กุหลาบซ่อนกลิ่น (จบแล้ว)
นางเอกโตมาในไซด์งานก่อสร้าง ที่นั่นทำให้เธอรู้ว่า การแสดงตัวว่าเป็นหญิงเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้นนางเอกจึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง จนใคร ๆ มองว่าเป็นทอม แต่แท้จริงแล้ว เธอก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีรัก..และรักของเธอก็เป็นรักที่มีเวลามาเป็นตัวกำหนด....


Tags: โรแมนติก..

ตอน: 16.ชอบเขาละซิ

16.

“อะไรนะปลา พากันออกไปข้างนอกอีกแล้วเหรอ” พออรพิมทราบข่าวจาก ‘สาย’ ก็นิ่วหน้าพลางกัดฟันกรอด เป็นอันว่าเย็นนี้ที่ตั้งใจจะไปหาก็ไม่ต้องไป และพอวางโทรศัพท์ได้อรพิมก็เดินไปยังรถที่จอดอยู่หน้าสำนักงานชั่วคราวโครงการก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรร รถคันนี้เป็นรถคันเก่าของพี่สาว ซึ่งยกให้ใช้หลังจากที่ลาออกจากงานแล้วแต่งงานไปอยู่สิงคโปร์ แม้มันจะยังดูใหม่ แต่ว่ามันเป็นรถที่ใช้มาเกินเจ็ดปี เครื่องมันหลวมและมันก็เกเรอยู่บ่อย ๆ

อรพิมเปิดประตูขึ้นไปสตาร์ทแต่มันก็ทำให้อารมณ์เสียยิ่ง ๆ ขึ้น อรพิมระบายอารมณ์โมโหกับพวงมาลัยโดยการทุบไปสองสามที ก่อนจะลงจากรถมามองหาคน
ช่วยเข็นเพราะแบตเตอร์รี่มันเสื่อม

“นี่ ๆ นี่ ๆ นายอ่ะ”

“เรียกผมเหรอครับ” ถมยาที่เพิ่งมาทำงานวันแรก แต่เป็นวันที่สองที่เขาพบผู้หญิงคนนี้ วันศุกร์เขามาสมัครงานกับเจ้าหล่อนตามขั้นตอน ส่วนวันจันทร์เขามาเริ่มงาน ตั้งแต่เช้าเขายังไม่ได้เข้าออฟฟิศจึงไม่รู้ว่า วันนี้เจ้าหล่อนทาปากสีอะไรและสวมใส่เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดแค่ไหน แต่ที่เขาได้ยินจากคนงาน ทุกคนปรารถนาเข้ามาทำธุระในออฟฟิศ เพราะจะได้เห็นขาขาว ๆ ของเจ้าหน้าที่ประสานงานโครงการคนสวย

“รถชั้นแบตหมดแน่ ๆ ช่วยเข็นหน่อยได้ไหม”

“ผมคนเดียวนี่เหรอครับ”

“แล้วมันมีใครอีกไหมละ คนงานกลับบ้านหมดแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ยังมีอยู่ครับ แต่อยู่ข้างใน”

“งั้นนายช่วยชั้นหน่อย” ‘นาย’ กับ ‘ชั้น’ มีชนชั้นเพราะถมยาอายุน้อยกว่าอรพิมถึงสี่ปี แต่รูปหน้าของถมยานั้นอรพิมยอมรับว่าน่าดูชมทีเดียว แต่อีกนั่นแหละ เรียนจบแค่ ปวส. ทำงานในตำแหน่งโฟร์แมน ไม่มีวันที่เธอจะสนใจอย่างแน่นอน คนสวย ๆ อย่างเธอ ถ้าพลาดจากสูรย์ เธอก็จะต้องจับผู้ชายระดับวิศวกรหรือไม่ก็เจ้าของร้านค้าวัสดุก่อสร้างที่เธอประสานงานอยู่อย่างแน่นอน

“ช่วยทำอะไรครับ”

“เข็นรถ เข็นนิดเดียวก็ติดแล้ว ..” ไม่ทันฟังว่าเขาจะตอบรับหรือปฏิเสธ อรพิมก็เดินประจำที่คนขับ ถมยาก็เลยจำใจต้องดันท้ายรถให้ จนกระทั่งเครื่องสตาร์ทติด แล้วเจ้าหล่อนก็ขับรถออกไปโดยไม่ได้ขอบใจและไม่ได้สนใจจะถามว่า เขาจะออกไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าปากซอยอย่างไร..

“หน้าก็สวยแต่ใจดำอย่างกับอีกา” ถมยาสบถเบา ๆ ก่อนจะเดินตามรถที่เห็นอยู่ท้ายริบ ๆ



หลังจากที่ปรึกษากันจนหาทางออกได้โดยที่ได้ประโยชน์ทางหัวใจกันทุกฝ่าย สูรย์ก็ขับรถตามหลังกุสุมามาที่บ้านเพื่อจะบอกกับแม่ของหญิงสาวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมันเริ่มต้นที่ร้านของเขา ดังนั้นเขาจะต้องมีส่วนรับผิดชอบ โดยต่อไปกุสุมาจะต้องนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปทำงาน หรือถ้าเขาว่าง เขาจะมารับ ส่วนขากลับเขาจะมาส่งทุกวัน จนกระทั่งกุสุมาไปเมืองนอก แค่นั้นเรื่องก็จบ

กุสุมาอยากจะขัดต่อความคิดนั้น แต่เมื่อความคิดนั้นมันทำให้หัวใจของเธอเหมือนดอกไม้แรกแย้มรับน้ำค้างยามเช้า แล้วทำไมกุสุมาจะไม่แกล้งคล้อยตาม แต่เรื่องปืนปากกานั้นกุสมาก็ยังไม่คิดล้มเลิก เพราะตราบใดที่พวกอันธพาลยังไม่ได้ล้างแค้นบ้า ๆ ของมัน มันก็อาจจะหาวิธีเล่นงานเธอจนได้และอย่างที่สูรย์ว่าไว้ คนที่อยู่ในที่มืดย่อมได้เปรียบ...แต่ดอกไม้เช่นเธอก็จำต้องมีหนามเอาไว้ป้องกันตัว
หลังจากคุยกับแม่เรียบร้อย เขาก็ให้กุสุมากลับมาขึ้นรถยนต์ของเขา เพื่อจะได้กลับไปทำงาน ในภาคเย็น แต่พอถึงปากซอย กุสุมาก็ชี้ร้านที่ป้าอำพัน คนปากมากซึ่งวันนี้ใช้ปากและหูให้เป็นประโยชน์จนกุสุมานึกขอบคุณ แต่กุสุมาก็บอกกับแม่ไปว่าให้กำชับป้าอำพัน อย่าให้นำเรื่องนี้พูดไปจนทั่ว แต่แม่ก็ว่ามันคงจะสายไปแล้ว สูรย์บอกว่า มันน่าจะเป็นผลดีเสียอีก เพราะถ้าเรื่องถึงหูพวกนั้น มันก็จะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น ดีไม่ดีก็อาจล้มเลิกความตั้งใจไปเลยก็ได้..

“อ้าว ทำไมไม่เลี้ยวซ้ายจะไปไหนอีก” กุสุมาเอ่ยปากถามเมื่อเห็นเขาชิดขวาเตรียมเลี้ยวขวาเข้าถนนเส้นหลัก

“ไปธุระ”

เขาขับรถไปเรื่อย ๆ แล้วกุสุมาก็ได้รู้ว่าธุระของเขา ก็คือพาเธอมากินอาหารญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอนว่า กุสุมาไม่เคยเข้าร้านหรูหรามีราคาอาหารสูงเกินเงินในกระเป๋าอย่างนี้มาก่อน

และขณะที่นั่งรออาหารที่สั่งไป สูรย์ก็ได้รับโทรศัพท์จากทรงฤทธิ์

“แกอยู่ไหน” ถ้าไม่เมา ไม่มีโมโห หรืออยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก ทั้งคู่ ก็จะ ‘แก’ กับ

‘ข้า’

“ในที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง มีอะไรรึ”

“จะเข้าไปหาที่ร้าน”

“ไม่อยู่ มากินอาหารญี่ปุ่น” พอสูรย์เอ่ยออกไปอย่างนี้แน่นอนว่า ต้องรับคำถามกลับว่า ไปกับใคร

“พาเด็กมาเลี้ยงปลอบขวัญหน่อย”

“ไอ้ม่าใช่ไหม”

“อืม”

“ชิชะละก็ชิเจ้า..ก้าวหน้าใหญ่แล้วนะมึง ไหนว่าไม่อยากรั้งเด็กไว้ไง ไอ้ขี้หมา”

“ทำไงได้วะ..ขอเสียคำพูดหน่อยเถอะ แล้วถมยาเป็นไงมั่ง” สูรย์รีบเปลี่ยนเรื่องเพราะตัวเองเขินเช่นเดียวกับกุสุมาที่ก้มหน้าพิมพ์ข้อความในมือถือ โดยแสร้งทำเป็นไม่สนใจว่าเขาคุยอะไร แต่เขาก็เห็นว่าหูของเจ้าหล่อนนั้นผึ่งรับเรื่องทีเดียว

“มาทำงานแล้ว วันเดียวยังดูไม่ออกหรอก แต่หัวดี เข้าใจอะไรง่าย ดูตั้งใจเรียนรู้งานดี..แล้วนี่จะไปไหนกันต่อ อย่านะโว้ย น้องกูเพิ่งยี่สิบ อย่าคิดไม่ซื่อนะโว้ย”
ช่วงที่สูรย์กับกุสุมากำลังกินและดื่มอยู่นั้น มุมหนึ่งในร้าน ธัญรัตน์ที่นั่งอยู่กับศุภกฤชก็พยายามชำเลืองตามาดู ความรู้สึกนั้นก็คือร้อนรุ่มดังถูกไฟเผา รู้สึกอิจฉากุสุมาที่สูรย์ให้ความสำคัญทั้งที่เป็นผู้หญิงหาความเป็นผู้หญิงไม่ได้สักนิดเดียว



“เพื่อนหรือครับ” เขาถามเมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหญิงสาว และเมื่อเขาถามตรง ๆ แบบนี้

ธัญรัตน์ที่ยังไม่ได้นึกชอบเขา ก็ไม่อยากจะโกหก แต่ถ้าพูดความจริงออกไป มันก็คงไม่ดีกับความรู้สึกของเขาเหมือนกัน

“ผมเดาว่าไม่ใช่แค่เพื่อน”

ศุภกฤชนั้นมีหน้าตาลักษณะตี๋หล่อ ปากจมูกได้รูป ผิแต่ว่าร่างเล็กไป ต่างจากสูรย์ที่หน้าตาไทยแท้ เนื้อตัวนั้นก็ดูแข็งแรงบึกบึน และก็เป็นอย่างที่ ‘สาย’ ของตุ๊ดซี่ เอาไป ‘เม้าท์’ ให้ตุ๊ดซี่ฟัง ศุภกฤชตัวเล็กหน้าหล่อแต่ดูท่าจะ ‘เป้าไม่เลิศ’ เท่าทรงฤทธิ์ ที่ตัวสูงใหญ่สมส่วนแต่ว่าหน้าตานั้นห่างไกลคำว่า ‘หล่อ’ แถมยังรวยน้อยกว่าสูรย์และคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเธอ

“ค่ะคนพิเศษ”

“ผมอิจฉาเขาจังเลย ทำอย่างไรผมถึงจะได้เข้าใกล้ตำแหน่งนั้นบ้างนะ”

ธัญรัตน์ยกน้ำชาขึ้นดื่มแก้เขิน แล้วก็ชวนเขาคุยเรื่องอื่น ๆ และช่วงเวลานั้น
โทรศัพท์ในกระเป๋าถือของหญิงสาวก็ดังขึ้น เป็นเบอร์ของตุ๊ดซี่ ซึ่งธัญรัตน์พอเดาออกว่าเจ้าหล่อนจะโทรมารายงานเรื่องอะไร

“โอเค ฉันเจอเขานั่งกินอาหารญี่ปุ่นด้วยกัน..ขอบใจมาก” แม้จะไม่ได้ระบายอารมณ์กับตุ๊ดซี่แต่ธัญรัตน์ก็มั่นใจว่า ข่าวคาวของสูรย์กับอีนังม่าคงทำให้คนในร้านมีอะไรคุยกันจนกระทั่งเลิกงานแน่ ๆ





“นี่ ๆ เดินเร็ว ๆ หน่อย ช่วยฉันด้วย” อรพิมลงจากรถมากวักมือเรียกถมยาที่เดินตามหลังมา เพราะว่ารถของเธอมาดับกีดขวางทางจราจร พอถมยาเดินมาถึง อรพิมก็ทำหน้าเจื่อน ๆ ยิ้มแหย ๆ แก้เขินที่ตัวเองไม่ได้ขอบคุณเขา และได้ชวนเขาให้นั่งรถออกมาด้วย

“รถเป็นอะไรอีกหรือครับ”

“ไม่รู้จู่ ๆ ก็ดับ ช่วยเข็นเข้าข้างทางก่อน”

ถมยายกหลังมือปาดเหงื่ออันเกิดจากการเดินออกมาจากไซด์งาน

“ผมหมดแรงแล้วครับ”

“นะ ๆ ช่วยฉันอีกที เมื่อกี้ฉันขอโทษ ฉัน รีบนะ..นะนะ” ว่าแล้วอรพิมก็กลับไปนั่งในรถถมยาจึงต้องช่วยเข็นอีกรอบ แรกทีเดียวอรพิมตั้งใจว่าจะให้เข็นหลบเข้าข้างถนน แต่เห็นว่าแรงของเขาทำให้รถเร็วพอจะลองใส่เกียร์ อรพิมจึงใส่เกียร์จนกระทั่งเครื่องยนต์จุดระเบิด แต่ว่าครั้งนี้ อรพิมจำต้องจอดรถรอเขา ทั้งที่ใจจริงอยากจะทิ้งเขาไว้เหมือนเดิม แต่ด้วยกลัวว่าเธอจะพารถไปไม่ถึงอู่ เธอจึงต้องฝืนแสดงความมีน้ำใจ

“ขอบใจนะ มาขึ้นรถออกไปด้วยกัน เร็ว ๆ”

ถมยาเข้าไปนั่งในรถ ซึ่งมีตุ๊กตุ่นตุ๊กตาวางอยู่ที่หน้าคอนโซลพร้อมกับกลิ่นหอมฟุ้งที่ทำให้เขารู้สึกเวียนหัว เขาก็เลยต้องเลื่อนกระจกรถลง

“เอาลงทำไม มันร้อน”

“เหม็นอะไรไม่รู้”

“นี่ หอมจะตายมาว่าเหม็น”

“ปิดแอร์เถอะครับ แบตรถคุณไม่ดี เดี๋ยวดับอีก แล้วนี่จะเอาไปเข้าอู่เลยไหม”

“ไปสิ” ว่าพลางอรพิมก็เลื่อนมือมาปิดแอร์ ตาก็มองข้างหน้าโดยถมยานั้นหันหน้าไปมองข้างทาง อรพิมชำเลืองไปสำรวจ ยอมรับว่าหนุ่มน้อยคนนี้หน้าตาผิดพรรณดี แต่ดูพื้นเพพื้นฐานครอบครัวจากใบสมัครแล้วอรพิมก็ต้องเบ้หน้า แต่พอเห็นว่าเขาเหงื่อโทรมกาย อรพิมจึงหยิบขวดน้ำแร่ที่วางไว้ที่ประตูฝั่งของ
เธอยื่นไปให้เขา

“กินน้ำก่อน เหม็นเหงื่อนายนั่นแหละ”

เขาหันมารับขวดน้ำไปพินิจ ก็เห็นว่าเจ้าหล่อนกินน้ำในขวดไปแล้วครึ่งหนึ่ง และพอเปิดฝาขวดเขาก็เห็นมีรอยลิปสติกติดอยู่ ด้วยหิวถมยาจึงรีบยกขวดน้ำขึ้นดื่ม จนกระทั่งหมดขวด โดยไม่ได้รู้เลยว่า ระหว่างนั้นอรพิมชำเลืองมามองลูกกระเดือกของเขาที่เหมือนลูกสูบนั่นด้วย โดยในหัวก็นึกถึงเพื่อนสาว ๆ ที่มีวิธีดูลักษณะของลับของผู้ชาย หนึ่งในตำราเหล่านั้นก็ให้ดูลูกกระเดือก..

“ให้ผมลงตรงนี้ก็ได้ ผมจะข้ามสะพานลอยไปขึ้นเมล์กลับบ้าน” บ้านก็คือหอพักที่เคยอยู่ตั้งแต่เรียนหนังสือ

“นั่งรถไปกับฉันก่อน ให้ถึงอู่ก่อน”

“แต่ผมมีเรื่องต้องทำ”

“เมียรออยู่ที่บ้านเหรอ”

“ผมยังโสด”

“อืม งั้นก็นั่งรถไปก่อน อู่ข้างหน้านี่เอง” จริง ๆ รถมีปัญหามานานแล้วแต่ที่อรพิมถูไถใช้มันอยู่ก็เพราะจะต้องเก็บเงินไปเยี่ยมพี่สาวที่สิงคโปร์ และอีกส่วนหนึ่งเธอก็หมดเงินไปกับเครื่องแต่งตัวที่มีราคาแพงลิบลิ่วเพราะหวังว่าเปลือกที่ห่อหุ้มเนื้อตัวจะทำให้สูรย์มองเธอบ้าง แต่ว่าก็เปล่าเลย เขาไม่เคยมองเห็น เขาไม่เคยมีสายตามองเธอเหมือนกับที่มองพี่วรรณพร แม้ว่าเธอจะพยายามแต่งตัวทำผมให้เหมือนเขาก็ไม่สน

นึกแล้วก็เจ็บใจไม่น้อย และที่เธอเจ็บใจยิ่ง ๆ ขึ้นเมื่อรู้ว่าเขากำลังจู๋จี๋เอาอกเอาใจแม่กุสุมาดอกไม้ไร้กลิ่นไร้สีสันจนกระทั่งวันนี้พากันออกไปข้างนอกอีกแล้ว




แรกทีเดียวทรงฤทธิ์ตั้งใจจะชวนสูรย์ออกไปหาข้าวต้มกิน แต่เมื่อสูรย์พากุสุมาไปทำคะแนนหัวใจ ทรงฤทธิ์จำต้องเปลี่ยนโปรแกรมเป็นที่พัก และเมื่อหันหัวรถออกจากไซด์งาน เขาก็เลี้ยวขวาซึ่งทางนี้จะเป็นทางลัด กลับห้องพักของเขา และระหว่างขับรถไป เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็น เด็กในช็อปของธัญรัตน์ยืนชะแง้เหมือนรอรถสองแถว และที่ทำให้เขาเบรกจนตัวโก่งก็เพราะน้องคนนั้นยังใส่ชุดของครัวอิ่มสุข

“จะไปไหน” เขาเลื่อนกระจกรถลง กิ๊บซี่ที่มองเห็นว่าเป็นใครมาหยุดรถก็ทำหน้าเจื่อน ๆ แต่ด้วยรู้จักกัน ทำให้หญิงสาวกรากมาเกาะที่ประตูรถของเขาเพราะคิดว่าเขาคงเรื่องสำคัญจะคุยด้วย

“จะไปไหนเหรอ” ทรงฤทธิ์ถามอีกรอบ

“จะกลับร้าน” พอดีภาคบ่ายที่พัก กิ๊บซี่ตั้งใจกลับบ้านมารีดผ้าที่สะสมไว้หลายวันแล้วก็จะกลับไปทำงาน แต่เมื่อรีดผ้าเสร็จเธอก็รู้สึกง่วงนอน และที่คิดว่าจะแค่งีบ ก็เล่นเอาฝันจนกระทั่งสะดุ้งตื่น

เพราะความฝันนั้น เธอเห็นงูเผือกตัวใหญ่ มันเลื้อยผ่านหน้าไป เธอตกใจเป็นอย่างมาก และที่คิดว่ามันหายไปแล้ว พอเธอเดินหน้าต่อไป มันก็เลื้อยมาพันขาจนกระทั่งเธอต้องหวีดร้อง..และพอตื่นมาเห็นนาฬิกาเธอก็รีบวิ่งออกจากบ้านเช่าเพราะตุ๊ดซี่คงจะบ่นยกใหญ่หรือไม่พรุ่งนี้ตุ๊ดซี่ก็จะเอาเหตุนี้เป็นข้ออ้างหายจากร้านไปจนก ระทั่งได้เวลาเท่าที่เธอใช้ไปในวันนี้

“มาขึ้นรถ เดี๋ยวจะไปส่ง เร็ว ๆ รถติด” พอเขา เร่งกิ๊บซี่จำต้องรีบเปิดประตูรถของเขาขึ้นไปนั่ง และด้วยรีบร้อนจึงไม่ทันได้จัดกระโปรง ทำให้เมื่อไปนั่งแล้วผ้าก็ร่นขึ้นไปจนเห็นต้นขาขาวและเรียวงาม

และด้วยสัญชาตญาณของผู้ชาย ทรงฤทธิ์ก็ชำเลืองตามองไปและก็กว่าจะดึงสายตากลับมาได้ก็เล่นเอาหัวใจเต้นผิดปกติ กอปรกับนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ที่เขาทำขายหน้าในช็อปของ Tanya bekery จนกระทั่งเด็กคนนี้ไม่กล้าสู้หน้าเขา และเขาเองก็เขินเหมือนกันที่เห็นว่าเจ้าหล่อนยังไม่ลืมเรื่องในวันนั้น และเดี๋ยวนี้ น้องกิ๊บซี่ก็ยังนั่งตัวเกร็งพยายามขยับตัวเพื่อดึงกระโปรงลง แต่ว่ามันก็ไม่เป็นผล เพราะเธอยังกระมิดกระเมี้ยนจนเขาเองต้องพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า

“ตามสบายเลยครับ เดี๋ยวพี่จะหลับตาครึ่งนาที”





“มาด้วยกันได้อย่างไร” ตุ๊ดซี่เอ่ยปากถามเพราะเห็นว่ากิ๊บซี่นั่งรถของทรงฤทธิ์เข้ามา และพอลงจากรถกิ๊บซี่กระมิดกระเมี้ยนไม่ยอมมองซ้ายมองขวา ไม่แม้แต่มองหน้าของวิชาญที่ชำเลืองดูอยู่เหมือนกัน

“บังเอิญน่ะ”

“เป็นไปได้อย่างไร” ตุ๊ดซี่ยังไม่วายสงสัย

“เป็นไปแล้ว” และมันก็เป็นไปมากกว่าที่กิ๊บซี่จะนึกถึง เพราะหลังจากที่ทรงฤทธิ์หลับตาไปได้สามวินาทีเธอก็ดึงกระโปรงตัวสั้นที่ร่นขึ้นไปให้เข้าที่แล้วก็รีบบอกกับเขาว่า เรียบร้อยแล้ว เพราะเธอก็ไม่อยากให้รถไปจูบท้ายรถคันข้างหน้า เขาหันมายิ้มให้ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเปิดเพลงจากเครื่องเล่นซีดี เพลงโปรดเถิดดวงใจ ของทูล ทองใจก็ดังขึ้น ตอนนั้นเธอมองข้างทางเพราะไม่อยากสู้หน้าของเขา และระหว่างที่รถติดเขาก็ชวนเธอคุยเริ่มต้นที่ เรื่องการเรียนของเธอ..

“เห็นเคยนั่งอ่านหนังสือ มสท. เรียนไปถึงไหนแล้ว”

พอเขาชวนคุย จำเป็นที่เธอต้องหันมาคุยกับเขา และเมื่อเวลาที่นั่งอยู่ในรถนานยิ่งๆ ขึ้นกิ๊บซี่ก็เริ่มผ่อนคลาย ความเขินอายก็ค่อย ๆ หายไปด้วย

“ยังไปไม่ถึงไหนเลยค่ะ หัวไม่ค่อยดี”

“ก็เอาไปซ่อม”

พอเขาแหย่มาแบบนี้ เป็นธรรมดาของผู้หญิงว่าต้องหันไปค้อนให้สักที

“เอ้าพูดเรื่องจริง เสียก็เอาไปซ่อม ซ่อมไม่ได้ก็ทิ้ง..”

“อาจจะทิ้งค่ะ” บอกเขาไปแล้วกิ๊บซี่ก็ถอนหายใจออกมาแรง ๆ ตอนนั้นเธอนึกถึงหน้าวิชาญไปด้วย เพราะมอบหัวใจให้เขาแล้วเขาไม่สนใจ เธอก็น่าจะเอาความรู้สึกดี ๆ นั้นโยนทิ้งแล้วก็มองเขาเป็นเพื่อน หรือคนรู้จักเท่านั้น

เขานิ่งไปนาน ไม่ตอบไม่ชวนคุย จนกระทั่งเพลง ‘ในฝัน’ ดังขึ้นแทนที่เพลงเดิม เขาก็ร้องคลอเบา ๆ

น้ำเสียงนั้นกังวานเศร้า..กิ๊บซี่จึงต้องชายตาไปดูสีหน้าของเขา..รู้สึกสงสารเขาขึ้นมา เพราะฟังจากปากของตุ๊ดซี่แล้ว ไม่มีวันที่คุณธัญรัตน์ จะมองผู้ชายคนนี้อย่างเด็ดขาด เหตุผลหลัก ๆ ก็คือไม่หล่อ ไม่รวย และยังเป็นเพื่อนรักคุณสูรย์ด้วย และเมื่อไม่สมหวัง เขาก็คงเจ็บปวดไม่แตกต่างจากเธอ..

“หากฝันว่าฉันและเธอละเมอความรักร่วมกัน ..หากเราได้รักร่วมกัน ผูกพันกระสันแน่นเหนียวขอรักเดียวไม่จืดและจาง ..หากเป็นดั่งเช่นที่หมาย จะตายฉันไม่ขอห่างฯ..”

“เสียงฉันเพราะไหม” เขาหยุดร้องเพลงแล้วเอ่ยปากถาม กิ๊บซี่ก็เลยทำหน้าปุเลี่ยน ๆ ก่อนจะพยักหน้าแล้วหัวเราะเบา ๆ

“แบบนี้แสดงว่าปากไม่ตรงกับใจ”

“เสียงเพราะค่ะ เสียงดีมาก”

“ฉันก็พอรู้ตัวอยู่บ้าง..” พูดแล้วเขาก็หัวเราะเขิน ๆ

“น้องชื่อกิ๊บใช่ไหม”

“ค่ะ..” ใช่ เมื่อกี้เขาไม่ได้เรียกชื่อเธอ เพียงแต่ตะโกนถามว่าจะไปไหน

“งานในร้านหนักไหม”

“ก็..ไม่นะ อยู่กับของกิน อยู่กับขนมสวยงาม อยู่กับกลิ่นกาแฟ มีความสุขทุกวัน”

“แล้วคิดอยากเป็นเจ้าของร้านพวกนี้บ้างไหม”

“คิด..แต่คงไม่มีปัญญา ทุนสูง..”

“ใช่ทุนสูง” เขาเปรยออกมาเบา ๆ เหมือนกับว่า เขาคิดขยับทำอะไรสักอย่าง แล้วก็ติดตรงที่ไม่มีทุน เช่นกัน เขาเงียบ ปล่อยให้เพลงของทูล ทองใจ ชุดนั้น ดังกลบเสียงลมหายใจ จนกระทั่งรถถึงร้าน กิ๊บซี่ยกมือขอบคุณก่อนจะรีบเดินเข้ามาในช็อป ส่วนเขาก็ลงมาคว้าหนังสือพิมพ์ที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์แล้วนำไปนั่งอ่านที่มุมสงบ ๆ เหมือนกับว่ายังไม่อยากกลับบ้าน

“นี่กิ๊บซี่เอากาแฟกับ ขนมเค้กไปให้พี่ซ้งหน่อย” ตุ๊ดซี่นั้นมีหัวคิดในทางแม่สื่อได้ว่องไวนัก

“เหอะ ..บอกเขาว่า ขอบคุณที่เขามาส่ง..ไปซิ”

“จะดีเหรอ ใครออกค่าขนมนี่”

“นี่..ถามแกจริง ๆ นะ แกยังจะรอไอ้วิชาญหน้าโง่อยู่ทำไม รอไปก็ไม่มีประโยชน์ หาโอกาสใส่ตัวเดี๋ยวนี้ คุณซ้งก็กำลังกินแห้วอยู่เหมือนกัน แกเสนอ ๆ หน่อย เขาอาจจะหันมาเห็นแกก็ได้ ไป ๆ ค่าขนมนี้ ฉันออกให้เองก็ได้ แต่ถ้าแกจับเขาได้แล้ว ได้ดิบได้ดีไปต้องค่อยมาใช้คืนฉันนะ”

“จะดีหรือ..ฉัน ฉัน” กิ๊บซี่อยากจะบอกว่าตัวเองไม่ได้นึกชอบเขา แต่ว่าลึก ๆ การให้โอกาสตัวเองเพื่อจะมีใครสักคนหนึ่ง มันก็คงดีกว่าปล่อยให้ชีวิตวัยสาวเหี่ยวแห้งไปตามกาลเวลา




“แม่..” กุสุมาที่นอนไม่หลับ หอบผ้าห่มนวมผืนบาง ๆ ลงมาจากชั้นบนเมื่อเห็นว่าพ่อเลี้ยงเข้าห้องนอนไปแล้วแต่แม่ตัวเองยังนั่งจมอยู่หน้าจอโทรทัศน์

“มีอะไรรึ” บังเอิญมองลูกสาวที่มานอนกับพื้นแล้วเอาเท้าของนางนั้นหนุนแทนหมอนอย่างไม่รังเกียจ

“นอนไม่หลับอ่ะแม่”

“คิดเรื่องคุณสูรย์ละซิ” บังเอิญดูออกว่า สูรย์มีใจให้ลูกสาวของตน และลูกสาวของตนก็หน้าแดงระเรื่อย แววตาระยิบระยับตั้งแต่กลับมาจากทะเล และยิ่งวันนี้ตอนที่เขามาส่ง กว่าจะเลื่อนรถจากไปได้ยืนทำตาเชื่อมอาลัยอาวรณ์กันเสียตั้งนาน

กุสุมานอนนิ่งไม่ตอบคำถามนั้น แต่ใจนั้นคิดถึงเขา ใจมันลอย ใจมันบินไป ใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อยากอยู่กับเขาตลอดเวลา อยากได้ยินเสียง อยากเห็นหน้า อยากสัมผัสไออุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวของเขา อยากกอดเขาแน่น ๆ แต่ลึก ๆ อีกใจ เวลาระหว่างเขากับเธอก็เหลือน้อยลง แม้เขาจะยังไมได้สารภาพรักออกมาอย่างที่เธอเคยดูละคร แต่ว่าการกระทำที่ใคร ๆ ว่ามันมากกว่าคำพูดนั้น เขาแสดงออกอย่างเปิดเผย การเอาอกเอาใจ การใช้สายตามองหน้า รวมถึงพูดถึงเรื่องรสนิยมการกินของตัวเอง พูดถึงทัศนคติต่อเรื่องต่าง ๆ แม้เธอจะไร้เดียงสาต่อความรัก แต่สัญชาตญาณมันก็สอนเธอให้รู้ว่า เรากำลังตั้งคำถามว่า เขาจะไปกับเธอได้หรือไม่

..จนกระทั่งวันนี้ก่อนที่เธอจะลงจากรถ เขาก็ดึงมือของเธอไว้ พอเธอหันไปเขาที่ยังไม่ปล่อยมือก็บอกของเธอก็บอกว่า

“พรุ่งนี้จะมารับนะ แต่รีบหน่อยเพราะที่ร้านมีงานแต่เช้า คืนนี้หลับฝันดีนะ” แม้ไม่มีคำว่า ‘จุ๊บ จุ๊บ’ ต่อท้าย สายตาคู่นั้นมันก็บอกออกมาหมดแล้ว..

“ชอบเขาละซิ”

“แม่..ม่า เอ่อ” ว่าไปเธอก็เขินอยู่ไม่น้อยแต่เก็บไว้กับอกก็อึดอัด ครั้นจะโทรไประบายกับคนอื่น เธอก็มีแต่เพื่อนผู้ชายและถ้าพวกมันรู้ ก็คงจะหัวเราะเธอยกใหญ่แล้วไม่ก็พูดชักนำไปจนกระทั่งมันกลายเป็นเรื่องไร้สาระขึ้นมา

“ก็ดู ๆ กันไป เวลามันเป็นตัวพิสูจน์ใจคน”

“แต่ม่าจะไปเมืองนอกแล้วนะแม่ ทำไมละ ทำไมเขาต้องเข้ามาตอนนี้ด้วย ทำไมเขาไม่มาเร็วกว่านี้สักปีใหม่ก็ยังดี”

“ถ้าพ่อโชคเขามาเร็วกว่านี้ แม่ก็คงไม่เจอพ่อของลูก..อย่าไปคิดถึงอดีตที่ว่างเปล่า ที่มันเป็นมาสำหรับเรา มันก็ดีอยู่แล้วนะลูก”

“แต่ตอนนี้ ม่าว่ามันสุข ๆ ทุกข์ ๆ อย่างไรก็ไม่รู้”

“ความรักกับความหวาดกลัวมันเป็นของคู่กัน และเมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว ก็ใช่ว่าความหวาดกลัวมันจะหมดไป..ของแบบนี้มันอยู่ที่การพิสูจน์ใจกัน เรื่องพ่อโชค ทีแรกทุกคนก็คิดว่า พ่อโชคเขาไม่รักแม่จริง แล้ววันนี้กาลเวลาก็เป็นตัวพิสูจน์ว่าเขารักเราสองแม่ลูกจริง ๆ พ่อเขาให้แต่ความสุขกับพวกเรา สุขที่เราได้รับคือการแสดงออกว่าเรารักจากเขา เมื่อเขาให้ความสุขแก่เรา เราก็ให้ความรักแก่เขา..สำหรับม่ากับคุณสูรย์ให้กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ดีกว่าลูก ถ้ารักกันจริง ๆ นะ ต่อให้ไปไกลแค่ไหนนานแค่ไหน เขาก็ต้องรอเราได้และลูกเองถ้ารักเขาจริง ๆ ต่อให้นานแค่ไหน ไกลแค่ไหน แม่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องทุกข์ร้อนหรอกลูก”



จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ค. 2554, 10:40:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ค. 2554, 10:40:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 3132





<< 15 ป้าส้มลิ้ม..   17 เชฟหน้ากล้อง >>
สิริกมล 2 พ.ค. 2554, 11:02:40 น.
ความรักกับความหวาดกลัวมันเป็นของคู่กัน..ซึ้งกับประโยคนี้มากกกกกกก
จริงเป็นที่สุด


chat 2 พ.ค. 2554, 11:10:38 น.
รอตอนต่อไปนะคะ ขอบคุณค่ะ..natee


mottanoy 2 พ.ค. 2554, 12:35:07 น.
ซึ้งจัง


loveleklek 2 พ.ค. 2554, 14:03:32 น.
อืม น่ารักดีนิ


nutcha 2 พ.ค. 2554, 18:11:54 น.
หวานจังเลยคุณสูรย์


niny 2 พ.ค. 2554, 18:58:26 น.
น่ารักเหมือนเดิม...เป็นกำลังใจให้ค่ะ


คิมหันตุ์ 2 พ.ค. 2554, 19:12:20 น.
รอตอนต่อไปจ่ะ


หมูบิน 3 พ.ค. 2554, 06:32:27 น.
=D


Auuuu 5 พ.ค. 2554, 01:29:46 น.
วันนี้อ่านรวดเดียวเลย ชอบๆๆ :)


เจ้าชายน้อย 7 พ.ค. 2554, 00:09:08 น.
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งค่าคุณแม่ อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account