กรรมสิทธิ์หัวใจ
“แล้วทำไมหนูถึงต้องทำตามที่คุณพีต้องการทุกอย่างด้วยเล่า!”

วริณสิตาตะโกนก้อง ราวกับจะร้องเพื่อปลดปล่อยอารมณ์ร้อนที่สุมในใจ สาวน้อยหารู้ไม่ ว่าการกระทำนั้นทำให้ดวงตาคมปลาบเบิกขึ้นสว่างวาบ

พีรพัฒน์ตวัดต้นแขนเล็กที่จับไว้ในมือให้ถลาเข้ามา กระซิบเย็นเยียบ หน้าเกือบประชิดหน้า

“เพราะเธอ คือ ‘กรรมสิทธิ์’ ของฉันไงล่ะวริณสิตา!”

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนที่ 21

ตอนที่ ๒๑

พีรพัฒน์ทิ้งน้ำหนักตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรงทันทีที่กลับเข้ามาในห้องทำงานของตน ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้จังหวะเดียวกับที่ผ่อนลมหายใจออกไปยาวเหยียด

เฮ้อ! การทำงานที่ไม่ใช่ ‘ทาง’ ของตนเองนั้นเป็นเรื่องยากลำบากจริง มากกว่านั้น ไอ้การประชุมเกี่ยวกับผลประกอบการของเอพีกรุ๊ปเมื่อช่วงบ่ายที่กินเวลาเข้าไปร่วมสี่โมงนั่นก็ดูดพลังงานเขาไปมหาศาลจนบอกไม่ถูก

คิดแล้วก็ได้แต่หลับตานิ่งๆเป็นการพัก นึกอยู่ในใจว่าเมื่อไหร่นะ ที่เขาถึงจะชินและไม่รู้สึกเหนื่อยกับการเรียนรู้งานของเอพีกรุ๊ปสักที ถามตัวเองด้วยคำถามนี้ก็ทำให้ใจไผลนึกถึงใครบางคนจนได้ คนที่...วันนี้คงได้เริ่มต้นเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบอย่างสนุกสนาน

ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกาบนผนังห้องทำงาน เห็นเข็มสั้นและยาวบอกเวลาว่าสี่โมงกว่าแล้ว แล้วอย่างนี้เด็กคนนั้นเลิกเรียนและกลับถึงบ้านแล้วหรือยัง? ไวเท่าความคิดเมื่อพีรพัฒน์หยิบมือถือขึ้นมาและกดโทร.เข้าบ้านสุริยะธาดา และแม่บ้านอย่างนางบัวศรีก็เป็นคนรับสายเช่นเคย

“สวัสดีค่ะ บ้านสุริยะธาดาค่ะ”
“ป้าบัวศรี นี่ผมเองนะ”
“อ้อ! คุณพีหรือคะ”
“ใช่ ลุงก้านออกไปรับวริณสิตากลับมาถึงบ้านแล้วหรือยัง?” เขาเอ่ยถาม เมื่อวริณสิตาต้องไปเรียน ชายหนุ่มก็มอบหมายให้อดีตคนขับรถอย่างนายก้านได้กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง นั่นก็คือการขับรถไปรับไปส่งวริณสิตาที่มหาวิทยาลัย
“ค่ะ ตาก้านน่ะมันออกไปรอรับตั้งกะสามโมงกว่าๆแล้วล่ะค่ะ แต่กลับเข้ามาเมื่อตะกี้ ไม่มีเจ้าจิ๊บมาด้วยหรอกนะคะ เห็นคุยว่าเจ้าจิ๊บมันบอกต้องประชุมอะไรเชียๆรับน้งรับน้องของเขานั่นแหละค่ะ หกโมงกว่านั่นถึงจะเลิก”
“อืม” เขาพึมพำในลำคอเชิงรับรู้ก่อนเอ่ย “งั้นวานป้าบอกลุงก้านหน่อยแล้วกันว่าไม่ต้องไปรับวริณสิตาแล้ว เดี๋ยวผมจะแวะเข้าไปรับเขาเอง” พูดจบพีรพัฒน์ก็วางสาย ความรู้สึกเหนื่อยๆหนักๆหายไปจนกลายเป็นดีดตัวลุกจากโต๊ะทำงานได้อย่างไวเลยทีเดียว


“พี นั่นพีจะไปไหนหรือคะ?” เสียงหวานๆที่เอ่ยทักจากด้านหลังส่งผลให้พีรพัฒน์ต้องชะงักมือที่กำลังจะกดลิฟต์ ชายหนุ่มหันกลับมามอง แล้วก็เห็นหทัยรักอยู่ตรงนั้น สาวสวยกำลังก้าวยาวๆตามทางเดินตรงมายังหน้าห้องทำงานเขา ในมือของหญิงสาวถือแฟ้มเอกสารอยู่เล่มหนึ่ง

“นี่พีจะกลับแล้วหรือคะ?” หทัยรักถาม พีรพัฒน์ยิ้มให้เจ้าหล่อนบางๆตามวิสัย
“ใช่ ผมจะกลับแล้ว” เขาตอบ

สาวสวยมุ่ยหน้า

“โธ่! รักว่าจะมาคุยกับคุณเรื่องผลประกอบการที่ดีมากในไตรมาสที่แล้วสักหน่อยเชียว ทำไมวันนี้ถึงกลับเร็วจังล่ะคะ?”

พีรพัฒน์หัวเราะในคอเบาๆเมื่อเหลือบมองนาฬิกาข้อมือตัวเองอยู่นิดๆ สี่โมงกว่านี่น่ะหรือ สารภาพกันตรงๆ ด้วยตำแหน่งผู้ถือหุ้นเหมือนกัน เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องเวลาในการทำงานของสาวสวยตรงหน้าสักเท่าไหร่หรอก เพราะมันไม่ได้เท่ากันเลยในแต่ละวัน บางครั้งหทัยรักก็ออกไปเสียตั้งแต่ก่อนเที่ยงด้วยซ้ำ แต่ไหงวันนี้เกิดอยากขยันล่วงเวลาขึ้นมาเสียงั้น

“เอ่อ...ผมว่าเอาไว้พรุ่งนี้เถอะนะรัก แค่ประชุมผู้ถือหุ้นเกือบสี่ชั่วโมง ผมก็มึนแล้วล่ะ”

หทัยรักหัวเราะคิก คิดว่าคนตรงหน้าแค่พูดขำๆ

“แหม อะไรกันคะ ว่าแต่ที่บอกจะกลับเนี่ย พีจะกลับไปบ้านหรือว่าจะกลับไปทำงานต่อที่พีแอลเอสของพีล่ะคะ?” หทัยรักเหมือนถามดัก เพราะพักหลังมานี้พีรพัฒน์มักจะทำอย่างนั้นเสมอ เวลาทำงานส่วนใหญ่ในช่วงกลางวันชายหนุ่มจำต้องให้กับอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่อย่างเอพีกรุ๊ป และหลังจากสี่หรือห้าโมงเย็นไปแล้วนั่นแหละ ถึงจะได้เข้าไปดูที่บริษัทเล็กๆอย่างพีแอลเอสของตัวเองบ้าง

แต่นั่นไม่ใช่สำหรับวันนี้ พีรพัฒน์ยิ้มบางๆ

“เปล่าหรอก” เขาบอก “แต่ผมว่าจะไปรับวริณสิตาที่มหาวิทยาลัยสักหน่อย วันนี้เขาเพิ่งไปเรียนเป็นวันแรก” จังหวะที่เอ่ยประโยคนั้นพีรพัฒน์หันไปอีกด้านเพื่อกดลิฟต์ จึงไม่ทันได้เห็นว่าดวงหน้าสวยผุดผาดเปลี่ยนจากยิ้มแย้มอ่อนหวานเป็นงอง้ำไม่พอใจ

“เอ๊ะ! นี่คุณส่งยาย...เอ่อ...เด็กคนนั้น ไปเรียนแล้วหรือคะ?” หทัยรักขมวดคิ้วถาม “ทำไมล่ะคะ ตอนแรกรักคิดว่าคุณจะให้รักช่วยหาที่เรียนให้เด็กนั่นเสียอีก”

พีรพัฒน์หันกลับมา รู้ทันทีว่าสร้างความขุ่นเคืองให้สาวสวยตรงหน้าเสียแล้ว แต่จะว่าไป ชายหนุ่มก็ยอมรับว่าที่หทัยรักโกรธก็เป็นความผิดของเขา ก็เขาดันปากไว ไปคิดกะเกณฑ์แนวทางให้วริณสิตาตั้งแต่ต้นโดยไม่ได้พูดคุยอะไรสาวน้อยคนนั้นก่อนสักคำ เพราะอย่างนั้น ตอนนี้เขาก็ต้องรับผลกรรมจากคำพูดของตนเอง

“ผมต้องขอโทษคุณจริงๆรัก แต่ตอนที่ขอร้องให้คุณช่วย ผมไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นเขาสอบตรงเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว”

“อ้อ!” หทัยรักเชิดหน้า “แล้วหน้าตาโง่ๆ...เอ่อ...รักหมายถึงว่า แล้วหน้าตาซื่อๆอย่างนั้นน่ะค่ะ สอบเข้ามหาวิทยาลัยไหนได้ล่ะคะ?” สาวสวยถาม แอบหวังอยู่ในใจ ถ้านังเด็กนั่นเกิดฉลาดสอบติดมหาวิทยาลัยได้เองละก็ ขอให้มันเลือกสอบไปเรียนที่มหาวิทยาลัยไกลๆ บ้านนอกๆ ให้สุดหูสุดตาเถอะ!

แต่ทว่า ทันทีที่พีรพัฒน์บอกชื่อมหาวิทยาลัย ความหวังของหทัยรักก็โดนขยี้ไปจนกลายเป็นขี้ผง!

“อะไรนะคะ!?”

พีรพัฒน์ได้แต่กะพริบตาเมื่อสาวสวยตรงหน้ากรีดเสียงขึ้นและไม่ลดระดับลงเลย
“ยายเด็กนั่นสอบติดมหาวิทยาลัยเก่าของเรา?”
“ใช่ แต่เขาสอบเข้าเรียนในคณะเกษตรน่ะ” ชายหนุ่มบอก นึกสงสัยว่าเมื่อไหร่ลิฟต์จะมาสักที ส่วนหทัยรักก็ต้องใช้เวลาตั้งสติเกือบอึดใจกับคำบอกนั้น

คณะเกษตรงั้นรึ? นาทีนี้นอกจากความขุ่นข้องหมองใจแล้ว ความสงสัยว่าผู้ชายตรงหน้าโง่หรือบ้ายังเต้นระริ้วในใจหทัยรักด้วย!

“คณะเกษตร งั้นพีก็ส่งเสียให้เด็กนั่นไปเรียนทำไร่ไถนางั้นหรือคะ?”
“ผมไม่อยากบังคับใจใครน่ะ”
“อ้อ!” หญิงสาวถึงบางอ้อ สุดท้ายก็ทำใจดีกับนังเด็กนั่นสินะ หทัยรักแสร้งยิ้ม “แหม! พีเนี่ย ใจดีแบบนี้เสมอเลยนะคะ อือ จะว่าไป น้องชายที่เป็นญาติห่างๆของรักเขาก็เพิ่งเข้าเรียนคณะเกษตรเหมือนกัน บางทีพวกเขาอาจจะรู้จักกัน เป็นเพื่อนกันไปแล้วด้วยมั้ง”

พีรพัฒน์ได้แต่นิ่งฟัง

“ผมก็ไม่รู้หรอก”
“ถ้างั้น ตอนนี้รักไปกับพีด้วยได้หรือเปล่าคะ?”

อะไรนะ? ชายหนุ่มยังไม่ทันจะได้พูดอะไรสักคำ ลิฟต์ที่กดเรียกไว้ก็มาถึงและส่งเสียงดัง ‘ติ๊ง’

“พอดีรักก็อยากจะไปดูเหมือนกันว่าวริณสิตากับตานนท์น้องชายรักเขาจะรู้จักกันหรือยัง ยังไงเดี๋ยวพีช่วยรอรักแป๊บหนึ่งนะคะ รักขอกลับไปเอากระเป๋าที่ห้องทำงานก่อน แป๊บเดียว” ว่าแล้วสาวสวยก็หมุนตัวกลับไปตามทางเดินทันทีโดยที่ไม่ปล่อยให้พีรพัฒน์ได้พูดอะไรเลย ทว่านาทีนั้น อิงอรเลขาฯส่วนตัวของเจ้าหล่อนก็โผล่ออกมาตรงหัวมุมทางเดิน

“คุณรักคะ” เลขาฯเอ่ยเรียกก่อนยื่นซองสีน้ำตาลส่งให้เจ้านายสาว “เอกสารจากสำนักงานนักสืบวรพลค่ะ” และดูเหมือนประโยคนั้นจะมีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อคนที่อยากจะตามพีรพัฒน์ไปมหาวิทยาลัยด้วย หทัยรักฉวยซองเอกสารไปจากมือของอิงอรโดยไว

“แล้วคนที่เอาซองนี้มาส่งให้ล่ะ ยังอยู่มั้ย?”
“ค่ะ อรให้รอพบคุณรักอยู่ที่ห้องทำงานค่ะ”

เท่านั้นเองสีหน้าของหทัยรักก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที สาวสวยหันกลับมามองหน้าพีรพัฒน์

“เอ่อ รักต้องขอโทษพีด้วยนะคะ บังเอิญว่า รักมีธุระด่วนกะทันหันค่ะ” เจ้าหล่อนพูดอย่างกับเรื่องนั้นเป็นความผิดพลาดที่อาจทำให้พีรพัฒน์โกรธเคืองเธอได้อย่างมหันต์ แต่ชายหนุ่มแค่คลี่ยิ้มบางๆ

“ไม่เป็นไรหรอก” เขาบอก “ธุระของคุณต้องสำคัญมากๆอยู่แล้ว ไม่เป็นไรเลย รัก”


นานมากแล้วเหมือนกันที่พีรพัฒน์ไม่ได้กลับเข้ามาในมหาวิทยาลัยเลยนับตั้งแต่เรียนจบไป สถานที่ ตึกเรียน อาคารต่างๆดูเปลี่ยนไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากมายขนาดที่จะลบเลือนความทรงจำในวันเก่าที่เคยร่ำเรียนและใช้ชีวิตสนุกสนานในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ถึงสี่ปีเต็ม

พีรพัฒน์ตัดสินใจจอดรถไว้ในบริเวณพื้นที่ของคณะเก่าของเขา เพราะจำได้ว่าคณะวิศวะฯนั้นอยู่ไม่ไกลกับคณะเกษตรสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มเดินเรื่อยๆ ค่อยๆซึมซับบรรยากาศความทรงจำในวันเก่าๆไป ไม่นานเท่าไหร่ก็เข้าในอาณาบริเวณของคณะเกษตร และก็ไม่ยากเลยที่พีรพัฒน์จะรู้ได้ว่าเด็กในปกครองของเขาอยู่ที่ไหน

การประชุมเชียร์ของเด็กปีหนึ่งเกิดขึ้นบริเวณลานกว้างของคณะ หนุ่มสาวหน้าละอ่อนนั่งกันสลอนเป็นระเบียบ มีบรรดารุ่นพี่ที่แต่งชุดนักศึกษาถูกระเบียบเปี๊ยบยืนล้อมรอบด้วยสีหน้าสุดเคร่งเครียด

พีรพัฒน์หัวเราะเบาๆ เขาทรุดตัวลงนั่งบนม้านั่งยาวและเริ่มต้นเฝ้าดู รุ่นพี่หน้าโหดที่อยู่ในบทบาทสตาฟเชียร์สุดเข้มงวดกำลังตะโกนว้ากๆสร้างความกดดันใส่เด็กน้อยปีหนึ่งด้วยการให้ลุกขึ้นมาทีละคน แล้วตะโกนแนะนำตัวต่อพี่ๆเพื่อนๆ คนแรกเป็นสาวน้อยผมเปีย สวมแว่น หน้าตาดูตื่นๆ

“หนูชื่อ พยุดะ”
“ไม่ได้ยิน!”

แม่สาวน้อยผมเปียที่น่าสงสารโดนตวาดเสียจนต้องทำคอย่น หลับตาปี๋ พีรพัฒน์ได้แต่อมยิ้มแล้วส่ายหน้า แม้จะคนละคณะ แต่รูปแบบในการปลูกฝังระบบโซตัสของสถาบันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่

อืม! ไม่สิ พีรพัฒน์คิด บางทีการโดนตวาดเท่านี้อาจบอกได้เต็มปากเต็มคำว่าประชุมเชียร์รับน้องสมัยเขาน่ะ โหดกว่านี้เยอะ! เพราะอย่างรับน้อง คณะเขาก็มีการวิ่งประเพณีที่ต้องวิ่งรอบมหาวิทยาลัยกันจนลิ้นห้อย แต่ไอ้การวิ่งไป เหนื่อยไป โดนกดดันไปก็ทำให้เขาได้เพื่อนตายอย่างสมศักดิ์มาคนหนึ่งล่ะ

คนคิดได้แต่หรี่ตา แต่เขาก็คงยังว่าไม่ได้หรอก เพราะการรับน้องของคณะเกษตรก็เรียกได้ว่าขึ้นชื่อ เขาเองไม่ได้อยู่คณะนี้ จะไปบอกว่านี่เป็นการกดดันระดับเด็กๆก็คงไม่ได้ ชายหนุ่มจึงเฝ้าดูเงียบๆต่อไป และดูเหมือนสาวน้อยผมเปียคนนั้นจะฮึดขึ้นมาแล้วเหมือนเมื่อเสียงเล็กๆตะเบ็งขึ้นว่า

“หนูชึ่”
แต่ทว่า
“พูดอย่างเป็นทางการ คุณใช้คำว่าหนูเรอะ!”

หนนี้สาวน้อยผมเปียไม่ย่นคอแล้ว แต่สูดหายใจพรวด ก่อนตะโกนสวนสุดคอหอย

“ขอโทษค่ะ! ดิฉันชื่อ! นางสาวพยุดา! มณีรัตนา! ชื่อเล่นน้อยหน่า! ภาควิชาพืชไร่! ปีหนึ่งค่ะ!”
“ดี!”

พีรพัฒน์หัวเราะขำ จะว่านึกสงสารเด็กน้อยปีหนึ่งไหมชายหนุ่มก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าการกดดันแบบนี้ บีบคั้นอย่างนี้ สุดท้ายจะกลายเป็นความผูกพันประทับใจที่ไม่มีวันเลือน

“คนต่อไป!”
ร่างบางกะจ้อยร่อยที่ดีดตัวลุกขึ้นมาต่อจากสาวน้อยที่ชื่อพยุดาทำให้คนที่คอยเฝ้าดูต้องเลิกคิ้วขึ้นมาและจ้องตาไม่กะพริบ...

เพราะคิวนี้น่ะ เด็กในปกครองของเขา...

“ดิฉันชื่อ นางสาววริณสิตา ใจภักดิ์ ชื่อเล่นวะ” แต่จู่ๆสาวน้อยก็ชะงักเพราะสายตาดันไปปะกับคนที่กำลังจ้องเธอพอดี

แค่เสี้ยววินาที พีรพัฒน์คลี่ยิ้ม โบกหลังมือให้ในท่าคล้ายปัดไล่แมลงวัน ก่อนจะปาดนิ้วชี้ผ่านคอทำนองบอกผ่านให้เป็นนัยว่า ‘พูดต่อไป ไม่งั้นตายนะ’ สาวน้อยเลยกลืนน้ำลายก่อนตะโกนต่อไป

“ชื่อเล่นว่า จิ๊บ! ภาควิชาพืชไร่ ปีหนึ่งค่ะ!”

แล้วผู้ปกครองก็แกล้งยกนิ้วโป้งชูให้ทันทีที่เด็กในปกครองพูดจบโดยไม่ได้รู้เลยว่า ภาพเขาน่ะทำเอาใจสาวน้อย กระโดดพรวดไม่เป็นขบวนเลย!


การประชุมเชียร์วันแรกนั้นยุติลงเมื่อเวลาจวนหกโมงแล้ว ทันทีที่รุ่นพี่ปล่อยให้เหล่าน้องใหม่กลับบ้านได้ การนนท์ก็ไม่รอช้า รีบเอ่ยเรียกวริณสิตา

“จิ๊บ รีบกลับหรือเปล่า เราหาไปกินข้าวเย็นกันก่อนกลับบ้านมั้ย” หนุ่มน้อยแย็บถาม คิดอยากสร้างโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกับวริณสิตาให้มากขึ้น แต่ไม่ทันที่คนถูกถามจะได้ตอบอะไร คนที่กลายเป็นเพื่อนสนิทวริณสิตาไปแล้วก็ดันพูด

“เออใช่! ไปกินข้าวเย็นด้วยกันก่อนมั้ยล่ะจิ๊บ รุ่นพี่ที่หอเราบอกว่าหน้าประตูมหาวิทยาลัยน่ะมีร้านข้าวอร่อยๆหลายร้านเลย ไปกันมั้ย” พยุดานั้นไม่รู้ และแน่ละ สาวแว่นผมเปียไม่ได้คิดอะไรในเชิงลึกกับคำชวนของการนนท์ด้วย เพราะงั้นคำว่า ‘เรา’ ที่ได้ยินเข้าหู พยุดาเลยเหมารวมตัวเองเข้าไปเสร็จสรรพ การนนท์ทำหน้าประมาณเซ็งโลก เกือบหลุดปากถามโพล่งไปแล้วว่า ‘ใครเขาชวนเธอกันฮะ ยายแว่น!’ แต่นาทีนั้นเสียงใสๆของวริณสิตาก็เอ่ย

“ขอโทษนะ แต่เราคงไปด้วยไม่ได้หรอก”
“อ้าว!” พยุดาแปลกใจ ก่อนจะหน้าม่อยลงไปไม่ต่างอะไรกับคนเอ่ยปากชวนคนแรกสักนิด “ทำไมล่ะ หรือว่าบ้านจิ๊บอยู่ไกล ก็เลยต้องรีบกลับก่อน กลัวกลับมืดอย่างงั้นน่ะเหรอ”

“เอ่อ...” วริณสิตาทำหน้าลำบากใจอยู่หน่อยๆ ลำพังแค่ถามว่าบ้านอยู่ไกลไหม สาวน้อยก็บอกไม่ได้หรอกเพราะไม่รู้เลยว่าไกลแค่ไหน ลุงก้านเป็นคนพาไปพามาตลอดนี่ แต่ว่า...

“อ๋อ!” การนนท์รีบร้อง “ถ้าปัญหาคือแค่บ้านอยู่ไกลนะ ไม่เป็นไรเลยจิ๊บ กินข้าวด้วยกันก่อนแล้วเดี๋ยวเราไปส่งเธอให้เองก็ได้ เพราะเรามี”

“คือไม่ใช่อย่างนั้นหรอกการนนท์” สาวน้อยบอก “แต่ผู้ปกครองเรามารอแล้วน่ะ”

“ฮ้า! จริงดิ ไหนๆ” พยุดาร้องลั่น หันซ้ายขวา แล้ววริณสิตาก็บุ้ยหน้าไปอีกด้าน ด้านที่มีชายหนุ่มซึ่งเพิ่งจะดีดตัวลุกขึ้นจากม้านั่งและกำลังก้าวเข้ามาหา เขาคงจะมาเรียกเธอให้ไปขึ้นรถแล้วกลับบ้านได้แล้ว จะมามัวโอ้เอ้ยืนคุยอะไรนักหนา แต่ทว่าทันทีที่หันไปเห็นชายหนุ่มเดินมา พยุดาก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายอีกตามเคย สาวแว่นผมเปียเลยยิ้มร่า และด้วยมารยาทกุลสตรีดีงามตามที่ครูบาอาจารย์ตั้งแต่ประถมบ่มสอนมา เมื่อได้พบหน้าผู้ปกครองของวริณสิตาในระยะใกล้ พยุดาจึงยกมือไหว้ พร้อมกล่าวทักทายอย่างสุภาพว่า

“พ่อ สวัสดีค่ะ!”

“เฮ้ย! น้อยหน่า” วริณสิตาแทบร้องคราง กระตุกไหล่พยุดาให้หันกลับมาหา ส่วนคนที่ถูกเรียกว่า ‘พ่อ’ ได้แต่ทำหน้าพิพักพิพ่วน!

“คุณพีเขาไม่ใช่พ่อเรา!”

“อ้าว!” พยุดาหน้าเหวอ แต่การนนท์น่ะเกือบหดมือที่กำลังจะไหว้เอาคะแนนไว้แทบไม่ทัน!

“เอ่อ...” แม้จะอึ้งๆอยู่บ้าง แต่เมื่อตั้งสติได้พีรพัฒน์ก็นึกขำ ก็แม่สาวน้อยผมเปียคนนี้ที่โดนรุ่นพี่หน้าโหดว้ากใส่คนแรกจนต้องทำคอย่น แล้วนี่อะไร มาปล่อยไก่นึกว่าเขาเป็นพ่อวริณสิตาอีกเสียอย่างงั้น คิดแล้วก็อดไม่ได้ ชายหนุ่มเอ่ยแซว

“ขอโทษนะ แต่หวังว่า ฉันคงยังไม่แก่ขนาดจะเป็นพ่อของเธอได้หรอก ไม่งั้นฉันก็ต้องมีลูกตั้งแต่อายุสิบเจ็ดแน่ะ”

“แหะๆ” พยุดายิ้มแหย ยกมือไหว้แล้วครางหงิง “ขอโทษค่ะ”

“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มยิ้มๆ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เข้าใจผิดจะทำเพื่อนอิหลักอิเหลื่อไปใหญ่ วริณสิตาก็ตัดสินใจแก้ไขสถานการณ์

“เอ่อ นี่...เพื่อนๆของหนูค่ะ น้อยหน่ากับการนนท์” วริณสิตาแนะนำ “ส่วนนี่ คุณพี...เอ่อ คุณ...พีรพัฒน์ วิศิษฏการ เป็นผู้ปกครองของเราเอง”

พยุดารีบยกมือไหว้อีกครั้ง แต่หนนี้สาวแว่นผมเปียสงบปากคำไม่พูดอะไรแล้ว ส่วนหนุ่มน้อยอีกคนที่ยืนเงียบอยู่ข้างวริณสิตาตลอดก็ได้ฤกษ์ยกมือไหว้เขาสักทีแล้ว พีรพัฒน์รับไหว้ แต่แทนที่จะได้ยินคำทักทาย ชายหนุ่มกลับได้ประโยคคำถามแทน

“นามสกุลวิศิษฏการ คุณคือคนที่เป็นเจ้าของเอพีกรุ๊ปใช่รึเปล่าครับ?”

ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นนิดด้วยความสงสัย “ใช่ เธอรู้จักเอพีกรุ๊ปด้วยหรือ”

“พี่สาวผมทำงานอยู่ที่นั่น”

“อ้อ!” พีรพัฒน์คราง นึกถึงสาวสวยที่อยากจะติดสอยห้อยตามมาดูน้องชายบ้างถ้าไม่บังเอิญติดธุระสำคัญขึ้นมาทันที “งั้น...เธอคงเป็นน้องของคุณหทัยรักน่ะซี?”

หนุ่มน้อยพยักหน้า

“ครับ ผมการนนท์ วรโชติ น้องชายของพี่รัก”

วริณสิตาได้แต่กะพริบตามองการนนท์อย่างประหลาดใจ นี่เพื่อนใหม่ของเธอ เป็นน้องชายของคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเธอเลยอย่างนั้นรึ พีรพัฒน์ไม่ได้เอ่ยอะไรกับการนนท์อีก เขาหันไปทางเด็กในปกครอง

“จะกลับหรือยังล่ะ” เขาเอ่ยถามค่อยๆ วริณสิตาพยักหน้า รับคำ ‘ค่ะ’ น้อยๆอย่างเกรงใจ เมื่อนั้นพีรพัฒน์จึงหันไปถามพยุดาด้วย

“แล้วบ้านของเธอล่ะอยู่แถวไหน ไกลมั้ย ให้ฉันขับรถไปส่งให้เอาหรือเปล่า?”
แต่พยุดารีบส่ายหน้าจนเปียกระจาย

“ไม่เป็นไรค่ะไม่เป็นไร หนูอยู่หอในของมหาวิทยาลัยค่ะ แหะๆ ไม่ต้องไปไหน อยู่ในมหา’ลัยเลย”
“อ้อ! แล้วเธอ?” พีรพัฒน์หันไปทางการนนท์ หนุ่มน้อยดูจะยึดตัวขึ้นมานิดเมื่อโพล่งว่า

“ผมมีรถของตัวเอง”

“อ่อ!” คนถามเลยแต่ส่งเสียงรับคำในลำคอ “เอาละ งั้น...เราก็คงกลับบ้านกันได้แล้วมั้ง”
ประโยคนั้นเขาหันไปถามวริณสิตา และเมื่อสาวน้อยโบกมือให้พยุดา พีรพัฒน์ก็พยักหน้า หมุนตัวเดินนำโดยมีวริณสิตาเดินตาม แต่ทว่าจู่ๆเสียงห้าวก็ตะโกนเรียก

“จิ๊บ!”

ทั้งวริณสิตาและผู้ปกครองของวริณสิตาต่างก็หันหน้ากลับมา สายตาตั้งคำถาม

“มีเบอร์โทรศัพท์มั้ย?” การนนท์โพล่งถามไป ไม่ได้สนใจใครหรืออะไรทั้งสิ้น

วริณสิตาคลี่ยิ้ม ความจริงที่ว่าการนนท์จะเป็นญาติใครไม่สำคัญเท่าไหร่เลยสำหรับเธอ เพราะการได้รู้จักกันวันนี้ เริ่มต้นที่การไม่รู้เบื้องลึกพื้นหลัง รู้แต่ ‘การนนท์ก็คือการนนท์ คนมีน้ำใจที่ช่วยเธอกับน้อยหน่าดึงบัตรร้านแว่นออกมาจากตู้เอทีเอ็มจนได้’ สิ่งนั้นสร้างมิตรภาพความเป็นเพื่อนกันขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว

“เออ! ใช่ๆ จิ๊บมีเบอร์ฯโทร.มั้ยอ่ะ เราขอด้วยดิ” พยุดาตะโกนด้วยพร้อมงัดโทรศัพท์มือถือตัวเองออกมา และนาทีนั้นวริณสิตาก็ยิ้มกว้าง

“โอ้ย ได้ซี ไม่มีปัญหา” สาวน้อยตะโกนก่อนซอยเท้าถี่ๆกลับไปหาพยุดากับการนนท์ทันทีโดยไม่ได้หันไปมองคนเป็นผู้ปกครองสักนิด พีรพัฒน์ได้แต่กะพริบตา ได้ยินเสียงใสๆแว่วมาเข้าหู

“เบอร์โทรศัพท์เรานะ ศูนย์สอง...”
“เฮ้ยยยย!” สาวแว่นผมเปียร้องเสียงหลง “เบอร์ที่ไหนเนี่ยขึ้นต้นด้วยศูนย์สอง ไม่เอาๆ ไม่เอาเบอร์ฯบ้านสิ เอาเบอร์มือถืออ่ะ มีมั้ย?”
“มือถือ? โทรศัพท์มือถือน่ะเหรอ ไม่มีหรอก” วริณสิตาบอกหน้าตาเฉย พยุดาร้อง ‘ฮะ?!’ แล้วมองหน้า ทำท่าอย่างกับว่าวริณสิตาเพิ่งหลุดออกมาจากยุคหินใหม่ยังไงยังงั้น!

“ตลกน่าจิ๊บ แล้วงี้ถ้าเกิดมีธุระ เราจะติดต่อจิ๊บได้ไงล่ะ?”

“เอ้า! ก็นี่ไง เบอร์โทร.เราน่ะ ศูนย์สอง สามสามสอง”

“เหอ จิ๊บๆ” การนนท์รีบขัด “คือเราว่า ยายแว่นคงหมายถึงว่า ถ้าบังเอิญมีธุระด่วนอย่างถ้าเรามามหาวิทยาลัย แล้วหากันไม่เจอ อะไรอย่างงี้น่ะ จะติดต่อกันยังไง” หนุ่มน้อยพยายามอธิบายบ้าง แม้เหตุผลและตัวอย่างธุระสำคัญที่หยิบยกมาอ้างไปจะฟังทะแม่งๆไปบ้าง แต่เอาเถอะ!

“ใช่!” พยุดาพยักหน้าเห็นด้วย แต่ทว่า...

“อ๋อ...” วริณสิตาลากเสียง ยิ้มหวานนั้นดูมีเลศนัยเสียจนคนที่อยู่ไกลๆยังต้องเผลอกลั้นใจฟังด้วย “ก๊อ...ไม่เห็นจะยากตรงไหน เราก็นัดกันให้ดีๆสิ ดีซะอีก เราไม่มีโทรศัพท์มือถือน้า เวลานัดกัน พวกเธอจะได้มากันตรงเวลา ไม่งั้นเราน่ะ ก็จะกลายเป็นคนที่น่าสงสารม้ากมากเลย จริงไหมจ๊ะ”

“โหยยย!”

แล้วการนนท์กับพยุดาก็ส่งเสียงโอดครวญกันยกใหญ่ ส่วนคนที่เผลอตัวกลั้นใจฟังก็ได้แต่แอบขำแล้วส่ายหน้า

เอ้อ! เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะ แม่เด็กในปกครองของเขา!
.............................

ตอนต่อน 22 กันเลยนะค้า



ปาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ค. 2554, 09:42:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ค. 2554, 14:26:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 3137





<< ตอนที่ 20   ตอนที่ 22 >>
Gingfara 2 พ.ค. 2554, 10:44:51 น.
ว้าว วันนี้มาสองค่ะ


lovemuay 2 พ.ค. 2554, 12:45:14 น.
โผล่มาอีกคู่แระ อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account