กุหลาบซ่อนกลิ่น (จบแล้ว)
นางเอกโตมาในไซด์งานก่อสร้าง ที่นั่นทำให้เธอรู้ว่า การแสดงตัวว่าเป็นหญิงเป็นเรื่องอันตราย ดังนั้นนางเอกจึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง จนใคร ๆ มองว่าเป็นทอม แต่แท้จริงแล้ว เธอก็คือผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีรัก..และรักของเธอก็เป็นรักที่มีเวลามาเป็นตัวกำหนด....
Tags: โรแมนติก..
ตอน: 17 เชฟหน้ากล้อง
17.
พอสูรย์จอดรถที่หน้าบ้านกุสุมาก็เปิดประตูรั้วออกไปทันทีและเมื่อไปนั่งหน้ารถคู่กับเขาโดยที่เขาไม่ต้องลงมาเปิดประตูให้ กุสุมาก็หันไปมองหน้ามองทรงผม มองเสื้อกับกางเกงที่รู้สึกว่ามันพิเศษกว่าทุก ๆ วัน
“มองอะไร” เขายิ้ม ๆ ขณะที่ขับรถเพื่อไปวนกลับรถ..
“วันนี้หล่อขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”
“แสดงว่าหล่อทุกวัน”
“จะไปไหนเหรอ”
“หล่อกว่าทุกวันใช่ป่ะ”
“อืม..” กุสุมายอมรับ แต่ก็ไม่ให้เต็มปากเต็มคำนักเดี๋ยวจะได้ใจ
“วันนี้รายการชิมไปทั่วจะมาถ่ายทำเทปที่ร้านเรา”
“อู้ว..จริง ๆ เหรอ”
“โดยคนแสดงฝีมือทำอาหารก็คือฉันเอง” สีหน้าภาคภูมิใจมาก
“ทำไมไม่ใช้เชฟในร้านละ”
“ก็หล่อไม่เท่าเจ้าของร้าน..”
“แหวะ หลงตัวเองใหญ่แล้วนะ”
“หรือเราว่าฉันไม่หล่อ”
“หล่อ ไม่หล่อสาว ๆ จะมาตอมกันให้หึ่งเหรอ”
“หึ่ง..” เขาทำย่นจมูกเมื่อทวนคำ
“มาถ่ายทำที่ร้านเราแบบนี้ เราได้อะไรไหม” กุสุมารีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ได้โฆษณาร้านไง แต่ว่าเสียเงินนิดหน่อยนะ ค่าน้ำมันรถ ค่าเบี้ยเลี้ยงเด็กทำงาน แล้วก็เลี้ยงอาหารเขามื้อหนึ่ง”
“รายการนี้มันออกอากาศนิดเดียวเองนี่ บ่าย ๆ ด้วยจะได้ผลเหรอ”
“ช่วย ๆ กัน เขาทำงาน เราก็ทำงาน ไม่ช่วยกันก็อยู่ไม่ได้”
“หน้าตาก็ดี ใจก็ดี..”
“สาว ๆ ตอมให้หึ่ง” สูรย์เอาคำของกุสุมามาย้อน
“จนไม่รู้จะเลือกใคร”
“ต้องดู ๆ ไปก่อน ตอนนี้ยังไม่อยากเลือก” เขาแย้มความรู้สึกออกมา แค่นี้กุสุมาก็หน้าแดงซ่าน พยายามที่จะไม่พูดอะไรเพื่อตัวเอง พยายามที่จะไม่ให้ มากไปกว่าพี่น้อง แต่ว่าใจและปากมันก็อดไม่ได้
“คงเลือกที่ดีที่สุด”
“และต้องน่ารักที่สุดด้วย”
“คงหายากหน่อยนะ”
“ก็พอมองเห็นบ้างแล้ว”
ขณะนั้นรถผ่านหน้าร้านต้มเลือดหมู สูรย์จึงชะลอรถ..
“ดูซิ วันนี้พวกมันมากันไหม จำหน้ามันได้ไหม” น้ำเสียงของเขาจริงจังขึ้น
กุสุมารีบหันไปดู พลางบอกว่า “จำได้”
และช่วงนั้นเป็นช่วงที่จะถึงปากซอยรถต้องติดสัญญาณไฟ ทำให้กุสุมามีโอกาสเพ่งไปในร้านได้สะดวก ..
“มา..สองคน มีไอ้แก่นั่นด้วย..” แม้ว่าสูรย์จะหาทางออกเรื่องการเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ว่ากุสุมาก็ยังไม่ล้มเลิกเรื่องปืนปากกา และเพื่อนที่ชอบทางนักเลงก็กำลังหาให้
“มันคงมาดักรอจริง ๆ น้าคนนั้นคงได้ยินจริง ๆ” สูรย์ที่หน้าเครียดขึ้นมาเพราะยังเป็นห่วงกุสุมาอยู่นั่นเอง
“แจ้งความให้ตำรวจจับเข้าคุกเลยไหม เงินกู้ โต๊ะบอลนี่ก็ผิดกฎหมายไม่ใช่เหรอ”
“ก่อนที่มันจะมาทำแบบนี้ มันก็คงเคลียร์ทางไว้แล้ว และในบ้านเราใช่ว่าตำรวจจะพึ่งพาได้จริงๆ รู้เห็นเป็นใจกับโจรเสียก็ไม่น้อย เราพึ่งตัวเองระวังตัวเองเป็นดีที่สุด..”
แม้สูรย์จะไม่ได้บอกตรง ๆ ว่าวันนี้อย่าให้กุสุมาไปล้างจาน แต่เขาก็บอกว่า วันนี้ให้กุสุมาเรียนรู้การจัดจานนะครับ แค่นี้นางก็รู้แล้วว่าเขาไม่พอใจที่เมื่อวานนางใช้กุสุมาไปทำอย่างนั้น แต่ถ้าเขาถามว่าทำไมต้องใช้ไปล้างจาน นางก็กะจะกระแทกเสียงตอบไปว่า งั้นน้าไม่สอน ให้สอนกันเอง ดีที่เขาไม่ได้พูดอย่างนั้นนางก็เลยไม่ได้ทำอย่างที่คิด
แต่ว่าวันนี้ หลังจากที่ให้เด็ก ๆ จัดเครื่องยำหมูยอสามรสไว้ถ่ายทำรายการ เขาก็ขับรถออกไปข้างนอก ทั้งที่กองถ่ายกำลังเซ็ทฉาก จัดไฟ และรอพิธีกรชายผู้ชื่นชอบการทำครัวเดินทางมาถึงเท่านั้น เขาหาได้สนใจเพียงแต่บอกก่อนไปว่าเดี๋ยวมา เดี๋ยวของสูรย์ นางส้มลิ้มคิดว่า คงจะออกไปซื้อของ แต่นี่กลายเป็นว่า เมื่อรถแล่นเข้ามา นางส้มลิ้มก็เห็นว่า มีอีนั่งเด็กคนนั้นนั่งหน้าคู่กันมา สีหน้าระริกระรื่น แม้กระทั่งเปิดประตูรถลงมาแล้วก็ยังมีเรื่องคุยมีเรื่องหัวเราะต่อกัน โดยไม่ได้สนใจสายตาของพนักงานในร้านเลยสักนิด..
“ป้าหวัดดี” นางส้มลิ้มแสร้งอ่านหนังสือพิมพ์ ทั้งที่ปกติเกลียดการอ่านหนังสือเป็นที่สุด
“ป้าหวัดดี” กุสุมายกมือไหว้และทักทายอีกรอบ แต่ว่านางส้มลิ้มก็ยังทำเฉย ไม่สนใจด้วยว่า พนักงานคนอื่น ๆ ที่มาป้วนเปี้ยนดูฉากสำหรับถ่ายทำรายการจะคิดกันอย่างไร และเพียงเท่านี้กุสุมาก็รู้แล้วว่า ป้าส้มลิ้มไม่ชอบขี้หน้าตนเสียแล้ว และคงจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องคุณสูรย์ ที่คุณหนูอรพิมของคุณป้าเธอรักเสียหนักหนา
สูรย์เดินตามมา พอดีกับทีมงานมารั้งไว้เพื่อคุยงาน เขาจึงไม่ได้เห็นว่ากุสุมาปั้นหน้าให้สดชื่นให้ลำบากเมื่อเดินเข้าไปในครัว..
ช่วงที่สูรย์พูดคุยถึงที่มาที่ไปของครัวอิ่มสุขกับพิธีกรก่อนจะทำยำหมูยอสามรส กุสุมาอยากจะออกมาดู แต่ป้าส้มลิ้มที่เดินตามเข้าไปก็พูดกับพี่กั๊กแต่ข้อความนั้นเป็นการสั่งงานเธอให้ทำงานและห้ามเสนอหน้าออกไปจากครัว ก่อนได้รับอนุญาต
“กั๊ก ให้เด็กใหม่จัดจานนะ ดูให้ดีด้วย อย่าให้ออกไปวุ่นวายข้างนอก” สั่งแล้วป้าส้มลิ้มก็ง่วนทำงานไม่สนใจพูดคุยกับใครทั้งสิ้น และคนอื่น ๆ ก็พลอยทำตัวเงียบ ๆ กันไปด้วย กุสุมารู้สึกเก้อเขิน ดีแต่ว่าพี่คนที่อยู่ฝ่ายจัดจานยังยิ้มแย้ม ค่อย ๆ แนะนำ จนกระทั่งป้าส้มลิ้มไปเข้าห้องน้ำพี่กั๊กก็เดินมาบอกว่า
“อดทนหน่อยนะม่า ช่วงนี้ป้าแกอารมณ์เสีย”
“เสียเรื่องอะไรหรือพี่”
“ก็เรื่องที่เราสนิทกับคุณสูรย์เกินหน้าคุณหนูอรพิมนะซิ..ถามจริง ๆ เถอะม่า คุณสูรย์เขาจีบแกเหรอ”
เจอถามจริง ๆ ถามตรง ๆ แบบนี้ ใจหนึ่งอยากจะปฏิเสธ ประมาณว่า ‘เอาที่ไหนมาพูดกัน ไม่จริง คุณสูรย์ไม่ได้จีบม่า เราไปไหนมาไหนกันแบบพี่น้อง’ แต่เมื่อความจริงกุสุมาก็รู้อยู่แก่ใจว่าคุณสูรย์กำลังเดินหน้าสร้างใยรักมัดหัวใจของเธอ เธอปฏิเสธออกไป ถ้าเขารู้ภายหลัง เขาจะเสียใจเอาได้ และเธอก็ไม่อยากโกหกเสียด้วย
“ไม่ตอบ แสดงว่าจริง”
“ป้าเขาคิดมากเรื่องนี้เหรอพี่”
“ก็คิดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยแหละ ข้าวเช้าก็ไม่กิน ข้าวเที่ยงก็ไม่กิน ข้าวเย็นก็ไม่กิน”
“กินแต่ก๊วยเตี๋ยว ไอ้กั๊กมึงจะเล่นมุกนี้ละซิ” พี่ผู้หญิงวัยสามสิบกว่า ๆ คนที่ยืนทอดปลาทูขัดขึ้น พี่กั๊กก็เลยหันไปจัดการ “อีบ้า อย่าจุ้น”
“ปากจัด ๆ อย่างมึง เมียถึงได้ทิ้งไปมีผัวใหม่”
“มันหมดบุญต่างหากละ” กั๊กเถียงไม่ลดละแต่กุสุมาแอบเห็นดวงตาเศร้า ๆ ของกั๊ก และเมื่อคนทั้งคู่หันไปทะเลาะกัน กุสุมาก็เลยไม่รู้ว่าที่ป้าส้มลิ้มปั้นปึ่งกับเธอนั้นเป็นเพราะคิดมากเรื่องเธอใช่หรือไม่
นอกจากมีหน้าที่จัดจานผักสำหรับชุดน้ำพริก และจัดจานผัก อาหารประเภทลาบ ยำ ทอด เมื่อว่างป้าส้มลิ้มก็สั่งผ่านคนที่มีหน้าที่เตรียมของให้เรียกกุสุมาไปฝึกงานตรงนั้นด้วย
“เขามาเรียนหลักสูตรเร่งรัดช่วยกันหน่อยแล้วกัน จะได้เป็นงานเร็ว ๆ จะได้ไป ๆ เสียที”
กุสุมายืนเด็ดชะอมที่จะต้องเตรียมไว้สำหรับทำไข่ทอดชะอม สำหรับเมนูชุดน้ำพริกกะปิกับเมนูแกงส้ม ด้วยความรู้สึกเมื่อยขาเป็นอย่างมาก
“พี่ ม่าไปเอาเก้าอี้มานั่งทำงานได้ไหม” กุสุมากระซิบถามเบา ๆ
“ไม่ได้ ป้าแกให้ยืนทำ จะได้ลุกไปหยิบจับอะไรได้ง่าย” หยิบจับก็คือพอพ่อครัวแม่ครัวทั้งครัวร้อนครัวเย็นเรียกหาวัตถุดิบอะไรก็จะรีบหยิบของบนโต๊ะหรือของที่เก็บไว้ในตู้เย็นไปยื่นให้เพื่อให้อาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว แต่ว่าตอนนี้กุสุมารู้สึกเมื่อเต็มกำลัง และพอเมื่อยมือก็ทำงานได้ช้าลงประกอบกับกุสุมารู้สึกว่าชะอมที่วางอยู่ตรงหน้ามันเยอะเหลือเกินและที่สำคัญบางยอดก็มีหนามแหลมคมทิ่มนิ้วมือของตนเองด้วย
“อู้ยยยย” กุสุมาอุทานเมื่อถูกหนามแถงจะเลือดไหลซิบ ๆ และยังไม่ทันจะร้องซี๊ด หูของกุสุมาก็ได้ยินถ้อยคำระคายหูจากปากป้าส้มลิ้ม
“สำออย!! หนามตำแค่นี้ทำร้อง เจอใหญ่กว่านี้ไม่แหกปากลั่นบ้านเลยเหรอ”
“ม่าไม่ออกไปดูคุณสูรย์ถ่ายรายการล่ะ” วิชาญเอ่ยปากถามเมื่อเห็นกุสุมาง่วนอยู่ที่โต๊ะผัก กุสุมาหันมามองเพื่อนสั่นหัวแล้วหันกลับไปก้มหน้าทำงาน แต่หูก็ได้ยินป้าส้มลิ้มพูดจาระรานไม่เลิก
“วิชาญเอ็งออกไปข้างนอกเลยนะ ช่วงนี้อย่ามาจุ้นในครัว”
“อ้าว มีอะไรเหรอป้า”
“กูบอกว่าอย่ามาจุ้นก็อย่ามา แล้วเอ็งนะเจียมตัวไว้ด้วย เขานะไม่ใช่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ”
“ใครเหรอป้า” วิชาญเกาหัวแกรก ๆ งง ๆ ว่าป้าส้มลิ้มพูดกระทบกระเทียบให้ใคร
“ว่าที่คุณนายคนใหม่ไงละ อีกหน่อยเขาก็ขึ้นวอแล้ว ขนาดยังไม่ขึ้นยังอ้อนซะขนาดนี้ ต่อไปนะใครทำไม่ดีด้วย คงได้กระเด็นออกจาก
ร้าน”
“ป้ากินข้าวหรือยัง” กั๊กช่วยขัดเพราะรู้สึกว่ากุสุมาคงจะนับหนึ่งถึงร้อยไปหลายรอบ
“ยัง คนเยอะงานยุ่ง ไม่มีเวลากิน”
“กินซะหน่อยนะป้า เดี๋ยวเป็นลมล้มไป ร้านเราจะแย่”
“แย่อย่างไงหรือกั๊ก” กั๊กมีลูกคู่ เพราะขยิบตากันไว้แล้วว่าให้ช่วยหน่อย
“ก็ ตายตอนโกรธแค้นชิงชังน่ะว่ากันว่าเฮี้ยนนัก ร้านปิดเพราะผีร้ายสิง พวกเราจะพลอยตกงานกันไปด้วยละซิ”
“ไอ้กั๊ก!!”
“มีอะไรหรือครับ”
“ไอ้ปากปีจอ”
“โบ๊วววววววววว โฮ่ง ๆ ๆ ๆ ...เอ๋ง!!”
เมื่อได้เวลาพักกุสุมาก็เดินไปนั่งที่โต๊ะหินใต้ต้นชมพู่ที่อยู่ข้าง ๆ รั้ว สูรย์ที่มองจอโทรทัศน์อยู่เห็นว่ากุสุมามีสีหน้าหม่นเศร้า เขาจึงโทรศัพท์มือถือออกไปหา แต่ว่าเหมือนกุสุมาจะปิดเครื่องไว้ เขาตัดสินใจใช้พี่นกเพราะไม่อยากให้ป้าส้มลิ้มเห็นว่าเขานั้นเอาอกเอาใจกุสุมาจนออกหน้า
และอึดใจกุสุมาก็เดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะทำงานสีหน้าแววตานั้นผิดจากเมื่อเช้าอย่างลิบลับ
“เป็นอะไรหรือม่า”
“เหนื่อย”
“มีอะไร งานหนักเหรอ” น้ำเสียงของเขาห่วงใย กุสุมาไม่ตอบ เขาจึงต้องลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดข้างๆ
“ขอโทษนะ” และที่กุสุมาคิดไม่ถึงนั้นก็คือเขาใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างวางบนหัวไหล่ของเธอก่อนจะบีบเบา ๆ กุสุมารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา ขณะนั้นเขาก็ชวนคุย “กินข้าวกลางวันหรือยัง”
“ยัง ไม่หิว”
“ป้าเขาพูดอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจละซิ”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“แต่น้ำเสียงบอกว่ามีนะ”
“ถ้าม่าจะไม่มาที่ร้านนี้อีก” ใจจริงกุสุมาไม่อยากเอ่ยคำนี้ เพราะมันดูเหมือนคนไม่มีน้ำอดน้ำทนและที่สำคัญถ้าเธอไม่มาที่นี่อีก เธอก็จะไม่ได้เจอเขา เมื่อไม่ได้เจอกัน ชีวิตที่เหลืออยู่มันจะเป็นอย่างไรล่ะ
“ทำไมพูดอย่างนั้น เป็นอะไร” เขาหยุดนวดแต่ว่ามือหนา ๆ ของเขา ก็ยังวางอยู่บนไหล่ของเธอ และสัมผัสของเขาก็เป็นสัมผัสของผู้ใหญ่ที่จะพยายามถ่ายทอดความอบอุ่นมากกว่าคิดจะหาเศษหาเลย กุสุมาจึงไม่ได้ขัดขืนตั้งแต่แรก
“ม่าว่าไปเสียเงินเรียนหลักสูตรเร่งรัดดีกว่า”
“ไม่ได้นะ ไม่ให้ไป” เขาค้านอย่างรวดเร็ว
“แล้วม่าก็ถูกเหน็บให้อย่างนี้นะเหรอ ม่าไม่ทนหรอก แค่ที่ทนก็เพราะเห็นแก่วิชาญเห็นแก่หน้าคุณสูรย์นะ” ขณะที่อารมณ์ขึ้นเพราะความโมโหผสมความน้อยใจกุสุมาก็เงยหน้ามาระบายฉอด ๆ
“ใจเย็น ๆ นั่งลง ๆ”
“ม่าลาออก ม่าจะกลับบ้านแล้ว”
“ใจเย็น ๆ ..ไปหาอะไรกินกันดีกว่า วันนี้อยากกินอะไร เคเอฟซีไหม หรือจะกินพิซซ่า”
พอเขายื่นข้อเสนอมา สติของกุสุมาก็เริ่มกลับ หญิงสาวครุ่นคิด แต่ว่าก็จำต้องเอ่ยอย่างถือดีไปว่า
“ไม่”
“หรือจะไปกินเอ็มเคกัน..ไป ๆ ลุก ๆ” เขาเลื่อนมือจากบ่ามาจับที่ไหล่ทั้งสองข้างพยายามจึงดึงร่างเล็กให้ลุกจากเก้าอี้แต่ว่ากุสุมาก็จับที่วางแขนของเก้าอี้จนแน่น
“ม่าทนไม่ไหวจริง ๆ นะ ม่าไม่อยากฟ้อง แต่ม่า ม่าไม่ไหว” น้ำเสียงของกุสุมาสั่นเครือ เขาก็เลยเลื่อนมือขวาขึ้นมาที่ศีรษะได้รูป
“แต่เราต้องอดทนนะ คนทำงาน ไม่มีที่ไหนไม่มีปัญหาหรอกม่าเอ๊ย หนีปัญหาหนีอย่างไงก็หนีไม่พ้น ปัญหาน่ะมันอยู่ที่เราจะแก้มันอย่างไรต่างหาก”
“ต้องอดทนอย่างนั้นเหรอ”
“แล้วมีทางออกอื่นอีกไหมละ..อดทนแล้วก็ได้วิชา ไม่ต้องเสียเงิน แล้วก็ได้อยู่ใกล้ ๆ กับฉันด้วยยังไม่พออีกหรือ”
พอสิ้นประโยคปลอบประโลมของเขาใบหน้าของกุสุมาก็แดงระเรื่อริมฝีปากที่เม้มสนิทเมื่อครู่ค่อยคลี่ออกโดยอัตโนมัติ ได้อยู่ใกล้ ๆ กับเขา มันก็น่าจะพอที่เธอจะต้องอดทน คิดคล้อยตามความคิดของเขาได้
ดังนั้นกุสุมาก็ผลุนผลันลุกขึ้นสลัดมือของเขาออกจากตัว..และพอลุกจากเก้าอี้แล้วกุสุมาก็หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเขาแต่ว่าอย่างไรเสียด้วยเขาตัวสูงกุสุมาจึงต้องเงยหน้าและเขาก็ก้มลงมามองริมฝีปากนั้นเล่าก็แย้มเพียงนิดอย่างผู้ที่รู้ว่าอย่างไรเสียเหยื่อก็ต้องติดกับดัก
“โอเค ไปกินเคเอฟซี ม่ามีเวลาว่างสองชั่วโมง ทันไหม”
“ไปรถยนต์ไม่ทันหรอก นอกเสียจากสั่งมาที่นี่”
“อีกตั้งนานแน่ะ” กุสุมาทำหน้าเมื่อย
“นอกเสียจากออกจากร้านไปแล้วก็ออกไปไหน ๆ กันต่อเลย”
“แล้วจะไปไหน ..แต่ไม่ไปดีกว่า..ถ้าจะอยู่ต่อ ม่าก็ต้องเอาชนะใจป้าส้มลิ้มให้ได้ด้วย”
“รู้ไหมว่า มันเป็นวิธีคิดที่ดีมาก ๆ”
พอเขาชมกุสุมาก็ยักไหล่อมยิ้มแล้วก็ใช้ปลายนิ้วชี้ข้างขวาจิ้มที่ตรงสมองตัวเอง..สูรย์เองก็ยิ้ม ๆ ยืนทำตาเชื่อมโดยในใจนั้นก็อยากจะรวบไอ้คนตรงหน้ามากอดให้แน่น ๆ สมกับที่ทำตัวได้น่ารัก..น่าจะมอบความรักให้หมดทั้งหัวใจ
ด้วยมัวแต่ช่วยกันแทะไก่เคเอฟซี สูรย์จึงไม่ได้มองจอโทรทัศน์จากกล้องวงจรปิด จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูห้อง เป็นปกติที่เขาจะมองจอก่อนจะอนุญาตให้ใครเข้ามาแต่นี่เขายังไม่ทันตั้งตัวประตูก็ถูกผลักเข้ามาเผยให้เห็นว่าพ่อกับแม่ยืนยิ้มกันอยู่..สูรย์รีบลุกขึ้นมือคว้ากระดาษทิชชู่มาซับน้ำมันในมือกุสุมาเองที่กำลังแทะน่องไก่อย่างเอร็ดอร่อยและกำลังเคี้ยวอย่างเต็มปากเต็มคำ ก็รีบกลืนพลางวางกระดูกก่อนจะหยิบทิชชู่มาซับมือซับปากแล้วหันไปหาต้นเสียงที่ร้องทักสูรย์..
“กำลังอร่อยกันเลย พ่อกับแม่มาผิดเวลาหรือเปล่า”
ว่าแล้วสองผัวเมียก็พากันเดินเข้ามาในห้อง กุสุมาลุกขึ้น ยกมือสวัสดี แบบลิงหลอกเจ้า เพราะหลังจากสวัสดีแล้ว กุสุมาต้องรีบเคลียร์โต๊ะ และต้องรีบลากเก้าอี้ตัวที่อยู่ชิดผนังมาวางไว้คู่กัน..
“ม่า พ่อกับแม่ฉัน” สูรย์เองตั้งหลักไม่ทันแล้วอีกอย่างก็รู้สึกเขินที่พ่อแม่เข้ามาเห็นว่าเขาทำตัวเหมือนเด็ก ๆ คือของที่สั่งมากินนั้น เกลื่อนกลาดบนโต๊ะ ด้วยแข่งกันใครกินหมดสามชิ้นก่อนจะได้เงินหนึ่งร้อยของผู้แพ้ ดังนั้นจึงต้องรีบกัด รีบกิน รีบกลืน..
และเรื่องโจ๊ก ๆ โก๊ะ ๆ แบบนี้ตอนที่เขาอยู่กับวรรณพร เขาไม่เคยหลุดออกมาอย่างแน่นอน
“สวัสดีค่ะ” กุสุมาสวัสดีอีกรอบ
“ม่าขอตัวก่อนนะ” กุสุมาทำท่าจะเก็บกล่องใส่ไก่ทอดแล้วผละออกไปแต่ว่าแม่ของสูรย์ห้ามไว้
“อยู่ด้วยกันก่อน ดูตัวก่อนสิ อย่าเพิ่งไป มองหน้าให้ชัด ๆ หน่อย”
ใจของกุสุมาเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ กลัวว่า เหตุที่แม่กับพ่อเขามากะทันหันนั้นมาจากป้าส้มลิ้มโทรไปฟ้อง หรือคำว่า ‘ดูตัวก่อนสิ’ ถ้าพูดให้แรงก็ ‘ดูสารรูปของเธอเถอะ’
“งั้นเดี๋ยวม่าออกไปเอาน้ำเย็นมาให้นะคะ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่นกก็เอาเข้ามา” สูรย์ห้าม
“แม่กับพ่อนั่งก่อนครับ..” ว่าแล้วเขาก็มาขยับเก้าอี้ให้
“ไม่ได้มาร้านนี้หลายวันแล้ว ผ่านมาก็เลยแวะมาดูสักหน่อย ดอกไม้บานสะพรั่งเลยนะ”
“ครับ”
หลังจากพ่อแม่นั่งเรียบร้อยสูรย์ก็เดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ กุสุมาที่ยิ้มแหย ๆ
“พ่อครับแม่ครับ น้องเขาชื่อม่าครับ ชื่อจริง ๆ ว่ากุสุมา”
กุสุมาก้มหน้างุดพยายามกลืนน้ำลายให้ลงคอแต่ว่าลำคอมันตีบตันไปเสียดื้อ ๆ
“น้องเขามาฝึกงานในครัวครับ เดือนสองเดือนก็จะไปอยู่ออสเตรเลียแล้วครับ”
“อืม..ไปทำอะไรเหรอ”
“ไปเรียนค่ะ” ประโยคนี้หลุดจากปากอย่างไม่ยากเย็นและสูรย์ก็รู้สึกว่ามันอ่อนหวานผิดกับเวลาคุยกับเขา เขาจึงอมยิ้มนิด ๆ ขยิบตาให้พ่อกับแม่ช่วยกันซักไซ้หรือแกล้งต้อนให้แม่สมันน้อยของจนมุม
“เรียนอะไรรึ”
“เอ่อ ..ยังไม่รู้เลยค่ะ น้าให้ไปก่อน แล้วค่อยหาที่เรียน คงจะเรียนภาษาก่อน แล้วค่อยว่ากัน หนูไม่ค่อยรู้อะไรหรอกค่ะ น้าได้สามีเป็นคนที่นั่น เขาจะเอาลูกชายเขาไปด้วย แล้วเขาก็เผื่อแผ่เมตตามาหาหนูด้วย หนูก็เลยได้ไป”
และที่สูรย์ยิ้มกว้าง ด้วย “ไอ้ม่า” ของไอ้ซ้งแทนตัวเองว่า “หนู” เสียด้วย
“ไปนานไหม”
“ก็ ยังไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ได้ไป”
“อืม..ไม่รู้อะไรเลย ..แล้วน้าเธอได้กับสามีคนนี้อย่างไง”
“อย่างไง” กุสุมาทวนคำถาม
“คุณก็ถามได้” สรรเสริญยั้งเมียไว้เพราะคำถามแบบนี้มันสามารถคิดลึกได้..
“เขาเจอกันที่ไหน”
“เจอกันที่กรุงเทพฯ น้ามาทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ในโรงแรม สามีเขามาเที่ยวแล้วก็จีบกัน สิบปีกว่าแล้ว หนูรู้แค่นี้แหละ”
“..อืม เรื่องบุพเพสันนิวาสนะ ต่อให้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวมันก็ต้องมาเจอกันจนได้”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แม่ทองสุขจึงหยุดพูด นกถือแก้วน้ำเย็นเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม และก็ทักทายเจ้าของร้านตัวจริง ก่อนจะขอตัวออกไป กุสุมาจะตามนกออกไปด้วยแต่ว่าสูรย์ดึงชายเสื้อไว้..
“นึกอย่างไง เอาดอกไม้มาลงซะทั่วเลย” คนเป็นพ่อเอ่ยถามลูกชายกับเด็กสาวแปลกหน้าพลางสำรวจเนื้อตัวไปตามประสาคนที่ผ่านโลกมานาน
“มีคนเขาว่าผมเป็นพ่อมดครับ”
“ใครหนอช่างกล้า” คนเป็นพ่อถามยิ้ม ๆ
กุสุมากระแอมไอ..ก่อนจะขยับตัวโดยการฉีกขาข้างขวาตามด้วยขาข้างซ้ายไปหยิบแก้วน้ำอัดลมของตัวเองที่กินค้างไว้มาดูดน้ำลงคอ
พอสูรย์จอดรถที่หน้าบ้านกุสุมาก็เปิดประตูรั้วออกไปทันทีและเมื่อไปนั่งหน้ารถคู่กับเขาโดยที่เขาไม่ต้องลงมาเปิดประตูให้ กุสุมาก็หันไปมองหน้ามองทรงผม มองเสื้อกับกางเกงที่รู้สึกว่ามันพิเศษกว่าทุก ๆ วัน
“มองอะไร” เขายิ้ม ๆ ขณะที่ขับรถเพื่อไปวนกลับรถ..
“วันนี้หล่อขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”
“แสดงว่าหล่อทุกวัน”
“จะไปไหนเหรอ”
“หล่อกว่าทุกวันใช่ป่ะ”
“อืม..” กุสุมายอมรับ แต่ก็ไม่ให้เต็มปากเต็มคำนักเดี๋ยวจะได้ใจ
“วันนี้รายการชิมไปทั่วจะมาถ่ายทำเทปที่ร้านเรา”
“อู้ว..จริง ๆ เหรอ”
“โดยคนแสดงฝีมือทำอาหารก็คือฉันเอง” สีหน้าภาคภูมิใจมาก
“ทำไมไม่ใช้เชฟในร้านละ”
“ก็หล่อไม่เท่าเจ้าของร้าน..”
“แหวะ หลงตัวเองใหญ่แล้วนะ”
“หรือเราว่าฉันไม่หล่อ”
“หล่อ ไม่หล่อสาว ๆ จะมาตอมกันให้หึ่งเหรอ”
“หึ่ง..” เขาทำย่นจมูกเมื่อทวนคำ
“มาถ่ายทำที่ร้านเราแบบนี้ เราได้อะไรไหม” กุสุมารีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“ได้โฆษณาร้านไง แต่ว่าเสียเงินนิดหน่อยนะ ค่าน้ำมันรถ ค่าเบี้ยเลี้ยงเด็กทำงาน แล้วก็เลี้ยงอาหารเขามื้อหนึ่ง”
“รายการนี้มันออกอากาศนิดเดียวเองนี่ บ่าย ๆ ด้วยจะได้ผลเหรอ”
“ช่วย ๆ กัน เขาทำงาน เราก็ทำงาน ไม่ช่วยกันก็อยู่ไม่ได้”
“หน้าตาก็ดี ใจก็ดี..”
“สาว ๆ ตอมให้หึ่ง” สูรย์เอาคำของกุสุมามาย้อน
“จนไม่รู้จะเลือกใคร”
“ต้องดู ๆ ไปก่อน ตอนนี้ยังไม่อยากเลือก” เขาแย้มความรู้สึกออกมา แค่นี้กุสุมาก็หน้าแดงซ่าน พยายามที่จะไม่พูดอะไรเพื่อตัวเอง พยายามที่จะไม่ให้ มากไปกว่าพี่น้อง แต่ว่าใจและปากมันก็อดไม่ได้
“คงเลือกที่ดีที่สุด”
“และต้องน่ารักที่สุดด้วย”
“คงหายากหน่อยนะ”
“ก็พอมองเห็นบ้างแล้ว”
ขณะนั้นรถผ่านหน้าร้านต้มเลือดหมู สูรย์จึงชะลอรถ..
“ดูซิ วันนี้พวกมันมากันไหม จำหน้ามันได้ไหม” น้ำเสียงของเขาจริงจังขึ้น
กุสุมารีบหันไปดู พลางบอกว่า “จำได้”
และช่วงนั้นเป็นช่วงที่จะถึงปากซอยรถต้องติดสัญญาณไฟ ทำให้กุสุมามีโอกาสเพ่งไปในร้านได้สะดวก ..
“มา..สองคน มีไอ้แก่นั่นด้วย..” แม้ว่าสูรย์จะหาทางออกเรื่องการเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว แต่ว่ากุสุมาก็ยังไม่ล้มเลิกเรื่องปืนปากกา และเพื่อนที่ชอบทางนักเลงก็กำลังหาให้
“มันคงมาดักรอจริง ๆ น้าคนนั้นคงได้ยินจริง ๆ” สูรย์ที่หน้าเครียดขึ้นมาเพราะยังเป็นห่วงกุสุมาอยู่นั่นเอง
“แจ้งความให้ตำรวจจับเข้าคุกเลยไหม เงินกู้ โต๊ะบอลนี่ก็ผิดกฎหมายไม่ใช่เหรอ”
“ก่อนที่มันจะมาทำแบบนี้ มันก็คงเคลียร์ทางไว้แล้ว และในบ้านเราใช่ว่าตำรวจจะพึ่งพาได้จริงๆ รู้เห็นเป็นใจกับโจรเสียก็ไม่น้อย เราพึ่งตัวเองระวังตัวเองเป็นดีที่สุด..”
แม้สูรย์จะไม่ได้บอกตรง ๆ ว่าวันนี้อย่าให้กุสุมาไปล้างจาน แต่เขาก็บอกว่า วันนี้ให้กุสุมาเรียนรู้การจัดจานนะครับ แค่นี้นางก็รู้แล้วว่าเขาไม่พอใจที่เมื่อวานนางใช้กุสุมาไปทำอย่างนั้น แต่ถ้าเขาถามว่าทำไมต้องใช้ไปล้างจาน นางก็กะจะกระแทกเสียงตอบไปว่า งั้นน้าไม่สอน ให้สอนกันเอง ดีที่เขาไม่ได้พูดอย่างนั้นนางก็เลยไม่ได้ทำอย่างที่คิด
แต่ว่าวันนี้ หลังจากที่ให้เด็ก ๆ จัดเครื่องยำหมูยอสามรสไว้ถ่ายทำรายการ เขาก็ขับรถออกไปข้างนอก ทั้งที่กองถ่ายกำลังเซ็ทฉาก จัดไฟ และรอพิธีกรชายผู้ชื่นชอบการทำครัวเดินทางมาถึงเท่านั้น เขาหาได้สนใจเพียงแต่บอกก่อนไปว่าเดี๋ยวมา เดี๋ยวของสูรย์ นางส้มลิ้มคิดว่า คงจะออกไปซื้อของ แต่นี่กลายเป็นว่า เมื่อรถแล่นเข้ามา นางส้มลิ้มก็เห็นว่า มีอีนั่งเด็กคนนั้นนั่งหน้าคู่กันมา สีหน้าระริกระรื่น แม้กระทั่งเปิดประตูรถลงมาแล้วก็ยังมีเรื่องคุยมีเรื่องหัวเราะต่อกัน โดยไม่ได้สนใจสายตาของพนักงานในร้านเลยสักนิด..
“ป้าหวัดดี” นางส้มลิ้มแสร้งอ่านหนังสือพิมพ์ ทั้งที่ปกติเกลียดการอ่านหนังสือเป็นที่สุด
“ป้าหวัดดี” กุสุมายกมือไหว้และทักทายอีกรอบ แต่ว่านางส้มลิ้มก็ยังทำเฉย ไม่สนใจด้วยว่า พนักงานคนอื่น ๆ ที่มาป้วนเปี้ยนดูฉากสำหรับถ่ายทำรายการจะคิดกันอย่างไร และเพียงเท่านี้กุสุมาก็รู้แล้วว่า ป้าส้มลิ้มไม่ชอบขี้หน้าตนเสียแล้ว และคงจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องคุณสูรย์ ที่คุณหนูอรพิมของคุณป้าเธอรักเสียหนักหนา
สูรย์เดินตามมา พอดีกับทีมงานมารั้งไว้เพื่อคุยงาน เขาจึงไม่ได้เห็นว่ากุสุมาปั้นหน้าให้สดชื่นให้ลำบากเมื่อเดินเข้าไปในครัว..
ช่วงที่สูรย์พูดคุยถึงที่มาที่ไปของครัวอิ่มสุขกับพิธีกรก่อนจะทำยำหมูยอสามรส กุสุมาอยากจะออกมาดู แต่ป้าส้มลิ้มที่เดินตามเข้าไปก็พูดกับพี่กั๊กแต่ข้อความนั้นเป็นการสั่งงานเธอให้ทำงานและห้ามเสนอหน้าออกไปจากครัว ก่อนได้รับอนุญาต
“กั๊ก ให้เด็กใหม่จัดจานนะ ดูให้ดีด้วย อย่าให้ออกไปวุ่นวายข้างนอก” สั่งแล้วป้าส้มลิ้มก็ง่วนทำงานไม่สนใจพูดคุยกับใครทั้งสิ้น และคนอื่น ๆ ก็พลอยทำตัวเงียบ ๆ กันไปด้วย กุสุมารู้สึกเก้อเขิน ดีแต่ว่าพี่คนที่อยู่ฝ่ายจัดจานยังยิ้มแย้ม ค่อย ๆ แนะนำ จนกระทั่งป้าส้มลิ้มไปเข้าห้องน้ำพี่กั๊กก็เดินมาบอกว่า
“อดทนหน่อยนะม่า ช่วงนี้ป้าแกอารมณ์เสีย”
“เสียเรื่องอะไรหรือพี่”
“ก็เรื่องที่เราสนิทกับคุณสูรย์เกินหน้าคุณหนูอรพิมนะซิ..ถามจริง ๆ เถอะม่า คุณสูรย์เขาจีบแกเหรอ”
เจอถามจริง ๆ ถามตรง ๆ แบบนี้ ใจหนึ่งอยากจะปฏิเสธ ประมาณว่า ‘เอาที่ไหนมาพูดกัน ไม่จริง คุณสูรย์ไม่ได้จีบม่า เราไปไหนมาไหนกันแบบพี่น้อง’ แต่เมื่อความจริงกุสุมาก็รู้อยู่แก่ใจว่าคุณสูรย์กำลังเดินหน้าสร้างใยรักมัดหัวใจของเธอ เธอปฏิเสธออกไป ถ้าเขารู้ภายหลัง เขาจะเสียใจเอาได้ และเธอก็ไม่อยากโกหกเสียด้วย
“ไม่ตอบ แสดงว่าจริง”
“ป้าเขาคิดมากเรื่องนี้เหรอพี่”
“ก็คิดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยแหละ ข้าวเช้าก็ไม่กิน ข้าวเที่ยงก็ไม่กิน ข้าวเย็นก็ไม่กิน”
“กินแต่ก๊วยเตี๋ยว ไอ้กั๊กมึงจะเล่นมุกนี้ละซิ” พี่ผู้หญิงวัยสามสิบกว่า ๆ คนที่ยืนทอดปลาทูขัดขึ้น พี่กั๊กก็เลยหันไปจัดการ “อีบ้า อย่าจุ้น”
“ปากจัด ๆ อย่างมึง เมียถึงได้ทิ้งไปมีผัวใหม่”
“มันหมดบุญต่างหากละ” กั๊กเถียงไม่ลดละแต่กุสุมาแอบเห็นดวงตาเศร้า ๆ ของกั๊ก และเมื่อคนทั้งคู่หันไปทะเลาะกัน กุสุมาก็เลยไม่รู้ว่าที่ป้าส้มลิ้มปั้นปึ่งกับเธอนั้นเป็นเพราะคิดมากเรื่องเธอใช่หรือไม่
นอกจากมีหน้าที่จัดจานผักสำหรับชุดน้ำพริก และจัดจานผัก อาหารประเภทลาบ ยำ ทอด เมื่อว่างป้าส้มลิ้มก็สั่งผ่านคนที่มีหน้าที่เตรียมของให้เรียกกุสุมาไปฝึกงานตรงนั้นด้วย
“เขามาเรียนหลักสูตรเร่งรัดช่วยกันหน่อยแล้วกัน จะได้เป็นงานเร็ว ๆ จะได้ไป ๆ เสียที”
กุสุมายืนเด็ดชะอมที่จะต้องเตรียมไว้สำหรับทำไข่ทอดชะอม สำหรับเมนูชุดน้ำพริกกะปิกับเมนูแกงส้ม ด้วยความรู้สึกเมื่อยขาเป็นอย่างมาก
“พี่ ม่าไปเอาเก้าอี้มานั่งทำงานได้ไหม” กุสุมากระซิบถามเบา ๆ
“ไม่ได้ ป้าแกให้ยืนทำ จะได้ลุกไปหยิบจับอะไรได้ง่าย” หยิบจับก็คือพอพ่อครัวแม่ครัวทั้งครัวร้อนครัวเย็นเรียกหาวัตถุดิบอะไรก็จะรีบหยิบของบนโต๊ะหรือของที่เก็บไว้ในตู้เย็นไปยื่นให้เพื่อให้อาหารเสร็จอย่างรวดเร็ว แต่ว่าตอนนี้กุสุมารู้สึกเมื่อเต็มกำลัง และพอเมื่อยมือก็ทำงานได้ช้าลงประกอบกับกุสุมารู้สึกว่าชะอมที่วางอยู่ตรงหน้ามันเยอะเหลือเกินและที่สำคัญบางยอดก็มีหนามแหลมคมทิ่มนิ้วมือของตนเองด้วย
“อู้ยยยย” กุสุมาอุทานเมื่อถูกหนามแถงจะเลือดไหลซิบ ๆ และยังไม่ทันจะร้องซี๊ด หูของกุสุมาก็ได้ยินถ้อยคำระคายหูจากปากป้าส้มลิ้ม
“สำออย!! หนามตำแค่นี้ทำร้อง เจอใหญ่กว่านี้ไม่แหกปากลั่นบ้านเลยเหรอ”
“ม่าไม่ออกไปดูคุณสูรย์ถ่ายรายการล่ะ” วิชาญเอ่ยปากถามเมื่อเห็นกุสุมาง่วนอยู่ที่โต๊ะผัก กุสุมาหันมามองเพื่อนสั่นหัวแล้วหันกลับไปก้มหน้าทำงาน แต่หูก็ได้ยินป้าส้มลิ้มพูดจาระรานไม่เลิก
“วิชาญเอ็งออกไปข้างนอกเลยนะ ช่วงนี้อย่ามาจุ้นในครัว”
“อ้าว มีอะไรเหรอป้า”
“กูบอกว่าอย่ามาจุ้นก็อย่ามา แล้วเอ็งนะเจียมตัวไว้ด้วย เขานะไม่ใช่คนธรรมดาอย่างเรา ๆ”
“ใครเหรอป้า” วิชาญเกาหัวแกรก ๆ งง ๆ ว่าป้าส้มลิ้มพูดกระทบกระเทียบให้ใคร
“ว่าที่คุณนายคนใหม่ไงละ อีกหน่อยเขาก็ขึ้นวอแล้ว ขนาดยังไม่ขึ้นยังอ้อนซะขนาดนี้ ต่อไปนะใครทำไม่ดีด้วย คงได้กระเด็นออกจาก
ร้าน”
“ป้ากินข้าวหรือยัง” กั๊กช่วยขัดเพราะรู้สึกว่ากุสุมาคงจะนับหนึ่งถึงร้อยไปหลายรอบ
“ยัง คนเยอะงานยุ่ง ไม่มีเวลากิน”
“กินซะหน่อยนะป้า เดี๋ยวเป็นลมล้มไป ร้านเราจะแย่”
“แย่อย่างไงหรือกั๊ก” กั๊กมีลูกคู่ เพราะขยิบตากันไว้แล้วว่าให้ช่วยหน่อย
“ก็ ตายตอนโกรธแค้นชิงชังน่ะว่ากันว่าเฮี้ยนนัก ร้านปิดเพราะผีร้ายสิง พวกเราจะพลอยตกงานกันไปด้วยละซิ”
“ไอ้กั๊ก!!”
“มีอะไรหรือครับ”
“ไอ้ปากปีจอ”
“โบ๊วววววววววว โฮ่ง ๆ ๆ ๆ ...เอ๋ง!!”
เมื่อได้เวลาพักกุสุมาก็เดินไปนั่งที่โต๊ะหินใต้ต้นชมพู่ที่อยู่ข้าง ๆ รั้ว สูรย์ที่มองจอโทรทัศน์อยู่เห็นว่ากุสุมามีสีหน้าหม่นเศร้า เขาจึงโทรศัพท์มือถือออกไปหา แต่ว่าเหมือนกุสุมาจะปิดเครื่องไว้ เขาตัดสินใจใช้พี่นกเพราะไม่อยากให้ป้าส้มลิ้มเห็นว่าเขานั้นเอาอกเอาใจกุสุมาจนออกหน้า
และอึดใจกุสุมาก็เดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งหน้าโต๊ะทำงานสีหน้าแววตานั้นผิดจากเมื่อเช้าอย่างลิบลับ
“เป็นอะไรหรือม่า”
“เหนื่อย”
“มีอะไร งานหนักเหรอ” น้ำเสียงของเขาห่วงใย กุสุมาไม่ตอบ เขาจึงต้องลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดข้างๆ
“ขอโทษนะ” และที่กุสุมาคิดไม่ถึงนั้นก็คือเขาใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างวางบนหัวไหล่ของเธอก่อนจะบีบเบา ๆ กุสุมารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา ขณะนั้นเขาก็ชวนคุย “กินข้าวกลางวันหรือยัง”
“ยัง ไม่หิว”
“ป้าเขาพูดอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจละซิ”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“แต่น้ำเสียงบอกว่ามีนะ”
“ถ้าม่าจะไม่มาที่ร้านนี้อีก” ใจจริงกุสุมาไม่อยากเอ่ยคำนี้ เพราะมันดูเหมือนคนไม่มีน้ำอดน้ำทนและที่สำคัญถ้าเธอไม่มาที่นี่อีก เธอก็จะไม่ได้เจอเขา เมื่อไม่ได้เจอกัน ชีวิตที่เหลืออยู่มันจะเป็นอย่างไรล่ะ
“ทำไมพูดอย่างนั้น เป็นอะไร” เขาหยุดนวดแต่ว่ามือหนา ๆ ของเขา ก็ยังวางอยู่บนไหล่ของเธอ และสัมผัสของเขาก็เป็นสัมผัสของผู้ใหญ่ที่จะพยายามถ่ายทอดความอบอุ่นมากกว่าคิดจะหาเศษหาเลย กุสุมาจึงไม่ได้ขัดขืนตั้งแต่แรก
“ม่าว่าไปเสียเงินเรียนหลักสูตรเร่งรัดดีกว่า”
“ไม่ได้นะ ไม่ให้ไป” เขาค้านอย่างรวดเร็ว
“แล้วม่าก็ถูกเหน็บให้อย่างนี้นะเหรอ ม่าไม่ทนหรอก แค่ที่ทนก็เพราะเห็นแก่วิชาญเห็นแก่หน้าคุณสูรย์นะ” ขณะที่อารมณ์ขึ้นเพราะความโมโหผสมความน้อยใจกุสุมาก็เงยหน้ามาระบายฉอด ๆ
“ใจเย็น ๆ นั่งลง ๆ”
“ม่าลาออก ม่าจะกลับบ้านแล้ว”
“ใจเย็น ๆ ..ไปหาอะไรกินกันดีกว่า วันนี้อยากกินอะไร เคเอฟซีไหม หรือจะกินพิซซ่า”
พอเขายื่นข้อเสนอมา สติของกุสุมาก็เริ่มกลับ หญิงสาวครุ่นคิด แต่ว่าก็จำต้องเอ่ยอย่างถือดีไปว่า
“ไม่”
“หรือจะไปกินเอ็มเคกัน..ไป ๆ ลุก ๆ” เขาเลื่อนมือจากบ่ามาจับที่ไหล่ทั้งสองข้างพยายามจึงดึงร่างเล็กให้ลุกจากเก้าอี้แต่ว่ากุสุมาก็จับที่วางแขนของเก้าอี้จนแน่น
“ม่าทนไม่ไหวจริง ๆ นะ ม่าไม่อยากฟ้อง แต่ม่า ม่าไม่ไหว” น้ำเสียงของกุสุมาสั่นเครือ เขาก็เลยเลื่อนมือขวาขึ้นมาที่ศีรษะได้รูป
“แต่เราต้องอดทนนะ คนทำงาน ไม่มีที่ไหนไม่มีปัญหาหรอกม่าเอ๊ย หนีปัญหาหนีอย่างไงก็หนีไม่พ้น ปัญหาน่ะมันอยู่ที่เราจะแก้มันอย่างไรต่างหาก”
“ต้องอดทนอย่างนั้นเหรอ”
“แล้วมีทางออกอื่นอีกไหมละ..อดทนแล้วก็ได้วิชา ไม่ต้องเสียเงิน แล้วก็ได้อยู่ใกล้ ๆ กับฉันด้วยยังไม่พออีกหรือ”
พอสิ้นประโยคปลอบประโลมของเขาใบหน้าของกุสุมาก็แดงระเรื่อริมฝีปากที่เม้มสนิทเมื่อครู่ค่อยคลี่ออกโดยอัตโนมัติ ได้อยู่ใกล้ ๆ กับเขา มันก็น่าจะพอที่เธอจะต้องอดทน คิดคล้อยตามความคิดของเขาได้
ดังนั้นกุสุมาก็ผลุนผลันลุกขึ้นสลัดมือของเขาออกจากตัว..และพอลุกจากเก้าอี้แล้วกุสุมาก็หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเขาแต่ว่าอย่างไรเสียด้วยเขาตัวสูงกุสุมาจึงต้องเงยหน้าและเขาก็ก้มลงมามองริมฝีปากนั้นเล่าก็แย้มเพียงนิดอย่างผู้ที่รู้ว่าอย่างไรเสียเหยื่อก็ต้องติดกับดัก
“โอเค ไปกินเคเอฟซี ม่ามีเวลาว่างสองชั่วโมง ทันไหม”
“ไปรถยนต์ไม่ทันหรอก นอกเสียจากสั่งมาที่นี่”
“อีกตั้งนานแน่ะ” กุสุมาทำหน้าเมื่อย
“นอกเสียจากออกจากร้านไปแล้วก็ออกไปไหน ๆ กันต่อเลย”
“แล้วจะไปไหน ..แต่ไม่ไปดีกว่า..ถ้าจะอยู่ต่อ ม่าก็ต้องเอาชนะใจป้าส้มลิ้มให้ได้ด้วย”
“รู้ไหมว่า มันเป็นวิธีคิดที่ดีมาก ๆ”
พอเขาชมกุสุมาก็ยักไหล่อมยิ้มแล้วก็ใช้ปลายนิ้วชี้ข้างขวาจิ้มที่ตรงสมองตัวเอง..สูรย์เองก็ยิ้ม ๆ ยืนทำตาเชื่อมโดยในใจนั้นก็อยากจะรวบไอ้คนตรงหน้ามากอดให้แน่น ๆ สมกับที่ทำตัวได้น่ารัก..น่าจะมอบความรักให้หมดทั้งหัวใจ
ด้วยมัวแต่ช่วยกันแทะไก่เคเอฟซี สูรย์จึงไม่ได้มองจอโทรทัศน์จากกล้องวงจรปิด จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูห้อง เป็นปกติที่เขาจะมองจอก่อนจะอนุญาตให้ใครเข้ามาแต่นี่เขายังไม่ทันตั้งตัวประตูก็ถูกผลักเข้ามาเผยให้เห็นว่าพ่อกับแม่ยืนยิ้มกันอยู่..สูรย์รีบลุกขึ้นมือคว้ากระดาษทิชชู่มาซับน้ำมันในมือกุสุมาเองที่กำลังแทะน่องไก่อย่างเอร็ดอร่อยและกำลังเคี้ยวอย่างเต็มปากเต็มคำ ก็รีบกลืนพลางวางกระดูกก่อนจะหยิบทิชชู่มาซับมือซับปากแล้วหันไปหาต้นเสียงที่ร้องทักสูรย์..
“กำลังอร่อยกันเลย พ่อกับแม่มาผิดเวลาหรือเปล่า”
ว่าแล้วสองผัวเมียก็พากันเดินเข้ามาในห้อง กุสุมาลุกขึ้น ยกมือสวัสดี แบบลิงหลอกเจ้า เพราะหลังจากสวัสดีแล้ว กุสุมาต้องรีบเคลียร์โต๊ะ และต้องรีบลากเก้าอี้ตัวที่อยู่ชิดผนังมาวางไว้คู่กัน..
“ม่า พ่อกับแม่ฉัน” สูรย์เองตั้งหลักไม่ทันแล้วอีกอย่างก็รู้สึกเขินที่พ่อแม่เข้ามาเห็นว่าเขาทำตัวเหมือนเด็ก ๆ คือของที่สั่งมากินนั้น เกลื่อนกลาดบนโต๊ะ ด้วยแข่งกันใครกินหมดสามชิ้นก่อนจะได้เงินหนึ่งร้อยของผู้แพ้ ดังนั้นจึงต้องรีบกัด รีบกิน รีบกลืน..
และเรื่องโจ๊ก ๆ โก๊ะ ๆ แบบนี้ตอนที่เขาอยู่กับวรรณพร เขาไม่เคยหลุดออกมาอย่างแน่นอน
“สวัสดีค่ะ” กุสุมาสวัสดีอีกรอบ
“ม่าขอตัวก่อนนะ” กุสุมาทำท่าจะเก็บกล่องใส่ไก่ทอดแล้วผละออกไปแต่ว่าแม่ของสูรย์ห้ามไว้
“อยู่ด้วยกันก่อน ดูตัวก่อนสิ อย่าเพิ่งไป มองหน้าให้ชัด ๆ หน่อย”
ใจของกุสุมาเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ กลัวว่า เหตุที่แม่กับพ่อเขามากะทันหันนั้นมาจากป้าส้มลิ้มโทรไปฟ้อง หรือคำว่า ‘ดูตัวก่อนสิ’ ถ้าพูดให้แรงก็ ‘ดูสารรูปของเธอเถอะ’
“งั้นเดี๋ยวม่าออกไปเอาน้ำเย็นมาให้นะคะ”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่นกก็เอาเข้ามา” สูรย์ห้าม
“แม่กับพ่อนั่งก่อนครับ..” ว่าแล้วเขาก็มาขยับเก้าอี้ให้
“ไม่ได้มาร้านนี้หลายวันแล้ว ผ่านมาก็เลยแวะมาดูสักหน่อย ดอกไม้บานสะพรั่งเลยนะ”
“ครับ”
หลังจากพ่อแม่นั่งเรียบร้อยสูรย์ก็เดินไปยืนอยู่ข้าง ๆ กุสุมาที่ยิ้มแหย ๆ
“พ่อครับแม่ครับ น้องเขาชื่อม่าครับ ชื่อจริง ๆ ว่ากุสุมา”
กุสุมาก้มหน้างุดพยายามกลืนน้ำลายให้ลงคอแต่ว่าลำคอมันตีบตันไปเสียดื้อ ๆ
“น้องเขามาฝึกงานในครัวครับ เดือนสองเดือนก็จะไปอยู่ออสเตรเลียแล้วครับ”
“อืม..ไปทำอะไรเหรอ”
“ไปเรียนค่ะ” ประโยคนี้หลุดจากปากอย่างไม่ยากเย็นและสูรย์ก็รู้สึกว่ามันอ่อนหวานผิดกับเวลาคุยกับเขา เขาจึงอมยิ้มนิด ๆ ขยิบตาให้พ่อกับแม่ช่วยกันซักไซ้หรือแกล้งต้อนให้แม่สมันน้อยของจนมุม
“เรียนอะไรรึ”
“เอ่อ ..ยังไม่รู้เลยค่ะ น้าให้ไปก่อน แล้วค่อยหาที่เรียน คงจะเรียนภาษาก่อน แล้วค่อยว่ากัน หนูไม่ค่อยรู้อะไรหรอกค่ะ น้าได้สามีเป็นคนที่นั่น เขาจะเอาลูกชายเขาไปด้วย แล้วเขาก็เผื่อแผ่เมตตามาหาหนูด้วย หนูก็เลยได้ไป”
และที่สูรย์ยิ้มกว้าง ด้วย “ไอ้ม่า” ของไอ้ซ้งแทนตัวเองว่า “หนู” เสียด้วย
“ไปนานไหม”
“ก็ ยังไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ได้ไป”
“อืม..ไม่รู้อะไรเลย ..แล้วน้าเธอได้กับสามีคนนี้อย่างไง”
“อย่างไง” กุสุมาทวนคำถาม
“คุณก็ถามได้” สรรเสริญยั้งเมียไว้เพราะคำถามแบบนี้มันสามารถคิดลึกได้..
“เขาเจอกันที่ไหน”
“เจอกันที่กรุงเทพฯ น้ามาทำงานเป็นแม่บ้านอยู่ในโรงแรม สามีเขามาเที่ยวแล้วก็จีบกัน สิบปีกว่าแล้ว หนูรู้แค่นี้แหละ”
“..อืม เรื่องบุพเพสันนิวาสนะ ต่อให้อยู่สุดหล้าฟ้าเขียวมันก็ต้องมาเจอกันจนได้”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แม่ทองสุขจึงหยุดพูด นกถือแก้วน้ำเย็นเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม และก็ทักทายเจ้าของร้านตัวจริง ก่อนจะขอตัวออกไป กุสุมาจะตามนกออกไปด้วยแต่ว่าสูรย์ดึงชายเสื้อไว้..
“นึกอย่างไง เอาดอกไม้มาลงซะทั่วเลย” คนเป็นพ่อเอ่ยถามลูกชายกับเด็กสาวแปลกหน้าพลางสำรวจเนื้อตัวไปตามประสาคนที่ผ่านโลกมานาน
“มีคนเขาว่าผมเป็นพ่อมดครับ”
“ใครหนอช่างกล้า” คนเป็นพ่อถามยิ้ม ๆ
กุสุมากระแอมไอ..ก่อนจะขยับตัวโดยการฉีกขาข้างขวาตามด้วยขาข้างซ้ายไปหยิบแก้วน้ำอัดลมของตัวเองที่กินค้างไว้มาดูดน้ำลงคอ
จุฬามณีเฟื่องนคร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 พ.ค. 2554, 10:13:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 พ.ค. 2554, 13:06:59 น.
จำนวนการเข้าชม : 3163
<< 16.ชอบเขาละซิ | 18.ม่าไม่ได้มาที่นี่เพื่อจับคุณสูรย์นะ >> |
nateetip 9 พ.ค. 2554, 11:25:10 น.
ชอบคุณค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ
ชอบคุณค่ะ รอตอนต่อไปนะคะ
sai 9 พ.ค. 2554, 14:03:26 น.
อ่านที่เดียว 17 ตอนรวด ชอบๆน่ารักดีไอ้ม่าของคุณสูรย์เนี่ยย
อ่านที่เดียว 17 ตอนรวด ชอบๆน่ารักดีไอ้ม่าของคุณสูรย์เนี่ยย
namzuza 9 พ.ค. 2554, 14:27:08 น.
ม่าน่ารักอ่ะ อยากมีคนมาแทะไก่ด้วยจังเลย
ม่าน่ารักอ่ะ อยากมีคนมาแทะไก่ด้วยจังเลย
คิมหันตุ์ 9 พ.ค. 2554, 14:48:26 น.
คุณพ่อคุณแม่ มาแนว ไหน คะเนี่ย..ลุ้นแทนจริงๆ
คุณพ่อคุณแม่ มาแนว ไหน คะเนี่ย..ลุ้นแทนจริงๆ
Pat 9 พ.ค. 2554, 15:16:57 น.
^_^ พ่อกะแม่บุกดูตัวเลยแฮะ
^_^ พ่อกะแม่บุกดูตัวเลยแฮะ
niny 9 พ.ค. 2554, 16:50:45 น.
น่ารักทั้งม่า คุณสูรย์...และ writer
น่ารักทั้งม่า คุณสูรย์...และ writer
nutcha 9 พ.ค. 2554, 22:12:47 น.
คุณสูรย์น่ารักมาก
คุณสูรย์น่ารักมาก
boonja 10 พ.ค. 2554, 00:11:09 น.
พ่อมอ จริงๆๆด้วย
พ่อมอ จริงๆๆด้วย
หมูบิน 10 พ.ค. 2554, 06:37:39 น.
พ่อมด หล่ออออ
พ่อมด หล่ออออ
เจ้าชายน้อย 10 พ.ค. 2554, 22:09:35 น.
คิกคัก ม่าเอ๊ย ถูกดูตัว
น่ารักแบบนี้เดี๋ยวป้าส้มลิ้มก้อใจอ่อนนะ
คิกคัก ม่าเอ๊ย ถูกดูตัว
น่ารักแบบนี้เดี๋ยวป้าส้มลิ้มก้อใจอ่อนนะ
XaWarZd 15 พ.ค. 2554, 14:25:19 น.
พ่อกะแม่ได้ข่าวหรือเปล่าหนอ ถึงได้แวะมาดูหน้าว่าที่ลูกสะใภ้
พ่อกะแม่ได้ข่าวหรือเปล่าหนอ ถึงได้แวะมาดูหน้าว่าที่ลูกสะใภ้