อาทิตย์พรางดาว
เมื่อความเคียดแค้นชิงชังที่มีมาระหว่างพี่น้องต่างมารดา ทำให้เกิดเรื่องราวต่างที่นำมาซึ่งความสุข เศร้า และโศกนาฏกรรม! ดาวเหนือจะทำอย่างไรเมื่อตะวันฉายผู้เป็นเกลียดเธอจนไม่อยากจะอยู่ร่วมโลก และตฤณจะทำอย่างไรเพื่อปกป้องคนรักไม่ให้โดนทำร้าย ต้องติดตามใน 'อาทิตย์พรางดาว'
Tags: ดราม่า

ตอน: ตอนที่ 33

ตอนที่ 33

คุณมินตราเดินลงจากบันไดไปทางห้องครัวเมื่อได้ยินเสียงคุ้นเคยกำลังเจื้อยแจ้วอยู่กับคุณบุษบาที่กำลังเตรียมประกอบอาหารเย็น พอชะโงกหน้าเข้าไปก็ต้องยิ้มเมื่อเดาถูกว่าลูกมือของคุณบุษบาในวันนี้คือใคร พรายจันทร์กำลังหั่นผักคะน้าต้นใหญ่ใส่กะละมังพลาสติกตามที่คุณบุษบาสั่งก่อนจะนำมันล้างทิ้งให้สะเด็ดก่อนยกไปวางไว้ข้างแม่ครัวที่กำลังรอให้น้ำมันในกระทะเดือด ถามขึ้นอย่างร่างเริง

“มีอะไรให้ทำต่อคะ น้าบุษ จันทร์กำลังสนุก”

“เดี๋ยวคุณจันทร์ช่วยหั่นเนื้อหมูให้น้าหน่อยนะคะ น้าจะเอาไปหมักซีอิ๊ว ทำหมูทอดซีอิ๊วให้ทาน”

“ได้ค่ะ” ร่างบางเปิดตู้เย็นออกหยิบเนื้อหมูมาจัดการหั่นให้เป็นชิ้นกำลังดี ไม่หนาไปหรือบางไป แล้วยกขึ้นให้คุณบุษบาดูว่าใช้ได้หรือยัง พอได้รับคำตอบว่าใช้ได้แล้ว หญิงสาวก็ลงมือต่อ เงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้มารดาของตนที่เดินเข้ามาแซว

“แม่ว่านะ จันทร์เนี่ยน่าจะไปเปิดร้านอาหารมากกว่าเป็นครูนะ ดูสิ หั่นออกมาสวยเชียว” หยิบเนื้อหมูชิ้นที่หั่นไว้ขึ้นมาดู

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะแม่ จันทร์ชอบทำให้คนในครอบครัวทานมากกว่า ถ้าต้องไปทำให้คนอื่นทานมันต้องปรับโน่นปรับนี่ ต่างคนต่างความชอบ ยุ่งยากจะตาย คนในครอบครัวเรารู้อยู่แล้วว่าใครชอบอะไรยังไงเลยง่าย...” หญิงสาวใช้มีดกวาดเอาเนื้อหมูที่หั่นแล้วบนเขียงลงกะละมังอีกใบก่อนจะเทซีอิ๊วใส่ลงไป พูดต่อ “อีกอย่างนะคะตอนที่มีลูกค้าแค่คนสองคนมันก็สนุกดี แต่หากบางวันยุ่งลูกค้ามาเป็นสิบ โอ๊ย! ไม่ต้องพูดเลยค่ะ เหนื่อยสาหัสกว่ารับมือกับเด็กซนๆทั้งห้องเลย”

“จ้า...แม่คนรักสงบ” คุณมินตราค้อนลูกคนเล็ก “แล้วมีอะไรให้พี่ช่วยไหมบุษ”

“ไม่เป็นไรค่ะคุณพี่ ใกล้จะเสร็จแล้ว เหลือทอดหมูอีกอย่างก็หมดแล้ว”

คุณมินตราพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องครัว เธอกะจะเดินออกไปดูดอกไม้ที่เพิ่งจะให้คนสวนปลูกเมื่อวานเสียหน่อย ก็เจอกับคุณหญิงผกามาศกำลังกำกับคนสวนให้รดน้ำกล้วยไม้ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่แสนโปรปรานของคุณหญิงอยู่ จึงเดินเข้าไปร่วมวงกับแม่สามีเอ่ยยิ้มๆ

“คุณแม่ลงมาจัดการเองเลยเหรอคะ”

“อ้าว...แม่มินเองรึ” คุณหญิงมองลอดแว่นสายตา “ ใช่แล้วล่ะ ถ้าไม่ลงมาคุมเอง เดี๋ยวก็รดส่งๆ กล้วยไม้ฉันไม่ออกดอกกันพอดี” มองดุคนสวนวัยไล่เลี่ยกันที่ส่งยิ้มแห้งๆมาให้ มินตรายิ้มน้อยก่อนจะเดินแยกไปดูดอกราชาวดีช่องามของตน

ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจากม่วงอมส้มเป็นดำสนิท ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวเริ่มปรากฎให้เห็นเด่นชัดรายล้อมด้วยดวงดาวหลายล้านดวงทอแสงระยิบระยับทำให้ผู้ที่เงยหน้ามองต้องยิ้มกว้าง คุณหญิงผกามาศจ้องดวงดาวต่างอย่างมีความสุขน้อยครั้งที่ท้องฟ้าในกรุงเทพมหานครจะใสกระจ่างเผยให้เห็นหมู่ดาวอย่างนี้

“วันนี้ฟ้าสวย มองเห็นดาว”

คุณมินตราเดินเข้ามาประคอง แหงนหน้ามองบ้างคลี่ยิ้มออกมา “นั่นสิคะคุณแม่ เห็นแล้วผ่อนคลายจริงๆ”

“พูดถึงผ่อนคลาย ฉันว่าเราไปเที่ยวพักผ่อนกันหน่อยดีกว่า ไม่ได้ไปเที่ยวกันทั้งครอบครัวมานานน่าดูแล้ว” คุณหญิงผกามาศเปรยขึ้น คุณมินตราคิดตามก็เห็นว่าเป็นจริงจึงรีบตอบรับ

“ดีเลยค่ะคุณแม่ จะได้ให้คุณชนะได้พักผ่อนบ้างหมู่นี้ทำงานหนักอยู่คนเดียว”

“แล้วยายตะวันไปไหนเสียล่ะ ไม่ได้ไปช่วยตาชนะทำงานเหรอ เห็นออกจากบ้านทุกวัน” คุณหญิงผกามาศถามอย่างแปลกใจ เพราะตั้งแต่ตะวันฉายกลับมาจากเมืองนอกก็เข้าไปช่วยงานไม่เคยบิดพลิ้วทำให้ลูกชายของท่านผ่อนภาระลงได้บ้าง แต่หมู่ท่านประธานใหญ่กลับบ้านหลังจากที่ทุกคนทานข้าวเย็นทุกวัน แถมสีหน้ายังอิดโรยมากจนกลัวว่าลูกชายจะล้มหมอนนอนเสื่อ หากตะวันฉายเหลวไหลจริงๆเห็นทีต้องเรียกมาอบรมเสียหน่อย คุณมินตราหน้าเจื่อน อ้อมแอ้มตอบ

“ก็เห็นคุณชนะบ่นว่าไม่ได้เข้าบริษัทสองสามวันแล้วค่ะ บางวันเข้าไปแล้วก็รีบออกมา เอกสารอื่นเลขาเลยต้องเอาไปให้คุณชนะเซ็นแทน แล้วเมื่อวันก่อนยังปล่อยให้ลูกค้ารอเป็นชั่วโมงอีกค่ะ”

“เหลวไหล! ทำไมยายตะวันเหลวไหลอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้น ยายตะวันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนนี่แม่มิน ต่อให้ไปเที่ยวดึกดื่นแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยเสียการงาน เรารู้รึเปล่าว่าลูกหายไปไหนทุกวัน” คุณหญิงคาดคั้น ถอนหายใจอย่างหงุดหงิดเมื่ออีกฝ่ายส่ายหน้าเบาๆแทนคำตอบ

“แล้วนี่แม่ตัวดีกลับมาหรือยัง”

“ยังเลยค่ะ วันนี้ก็ออกไปแต่เช้า มินเองก็ไม่รู้จะทำยังไง หมู่นี้ลูกไม่ค่อยบอกอะไรมินเหมือนแต่ก่อน มินกลัวค่ะคุณแม่ กลัวว่ายายตะวันจะทำอะไรที่มันไม่ถูกต้อง” น้ำเสียงของเธอดูกังวลมากจนคุณหญิงต้องลูบไหล่ปลอบประโลมสะใภ้หลวงอย่างสงสาร

ประมุขของบ้านเข้าใจดีว่าการจะคุมคนมั่นใจในตัวเองเกินร้อยอย่างตะวันฉายให้อยู่ในโอวาทเป็นเรื่องยาก แต่สะใภ้คนนี้ของเธอก็ทำเต็มที่แล้ว หากอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด พวกเธอคงทำได้แค่ภาวนาให้ทุกอย่างไม่เลวร้ายเกินไปนัก

“เอาเถอะ ใจเย็นๆก่อน มันอาจจะไม่มีอะไร แค่หนีไปเที่ยวแล้วติดลมแค่นั้น คงไม่ได้ไปทำอย่างอื่นหรอก”

“มินก็อยากจะคิดอย่างนั้น แต่เมื่อวันก่อนมินได้ยินตาพัดคุยกับยายจันทร์ว่า ดาวกับตาตฤณเลิกกันแล้ว เพราะยายตะวันไปตามราวีดาวที่ทำงาน” คุณมินตราเล่าให้แม่สามีฟังถึงเรื่องที่เธอเก็บเอาไว้มาหลายวัน เธอไม่กล้าเล่าให้สามีฟังเพราะกลัวเขาจะโกรธและก็ไม่กล้าเล่าให้คุณบุษบาฟังเพราะละอายใจที่ตะวันฉายทำให้ดาวเหนือต้องเสียคนรักไปถึงสองครั้ง คุณหญิงผกามาศยกมือทาบอก อุทานออกมาอย่างตื่นตะลึง

“จริงรึนี่! ยายตะวันชักจะเอาใหญ่ ที่เคยพูดไปตอนนั้นไม่ได้เข้าหูเลยใช่ไหม เห็นทีกลับมาแล้วต้องเตือนกันจริงจังอีกที มีอย่างที่ไหนพี่แย่งผู้ชายของน้อง แบบนี่มันน่ารังเกียจเกินไปแล้ว ตอนตาชนะกับพวกเธอสองคนฉันยอมเพราะเห็นว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกัน แถมเป็นคนดีทั้งคู่แต่ต้องมาเสียเพราะคนของฉัน ฉันต้องรับผิดชอบเธอทั้งสองคน...” คุณหญิงผกามาศสูดลมหายใจเข้าลึก ประกาศกร้าว

“...แต่คราวนี้ฉันไม่ยอม! พี่น้องจะมาทะเลาะกันเพราะผู้ชายคนเดียวไม่ได้ ต้องมีคนหนึ่งถอย และคนที่ถอยต้องเป็นตะวันฉาย”


ตะวันฉายดับเครื่องยนต์รวบถุงกระดาษพิมพ์มันหลายใบหลากชื่อที่ล้วนแล้วแต่เป็นของร้านดังด้านข้างมาถือไว้ ใบหน้าสวยเฉี่ยวยังคงบึ้งตึง แม้จะไปเดินช้อปปิ้งดับโมโหมานานถึงสามชั่วโมงแล้วก็ตามแต่ดูเหมือนว่าการกระทำของตฤณวันนี้จะมีอิทธิพลต่อเธอมากถึงมากที่สุด ร่างเพรียวก้าวออกจากรถแล้วใช้มือข้างที่ว่างผลักประตูปิดอย่างแรง เดินเข้าบ้านไประหว่างทางก็ตะโกนเรียกหาแวว

“แวว...นังแวว!” ไม่นานนักแววก็แบกเอาร่างท้วมของตนวิ่งทึกๆมาหาเจ้านายสาวส่งยิ้มแหยให้กับตาดุของอีกฝ่าย ตะวันฉายส่งถุงในมือให้ “เอาไปเก็บไว้ที่ห้อง พวกเสื้อผ้าก็เอาใส่ตะกร้าไว้แล้วพรุ่งนี้แกซักให้ฉันที ซักมือนะยะ อย่าได้เอาลงเครื่องเชียว ถ้าเสื้อฉันพังฉันจะตัดเงินเดือนแก”

“ค่ะ คุณตะวัน”

“อ้อ...แล้วถุงนี้...”หญิงสาวกระชากถุงกระดาษสีดำจากแวว “ เดี๋ยวแกซักให้ฉันคืนนี้เลย อบแห้งแล้วก็รีดด้วย พรุ่งนี้ฉันจะใส่ตัวนี้” แววรับคำก่อนจะรีบไปทำตามที่เจ้านายสั่ง ตะวันฉายเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นที่ร้างผู้คนมองนาฬิกาข้อมือเห็นว่าเป็นเวลาอาหารเย็นของบ้าน สงสัยทุกคนจะอยู่ที่นั่นเธอจึงทิ้งตัวลงกับโซฟาตัวใหญ่อย่างแรง กอดอกครุ่นคิดถึงวิธีการต่อไป

“กลับมาแล้วเหรอยายตะวัน”

น้ำเสียงราบเรียบแฝงแววเย็นชาดังขึ้นพร้อมกับร่างของคุณหญิงผกามาศที่มีพรายจันทร์คอยประคองเดินเข้ามา ตะวันฉายลุกขึ้นยกมือไหว้คุณย่าก่อนจะเขยิบไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวด้านข้างแทน สายตามองจิกคนที่เดินตามหลังมารดาตัวเองมา คุณมินตราทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาใหญ่กับคุณหญิง ส่วนคุณบุษบานั่งลงตรงข้ามกับตะวันฉายก้มหน้านิ่ง พรายจันทร์เดินไปยืนอยู่ชิดกำแพงห้องแทน ตะวันฉายนิ่วหน้าเมื่อไม่เห็นบิดา

“แล้วคุณพ่อไปไหนคะเนี่ย”

“พ่อเราเขาก็ทำงานอยู่น่ะสิ กลับบ้านมาหลังกินข้าวเย็นทุกวัน เห็นบ่นๆว่างานหนัก คนช่วยก็มัวแต่ไปเที่ยวที่ไหนไม่รู้ ปล่อยให้พ่อทำงานงกๆ” คุณหญิงผกามาศแขวะหลานสาวคนโตที่ผินไปอีกทางเพื่อเบ้ปาก

“ แหม ตะวันเพิ่งโดดงานเมื่อไม่กี่วันก่อนเองนะคะคุณย่า มันจะอะไรนักหนา ไม่มีอะไรเสียหายซักหน่อย”

“แกแน่ใจรึตะวัน แม่แกบอกกับย่าว่าแกปล่อยให้ลูกค้าสำคัญนั่งรอตั้งนาน จนเขาโกรธจะไม่ต่อสัญญากับเราอยู่แล้ว พ่อแกเลยต้องยอมขาดทุนลดราคาให้อีกตั้งสิบเปอร์เซ็นต์ เขาถึงยอมต่อสัญญาต่อ แล้วนี่นะเหรอที่แกบอกยังไม่มีอะไรเสียหาย แกโตแล้วนะ หัดใช้สมองคิดก่อนทำเสียบ้าง ไม่ใช่ทำก่อนแล้วค่อยคิด” หญิงสาวเงียบไม่ต่อปากต่อคำ มีเพียงแววตาขุ่นเขียวเท่านั้นที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่พอใจที่โดนดุ แต่ก็ยังดื้อแพ่ง

“ก็แค่ขาดทุนไปนิดหน่อย เรายังไม่ได้เสียลูกค้าไปก็เท่านั้น จะมาบ่นอะไรนักหนาคะคุณย่า ตะวันเบื่อ”

“ตะวันฉาย! มันจะมากไปแล้วนะ” คุณหญิงผุดลุกชี้นิ้วไปทางหลานสาวตัวดีตะโกนก้องอย่างโมโห จนทุคนในที่นั้นสะดุ้งเฮือกเพราะไม่ค่อยได้เห็นคุณหญิงขึ้นเสียงใส่ใครเท่าไหร่ คุณมินตราเห็นว่าแม่สามีโกรธจริงจึงรีบเตือนลูก

“ไม่เอาตะวัน อย่าพูดแบบนี้ คุณย่าท่านหวังดี กราบขอโทษท่านเสีย”

ตะวันฉายฮึดฮัดแต่ก็ยอมยกมือไหว้ลวกๆ แล้วเชิดหน้าไปอีกทางทันที คุณมินตราหน้าเสียหันไปขอโทษแม่สามีแทนซึ่งอีกฝ่ายก็โบกมือไปมาไม่ถือสา

“เอาเถอะ ไอ้เรื่องงานมันแล้วไปแล้ว แต่คราวหลังอย่าทำอีก เพราะถ้ามีอีกฉันจะให้พ่อหล่อนตัดเงินเดือนซะ เข้าใจไหม”

“ค่ะ” รับคำอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจแต่ขัดมารดาที่ส่งสายดุๆมาให้ หญิงสาวลุกขึ้นยืน หันไปหาคุณย่าแล้วถาม “คุณย่ามีอะไรกับตะวันอีกไหมค่ะ ตะวันง่วงนอน”

“มี...ฉันยังมีอีกเรื่อง นั่งลงซะอย่ายืนค้ำหัวผู้ใหญ่...” รอจนหลานสาวนั่งลงแล้วคุณหญิงจึงรีบเข้าเรื่องสำคัญที่ต้องพูดกับตะวันฉายวันนี้

“ เรื่องที่ฉันจะพูดก็เรื่องของยายดาวกับแฟนเขา ฉันอยากให้แกเลิกไปยุ่งกับตฤณซะที เขามีคนรักแล้วและที่สำคัญคนรักที่ว่านั่นก็น้องแก” ตะวันฉายหันขวับไปมองผู้เป็นย่าตาลุก พูดออกมาอย่างเดือดดาล

“อะไรกันนักหนาคะคุณย่า ยุคนี้มันประชาธิปไตยแล้วนะ ตะวันอยากจะทำอะไรมันก็สิทธิ์ของตะวัน”

“ก็ถูก แต่ควรจะรู้บ้างว่าอะไรเป็นอะไร ชื่นชมอยู่ห่างๆน่ะฉันไม่ว่าอันที่จริงมันก็ไม่ควร แต่นี่แกเล่นทำเกินไป ทำให้เขาเลิกกันทั้งที่รักกันมากขนาดนั้น คำว่าบาปกรรมน่ะสะกดเป็นไหม”

“เป็นค่ะ แต่ตะวันไม่สนใจ อีกอย่างคุณย่าจะมากล่าวหาตะวันลอยๆไม่ได้นะคะ ไอ้ที่เลิกกันอาจจะเพราะตฤณเขาหูตาสว่างแล้วมั้งคะว่าใครกันแน่ที่เหมาะสมกับเขา...” บอกยิ้มๆ อย่างไม่รู้สึกรู้สาว่าสิ่งตัวเองทำลงไปมันผิด จนคุณหญิงผกามาศโกรธจัด ตัวสั่นเทิ้มรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมากะทันหันจนต้องยกมือขึ้นมากุมบริเวณหัวใจเซเล็กน้อย คุณมินตราที่อยู่ใกล้สุดผวาเข้าประคองพาลงนั่งให้ได้หายใจหายคอมากขึ้น

ตะวันฉายก็ไม่ใส่ใจกับอาการของย่าเพราะตอนนี้ที่เธอสนใจมีเพียงอย่างเดียวก็คือผู้หญิงที่มาทำลายความสมบูรณ์แบบของครอบครัวเธอ จากครอบครัวอบอุ่นพร้อมหน้าพ่อแม่ลูกที่ใครต่อใครพากันพูดถึงอย่างชมเชยกับต้องมีรอยดำมาแปดเปื้อนเพราะการเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ของคุณบุษบา ทำให้คนอื่นที่เคยชื่นชมพลิกลิ้นซุบซิบนินทาถึงความไม่ซื่อสัตย์ในครอบครัวแทน

ต่อให้แม่ของเธอหรือคุณย่าทนได้แต่เธอทนไม่ได้และจะต้องนำเอาครอบครัวที่มีแค่พ่อ แม่ เธอ พรายจันทร์แล้วก็คุณย่าเท่านั้นคืนมา หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้แล้วบอกต่ออย่างสะใจที่ได้เหยียบความรู้สึกของอีกฝ่ายให้จมดิน

“เอ..ถ้าเราลงเอยกันจริง ตะวันจะทำใจดียอมให้ยายดาวมาเป็นเมียน้อยเหมือนแม่นี่..” สะบัดหน้าไปทางคุณบุษบาที่หน้าซีดทำท่าจะเป็นลม ยิ้มเยาะให้ “...ถือซะว่าตะวันทำบุญให้ลูกนกลูกกาที่หาสามีของตัวเองไม่ได้ก็แล้วกัน”

คุณบุษบามองหญิงสาวที่เธอรักแบบถวายหัวอย่างเจ็บใจในคำพูดนั้น ข้างฝ่ายคุณมินตราก็มองการกระทำของลูกสาวคนโตอย่างไม่พอใจ แต่ยังไม่ทันได้สอนสั่ง เสียงเรียบของหญิงสาวอีกคนก็ดังขึ้นซะก่อน

“ที่คุณตะวันพูดก็ถูกคุณย่า เขามีสิทธิ์...” ดาวเหนือที่ตามาหามารดาที่นี่และได้ยินวาจาดูถูกเธอและแม่จากปากของคนที่เป็นพี่ร่วมบิดาก็ก้าวเข้ามายืนประจันหน้ากับอีกฝ่ายที่ยืนเชิดหน้าใส่แม้จะเจื่อนลงไปชั่วครู่เพราะไม่คาดคิดว่าเธอจะโผล่มา ร่างโปร่งจ้องเข้าไปในดวงตาสวยเฉี่ยวอย่างมั่นคงแกมท้าทาย ก่อนจะต่อให้จบประโยค “...แต่พี่ตฤณเขาจะยอมรับกับเรื่องเก่าๆของคุณตะวันได้หรือเปล่านี่ก็อีกเรื่อง”

ตะวันฉายหันกลับมามองคนอวดดีอย่างแค้นเคือง แต่ยังอดทนกัดฟันถาม ตาววาวโรจน์ “แกหมายความว่ายังไง”

ดาวเหนือเหยียดยิ้ม “ก็...พี่ตฤณเขาค่อนข้างจะเรื่องมากเรื่องแบบนี้ ผู้หญิงที่เก่งจนปรุไปหมดทั้งตัวอย่างคุณน่ะ...” หญิงสาวเน้นคำว่าเก่ง พร้อมกับกวาดสายตาทั่วร่างของตะวันฉายที่ยืนหน้าซีด ไล่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ให้รู้กันว่าหมายความถึงเรื่องอะไร

“...เขาจะรับได้ไหมนะ” ยิ้มมุมปากนิดๆ ดวงตาท้าทาย

“นังดาว!” ตะวันฉายที่โกรธจนตัวสั่นร้องลั่นพุ่งตัวเข้ามาหวังจะฝากรอยแดงไว้บนแก้มของเธอ ดาวเหนือเตรียมตั้งรับ แต่ก็โดนเสียงเข้มของคุณหญิงผกามาศห้ามเอาไว้

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! ตะวันฉาย อย่ามาทำกิริยาต่ำทรามในบ้านหลังนี้ ไป...กลับขึ้นห้องของแกไปซะ ไปสิ!”

หญิงสาวลดมือลงอย่างไม่เต็มใจ มองทุกคนกราดก่อนมาจบลงที่ศัตรูหัวใจอย่างฝากเอาไว้ก่อน สุดท้ายก็คว้ากระเป๋าเดินฮึดฮัดกระแทกไหล่ดาวเหนือจนเซกลับห้องไป ดาวเหนือยืนนิ่งไม่มองตามตะวันฉายเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้ที่เธอสนใจมีเพียงคุณมินตราเท่านั้น

คุณมินตรายืนโงนเงนทำท่าจะเป็นลม สุดแสนจะเสียใจที่นิสัยของตะวันฉายนั้นเกินจะเยียวยา กล้าพูดออกมาได้ไม่อายปากเลยว่าจะแย่งผู้ชายของน้อง นี่เธอเลี้ยงลูกพลาดที่ตรงไหน คุณมินตราได้แต่นั่งคิดทบทวนด้วยความช้ำใจ คุณบุษบาและพรายจันทร์ที่มองเห็นแล้วว่าอาการของคุณมินตราไม่ค่อยจะดี ก็ตรงเข้ามาประคองให้นั่ง พร้อมกับเอาหนังสือมาพัด ตะโกนเรียกยาดมให้วุ่น

คุณหญิงผกามาศมองตามหลังหลานสาวคนโตไปอย่างเคืองใจ ทิ้งตัวลงนั่ง ยกพัดลูกไม้ประจำตัวสะบัดแรงๆระบายอารมณ์ เหลือบมองลูกสะใภ้หลวงอย่างสงสารแกมหงุดหงิด แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมาเพราะรู้ดีว่าคนเป็นแม่คงจะเจ็บช้ำมากแล้ว พอมองไปอีกทางก็เห็นหลานสาวคนเล็กยืนนิ่งมองไปทางคุณมินตราอย่างเสียใจและกังวล

“ดาว...ไม่ต้องคิดมากนะลูก...ป้าไม่โกรธหนูหรอก ทั้งหมดมันคือความจริง จะมานั่งหลอกตัวเองอีกไม่ได้แล้ว เรื่องคราวนี้ยังไงซะป้าก็จะไม่ยอมให้ยายตะวันไปแย่งคนของหนูเด็ดขาด ป้าสัญญา” คุณมินตราบอกอย่างแน่วแน่หลังจากที่เห็นสายตาเป็นกังวลของดาวเหนือ เธอรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ มากไปกว่านั้นเธอเองก็ต้องทำหน้าที่แม่ ปกป้องศักดิ์ศรีของลูกสาวไม่ให้ใครมาครหาได้ว่าแย่งคนรักของน้อง

ดาวเหนือทรุดตัวลงกับพื้น ค่อยๆคลานเข่าเข้ามาหาคุณมินตรา สองมือประนมกราบลงแทบตัก เงยหน้าที่มีหยาดน้ำไหลอาบ แล้วบอกเสียงสั่นเครือ

“ดาวขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณป้าเสียใจ แค่อยากจะให้คุณตะวันเขาสำนึกบ้าง”
“ไม่เป็นไร บอกแล้วไงว่าไม่โกรธ แต่ถ้าหนูยังร้องไห้ จะโกรธแล้วนะ” เธอพูดทีเล่นทีจริง ดาวเหนือพยักหน้ารับ และเพราะหยุดร้องไห้ทันทีเลยทำให้ยังมีเสียงสะอื้นในอกอีกเล็กน้อย หญิงสาวกล่าวลาทุกคนก่อนจะลุกขึ้นยืนหันหลังเดินเร็วๆไปยังบ้านของตน

พรายจันทร์ละล้าละหลังมองไปทางมารดาก็เห็นว่ามีคุณบุษบาคอยดูแลอยู่ก็ตัดสินใจวิ่งตามน้องรักไป ทันเห็นอีกฝ่ายลากเอากระเป๋าเดินทางใบย่อม กวาดเสื้อผ้าลงกระเป๋าอยู่ จึถามด้วยความเป็นห่วง

“ดาวจะไปไหน”

ดาวเหนือหยุดมือ หันมามองเห็นพี่สาวคนรองที่แสนดียืนหน้านิ่วก็บอกเสียงเบา “จะไปหาที่เงียบๆคิดอะไรซักพักน่ะพี่จันทร์ ฝากบอกทุกคนด้วยนะว่าไม่ต้องเป็นห่วง”

“ดาวจะยอมแพ้เหรอ”

“เปล่าหรอก แค่ขอไปตั้งหลัก พอสบายใจแล้วจะกลับมา” มือเรียวพับเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าอย่างรวดเร็วจนพรายจันทร์ที่ทนไม่ได้กับความไม่เรียบร้อยต้องเข้ามาแย่งเอาไปพับเองใหม่หมด ดาวเหนือจึงเดินเข้าไปหยิบของใช้ในห้องน้ำออกมาใส่แทน พอเห็นน้องสาวรูดซิปปิดกระเป๋าแล้วพรายจันทร์ก็อดถามไม่ได้

“แล้วคิดหรือยังว่าจะไปที่ไหน บอกพี่หน่อยเถอะ พี่เป็นห่วง”

ดาวเหนือนิ่งคิด “หัวหินน่ะ แต่ไม่ไปพักที่บ้านหรอกนะ” เธอหมายถึงบ้านพักตากอากาศของครอบครัวที่อยู่ที่นั่น “จะไปพักโรงแรม อยากอยู่คนเดียว”

“แล้วจะไปนานไหม อีกสองวันคุณย่าจะพาทุกคนไปพักผ่อน ถ้ายังไงก็มาหาที่บ้านด้วยนะดาว”

“คงยังอยู่ ยังไงเดี๋ยวจะแวะไป พี่จันทร์ดาวขออะไรอย่าง...” หญิงสาวหันไปมองพี่สาวหน้าตาจริงจัง “...อย่าบอกพี่ตฤณนะว่าดาวไปไหน”

พรายจันทร์อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรแล้วก็ปิดลงไม่พูด เปลี่ยนเป็นพยักหน้ารับ ดาวเหนือพึมพำขอบคุณก่อนจะเดินลงมายังรถของตนที่จอดอยู่หน้าบ้านมีพรายจันทร์เดินตามมาเงียบๆ เธอเปิดประตูหลังโยนกระเป๋าผ้าใบใหญ่เข้าไปอย่างไม่ไยดี แล้วก้าวขึ้นรถขับออกไป พรายจันทร์รีบกลับขึ้นบ้านใหญ่ไปเพื่อแจ้งข่าวเรื่องดาวเหนือ


เกือบเที่ยงคืนแล้วแต่ตฤณก็ยังไม่หลับ ชายหนุ่มเพิ่งกลับจากผ่าตัดทำหมันสุนัขตัวหนึ่งซึ่งเป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเนื่องจากเจ้าสี่ขาตัวนั้นแก่มากแล้วและสุขภาพไม่ใคร่จะแข็งแรง แต่ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างดีตอนนี้สุนัขตัวนั้นก็กำลังนอนพักผ่อน รอให้ยาสลบหมดฤทธิ์ฟื้นขึ้นมาเท่านั้น เขาจึงกลับมาอาบน้ำโดยสั่งให้ก้อยที่วันนี้มานอนเฝ้าร้านคอยรายงานหากมีอะไรผิดปกติ

ร่างสูงเดินออกมาจากห้องน้ำ มือหนาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กขยี้ผมให้แห้ง เขาสวมแค่กางเกงนอนขายาวตัวเดียว ท่อนบนเปลือยเปล่ามีน้ำเกาะพราว โยนผ้าผืนที่เปียกลงตะกร้าหวายสำหรับใส่ผ้าข้างประตูห้องน้ำ เปิดตูแล้วหยิบอีกผืนมาซับน้ำบนลำตัว ตฤณหยิบแว่นสายตาขึ้นมาสวมและกำลังจะหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อแต่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ก็ดังขึ้นดึงความสนใจไปเสียก่อน เขาคว้าขึ้นมาดูคิ้วหนาขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นเบอร์ที่ไม่รู้จักแต่ก็กดรับ

“สวัสดีครับ”

“...”

พอปลายสายแนะนำตัวมาก็ทำให้เขาอึ้งกิมกี่ ก่อนจะปล่อยให้อีกฝ่ายเล่าเรื่องของดาวเหนือและเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำที่บ้านรัชดารักษ์ให้ฟัง ตฤณนวดขมับถอนหายใจอย่างหนักหน่วง นี่ไงล่ะคือสิ่งที่เขาบอกกับดาวเหนือเมื่อตอนนั้น...ตะวันฉายจะไม่ยอมหยุด ยิ่งพอเห็นเขาว่าง ก็จะยิ่งรุกหนัก ส่วนเรื่องไอ้ที่เขาพูดและแสดงออกไปวันนี้คงไม่ได้ซึมซับเข้าสู่กะโหลกกลวงๆของแม่คุณเท่าไหร่หรอก

เขาโต้ตอบกับปลายสายอยู่อีกสักพักก่อนที่ทางนั้นจะบอกชื่อของโรงแรมที่หญิงสาวเขาพักที่หัวหินให้ พร้อมกำชับกำชาให้เขาตามไปดูแลจากนั้นก็วางสายไป ชายหนุ่มโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วลุกขึ้นมาจัดกระเป๋าเสื้อผ้า ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ยอมให้ดาวเหนือตัดสินใจเรื่องความรักระหว่างเขาและเธอโดยเอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้งอีกเด็ดขาด ‘หากไม่ยอมฟังกันล่ะก็ หึ...หึ...’ เขายิ้มร้ายอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็น มันเป็นบุคคลิกแฝงที่เขาไม่ค่อยอยากจะเอามาใช้เท่าไหร่ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ

‘เห็นทีคงต้องกลายร่างเป็นหมาป่าจับลูกแกะมากินซักหน่อยแล้ว’


ดวงอาทิตย์ดวงโตเหมือนผลส้มใบใหญ่สาดแสงสุดท้ายทั่วไปทั้งท้องทะเลและหาดทรายขาวสะอาดตาก่อนจะลาลับขอบฟ้าไปในวันนี้ ดาวเหนือนั่งกอดเข่ามองชายหาดยามเย็นอย่างหงอยเหงาแม้จะมีผู้คนเดินไปมากันมากมาย แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกเหมือนอยู่คนเดียว เสียงหัวเราะของนักท่องเที่ยวทั้งไมยและต่างชาติที่กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานดังประสานเข้ามาในโสต แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนที่นั่งนิ่งรู้สึกมีความสุขร่วมไปด้วย

เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนทำให้เธอเครียดมากจนถึงขั้นนอนไม่หลับแต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ในใจ ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้ หลายครั้งที่อยากจะทำตามส่วนลึกของหัวใจโทรศัพท์หาคนรักที่คอยอยู่เคียงข้างและให้คำปรึกษาตลอดมา แต่เมื่อจะกดโทรออกภาพของตะวันฉายที่ไปรังควานวันนั้นก็ตามมาหลอกหลอนจนต้องเลิกล้มความคิด สุดท้ายก็ได้แต่นั่งร้องไห้เงียบๆในความมืดจนผล๊อยรับไปก่อนรุ่งสางทุกวัน

ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ระทมนั้นเธอต้องการเขา...ตฤณ...คนที่เธอรัก ต้องการให้เขามาอยู่เคียงข้างอย่างเดิมคอยปลอบใจ ชมเชย ปรึกษา หาทางแก้ไขปัญหาไปด้วยกัน ยอมรับกับตัวเองว่าคิดผิดที่ทำแบบนั้นลงไปมันเป็นอย่างที่ตฤณบอกเอาไว้ตะวันฉายจะไม่หยุดต่อให้เธอกับตฤณจะแกล้งทำเป็นเลิกกัน เธอมันโง่เอง! ดาวเหนือซบหน้าลงกับเข่าซ่อนหยาดน้ำใสๆที่เริ่มจะไหล่เอ่อ ท้องฟ้าตอนนี้เริ่มมืดลงทุกที นักท่องเที่ยวหลายคนเริ่มจะกลับเข้าที่พักไปแล้ว ร่างโปร่งคิดถึงคนที่อยู่ไกลถึงกรุงเทพอยากจะเจอเขาเหลือเกิน อยากได้ยินเสียง ทำไงดี..เธอควรจะทำยังไงดี

ระหว่างที่จมอยู่กับความเศร้าและความคิดถึงนั้นเอง ทำให้หญิงสาวไม่ทันได้ระวังสิ่งรอบข้างเลยไม่รับรู้มีใครบางคนยืนอยู่ข้างหลังในระยะประชิด ร่างนั้นคุกเข่าลงบนพื้นทรายอย่างเงียบงัน สองแขนแกร่งยกขึ้นในระดับคอของอีกฝ่ายค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ทีละนิด...ทีละนิดโดยที่ผู้ถูกรุกรานไม่ทันรู้ตัว...

ดาวเหนือสะดุ้งเฮือกพยายามสลัดตัวเองให้หลุดจากท่อนแขนปริศนาที่กำลังโอบกอดเธออยู่จากด้านหลัง สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้เธอดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง คิดอยู่เพียงอย่างเดียวว่าต้องเอารอดไปให้ได้จะไม่ยอมมีราคีคาวเด็ดขาด หากพลาดท่าเสียทีก็จะขอยอมตายกลายเป็นผีเฝ้าทะเลนี่ล่ะ! แต่แล้วเสียงทุ้มนุ่มคุ้นเคยก็ดังชิดริมหูบอบบางทำให้ร่างโปร่งหยุดชะงัก

“ดาวครับ” ดาวเหนือหันขวับไปมองคนที่ยอมคลายอ้อมกอดแล้วกำลังมองเธอยิ้มๆ เพียงแค่เห็นชัดๆแล้วว่าคนที่กระทำการอุกอาจเมื่อครู่คือคนที่เธอโหยหาเท่านั้นเอง ความอดทนที่มีทั้งหมดก็พังทลาย ดาวเหนือโผเข้ากอดเขาแน่น ร้องไห้โฮอย่างไม่อายใครจนตฤณต้องลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลมคนแข็งนอกอ่อนใน ร่างสูงถอนหายใจ...ในที่สุดหัวใจที่แยกจากสองดวงก็กลับมาหากัน

“โอ๋ โอ๋ นิ่งเสียคนดี พี่อยู่นี่แล้วครับ แล้วพี่ก็จะไม่ไปไหนอีก ต่อให้ดาวไล่พี่ไปพี่ก็จะกลับมา กลับมาหาหัวใจของพี่”

“ดาวคิดถึงพี่ตฤณจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว ฮือ ฮือ” หญิงสาวร้องไห้กับอกแกร่งจนเสื้อโปโลสีขาวเปียกชุ่ม

“ พี่ก็คิดถึงดาวเหมือนกัน คิดถึงมากกว่าที่ดาวคิดถึงพี่ด้วย”

“ไม่จริง ดาวคิดถึงพี่ตฤณมาก มากถึงมากที่สุด” ดาวเหนือแย้งน้อยๆยังคงมีเสียงสะอื้นติดมา เขาอมยิ้มก่อนจะยอมแพ้ “อ่ะ พี่ยอมแล้ว เอาเป็นว่าเราสองคนคิดถึงกันมากที่สุดในโลกเลย”

“อือ”

ตฤณค่อยๆดันร่างของเธอออกเพื่อมองให้เต็มตา หญิงสาวนนั้นซูบลงเล็กน้อย อืม...เห็นทีคงต้องขุนกันหน่อย เขาส่ายหน้าน้อยๆเมื่อเห็นว่าดวงตาของเธอเริ่มบวมจากการร้องไห้อย่างหนักมาหลายวัน นิ้วเรียวค่อยๆเกลี่ยน้ำตาให้หายไป โน้มหน้าลงจุมพิตบนเปลือกตาบางซึ่งหลุบลงรับสัมผัสอ่อนโยนนั้นอย่างว่าง่าย ก่อนที่ริมฝีปากหยักสวยของเขาจะเลื่อนลงมาที่ปลายจมูกไล่เรื่อยมาหยุดที่ริมฝีปากอิ่มชมพูระเรื่อนั้นนิ่งนาน...

----------------------------------------------------------------------------------------
แฟนเซอร์วิสสสส จัดแผงอกกำยำ ขาวๆของพี่ตฤณมาให้ซบ แถมด้วยความหวานของ

คู่รักท้ายตอน พอจะไถ่โทษที่แกล้งคนอ่านไว้เมื่อสองตอนก่อนได้ไหมน้า ถ้ายังพอ

เดี๋ยวตอนหน้ามีหวานกว่านี้อีกค่ะ แต่ก็ต้องเตรียมกระดาษทิชชู่กันไว้ด้วยนะ ตอนหน้า

ไรเตอร์จะเริ่มฆาตกรรมตัวละครแล้วล่ะ หึหึหึ เจอกันตอนหน้าค่ะ

ติ-ชมได้น้า





ไอจันทร์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ค. 2555, 10:59:59 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ค. 2555, 10:59:59 น.

จำนวนการเข้าชม : 1737





<< ตอนที่ 32   ตอนที่ 34 >>
sai 24 พ.ค. 2555, 11:14:41 น.
ตะวันฉายเกินจะเยียวยาแล้ว


anOO 24 พ.ค. 2555, 19:48:20 น.
โล่งอก นึกว่าเป็นคนอื่นซะแล้ว ดีนะที่เป็นพี่ตฤน


ใบบัวน่ารัก 24 พ.ค. 2555, 21:19:24 น.
ฆ่าตกร คือ..ไอจันทร์นี่เอง
ทำไรก็ทำไป ถ้าสบายใจนะ จัดไป


กาซะลองพลัดถิ่น 25 พ.ค. 2555, 04:44:36 น.
อีกแล้วเหรอ ให้เตรียมกระดาษทิชชู่ไว้ซับน้ำตาอีกแล้วเหรอ ....ไรเตอร์ใจร้ายจริง ๆ กำลังหวาน ๆ แป๊บเดียวจะขมซะล่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account