เพลงมาร
'เพลงมาร' จุดเริ่มต้นของเรื่องราวการตายอย่างมีเงื่อนงำ หลายชีวิตที่จากไป ล้วนเกี่ยวโยงกับมัน

ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
Tags: เพลง ความตาย อาถรรพ์ อุปรากร ลี้ลับ

ตอน: องก์ที่ ๖

เที่ยงคืนแล้ว หากดารุจยังไม่อาจข่มตาหลับลงได้ ภาพความทรงจำภายหลังการสะกดจิตบำบัดยังคงติดตรึง ทุกฉากทุกตอนเกี่ยวกับจากการไปของบิดาทำให้บรรณารักษ์หนุ่มหวาดกลัวและเศร้าโศก แม้จะพยายามยิ่งยวด ทว่าทุกครั้งที่หลับตาลง ภาพกองเลือดสีแดงฉานกับร่างผู้เคราะห์ร้ายกลับล่องลอยตามหลอกหลอน

กี่รายแล้วที่ดารุจนำพาหายนะไปสู่พวกเขา...เหมือนที่มารดาพูดเอาไว้

'กี่คนแล้วที่ต้องเจ็บต้องตายเพราะมัน อยู่กับใครก็มีแต่หายนะ ลู่ระวังให้ดีเถอะอาดี' ผู้เป็นแม่เคยเตือนน้าสาว นัยน์ตาที่เขาเคยคิดว่างดงาม เวลานั้นจับจ้องเด็กชายด้วยความชิงชังระคนหวาดกลัว 'ถ้าลู่เผลอ โชคร้ายจะถามหา เหมือนที่ตัวเจ้ต้องตายเพราะมัน!'

ชายหนุ่มกะพริบตาถี่ไล่น้ำคลอหน่วย ในอกรู้สึกสะท้อนวูบไหว เจ็บแปลบเหมือนแผลที่ไม่มีวันเยียวยาให้หายขาด ความรู้สึกนั้นขมขื่นเกินกว่าใครจะล่วงรู้

'ตัวซวย' ผู้นำแต่ 'โชคร้าย' มาสู่คนใกล้ชิด

ด้วยเหตุนี้เอง...เขาจึงเป็นที่รังเกียจ...ของทุกคน

ครั้นไม่อาจหลับลงได้ บรรณารักษ์หนุ่มจึงเอี้ยวตัวไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง ฉวยหนังสือที่ตั้งบนโต๊ะมานอนอ่านฆ่าเวลาเล่มหนึ่ง

หนังสือพวกนี้เป็นหนังสือเก่าเก็บของหอสมุด แต่ยังมีประโยชน์และความสำคัญ หากด้วยสภาพของปกและสัน รวมถึงเนื้อความบางส่วนที่ชำรุด เปื่อยยุ่ย บรรณารักษ์หนุ่มจึงอาสานำมันมาซ่อมด้วยตัวเอง

ขณะทอดตัวนอนคว่ำเปิดอ่าน ดารุจก็พยายามเมินยานอนหลับในขวดแก้วสีชาที่ได้มาหลังจากไปพบจิตแพทย์สาวผู้เป็นเพื่อน มันอยู่ไม่ห่างจากกองหนังสือนักหรอก ง่ายดายหากเขาจะฉวยมากินสักเม็ดเพื่อให้ตัวเองหลับได้อย่างที่เคยเป็นมา แต่กระนั้นเขาก็พยายามหักห้ามใจ

ช่วงหลังๆ มานี้ ปุณฑริกมักเตือนเสมอ เรื่องการใช้ยานอนหลับเกินความจำเป็น

แสงนวลตาจากโคมไฟเผยให้ชายหนุ่มเห็นเนื้อกระดาษภายในหนังสือเล่มกะทัดรัด ปกหน้าและปกหลังเป็นกระดาษแข็งสีฟ้าคร่ำคร่า มีรอยเปื่อยยุ่ยบางส่วน แผ่นกระดาษด้านในแต่ละหน้าล้วนเหลืองกรอบ บางแห่งกลายเป็นน้ำตาลเข้มตามอายุขัย ตัวอักษรภาษาอังกฤษภายในยังเป็นรูปแบบการพิมพ์ดีด เวลาพลิกแต่ละครั้ง ดารุจต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง

"ตำนานแบนชี..." ชายหนุ่มอ่านหัวข้อเรื่อง ขมวดคิ้วสงสัย

ชื่อ 'แบนชี' ช่างคุ้นหูเหลือเกิน ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะเป็นชื่อของผีผู้หญิง

ครั้นกวาดสายตาอ่านเนื้อหาบนหน้ากระดาษสีเหลืองกรอบอย่างละเอียด บรรณารักษ์หนุ่มก็เริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งที่เชื่อมโยงสู่เหตุการณ์ในชีวิต บางที...หนังสือที่เขานำมาจากห้องสมุดเพื่อซ่อมแซม หวังใช้อ่านฆ่าเวลารอจนง่วงแล้วผล็อยหลับ อาจกลายเป็นกุญแจดอกสำคัญไขไปสู่ความลับที่ซ่อนเอาไว้ในส่วนลึกของจิตก็เป็นได้

['แบนชีเป็นวิญญาณผีสาวตามเทพปกรณ์ไอริชของชาวไอร์แลนด์ โดยปกติ...การปรากฏตัวของแบนชีถือเป็นลางบอกเหตุแห่งความตาย ทั้งยังหมายถึงการเป็นผู้ส่งสารจากโลกอื่น']

อ่านเพียงเท่านี้ ขนอ่อนทั่วร่างก็ลุกเกรียว สายลมภายนอกโชยพาดผ่านหน้าต่างที่เปิดอ้า ผ้าม่านปักลูกไม้ไหวพะเยิบ สะบัดชายโบกกลิ่นหอมของดอกไม้ ทั้งราตรี ซ่อนกลิ่นและลั่นทม กลิ่นเหล่านั้นถูกหอบโหมเข้ามาจากหลังบ้าน โชยหวนทั่วห้องละม้ายคำตอบรับเรื่องราวของหนังสือเล่มเก่า

เสียงหวีดหวิวของกระแสลมทำให้ดารุจจินตนาการไปถึงเสียงกรีดร้องของผีสาวแบนชี ในหนังสือบรรยายเด่นชัดจนเห็นภาพ

['หล่อนมักปรากฏกายในหลายรูปแบบ โดยมากมักเป็นหญิงแก่น่าเกลียด ทว่าบางครั้งก็เป็นสตรีผู้งดงามราวนางฟ้า บ่อยครั้งมีการบรรยายรายละเอียดของแบนชีไว้ว่าสวมชุดยาวกุยกราย สีขาวหรือสีเทา มักชอบหวีผมยาวสีซีดด้วยหวีเงิน]
[แต่ไม่ว่าจะเห็นในรูปแบบไหนก็ตามที หากใครได้ยินเสียงร้องโหยหวนของแบนชี นั่นถือเป็นลางบอกเหตุว่าในค่ำคืนนั้นจะมีคนตาย']

คนอ่านกลืนน้ำลายฝืดคอ หันซ้ายแลขวาก็นึกตำหนิตัวเอง หนังสืออื่นมีมากมายไม่หยิบมาอ่าน ที่ตั้งใจจะอ่านหนังสือฆ่าเวลารอให้ง่วง หวังลดการใช้ยานอนหลับโดยไม่จำเป็น คงผิดแผน

มีอย่างที่ไหน...ดึกดื่นเที่ยงคืนกลับมานอนอ่านหนังสือเกี่ยวกับตำนานภูตผี ซ้ำร้ายยังมีกลิ่นดอกราตรี ซ่อนกลิ่นระคนลั่นทมอบอวล

คืนนี้ทั้งคืน...คงไม่ได้นอนเป็นแน่

แต่ถึงแม้จะหวาดกลัวจับจิต กระนั้นชายหนุ่มก็ยังคงต้องอ่านต่อไป ด้วยไม่อาจฝืนนิสัยการอ่านของตนเอง ที่ไม่ชอบทิ้งเรื่องราวให้ค้างคา

['ตามตำนาน...แบนชีถือว่าเป็นเทพธิดาที่คอยส่งเสียงร้อง เมื่อใครบางคนเกี่ยวข้องกับความตาย ต่อมาในช่วงหลัง ความเชื่อเรื่องของแบนชีได้ถูกผูกโยงเข้ากับเรื่องราวของครอบครัว หล่อนกลายเป็นผู้คอยเตือนคนในครอบครัวด้วยเสียงร้องโหยหวน เป็นลางว่าสมาชิกคนใดคนหนึ่งในครอบครัวกำลังจะตายในไม่ช้า คล้าย 'บีน -ไนจฮ์' ในเทพปกรณ์ของชาวสก็อต กล่าวกันว่า...หากใครพบเห็นบีนไนจฮ์ทำความสะอาดคราบเลือดบนเครื่องแต่งกาย เสื้อเกราะหรือชุด ถือเป็นลางบอกเหตุว่าเจ้าของชุดจะต้องตาย']

จบบรรทัดดังกล่าวดารุจก็สะดุ้งโหยง รีบปิดหนังสือที่กำลังอ่าน เมื่อครู่เหมือนหางตาของเขาเหลือบเห็นชายผ้าสีขาวนวล ไหวพะเยิบนอกหน้าต่าง พร้อมเสียงคร่ำครวญลอยตามลม

เขามั่นใจว่าไม่ใช่ชายผ้าม่านเป็นแน่ เพราะผ้าม่านในห้องนอนของเขาเป็นสีฟ้าปักประดับด้วยลูกไม้ ฝีมือเย็บปักของน้าสาว แต่ชายผ้าที่หางตาชายหนุ่มชำเลืองเห็น กลับเป็นชายผ้าขาวบางฉีกเป็นริ้ว สีขาวสุกปลั่งราวต้องแสงจันทร์จนมลังเมลือง มันลอยพะเยิบไหวตามสายลมนอกหน้าต่างซึ่งเขาเปิดรับลมเย็นและกลิ่นดอกไม้ในสวนข้างหลังบ้าน

ดารุจหลับตาปี๋ สูดลมหายใจลงลึก พยายามทำใจกล้าลุกจากเตียงไม้สี่เสาเดินไปปิดหน้าต่าง กระนั้นการก้าวย่างแต่ละครั้งล้วนยากเย็น

กระทั่งจวนถึงริมหน้าต่างห้อง เงาดำของบางสิ่งก็พาดผ่านไปฉับไว สันหลังชายหนุ่มเย็นวาบ ขนอ่อนทั่วร่างลุกเกรียวอีกหน หัวใจที่เคยเต้นหนักหน่วงหล่นร่วงแทบเท้า ยิ่งมีเสียงกรีดร้องดังลั่น มือซึ่งยังคงกำหนังสือเกี่ยวกับเรื่องราวของผีสาวแบนชีก็สั่นระริก

"แบนชี...เหรอ?!" ดารุจได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เป็นอย่างที่คิด ครั้นเดินเข้าไปใกล้หน้าต่างพอจะคว้าผ้าม่านเผยดูสิ่งที่อยู่ภายนอก บรรณารักษ์หนุ่มกลับสะดุ้งจนตัวโยน

ชายหนุ่มแผดร้อง ผงะหงายเมื่อเงาดำพุ่งตัวกระแทกม่านลูกไม้จากภายนอกเข้ามาชนเขาอย่างแรง หนังสือตำนานภูตเล่มเก่าลอยโลดไปคนละทาง

++++++++++++++++++

อรุณวดีสะดุ้งตื่น เสียงหวีดร้องของดารุจเมื่อครู่ดังมาก ดังจนหล่อนคิดว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ ครั้นเหวี่ยงแพรเพลาะคลุมกายออกได้ ก็รุดลุกวิ่งไปยังห้องของหลานชายที่อยู่ติดกันด้วยความตระหนก ในใจนึกคุณพระรัตนตรัยเป็นสรณะ

กระทั่งถึงหน้าห้อง สองมือผลักบานประตูไม้ ภาพที่ปรากฏกลับทำให้หล่อนเบาใจไปกว่าครึ่ง ถือว่าโชคยังดีที่ดารุจไม่ได้ลงกลอนประตู และตัวเขาเองก็ไม่เป็นอะไร

"เป็นอะไรหรือรุจ?" ว่าพลางถอนหายใจราวยกภูเขาออกจากอก "อยู่ๆ ก็ร้องลั่นบ้าน"

"ขอโทษครับอาอี๋" ชายหนุ่มยิ้มแห้ง เกาหัวแก้เก้อขณะนั่งอยู่บนพื้น "พอดีหงส์มันบินเข้ามาในห้องครับ ผมเองก็กำลังอ่านเรื่องผีอยู่ เลยตกใจ...เสียงดังไปหน่อย" ดารุจพูดพลางหันไปมอง 'หงส์' ซึ่งกำลังไซ้ปีกหางสีน้ำตาลอ่อนประลายจุด พลางส่งเสียงร้องบาดหูอยู่บนเตียงนอนของเขา

"เรานี่เหลือเกิน ดึกดื่นค่ำคืนใครให้อ่านเรื่องผีเรื่องสาง" อรุณวดีหันไปมองพลางส่ายหน้า

ใครจะเชื่อว่า 'หงส์' ที่ดารุจเรียกขานจะกลายเป็น 'นกแสก' สัตว์อัปมงคลที่ผู้คนพากันหวาดกลัว ด้วยมีความเชื่อว่า...นกแสกไปเกาะที่หลังคาบ้านใคร ส่งเสียงร้องให้ได้ยินเมื่อไหร่ ถือเป็นลางบอกเหตุว่าบ้านนั้นจะมีคนตาย หรือไม่ก็เกิดเรื่องอัปรีย์

ทว่าเจ้าหงส์ของดารุจกลับมาทำรัง ตั้งบ้านเป็นหลักแหล่งที่หน้าช่องลมบริเวณจั่วหลังคาหลังบ้าน ใกล้สวนไม้ดอกต้องห้ามอย่างพอเหมาะพอดี

แต่เรื่องที่น่าประหลาดมากว่า...มันมักบินมาเล่นกับหลานชายของหล่อนราวรู้จักมักคุ้นมาเนิ่นนาน ดารุจเองก็เป็นคนรักสัตว์ จึงมักนำเนื้อ หมู หรือไก่ในตู้เย็นหั่นเป็นชิ้นบางๆ มาวางให้มันที่ริมหน้าต่างในช่วงค่ำ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มันเริ่มออกหากิน

กระนั้นบ้านของหล่อนก็ยังไม่มีวี่แววว่าใครจะเกิดเหตุต้องตาย ธุรกิจร้านขายผ้าซิ่นปาเต๊ะและห้องเสื้อก็ยังก้าวหน้าดี ทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ ไม่เคยเกิดเรื่องอัปรีย์จัญไรอย่างที่ใครเขาถือ แม้วานริน...มารดาของดารุจจะเตือนหล่อนอยู่เสมอเรื่องบ้านหลังนี้

'อาดี...ขายบ้านทิ้งเถอะ ทุบทิ้งก็ได้ถ้าลู่หวงที่นัก เดี๋ยวหว้าจะเชิญซินแสมาดูที่ทางแล้วจัดฮวงจุ้ยให้ใหม่' วานรินเคยมาเยี่ยมหล่อนถึงบ้าน ทว่าอีกฝ่ายก็บ่นตั้งแต่หน้าบ้านกระทั่งเข้ามาถึงห้องรับแขก 'หว้ามาบ้านลู่ทีไร เหมือนมาสุสาน พลังหยินเต็มไปหมด หลังบ้านก็ปลูกแต่ต้นไม้ดอกไม้ต้องห้าม ลู่ไม่รู้หรือว่าดอกไม้พวกนั้นมันใช้กับคนตาย หรือไม่ก็เกี่ยวกับภูตผี แล้วไอ้นกแสกนั่นก็เหมือนกัน ไล่ๆ ไปได้แล้ว ก่อนที่เรื่องไม่ดีจะเข้าบ้าน'

บ้านที่อรุณวดีอาศัยอยู่กับดารุจ เดิมเป็นสมบัติของรำพา พี่สาวคนโตของหล่อน

บ้านหลังนี้รำพาให้ช่างสร้างขึ้นตามแบบสถาปัตยกรรมจีนผสมผสานสถาปัตยกรรมตะวันตก หรือที่เรียกกันว่า 'สถาปัตยกรรมชิโน - โปรตุกีส' ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองภูเก็ต ทว่าบ้านของรำพาไม่ได้สร้างติดกันเป็นคูหาเฉกย่านตึกเก่า ในเขตเทศบาลนครภูเก็ต หากแต่ยกแบบมาสร้างห่างจากตัวเทศบาลอยู่ไกลโข

อนึ่ง...เพื่อความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องมีบ้านติดต่อกับใครอย่างในตัวเทศบาล ทั้งยังสามารถวางรั้วรอบขอบชิด พื้นที่รอบบ้านยังเหลือว่างสำหรับปลูกไม้ดอกไม้ประดับให้ความร่มรื่น แม้กระทั่งดอกไม้ต้องห้าม รำพาก็นำมาลงปลูกไว้หลังบ้าน ไม่หวั่นเกรงต่อคำคัดค้านของบรรดาญาติพี่น้องเกี่ยวกับความเชื่อที่มีต่อต้นไม้ดอกไม้พวกนั้น

ราตรี...ซ่อนกลิ่น...ลั่นทม

เหล่านั้นถูกนำมาลงปลูกเป็นสวนสำหรับพวกมันโดยเฉพาะ ไม่มีต้นไม้อื่นใดกล้าเติบใหญ่ในถิ่นสวนที่เงียบงันราวสุสาน แม้กระทั่งในปัจจุบัน ยามเมื่อออกดอกสะพรั่ง กลิ่นหอมนั้นตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะราตรีกับซ่อนกลิ่น ดอกไม้ต้องห้ามซึ่งถือกันว่าเป็นของคนตายและภูตผี ยามกลางคืนที่มีสายลมคอยพาดผ่าน กลิ่นนั้นละลิ่วล่องฟุ้งกระจายไปไกลจนต้นซอย

ด้วยสวนไม้ดอกลี้ลับประกอบกับสภาพตัวอาคารแบบโคโลเนียล ผสมผสานบานประตูหน้าต่างไม้ และเครื่องเรือนลวดลายอย่างจีน มีหลายคนที่พูดกันว่าบ้านหลังนี้เป็นที่อยู่ของปิศาจ

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากวานรินจะพูดเรื่องเหล่านี้เป็นประจำเมื่อมาถึงบ้านหล่อน ไม่ให้ขายบ้าน ก็ให้ทุบทิ้ง แล้วก็สาธยายความคิดที่ผิดตั้งแต่พี่สาวคนโตจัดการสร้างบ้านและสวนขึ้นมาด้วยมือของตนเอง ไม่ยอมฟังเสียงคัดค้าน จนในที่สุดก็ต้องมามีอันเป็นไป

'อาเจ้จะบ้าเหรอ' อรุณวดีคร้านจะโต้เถียง หากก็รำคาญเหลือเกินที่ต้องมานั่งฟังเรื่องเก่าเล่าใหม่ของพี่สาวคนรอง 'นี่มันบ้านของตัวเจ้ จะให้หว้าทำอย่างนั้นได้ยังไง อีก็รักของอีแบบนี้ แล้วอีก็ตั้งใจให้เป็นสมบัติของหลานอีด้วย'

ครั้นเอ่ยถึงลูกชายที่วานรินไม่ปรารถนา พี่สาวก็ชักสีหน้าฉับพลัน เห็นได้ชัดว่าต่อให้เวลาผ่านไปนานเพียงใด ก็ไม่มีสิ่งใดสามารถเปลี่ยนทัศนคติของพี่สาวคนรองของหล่อนได้

'หว้าไม่แปลกใจหรอก' วานรินหันไปมองรูปถ่ายประดับฝาผนังของรำพาในชุดย่าหยา อึดใจจึงเชิดหน้าราวไม่แยแส 'ที่นี่มันเป็นจุดอับอยู่แล้ว สิ่งอัปมงคลมันถึงอยู่รวมกันได้'

อรุณวดีจำได้ว่าหล่อนโกรธมากแค่ไหนเมื่อพี่สาวกล่าวเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะวานรินตั้งใจเหน็บแนมหล่อนว่าเป็นสิ่งอัปมงคลหรอก หากเพราะวานรินตั้งใจดูแคลนลูกชายที่ตั้งแง่ว่าเป็นสิ่งจัญไรต่างหาก

ไม่ใช่ด้วยเหตุผลนี้หรอกหรือ? ที่ทำให้ดารุจมีปมด้อยมาจนทุกวัน

'เจ้!' อรุณวดีเสียงแข็ง 'ถ้าเจ้จะมาพูดแค่นี้ เจ้กลับไปเหอะ หว้าไม่มีเวลามานั่งฟังเจ้บ่นได้ทุกวี่ทุกวันหรอกนะ'

พอเล่นบทนี้ พี่สาวคนรองก็เป็นอันต้องยอมอ่อนข้อ เริ่มเข้าประเด็นกิจธุระที่ทำให้ต้องมาหาหล่อนถึงที่บ้านด้วยตนเอง

คิดย้อนกลับไปก็อดสงสารหลานชายไม่ได้ บางทีก็นึกสงสัย ตัวของหล่อนคงจะเป็นหนึ่งในสิ่งไม่ดีของบ้านหลังนี้เสียกระมัง หรือไม่...ดวงของหล่อนก็คงอยู่ในจำพวกที่เรียกกันว่า 'ดวงแรง' เรื่องราวร้ายๆ ถึงไม่เคยเกิดขึ้นกับหล่อนแม้แต่นิด

ทว่าเรื่องเหล่านั้นสาวใหญ่ไม่เคยใส่ใจและเชื่อถือ หล่อนรู้แต่ว่า หน้าที่ที่ได้รับมอบจากรำพาและบิดาของดารุจ นั่นก็คือคอยดูแลหลานชายคนเดียวให้เติบโตและเป็นคนดี

"อาอี๋!" เสียงเรียกของดารุจปลุกอรุณวดีจากภวังค์ความคิด ครั้นหันไปมองจึงพบว่าหลานชายกำลังให้นกแสกเกาะแขน ซึ่งพันผ้าไว้จนหนาต่างคอนไม้ นัยน์ตาอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความสงสัย 'อาอี๋เป็นอะไรครับ ผมเรียกตั้งนานไม่เห็นตอบ"

น้าสาวอึกอัก พยายามคิดหาเหตุผลอันเหมาะสม ก็ประจวบเหมาะพอดีเมื่อเสียงร้องทุ่มต่ำราวเสียงคำรามในลำคอดังขึ้นที่หน้าห้อง น้าสาวและหลานชายเหลียวไปมอง แม้แต่นกแสกบนแขนชายหนุ่มก็ชะเง้อดูพลางโยกคอ

เงาดำเคลื่อนออกจากหลังบานประตูหน้าห้อง ในความมืดมิดปรากฏนัยน์ตาสีแดงก่ำราวสีเลือด จับจ้องมองมายังบุคคลภายในห้องรวมถึงนกแสกบนแขนของดารุจ เสียงคำรามต่ำในลำคอยังคงดังเป็นระยะ คล้ายเสียงโอดครวญของเหล่าภูตผี

แรกเห็นอรุณวดีก็ใจหาย แต่เมื่อนึกขึ้นได้จึงถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะขานชื่ออย่างคุ้นชิน

"ว่ายังไงเจ้าเสือ ทำไมวันนี้มาเสียดึกดื่น" สาวใหญ่เดินไปที่เงาตะคุ่ม แววตาสีเลือดยังฉาบฉาย ครั้นสองมือช้อนประคองขึ้นมากอดได้อีกฝ่ายก็คลอเคลีย

"มาแล้วเหรอ?!" ดารุจร้องเรียกอย่างดีใจ เดินไปที่ริมหน้าต่างแล้ววางนกแสกให้เกาะที่ขอบหน้าต่างไม้แทน จากนั้นจึงหันไปเล่นกับแมวลายพาดกลอนที่อรุณวดีอุ้มมาให้

'เสือ' ของอรุณวดีคือ 'แมว' หากเป็นแมวที่ไม่มีใครปรารถนาจะเลี้ยง ด้วยลักษณะของมันถือกันว่าเป็นแมวให้โทษ ใครเลี้ยงจะเกิดแต่ความเสื่อมเสียและหายนะ ดารุจเคยอ่านบทกลอนและให้หล่อนดูรูปเกี่ยวกับแมวลักษณะให้โทษชนิดต่างๆ ซึ่งคัดลอกมาจากสมุดข่อยโบราณ บังเอิญว่า 'เจ้าเสือ' ดันไปมีลักษณะตรงกับลักษณะแมวให้โทษตัวหนึ่ง

มีพรรณพยัฆเพศพื้น ลายเสือ
ขนดั่งชุบครำเกลือ แกลบกล้อง
สีตาโสตรแสงเจือ เจิมเปือก ตาแฮ
เสียงดั่งผีโป่งร้อง เรียกแคว้นพงไสล

ตอนแรกอรุณวดีก็คัดค้านที่ดารุจจะนำแมวลายเสือ หรือ 'แมวพรรณพยัคฆ์' มาเลี้ยง แรกเห็นก็บอกได้ทันทีว่ามันน่ากลัวเหลือเกิน ตัวลายพร้อยพลาดกลอน นัยน์ตาสีแดงเหมือนย้อมด้วยเลือด เวลาส่งเสียงร้องก็คล้ายเสียงนั้นจะคำรามในลำคอ ราวเสียงโอดครวญของภูตผี ยิ่งได้ยินว่าเป็นแมวที่ชอบหลบซ่อนในที่มืดยามกลางวัน ออกหากินยามกลางคืน อรุณวดีก็ค้านคอเป็นเอ็น

ทว่าเพราะเหตุผลของหลานชายนั่นล่ะที่ทำให้หล่อนใจอ่อน ดารุจไปเจอมันระหว่างทางในตอนพลบค่ำตั้งแต่มันยังเป็นลูกแมวตัวเล็ก ถูกชาวบ้านไล่ตีหวิดพลัดตกท่อระบายน้ำทิ้ง ตัวมันผอมกะหร่องเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก สองเท้าหน้าพยายามตะกายตะแกรงปิดฝาท่อ พาตัวอีกครึ่งที่ห้อยโหนขึ้นเหนือน้ำเน่าเหม็น แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่อาจขึ้นมาได้ มันจึงพยายามส่งเสียงร้องบาดแก้วหูที่ดูคล้ายเสียงผีโป่งออกมาเป็นระยะ

หลานชายของหล่อนพบเข้าจึงนำตัวใส่กระเป๋าเดินทางกลับบ้าน ทำความสะอาดและให้ข้าวให้น้ำจนอิ่มหมีพีมัน ก่อนมันจะวิ่งลับหายไปจากบ้าน กลับมาอีกครั้งก็ในช่วงตะวันตกดิน และไม่น่าเชื่อว่า...มันกลายเป็นเพื่อนที่ดีของดารุจไปโดยปริยาย

"ได้เวลามานอนเป็นเพื่อนรุจล่ะสิ" อรุณวดียื่นแมวลายเสือให้หลานชายอุ้ม หันไปมองนกแสกที่เกาะริมหน้าต่าง เห็นมันกระพือปีกโผบิน ถลาร่อนพลางส่งเสียงร้องราวขอตัวลาไปท่องราตรี "เอาล่ะ อี๋เห็นทีต้องขอตัวไปนอนด้วยเหมือนกัน"

ว่าพลางหันไปทางหน้าต่างห้องของหลานชาย "แต่ก่อนนอนอย่าลืมปิดหน้าต่างด้วยล่ะ ประเดี๋ยวยุงจะเข้ามาหามเอา แล้วช่วงนี้ดอกไม้หลังบ้านก็พร้อมใจกันบานด้วย ซ่อนกลิ่นเอย ราตรีเอย พวกนี้กลิ่นมันแรง ได้กลิ่นนานๆ มันจะเวียนหัว คลื่นไส้ ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วไปทำงานไม่ไหวอย่าหาว่าอี๋ไม่เตือน"

"เดี๋ยวปิดแล้วครับอาอี๋" ดารุจออดอ้อน เป็นกิริยาที่ทำให้อรุณวดียิ้มได้เสมอ

บอกลาเป็นที่เรียบร้อย สาวใหญ่ในชุดนอนตัดเย็บจากผ้าปาเต๊ะก็กลับเข้าห้อง ปิดประตูลงกลอนแล้วเดินไปที่ริมหน้าต่าง หล่อนผลักมันออกเพื่อสูดดอมกลิ่นหอมเยือกเย็นของราตรี ซ่อนกลิ่นและลั่นทมที่คละเคล้าระคนกัน

ในความมืดมิด สีขาวของเหล่าบุปผชาติต้องห้ามดารดาษเต็มสวน ละไอหมอกลอยเรี่ยพื้น ชูความงามของช่อดอกขาวสะพรั่งให้ละม้ายดวงดาวบนผืนฟ้า

อรุณวดียิ้มละไม นึกสงสารมวลดอกไม้หอมเหล่านี้นัก เป็นพรอันประเสริฐที่เกิดมางดงามหอมกรุ่น ประดุจหญิงสาวผู้อ่อนหวาน เรียบร้อย หากโชคร้ายที่ได้รับคำสาปให้เกี่ยวพันกับความตายและหายนะ จนกลายเป็นที่ชิงชังของผู้คน

ทอดอารมณ์ชั่วครู่จึงดึงหน้าต่างปิด ไม่ทันได้เห็นใครบางคนที่นั่งหันหลังท่ามกลางละไอหมอกลอยเรี่ยในสวนข้างล่าง

ละม้ายจะเป็นสตรี ผมสีเงินยวงยาวสยายใกล้เคียงสีขาวของชุดบางกรุยกราย ร่างนั้นนั่งบนเนินดินข้างพุ่มราตรีและดงซ่อนกลิ่น ครั้นสายลมพาดพัด ปลิดดอกลั่นทมขาวให้ร่วงลงข้างๆ มือที่เคยจับหวีเงินสางเส้นผมก็ผละไปหยิบดอกไม้ขึ้นมาทัดใบหู

จากนั้น...เสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้นราวบทเพลงแสนเศร้า ผสานเสียงนกแสกที่กระพือปีกโผวนเหนือหลังคาบ้านของอรุณวดี เสียงนั้นกรีดลึกรวดร้าว ราวจะพรากเอาชีวิตของใครไปสักคน

++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2555, 09:03:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2555, 09:03:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1347





<< องก์ที่ ๕   องก์ที่ ๗ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account