนสนับสนุนคุณอีกคนครับ”

“ใคร!?”

ก้องภพสบประกายตาเจิดจ้าของคณินที่สว่างวาบกับความหวังที่ถูกเสนอให้ และเขาสำทับด้วยความมุ่งมั่น
“แล้วผมจะแนะนำให้คุณได้รู้จักเร็วๆนี้..รับรอง คุณจะไม่ผิดหวังแน่นอนครับ คุณคณิน”

..........

และเรื่องของโครงการที่กลุ่มรัตนากรถูกตัดสิทธิ์นั้น อนาวินได้รับรายงานจากเลขาเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา ทว่าความยินดีปรีดานั้นอยู่ภายในใจเขาได้ไม่นาน เมื่อยามที่เผลอไผลปล่อยใจให้ว่าง จิตใจเขาก็หวนคิดถึงราโมน่าขึ้นมาทันที หลายครั้งที่นึกอยากจะโทรศัพท์หา แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความคิดเท่านั้น เพราะการกระทำของเขาที่เมินเฉยเย็นชาใส่เธอเมื่อเช้า มันเป็นการแสดงถึงเจตนารมณ์ตัดขาดจากเธอโดยสิ้นเชิง..ความเสียใจและตัดพ้อที่แสดงออกมาจากดวงตาพร้อมหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอของเธอยังเป็นภาพติดตาให้เขาร้อนรน ทุรนทุราย และนึกหงุดหงิดในโชคชะตา ที่กำหนดให้เขากับเธอต้องมาเป็นศัตรู โดยไร้หนทางแก้ไข

ชายหนุ่มทอดถอนใจยาวปิดแฟ้มเอกสารตรงหน้าและลุกขึ้นหยิบสูทตัวนอกที่ถอดแขวนบนพนักพิงมาสวม ติดกระดุมให้เรียบร้อย หยิบแฟ้มที่ปิดเมื่อครู่ถือติดมือก่อนเปิดประตูเดินออกจากห้องทำงานผ่านไปยังโต๊ะของเลขาหนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการพูดคุยโทรศัพท์กับผู้ที่กำลังติดต่อ อนาวินวางแฟ้มนั้นลงบนโต๊ะและพูดเพียงสั้นๆเพื่อไม่ให้คนฟังเสียสมาธิกับสายที่กำลังพูดอยู่

“ผมไม่เข้ามาแล้วนะ”

และผละเดินไปที่ลิฟต์ ซึ่งพิมพ์ศิริกำลังยืนรอลิฟต์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จึงเอ่ยถามขณะเดินเข้าไปยืนเคียงข้าง
“เครียดเรื่องอะไรเหรอ ขวัญ”

หญิงสาวหันมายิ้มให้แกนๆ ก่อนบอกออกไปตามตรง
“ขวัญกำลังคิดหาวิธียึดอำนาจของป๊าคืนมาจากคุณดนุพงษ์ค่ะ”

แม้ว่าเธอจะขึ้นนั่งแทนตำแหน่งของบิดาที่คุมการก่อสร้างทั้งภายในประเทศและสาขาที่เซี่ยงไฮ้ แต่ในทางปฏิบัติ แทบทุกเรื่องต้องผ่านความเห็นชอบของดนุพงษ์ก่อน เธอถึงจะมีอำนาจเซ็นคำสั่งลงในเอกสารได้

“คุณดนุพงษ์เหรอ..”

อนาวินพึมพำอย่างหนักใจกับหุ้นส่วนและผู้บริหารระดับสูงคนนี้ที่มักคอยต่อต้านอำนาจบริหารของเขาตั้งแต่ต้น และเมื่อไม่สามารถทำอะไรเขาได้ จึงหันไปกดดันญาติผู้น้องของเขาแทน

“ขวัญรู้ว่าเขามีอคติที่ขวัญเป็นผู้หญิง เขาก็เลยดูถูกคิดว่าขวัญทำงานแทนป๊าไม่ได้..พวกคนอื่นๆก็เหมือนกัน เวลาขวัญสั่งอะไรไม่มีใครยอมทำสักคน ต้องรอให้คุณดนุพงษ์มาสั่งอีกที พวกมันถึงจะกระดิกตัวกัน” หญิงสาวแค่นเสียงพูดดั่งระบายความอึดอัดคับใจ“ ขวัญก็เลยคิดว่า ต่อไปนี้คงต้องเล่นไม้แข็งกันบ้างล่ะ พวกมันจะได้สำนึก ว่าใครกันแน่ที่เป็นเจ้านาย”

อนาวินมองสีหน้ากระด้างและแววตาที่ฉายฉานถึงความดุดัน เด็ดเดี่ยวของหญิงสาว ก่อนประตูลิฟต์จะเลื่อนเปิดให้สองหนุ่มสาวก้าวเข้าไป
“อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามนะขวัญ มีอะไรก็เรียกมาคุยด้วยเหตุผลกันก่อน”

“ขวัญทำแล้วเฮียแต่ดีอยู่แค่วันสองวัน ก็เข้าอีหรอบเดิม พวกนั้นคงคิดว่าขวัญไม่กล้าทำอะไรเพราะมีคุณดนุพงษ์คอยคุ้มกะลาหัวอยู่มั้ง”

อนาวินมองเธออย่างเห็นใจ พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะกลมที่เกล้ามวยยึดแน่นด้วยปิ่นเงินสองอัน ปอยผมหยักศกรุ่ยลงเคลียลำคอระหงที่แม้เจ้าตัวจะทำหน้าบึ้งตึง แต่ความสวยงามบนใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้นก็ยังคงเด่นชัดต่อทุกสายตา

“แล้วก็..ระวังตัวด้วยนะ”

ชายหนุ่มบอกด้วยความอาทร เพราะแม้จะเห็นใจในภาระที่หนักอึ้งของญาติสาว แต่เขาก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้ เพราะเรื่องนี้พิมพ์ศิริจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้ลูกน้องได้เห็นถึงอำนาจที่เธอมี หากเขาเข้าไปช่วยเหลือ ทุกคนจะมองเธอเป็นคนอ่อนแอ ด้อยประสิทธิภาพ และจะไม่มีใครเปิดใจยอมรับในความสามารถของเธออีกเลย

หญิงสาวมองสบเขา ยิ้มรับกับกำลังใจที่ได้รับ
“ไม่ต้องห่วงหรอกเฮีย พี่เสือเกาะติดขวัญแจเสียขนาดนี้ ไม่มีใครทำอะไรขวัญได้หรอก” เธอเอ่ยถึงบอดี้การ์ดหนุ่มใหญ่ที่ได้รับมอบหมายจากบิดาให้ดูแลเธอตั้งแต่เล็ก และจนกระทั่งป่านนี้..ในสายตาของเสือ เธอก็ยังคงเป็นเด็กเล็กที่ต้องได้รับการปกป้อง ดูแลจากเขาไม่เคยเปลี่ยน

อนาวินอมยิ้ม และประตูลิฟต์เปิดกว้างอีกครั้งเมื่อถึงชั้นล่าง
“เฮียจะไปโรงพยาบาล ขวัญจะไปด้วยกันไหม”

“วันนี้คงไม่ล่ะ ขวัญมีนัดกับลูกค้าน่ะ..ฝากบอกแม่ด้วยนะว่าไม่ต้องรอกินข้าว”

“โอเค”
อนาวินส่งญาติสาวขึ้นรถยนต์ที่บอดี้การ์ดหนุ่มคนสนิทขับให้ ตามด้วยรถของผู้ติดตามแล่นออกจากพื้นที่ของอาคาร เขาจึงหันเดินขึ้นรถยนต์ของตนเพื่อไปยังจุดหมายบ้าง



อนาวินนิ่วหน้า เมื่อเห็นผู้ติดตามคนสนิทของดนุพงษ์สองคนยืนใกล้กับคนของเขาที่เฝ้าอยู่หน้าห้องพักฟื้นของบิดา เขาจึงเอ่ยถามกับทั้งสองพอเป็นพิธี
“คุณดนุพงษ์มาเยี่ยมท่านประธานตั้งแต่เมื่อไหร่”

“สักครู่นี้เองครับ แต่เดี๋ยวก็คงกลับแล้ว เพราะคุณดนุพงษ์มีนัดทานข้าวกับท่านรัฐมนตรี” หนึ่งในสองผู้ติดตามตอบคำถามโดยละเอียด

อนาวินเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ ก่อนก้าวผ่านเข้าไปในห้องตามการเปิดประตูให้ของโจ้ และเดินผ่านกลุ่มบอดี้การ์ดของบาสที่เฝ้าอยู่ภายในห้องรับรอง ทั้งหมดเพียงแค่หันมองเขาที่เลื่อนเปิดประตูก้าวเข้าไปด้านใน โดยโจ้ยืนพูดคุยกับบอดี้การ์ดรุ่นพี่อยู่ด้านนอก

ภายในห้องพักฟื้น ร่างของหนุ่มใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงพูดคุยด้วยท่าทางสนิทสนมเป็นกันเองกับคนไข้ที่ยังคงใส่สายออกซิเจน และพยักหน้าช้าๆตอบรับเป็นครั้งคราวเท่านั้น และอีกฝั่งเตียงร่างของเมธิกานั่งอยู่ไม่ห่างสามีและร่วมพูดคุยกับดนุพงษ์ด้วยเช่นกัน

และบทสนทนาเป็นอันชะงัก เมื่อร่างของอนาวินก้าวเข้าไป และเอ่ยทักผู้สูงวัยกว่า
“ไม่นึกว่าวันนี้คุณจะมาเยี่ยมพ่อของผมนะ”

“ผมแค่อยากมาถามไถ่อาการกันตามปกติเท่านั้นเอง”

“แปลกจัง ตอนที่พ่อผมยังไม่ฟื้น ไม่ยักจะเห็นคุณมาเยี่ยมเลยนะ”

ดนุพงษ์แค่นยิ้มต่อคำพูดกระทบกระเทียบของชายหนุ่ม
“ที่ไม่มา เพราะว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาดูคุณอชิรนอนไม่ได้สติ พูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอะไรก็ไม่ได้..แต่ถึงผมไม่มา กระเช้าดอกไม้แสดงความห่วงใยของผมก็ส่งมาไม่เคยขาด” แล้วก็หันไปยิ้มให้กับเมธิการาวกับจะหาผู้ร่วมสนับสนุน

“ผมเองก็ไม่ค่อยมีเวลา หวังว่าคุณคงเข้าใจในการกระทำของผมนะครับ”

“ฉันกับคุณอชิรเข้าใจค่ะ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอกนะคะ”

“ผมดีใจที่คุณคิดอย่างนั้น เอาล่ะ..” เขาลุกขึ้นยืนพลางลูบเน็กไทและขยับสูททำงานตัวหรูให้เรียบร้อย “เห็นทีผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ” และหันไปทางอชิรอีกครั้ง

“ผมกลับก่อนนะครับ แล้วผมจะมาเยี่ยมคุณอีก..ขอให้แข็งแรงเร็วๆนะครับ”

อชิรพยักหน้าน้อยๆ ริมฝีปากแห้งผากขยับพูด “ขอบคุณ” แผ่วเบา

ดนุพงษ์หันไปยิ้มให้ภรรยาสาวของผู้เป็นนายอีกครั้งก่อนก้าวเดินมาที่ประตูซึ่งอนาวินยังคงยืนอยู่ และก่อนที่จะเดินสวนออกไปเขาก็พูดเสียงกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน

“ขอแสดงความยินดีกับโครงการที่ได้มาแบบฟลุ๊คๆนะ คุณอนาวิน”

อนาวินหน้าตึงกับรอยยิ้มเย้ยหยัน ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวผ่านออกจากห้องไป

เมธิกามองลูกก่อนจะเอ่ยติง
“จิลไม่ควรทำกิริยาแบบนั้นใส่คุณดนุพงษ์เลยนะ”

“ขอโทษครับ..ผมคงเหนื่อยมากไปหน่อย” ชายหนุ่มเดินเข้ามายืนข้างเตียงของบิดา โดยไม่คิดจะอธิบายถึงความบาดหมางอะไรให้มารดารับฟัง เพราะมันไม่มีประโยชน์ รังแต่จะสร้างความยุ่งยากให้โดยไม่จำเป็น ในเมื่อตลอดมามารดาไม่เคยรู้เรื่องราวภายในบริษัท จะรู้จักบรรดาผู้บริหารก็เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น

อชิรมองสีหน้ายุ่งเหยิงของลูก ก็เอ่ยถาม
“มีอะไรรึเปล่า จิล”

ชายหนุ่มยิ้มให้
“นิดหน่อยครับ แต่ไม่ต้องห่วง..ผมเคลียร์ได้”

อชิรพยักหน้าเนือยๆอย่างอ่อนล้า ก่อนตาทั้งคู่จะปิดปรืออย่างไม่อาจฝืน แม้ใจอยากจะพูดคุยกับลูกชายก็ตามที..อนาวินดึงผ้าห่มขึ้นคลุมอกให้บิดา ก่อนเดินเข้าหามารดา
“หิวจัง แม่มีอะไรให้ผมกินบ้างมั้ยครับ” พลางโอบไหล่บอบบางอย่างออดอ้อนให้คนถูกกอดอมยิ้ม

“ต้องรอหนูเล็กก่อนจ้ะ”

“โอย..อีกนานล่ะสิเนี่ย”

“เดี๋ยวน้องก็มาแล้ว งั้นมากินผลไม้รองท้องก่อนก็แล้วกัน..มา แม่จะปอกให้”

เมธิกาจับจูงลูกชายไปนั่งเก้าอี้ริมหน้าต่างและหยิบแอบเปิ้ลมาปอกเปลือกให้ลูกชาย ในขณะที่อนาวินลอบชำเลืองมองบิดาอย่างครุ่นคิดในปัญหาสารพันที่เขาไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใคร

..ทุกสิ่งทุกอย่าง คงแล้วแต่การตัดสินใจของเขาแต่เพียงผู้เดียวแล้วสินะ..

.....................................................................................

จบตอนค่า
โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ ^^



ระรินใจ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2555, 11:11:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มิ.ย. 2555, 11:11:07 น.

จำนวนการเข้าชม : 2189





<< บทที่ ๑๐   บทที่ ๑๒ >>
sai 5 มิ.ย. 2555, 11:38:56 น.
นายดนุพงษ์ เป็น มือที่ 3 แน่ๆเลย


nunoi 5 มิ.ย. 2555, 11:45:25 น.
คิดเหมือนคุณ sai เลยค่ะ นายดนุพงษ์ ต้องร่วมมือ กับ นายก้องภพ เล่นงานสองตระกูลนี้แน่ๆ


หมูอ้วน 5 มิ.ย. 2555, 12:50:04 น.
คุณจิล สู้ ๆ


bloomberg 5 มิ.ย. 2555, 13:37:20 น.
เข้าตำรา เสี้ยมเขาควายให้ชนกัน
คนมันไม่ซื่อ ต่อให้สองตระกูลนี้ล้ม สุดท้ายนายดนุพงษ์กับก้องภพก็ต้องมาฟาดฟันกันเองอยู่ดี

ฉลาดน้อยที่สุดก็คงไม่มีใครเกินคณิน .....ต้นเหตุของความเสียใจ


Zephyr 5 มิ.ย. 2555, 17:48:52 น.
อืม คนเสี้ยมเริ่มแย้มพรายออกมาแล้วนะ แต่เอ ชนวนเหตุคืออะไรนี่สิ หรือโดนแย่งแฟน ฮ่าๆๆๆ แค้นข้ามรุ่นกันเลย
พี่จิล ก็ วันแมนโชว์ไปเล้ยยยยยย โชว์พาวได้เต้มที่ ก็จัดเต็มเลยสิ


ระรินใจ 6 มิ.ย. 2555, 12:25:22 น.
คุณ sai === เรื่องนี้ตัวร้ายเยอะ ต้องรอดูกันต่อไปค่า



คุณnunoi === ตอนหน้าก็รู้อีกหน่อยแล้วค่า ว่าก้องภพร่วมมือกับใคร



คุณหมูอ้วน === คุณจิลสู้ตายจ้าาา...



คุณbloomberg === คณินนี่ กว่าจะสำนึกก็สายแล้วล่ะค่า




คุณ Zephyr === โดนแย่งแฟนนี่เด็กๆเลยค่ะสำหรับชนวนเหตุของเรื่องนี้ แหะๆ แต่ยังบอกอะไรมากไม่ได้ เพราะเรื่องนี้ยังอีก..ยาวววว..ไกลค่ะ
ส่วนพี่จิลยังอยู่ในช่วงปรับตัว รอให้ตั้งตัวได้ก่อนแล้วได้เห็นพาวของเฮียแน่ๆค่ะ ^^





anOO 6 มิ.ย. 2555, 16:32:01 น.
ท่าทางมือที่สาม สี่ ห้า ของเรื่องระหว่างสองบ้านจะเยอะแยะน่าดู


ระรินใจ 6 มิ.ย. 2555, 17:37:00 น.
จะล้มบิ๊กต้องให้คนเยอะหน่อยค่ะคุณ an00 ^^"


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account