ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว

Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ

ตอน: ไคโร (๓)

นวนิยายเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์แล้ว

+++++++++++++

อารีสเลือกโต๊ะอาหารติดระเบียงโรงแรมซึ่งกรุกระจกใสมองเห็นทิวทัศน์ภายนอก หล่อนไขว่ห้าง เอนหลังลงพนักเก้าอี้บุนวมลวดลายยึกยือ ทอดสายตามองอียิปต์ยามเย็นจวนค่ำ ท้องฟ้าและทิวทัศน์เริ่มกลายเป็นสีฟ้าแกมน้ำเงิน

จากเคมพินสกี ไนล์ โฮเตล ริมระเบียงภัตตาคาร บ้านเรือนผู้คนรวมทั้งอาคารใหญ่หลายแห่งเริ่มเปิดไฟสว่าง ผิวแม่น้ำไนล์สะท้อนไสว ราวผ้าทอหลากสีผืนยาว ถนนสายใหญ่รถราแล่นไปมามากมาย ไฟริมถนนส่องแสง อำนวยความสะดวกในการคมนาคม

ค่ำนี้อารีสสวมเสื้อลินินย้อมสีชมพูกลีบกุหลาบ จีบระบายรอบคอทิ้งชายคลุมไหล่ทั้งสอง กระโปรงยาวกรอมเท้าทำจากผ้าลินินฉีกเป็นริ้ว ซ้อนทับกระโปรงผ้าซับตัวในสีเดียวกับเสื้อ คาดเอวไว้ด้วยสายลูกปัดสีทองยาว ดึงจนกระชับแล้วทิ้งชายที่เหลือลงแนบตัวกระโปรง รอบคอระหงมีรวงสร้อยทองคำประดับหินโรสควอตซ์สีชมพูหวานเข้ากับตัวชุด เส้นผมดกดำหยักศกสยายยาว ชูเครื่องหน้าซึ่งถูกแต้มแต่งเครื่องสำอางบางๆ

หญิงสาวหลับตา เอนศีรษะลงบนเก้าอี้นุ่ม สูดหายใจลึก ซึมซับบรรยากาศความงดงามแห่งแดนไอยคุปต์ ในอกรู้สึกเบาโหวง ทุกครั้งที่หายใจเข้าหล่อนได้กลิ่นหอมจากอาหารโต๊ะข้างเคียงชวนให้น้ำลายสอ แต่อึดใจเดียวเท่านั้นที่กลิ่นของเครื่องเทศ ผักและเนื้อสัตว์ปรุงสุกแปรเปลี่ยนเป็นกลิ่นของเครื่องหอม

เหมือนดอกไม้...ไม้หอม...หรือน้ำหอม

หล่อนคิดว่าหล่อนเคยได้กลิ่น ลองสูดลึกอีกทีกลิ่นก็ยิ่งชำแรกลึกจนผ่อนคลาย ใช่แล้ว...เครื่องหอม ผสมกันหลากหลาย เจอเรเนียมหรือ...ไม่สิ มะลิด้วย กลิ่นสดชื่นของส้มก็ปนอยู่ ไม้หอมนั่นอีก

นี่หล่อนอยู่ในสปาหรือ...ไม่ใช่...หญิงสาวจำได้ว่าหล่อนอยู่ในภัตตาคารของโรงแรมริมแม่น้ำไนล์ กำลังรออาหารมื้อเย็นหลังการเดินทางไกลแสนไกลจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สู่ไคโร แต่ให้ตายเถอะ กลิ่นหอมเหล่านี้ไม่ควรที่หล่อนจะรับรู้ได้ในภัตตาคาร แล้วเสียงดนตรีคลอเบาๆ นั่นอีก

อารีสเงี่ยหู เปลือกตายังคงปิดสนิท หล่อนได้ยินเพลงบรรเลงจากเครื่องสายและเครื่องตีจำพวกกลอง เป็นจังหวะแปลกหู เสียงแมวร้องด้วย คล้ายอยู่ใกล้หล่อนเพียงเอื้อมถึง มีการพูดคุยกันระหว่างผู้หญิงหลายคน บางครั้งดัง บางครั้งคล้ายกระซิบแผ่ว หากเป็นภาษาที่อารีสคิดว่า...หล่อนเคยได้ยินเมื่อครั้งเรียนเรื่องภาษาอียิปต์โบราณ

“อาหารมาแล้วครับ...คุณผู้หญิง” ภาษาอังกฤษติดสำเนียงอาหรับเรียกหญิงสาว

อารีสลืมตา หันมองข้างๆ เห็นพนักงานเสิร์ฟชายสวมเครื่องแบบถือถาดอาหารยืนอยู่ หน้าตาของเขายังคงเป็นวัยรุ่น ผิวสีแทน ตาโตคมเข้ม คงเป็นเด็กหนุ่มที่มาหารายได้เสริมระหว่างเรียนหรือไม่ก็มาฝึกงาน

พนักงานเสิร์ฟยิ้มให้หล่อนอย่างเป็นมิตร แต่นั่นล่ะ...ทำไมถึงเป็นเขา ไม่มีแมว ไม่มีเสียงผู้หญิงพูดคุยกันด้วยภาษาอียิปต์โบราณ หรือแม้แต่กลิ่นเครื่องหอมก็กลายเป็นกลิ่นเครื่องเทศ และอาหารในถาดของพนักงานเสิร์ฟ

“ขอบคุณค่ะ” อารีสยิ้มเล็กน้อย โคลงศีรษะไปมาเพื่อไล่ความมึนงงเมื่อครู่ หล่อนอาจคิดเอาเอง ครั้นถอนหายใจสักพัก จึงชวนอีกฝ่ายคุยขณะที่เขาวางซุปทะเลลงบนโต๊ะ “ขอโทษนะคะ เป็นนักศึกษาฝึกงานเหรอคะ”

ชามกระเบื้องใบใหญ่ถูกวางลง ภายในชามเป็นซุปเนื้อสัตว์ทะเลใส่เครื่องเทศและเครื่องปรุงตามแบบอาหารโบราณ ซึ่งอารีสเคยได้ลองลิ้มชิมรสบ่อยๆ หากก็ไม่เคยได้รับคำตอบเลยว่าคนโบราณเขากินของอย่างนี้กันจริงหรือ

“เปล่าครับ” พนักงานเสิร์ฟว่าพลางวางคาร์คาเด เครื่องดื่มสีแดงก่ำทำจากดอกชบา มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์น้อยๆ “ผมเป็นนักศึกษา มาทำงานพิเศษทำเพิ่มรายได้ครับ”

หญิงสาวพยักพเยิด ครั้นพนักงานหนุ่มแจ้งว่าอาหารเมนูหลักจะตามมาอีกในไม่ช้า หล่อนจึงกล่าวขอบคุณ แล้วหันมาจัดการลองลิ้มชิมซุปทะเลโบราณของอียิปต์ ไม่ได้สนใจพนักงานเสิร์ฟซึ่งแยกตัวจากไป สวนทางกับใครอีกคน

“ก็พอใช้นะ” หญิงสาวหลับตา ดื่มด่ำรสชาติของซุปทะเลคำแล้วคำเล่า ก่อนระบายลมหายใจเบาๆ เมื่อหมดชาม “แต่ยังไม่แซบเท่าที่ควร”

อารีสวางช้อน เคลื่อนชามออกจากตัวก่อนจะหันไปฉวยเครื่องดื่ม ทว่ายังไม่ทันจะเข้าปาก เสียงทุ้มนุ่มก็ชิงดังขึ้นขัดจังหวะ

“ขอโทษนะครับคุณผู้หญิง มาจากประเทศไทยหรือเปล่าครับ” ภาษาอังกฤษสำเนียงคุ้นหูชวนให้หญิงสาววางแก้วแล้วหันไปมอง สิ่งที่ปรากฏให้อารีสเห็นคือชายหนุ่มรูปร่างสันทัดผิวขาวเหลือง สวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวแมลงทับกับกางเกงขากระบอกสีดำ รองเท้าหนังปลายแหลมดูเข้ากับสูทตัวนอก

ใบหน้าเรียวได้รูปมีสันกรามนูนน้อยๆ รับคางแหลม ผมดกดำตัดสั้นรองทรง นัยน์ตารียาวภายใต้โค้งคิ้วหนาเข้มพาดเฉียงมีประกายรอยยิ้ม จมูกโด่งรั้นเหมาะเจาะกับริมฝีปากอิ่มสีนู้ดรูปหัวใจ

ถ้าให้เดา...ก็คงเป็น 'คนไทย'

“ทำไมถึงคิดว่าฉันเป็นคนไทยล่ะคะ” หล่อนย้อนถามด้วยภาษาอังกฤษดัดสำเนียงให้เพี้ยน

ไม่ผิดหรอกถ้าจะป้องกันตัวเองเอาไว้ก่อน เพราะหญิงสาวไม่ทราบแน่ชัดถึงจุดประสงค์ของชายผู้นี้ อยู่ๆ ก็มาถามถึงที่มาที่ไป ปะเหมาะเคราะห์ร้ายเกิดเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ตามสังหารคนไทย หล่อนไม่แย่หรอกหรือ ดังนั้นกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะอย่างไรก็ตามแต่ ด้วยรูปลักษณ์ผมยาวดำหยักศกสยาย จมูกโด่งเชิด นัยน์ตาโตคมสีน้ำตาลเข้มขับกับผิวขาวอมชมพู มันทำให้หลายๆ คนเข้าใจผิดคิดว่าหล่อนเป็นพวกแขกขาว ไม่อินเดีย ก็มาเลเซีย หรือฟิลิปปินส์

“สำเนียงยังไงครับ”

เป็นคำตอบที่ทำให้อารีสได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองอีกฝ่ายยิ้มให้ จากนั้นชายหนุ่มจึงอธิบายต่อถึงความเข้าใจของเขาซึ่งไม่ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง มิหนำซ้ำยังใช้ภาษาไทยอีกด้วย

“ตอนเห็นคุณครั้งแรกผมก็เข้าใจว่าคุณคงเป็นคนอินเดีย หรือไม่ก็มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ทำนองนั้น แต่พอได้ยินคุณคุยกับพนักงานเสิร์ฟเลยสงสัย ยิ่งได้ยินคุณพึมพำว่าอาหารอียิปต์รสไม่แซบ...ผมเลยแน่ใจ”

อารีสหน้าเจื่อนโดยปริยาย หันหน้าออกไปค้อนลมค้อนแล้ง รู้สึกเสียเชิง ครั้นหันกลับมาตั้งใจจะสวนความ กลับพบว่าอีกฝ่ายนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเสียแล้ว

“ผมขอนั่งด้วยคนนะ” ชายหนุ่มฉวยแก้วเปล่ายื่นมาชนแก้วเครื่องดื่มของหล่อน โค้งคิ้วดกเข้มยักให้พร้อมนัยน์ตาที่ทอประกายความทะเล้น ทว่าอารีสไม่ได้รู้สึกขบขันหรือสนุกไปด้วย

ใครก็ไม่รู้ อยู่ๆ ก็มานั่ง ชวนหรือ...ก็ยังไม่เคย ไว้ใจได้หรือเปล่าเนี่ย

หญิงสาวคิดในใจพลางจิบคาร์คาดา สายตาคมจดจ้องอีกฝ่ายราวพยายามค้นหาความจริง ทว่าชายหนุ่มกลับตอบทันควัน ราวกับอ่านใจหล่อนออก

“ผมเป็นคนไว้ใจได้ครับ รับรองร้อยเปอร์เซ็นต์”

อารีสสำลักเดี๋ยวนั้น คาร์คาเดถูกพ่นใส่หน้าอีกฝ่าย ตามมาด้วยอาการไอหนักหน่วงของหญิงสาวจนหน้าที่เคยขาวแดงจัด กลิ่นพันซ์ดอกชบาคละคลุ้งในจมูก

“คุณเป็นยังไงบ้าง” เขาวิ่งมาดูหลังจากจัดการเช็ดหน้าตัวเองเป็นที่เรียบร้อย หากอารีสยกมือห้าม พยายามหันกลับสูดหายใจลึกๆ ห่อปากเป็นวงกลมแล้วผ่อนออกยาวๆ กระทั่งใบหน้าที่แดงจัดบรรเทาลง ระหว่างนั้นยังมีเสียงไอระคนอยู่บ้าง

“เป็นยังไงบ้าง” เขาถามซ้ำ ส่วนหล่อนได้แต่พยักหน้า ยกมือทำเครื่องหมาย 'โอเค' เป็นคำตอบ

ชายหนุ่มแปลกหน้าทว่ามาจากประเทศเดียวกันเดินกลับไปนั่งที่เดิม หยิบผ้าซึ่งถูกพับประดิษฐ์ไว้บนโต๊ะอาหารมาซับใบหน้าและเนื้อตัวที่เพิ่งถูกซัดด้วยเครื่องดื่มของหล่อนอีกรอบ

“ขอโทษทีนะคะ” อารีสหยิบผ้าซึ่งวางบนตักตัวเองมาซับเครื่องดื่มบริเวณโต๊ะด้านหน้าบ้าง สายตาที่ส่งให้ฝ่ายตรงข้ามเต็มไปด้วยคำขอโทษและความรู้สึกผิด ระหว่างนั้นพนักงานเสิร์ฟเดินเข้ามาพร้อมอาหารเมนูหลักที่หล่อนสั่งเอาไว้

“ได้แล้วครับคุณผู้หญิง” เด็กหนุ่มวางเกรวี่สมุนไพร หรือจะเรียกอีกอย่างว่าสารพัดผักราดหน้าด้วยน้ำจากเนื้อย่าง จึงได้จังหวะพอดีที่หล่อนจะขอรายการอาหาร พร้อมเพิ่มชุดจานชามช้อนให้ชายหนุ่มอีกที่เพื่อเป็นการไถ่โทษ

“คุณจะสั่งอะไรไหมคะ ฉันให้เขาเอาเมนูมาให้แล้ว”

ดูเขาสะดุ้งน้อยๆ เหมือนเพิ่งรู้ตัว แต่สักพักก็ฉวยรายการอาหารจากพนักงานเสิร์ฟมาดู จากนั้นจึงหันไปสั่งเครื่องดื่ม ซุป ตามด้วยอาหารหลักจำพวกเมนูเนื้อ เรียบร้อยก็ขอตัวเข้าห้องน้ำไปล้างเนื้อล้างตัวให้หายเหนอะหนะ

อารีสมองตามหลังขณะอีกฝ่ายเดินจากไป ยอมรับว่าแรกๆ รู้สึกไม่วางใจเขาเท่าไรนัก แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นคนไทยด้วยกัน แต่การพบกันอย่างกะทันหัน ไม่รู้จักกระทั่งชื่อ ร้ายยิ่งกว่า...เขาทำราวกับว่าอ่านใจหล่อนออก ข้อนั้นล่ะที่อารีสไม่พอใจ

หากเขาก็ได้รับผลกรรมไปตามสมควร ซึ่งหล่อนเองก็พลอยรู้สึกผิดไปด้วย การเพิ่มชุดจานช้อน เรียกเมนูให้สั่งอาหาร ก็ถือว่าเป็นการไถ่โทษซึ่งกันและกัน แต่นั่นไม่นับรวมเรื่องค่าอาหาร ใครสั่งอะไรมาก็เชิญจ่ายเอง อาหารแต่ละอย่างไม่ใช่ถูกๆ อารีสมีปัญญาเลี้ยงแค่ตัวหล่อนคนเดียว

ชายหนุ่มกลับมาแล้ว เขานั่งลงที่เดิมที่เคยนั่ง หญิงสาวหันมองแล้วคลี่ยิ้มน้อยๆ จากนั้นจึงก้มลงจัดการละเลียดเกรวี่สมุนไพรที่สั่งมา ระหว่างนั้นแอบชำเลืองมองอีกฝ่ายเป็นระยะ เห็นเขานั่งจ้องพลางยิ้มเวลาหล่อนกินอาหาร นานๆ เข้าหญิงสาวก็เริ่มฝืดคอจนกินอะไรไม่ลง

“อิ่มแล้วเหรอครับ” ชายหนุ่มถาม สีหน้าบ่งบอกความสงสัยเมื่อเห็นอารีสรวบช้อนส้อม ทั้งที่เกรวี่สมุนไพรยังเหลือมากกว่าครึ่ง “คุณเพิ่งกินไปไม่เท่าไรเลย”

“ฉันอิ่มแล้วล่ะค่ะ” หล่อนจีบปากจีบคอพูด เช็ดปากแล้วแสร้งหันหน้าออกไปมองทิวทัศน์ริมแม่น้ำไนล์ รับรู้ด้วยตนเองว่าหัวใจเวลานี้ช่างเต้นแรงเหลือเกิน

‘ให้ตายเถอะอารีส เป็นอะไรของเธอเนี่ย’

หญิงสาวต่อว่าตนเองในใจ ปกติหล่อนจะเป็นคนพูดมากปากจัด มองโลกในแง่ร้าย เชื่อมั่นในตนเองสูง ไม่เคยอ่อนข้อหรือแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น แต่สำหรับค่ำคืนนี้ในภัตตาคารหรู โอบล้อมด้วยภาพบรรยากาศยามค่ำของอียิปต์ มีแม่น้ำไนล์สายยาวสะท้อนแสงสีบนฝั่งจนมลังเมลือง ใกล้ๆ กันคือชายหนุ่มแปลกหน้าที่หล่อนควรจะระแวงระวัง แต่ทำไมอยู่ๆหัวใจของหล่อนก็วูบไหวผิดเพี้ยนไปจากเดิม

หล่อนไม่ใช่ผู้หญิงใจง่ายที่จะหลงใหลได้ปลื้มเพียงลักยิ้มที่มุมปากรูปหัวใจสีนู้ดนั่น ไม่มีทางใจอ่อนเพียงเพราะนัยน์ตาที่ส่งประกายความร่าเริงตลอดเวลาคู่นั้น ต้องไม่ลืมว่าเขาเป็นคนที่หล่อนไม่ควรวางใจ ถึงจะมาจากประเทศไทยเหมือนกันก็ตามที

“เฮ้! อารีส” อารีสสะดุ้งโหยง หน้าตาตื่นราวกับถูกจับได้ว่าทำผิด หล่อนหันรีหันขวางทำอะไรไม่ถูก กระทั่งพบเพื่อนหนุ่มชาวอังกฤษกำลังยืนจับบ่าของชายหนุ่มแปลกหน้าฝั่งตรงข้าม หญิงสาวจึงขมวดคิ้ว เอียงหน้ามองด้วยความสงสัย

หนุ่มชาวไทยหันไปหัวเราะกับวิลเลียม ทำให้อารีสฉงนว่าพวกเขาทั้งสองกำลังหัวเราะเรื่องอะไรกัน แล้วที่สำคัญ วิลเลียมรู้จักผู้ชายคนนี้ด้วยหรือ

“เป็นอะไรของเธอน่ะอารีส” วิลเลียมหันมาพูด พยายามกลั้นหัวเราะ “เห็นนั่งมองแม่น้ำไนล์ ตานี่เยิ้มอย่างกับคนติดกัญชา”

หญิงสาวทำเพียงชักสีหน้าแล้วเสออกไปค้อนลมค้อนแล้ง นึกเจ็บใจตัวเองที่เผลอแสดงกิริยาให้วิลเลียมได้เห็น แต่อึดใจก็หันกลับไปมองหนุ่มไทยกับเพื่อนหนุ่มชาวอังกฤษของหล่อน ถามถึงความเป็นมาเป็นไปของเรื่องราว

“นายรู้จักเขาด้วยเหรอวิล”

“อ้าว! ก็ต้องรู้จักสิ” วิลเลียมทำราวคาดไม่ถึงกับสิ่งที่อารีสถาม “ก็ที่ฉันเคยบอกเธอ เมื่อตอนขอให้เธอมาช่วยงานยังไงล่ะ คนนี้คือ ดอกเตอร์อนัตตา อังกูร”

วิลเลียมออกเสียงภาษาอังกฤษเรียกชื่อของชายหนุ่มได้ค่อนข้างลำบาก โดยเฉพาะตัวสุดท้าย มันทำให้หนุ่มอังกฤษถึงกับส่ายหน้าพลางถอนหายใจยาว

“ชื่อคนไทยนี่อ่านยากเหลือเกิน”

ชายหนุ่มซึ่งอยู่ข้างๆ ให้กำลังใจ ลุกขึ้นตบบ่าวิลเลียม จากนั้นจึงเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงข้างอารีส ส่วนเขาเมื่อนั่งลงแล้วก็เริ่มอธิบายถึงที่มาที่ไปของตนให้หญิงสาวได้ทราบ ทั้งยังเฉลยข้อสงสัยให้กับหล่อนว่า แท้จริงเขารู้จักหล่อนมาก่อนหน้านี้แล้ว เพราะวิลเลียมได้นำภาพและประวัติของอารีสมาให้ทุกคนในที่ประชุมได้ดู ทั้งยังมีการพูดถึงเกียรติประวัติและวีรกรรมในอดีตของนักอียิปต์วิทยาสาว ส่วนการพบกันอย่างกะทันหันในครั้งนี้เป็นแผนสร้างความประหลาดใจที่วิลเลียมคิดใช้แกล้งหล่อนโดยให้เขาร่วมมือ

+++++++++++++

อารีสกลับมากินเกรวี่สมุนไพรได้ต่อ ทั้งยังสั่งผลไม้สดฝานเป็นแผ่นมาล้างปากตบท้ายตามประสาชาววัง อย่างที่หล่อนมักพูดยกยอตัวเองบ่อยๆ

จะว่าไปหล่อนก็เสียดายอยู่หรอกถ้าเกิดต้องทิ้งอาหารไปทั้งที่ยังกินไม่อิ่ม แต่ตอนนี้เมื่ออะไรหลายอย่างกระจ่างชัด หล่อนก็สามารถนั่งกินต่อไปได้ ทั้งยังเพลิดเพลินเสียอีก เพราะขณะกินไปก็มีชายหนุ่มชาวไทยอย่างอนัตตาคอยเล่าเรื่องราว ทั้งประวัติความเป็นมา รวมถึงงานที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันให้ฟัง ในเวอร์ชันภาษาไทยที่วิลเลียมซึ่งนั่งจัดการอาหารของตนข้างๆ ไม่อาจล่วงรู้ได้ ทว่าก่อนหน้าอนัตตาก็ได้ขออนุญาตวิลเลียมไปแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท

“ผมจบโบราณคดี ต่อยอดมาทางด้านเทววิทยา ตอนนี้เป็นอาจารย์พิเศษที่มหาวิทยาลัยของกรุงไคโร พอดีผมมีเพื่อนอยู่ที่นี่ครับ เขาเลยแนะนำให้มาช่วยงาน” ชายหนุ่มแนะนำตัวขณะกำลังหั่นชิ้นเนื้อในจานเป็นชิ้นพอดีคำ “ช่วยเรื่องการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์บ้าง เรื่องข้อมูลการขุดค้นโบราณสถานต่างๆ บ้าง ว่างๆ ก็ชวนให้ไปทำงานเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัย”

ชายหนุ่มจิ้มเนื้ออบหั่นพอดีคำราดซอสเข้มข้นเข้าปากเคี้ยวตุ้ย พอกลืนเรียบร้อยก็หันมาพูดกับหล่อนอีก ขณะที่หญิงสาวเพิ่งจัดการเกรวี่สมุนไพรหมดลง และเตรียมพร้อมจัดการผลไม้สดตบท้ายมื้อเย็น

“อันที่จริงผมชอบเรื่องของเทววิทยามากกว่า โดยเฉพาะเทพปกรณ์อียิปต์ วิชาเทววิทยาผมสอบได้เต็มตลอดเลยรู้ไหมครับ ถามมาได้เลยไม่ว่าจะเทพองค์ไหนๆ”

เมื่ออนัตตาพูดมาถึงท่อนนี้ อยู่ๆ อารีสก็นึกถึงความฝันเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา หล่อนฝันถึงเทพอียิปต์ ทั้งเสียงเรียกและภาพที่ปรากฏในความฝัน มันดูเหมือนความเป็นจริง มีตัวตนที่สามารถจับต้องและสัมผัสได้ ไม่รู้เป็นอย่างไร หากอารีสกลับรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ งดงามหากก็น่าหวาดกลัว

ฉับพลันความอยากรู้ก็ผุดขึ้นในอก ความปรารถนาอย่างแรงกล้าทำให้หล่อนต้องการรู้เรื่องราวเทพปกรณ์อียิปต์ในความฝัน ไม่แน่ว่าบางทีมันอาจจะเป็นลางบอกเหตุไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง

“ผมร่วมทำงานในโครงการนี้ในฐานะตัวแทนทางฝ่ายรัฐบาลอียิปต์ครับ เพื่อนผมซึ่งเป็นคนในเขาชักชวน พวกเขาให้ผมมาเพื่อเก็บข้อมูล ตรวจสอบ และรายงานผลให้ทางภาครัฐได้ทราบถึงความคืบหน้าของโครงการสำรวจที่ตั้งเดิมของวิหารอาบูซิมเบล ซึ่งตอนนี้กำลังดำเนินไปเรื่อยๆ ทางภาครัฐเองก็ยินดีที่โครงการมีความคืบหน้า”

ชายหนุ่มพูดจบอาหารในจานก็หมด เขารวบช้อนแล้วเคลื่อนจานไปข้างหน้า จากนั้นจึงหันไปหาวิลเลียม สอบถามอีกฝ่ายเป็นภาษาอังกฤษเกี่ยวของว่างตบท้ายมื้อเย็น หากเพื่อนหนุ่มชาวอังกฤษกลับส่ายหน้า ขอเพียงแค่ชาถ้วยเดียว

อารีสอิ่มพอดี หล่อนวางส้อมแล้วเลื่อนจานออก จากนั้นจึงเอนหลังลงพนัก หันไปชวนอนัตตาคุยถึงเรื่องที่หล่อนอยากรู้

“คุณอนัตตานี่ได้ดีเพราะเพื่อนทั้งนั้นเลยนะคะ นี่ล่ะค่ะเขาถึงเรียกว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คนบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”

หญิงสาวเปิดประเด็นการสนทนาด้วยสุภาษิตไทย มีท่าทางการพูดอันเป็นเอกลักษณ์ เอียงคอซ้ายขวาตามจังหวะจะโคนของสุภาษิต อนัตตายิ้มให้หล่อน เป็นยิ้มที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง หากยังดีที่มีวิลเลียมคอยขัดจังหวะเป็นระยะ

“ประโยคยาวๆ เมื่อกี้มันแปลว่าอะไรเหรออารีส ทำไมเวลาท่องต้องเอียงหน้าเอียงคอด้วย เหมือนท่องบทละครของเชคสเปียร์” วิลเลียมหันมาถามหญิงสาว ทำเอาทั้งอนัตตาและอารีสมองหน้ากันแล้วหลุดขำ จากนั้นจึงพยายามกลั้นหัวเราะ อธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจเป็นภาษาอังกฤษ

“มันก็...” หญิงสาวนึกคิด “ฉันหมายถึงสุภาษิตของไทย สอนให้รู้จักพิถีพิถันในการเลือกคบเพื่อน”

อธิบายเรียบร้อยวิลเลียมก็พยักหน้า แล้วหันไปจัดการกับอาหารของตนเองต่อ ส่วนอารีสหันกลับมาพูดคุยกับชายหนุ่ม ตั้งใจแล้วว่าจะต้องถามเรื่องราวของเทพปกรณ์ซึ่งเชื่อมโยงกับความฝันของหล่อนให้ได้ แต่คราวนี้หล่อนเลือกพูดภาษาอังกฤษ เพื่อให้วิลเลียมได้ทราบด้วย เขาจะได้เลิกเซ้าซี้หากหล่อนหรืออนัตตาเกิดทำท่าแปลกๆให้เห็นอีก

“ฉันเองก็เป็นคนที่ชอบเรื่องเทววิทยา หาหนังสือมาอ่านบ้าง แต่ก็ไม่ลึกซึ้งมากนัก” หญิงสาวเปิดประเด็น ฝ่ายชายหนุ่มเองก็ตั้งใจฟัง วิลเลียมที่นั่งข้างๆ แหงนหน้าขึ้นมองเป็นระยะ “คุณพอจะอธิบายเรื่องเทวีมาอัตกับเทพอานูบิสให้ฉันฟังได้ไหมคะ ถือว่าเป็นของว่างตบท้ายมื้อเย็นนี้”

คราวนี้วิลเลียมพยักหน้าเห็นพ้อง ทั้งยังเพิ่มเติมว่ามันน่าอร่อยกว่าของว่างซึ่งเป็นอาหารเสียอีก

“ได้สิครับ” อนัตตาตอบพลางคลี่ยิ้มหวาน “เอ่อ...เริ่มจากใครก่อนดี”

“เทวีมาอัตก่อนก็ดีค่ะ” หล่อนเสนอ เขาเองก็เห็นด้วย ครั้นสูดลมหายใจ จัดท่าทางวางปึ่งเป็นนักวิชาการเรียบร้อย เรื่องราวเทพปกรณ์อียิปต์ก็เริ่มต้นขึ้น

“เทวีมาอัต เป็นเทวีรุ่นแรกๆของอียิปต์ครับ รุ่นๆเดียวกับสุริยเทพรา เป็นชายาของเทพธอธ เทพแห่งศิลปะวิทยาการ เทพธอธนี่ท่านจะมีลักษณะเป็นผู้ชายที่มีหัวเป็นนกช้อนหอย หัวสีเขียว ปากยาวๆ ปลายงอๆ”

อนัตตาใช้ภาษามือบอกรูปพรรณสัณฐานของเทพธอธ วิลเลียมและอารีสที่นั่งฟังได้แต่ส่ายหน้าพลางยิ้มกับท่าทางคล้ายคล้ายงวงช้างมากกว่าปากนกช้อนหอย

“เทวีมาอัต เธอเป็นเทวีแห่งความยุติธรรมครับ ซึ่งก็ตรงตามชื่อของเธออยู่แล้ว ในภาษาอียิปต์ มาอัตแปลว่าตรงไปตรงมา เป็นนัยถึงความยุติธรรม อย่างในคัมภีร์มรณะก็กล่าวว่าเทวีมาอัตมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในหอแห่งการพิพากษาของจอมเทพโอซิริส ซึ่งบางครั้งเรียกว่าหอแห่งเทวีมาอัต ในคัมภีร์ว่าไว้ ในหอจะมีตราชั่ง ข้างหนึ่งเทวีมาอัตจะวางขนนกตัวแทนของเธอเอาไว้ อีกข้างวางหัวใจผู้วายชนม์”

เรื่องราวเทพปกรณ์อียิปต์เป็นเรื่องเล่าหลังอาหารเย็นได้ดีเยี่ยม อารีสรู้สึกเช่นนั้น มันไม่ได้โลดโผนตื่นเต้น หากเป็นสิ่งที่น่าค้นหาและมีเสน่ห์ลี้ลับที่คอยดึงดูดความสนใจ แม้แต่วิลเลียมที่เพิ่งจัดการอาหารเสร็จไปเมื่อครู่ สายตาของเขาก็ยังคงจดจ้องตั้งใจฟังเรื่องราวของอนัตตาราวเด็กกำลังฟังนิทาน

“ในคัมภีร์ว่าไว้ หากหัวใจของผู้วายชนม์เบากว่าขนนก แสดงว่าผู้วายชนม์นั้นประกอบความดี จะได้ไปสู่เทวโลก พบโอซิริส แต่หากหัวใจหนักกว่า แสดงว่าผู้วายชนม์ประกอบความชั่ว หัวใจของเขาจะถูกโยนให้อสุรกายที่ชื่ออัมมุทกิน วิญญาณของเขาจะต้องลงนรกไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด”

“แล้วถ้าหัวใจกับขนนกเกิดหนักเท่ากันล่ะคะ” อารีสถาม แม้แท้จริงหล่อนจะรู้คำตอบแล้วก็ตาม

“ก็ไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์” อนัตตาพูดพลางยิ้ม “มันเป็นความเชื่อครับ และเพราะเทวีมาอัตทรงเป็นเทวีแห่งการพิพากษา ความยุติธรรม ไม่ลำเอียง เป็นสัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุดหรือจุดจบ จึงเชื่อว่าการอ้างพระนามของพระนางคือที่สุดแห่งการตัดสิน”

อยู่ๆอารีสก็ได้ยินเสียงสะท้อนในความฝัน ภาษาอียิปต์โบราณแสนเยียบเย็น มันดังก้องในหู ทว่าคราวนี้กลับชัดเจนแจ่มแจ้งจนหล่อนสามารถแปลความออกได้แทบทุกคำ

‘ข้าบริสุทธิ์ เทวีมาอัตทรงเป็นพยานแห่งคำสัจนั้นได้...’

“ข้าบริสุทธิ์...” นักอียิปต์วิทยาสาวรำพึงกับตัวเอง “ที่สุดแห่งการตัดสิน...อย่างนั้นเหรอ! ”

หากเป็นดังคำบอกเล่าของอนัตตาจริง เสียงที่หล่อนได้ยินในความฝัน มันคือเสียงแห่งการยืนยันความบริสุทธิ์โดยการอ้างพระนามเทวีมาอัต ถือเป็นการยืนยันความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ทว่า...มันคือการพูดเพื่อเอาตัวรอดหรือเปล่า หากบุคคลที่กล่าวไม่ได้เชื่อถือในเทพเจ้านั้นๆ และถ้าเกิดเป็นประการหลัง บุคคลดังกล่าวจะเป็นอย่างไร ที่หอพิพากษาแห่งมาอัตในโลกแห่งผู้วายชนม์

“อารีส!” เสียงเรียกทำให้หญิงสาวสะดุ้งน้อยๆ หลุดจากภวังค์ความคิด ครั้นหันมองเจ้าของเสียงจึงรู้ว่าเป็นวิลเลียม “เธอเป็นอะไรไป ไม่สบายหรือเปล่า”

“เอ่อ...ขอโทษที ฉันคิดอะไรเพลินไปหน่อย” หล่อนพยายามยิ้มกลบเกลื่อน “ว่าแต่เมื่อกี้นี้กำลังพูดเรื่องอะไรอยู่หรือเปล่า”

“ผมกำลังอธิบายลักษณะตัวอัมมุทครับ มันเรียกอีกอย่างว่าตัวเขมือบความตาย” อนัตตาตอบแทน สีหน้าปรากฏริ้วรอยสงสัยใคร่รู้ในกิริยาอาการของหญิงสาวไม่ต่างจากวิลเลียม ทว่าอึดใจหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอย่างที่เคยเป็นมา “ผมกำลังเล่าว่ามันเป็นสัตว์ในเทพปกรณ์อียิปต์ หัวเป็นจระเข้ ตัวด้านหน้าเป็นสิงโต ตัวด้านหลังเป็นฮิปโปโปเตมัส”

“ฉันกับนัตก็เลยกำลังถกกันว่าความเชื่อดังกล่าวอาจเป็นการเอาสิ่งที่หน้ากลัวในสมัยนั้นมารวมอยู่ด้วยกันหรือเปล่า” วิลเลียมกล่าวเสริม และหากอารีสได้ยินไม่ผิด เขาเรียกหนุ่มไทยตรงหน้าหล่อนว่า ‘นัต’

“นัต...เหรอคะ?” หญิงสาวหันไปหาอนัตตา ชายหนุ่มเองก็ยินดีตอบข้อข้องใจให้

“ชื่อเล่นผมครับ คุณอารีสจะเรียกนัตก็ได้นะครับ อนัตตามันดูยาวเกินไป”

หญิงสาวยิ้มให้พลางพยักหน้าน้อยๆ ลอบมองอนัตตาเป็นระยะขณะที่อีกฝ่ายกำลังร่วมแสดงความคิดเห็นในกรณีรูปพรรณของตัวอัมมุทกับวิลเลียม หล่อนไม่ได้ใส่ใจในเนื้อหาดังกล่าว เสียงคู่สนทนาทั้งสองกลายเป็นเสียงแว่วที่ดังหึ่งในหู จับความไม่ได้ คล้ายเป็นการพูดผ่านห้วงน้ำจนเสียงนั้นแตกซ่านกังวานก้อง ตาของหล่อนลอบมองเพียงชายหนุ่ม

ให้ตายเถอะอารีส หล่อนไม่เคยรู้สึกเช่นนี้กับใครมาก่อน หล่อนเป็นคนที่ไม่เคยไว้วางใจใครง่ายๆ มองโลกในแง่ร้าย แต่ไฉนกลับพ่ายต่อรอยยิ้มซึ่งเปื้อนใบหน้านั้นเป็นนิจ เพียงพบหนุ่มไทยไม่ถึงสองชั่วโมง หล่อนก็รู้สึกว่าเขามีเสน่ห์ต่างจากคนที่เคยพบเจอมา

ชื่อเขา...อนัตตา อังกูร

“เฮ้! อารีส” อารีสสะดุ้งหนักกว่าเก่า หน้าเหลอหลา ครั้นมองวิลเลียมเจ้าของเสียง ก็เห็นกำลังขมวดคิ้วจ้องหล่อนอย่างสงสัย ฝ่ายอนัตตาก็ไม่ต่าง

“เธอเป็นอะไรไปอารีส ใจลอยหลายรอบแล้วนะ” เพื่อนหนุ่มถาม น้ำเสียงเจือความแปลกใจ “ไม่สบายหรือเปล่า”

“เปล่า” หล่อนรีบปฏิเสธ พยายามยิ้มกลบเกลื่อน “ก็แค่คิดอะไรเพลินๆ พอได้ยินเรื่องเล่า”

คราวนี้หญิงสาวหันไปทางอนัตตา พยายามถามไถ่และชวนพูดคุยเรื่องราวของเทพปกรณ์อียิปต์ต่อ ทั้งที่แท้จริงเพราะหวาดกลัวเพื่อนหนุ่มอย่างวิลเลียมจะจับได้ว่าหล่อนกำลังอยู่ในช่วงอารมณ์แปรปรวน

การเป็นเพื่อนกันมานาน ทำให้ต่างคนต่างรู้ตื้นลึกหนาบางของกันและกัน วิลเลียมรู้ว่าหล่อนเป็นคนอย่างไร อารมณ์ขึ้น อารมณ์ลงตอนไหน และแต่ละอารมณ์จะเป็นอย่างไร จนเขามักกระเซ้าหล่อนด้วยความหมายของชื่อเป็นประจำ

‘อารีส...อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล’

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่หล่อนจะปิดบังความรู้สึกที่มีต่อเพื่อนใหม่อย่างอนัตตาให้พ้นจากการวิเคราะห์ของวิลเลียม

“ว่าแต่เทพอานูบิสล่ะคะ” อารีสถาม พยายามไม่ให้เพื่อนหนุ่มชาวอังกฤษเห็นพวงแก้มสีชมพูระเรื่อ ทั้งแสร้งสนใจในเรื่องที่อนัตตากำลังจะเล่า

แต่ก่อนเรื่องราวของเทพอานูบิสจะเริ่มขึ้น เสียงของใครบางคนก็ชิงขัดจังหวะจากนอกวงสนทนา

“คิดแล้วว่าต้องมาอยู่ที่นี่”

ภาษาอังกฤษสำเนียงอาหรับคุ้นหู ไม่ต้องหันไปมอง อารีสก็รู้ว่าเป็นใคร

นังหน้าคอสเมติก!

+++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 พ.ค. 2555, 16:03:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 พ.ค. 2555, 16:03:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1459





<< ไคโร (๒)   ไคโร (๔) >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account