เจ้าสาวสีเลือด
เป็นเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์ ยังไม่ค่อยดี สมบูรณ์แบบเท่าไหร่
ยังไงฝากด้วยนะคะ

เมื่อสองหัวใจเจ็บ ๆ มาเจอกัน เปลี่ยนความกลัว ความเสียใจและแผนลวงเป็นความรัก แต่สุดท้ายรู้ว่ารักแท้ของเขาที่มีให้ แท้จริงแล้วเริ่มต้นจากความจอมปลอมทั้งหมด แบบนี้...เธอจะยอมรับมันได้หรือ !
Tags: ดราม่า หวานแหวว

ตอน: เจ้าสาวสีเลือดตอนที่สาม

ตอนที่ 3
น้ำจากฝักบัวไหลลงกระทบศีรษะและไหลเรื่อยลงบนเรือนร่างผ่องพรรณนั้น ปรายปรางค์ใช้ที่ขัดตัวถูผิวบางใสไปมาด้วยความรุนแรงจนแดงเกือบทั่วทั้งกาย โดยเฉพาะบริเวณที่ชายหนุ่มบรรจงประทับรอยปากและจมูกของเขาไว้ หญิงสาวขัดแล้วขัดอีกถูจนหนังกำพร้าแทบถลอกออกมาเป็นแผ่นๆ มันน่าขยะแขยงเสียยิ่งนักกับการกระทำอันหยาบคายไร้มารยาทของชายแปลกหน้าคนนั้น ภาพใบหน้าเขายังฝังอยู่ในส่วนหนึ่งของสมองเธอ มือเรียวทั้งสองรองน้ำจากฝักบัวแล้วสาดเข้ากับใบหน้าขาวซีดอีกหลายหน เธอรู้สึกทุกอย่างดูแย่ไปหมดเรื่องเลวร้ายประเดประดังเข้ามาในเวลาเดียวกันความเสียใจ น้อยเนื้อต่ำใจพรั่งพรูจนเอ่อล้นออกมากลายเป็นหยดน้ำตาไหลตามสายน้ำจากฝักบัว

“ก๊อก ๆ ๆ” เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้นตามด้วยเสียงเรียกจากเพื่อนสาว “ปรางแกเป็นยังไงบ้าง เข้าไปตั้งนานแล้วนะยังไม่เสร็จอีกเหรอ” วริษาน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างมากเธอรอคนในห้องน้ำให้ออกมาเกือบครบชั่วโมงแล้ว โดยการเดินวนเวียนไปมาอยู่แถวประตูห้องน้ำแบบนั้น เธอไม่ไว้ใจเพื่อนกลัวเหลือเกินว่าความบาดเจ็บที่อยู่ลึกเกินมองเห็นนั้นจะทำให้ปรายปรางค์ทำอะไรลงไปโดยไม่ยั้งคิด
“อืม เสร็จแล้ว” เสียงตอบรับดังขึ้น พร้อมกับเสียงน้ำที่ไหลกระทบกระเบื้องได้เงียบลง ปรายปรางค์ในชุดคลุมอาบน้ำสีครีมได้ก้าวออกมา เนื้อตัวเธอขาวซีดราวกับกระดาษโดยเฉพาะปากที่ซีดมากกลายเป็นสีอมม่วง
“ไอ้ปรางแกทำอะไรของแกเนี้ย ดูตัวแกซิซีดไปหมดแล้ว” วริษาเห็นสภาพคนตรงหน้าที่ยืนสั่นแล้วรู้สึกแทบอยากจะร้องไห้ เธอรีบเดินไปหยิบผ้าห่มผืนเล็กมาคลุมตัวเพื่อนรักไว้แน่นก่อนจะพูดต่อว่า “แกต้องเข้มแข็งนะ เรื่องที่มันแย่กว่านี้แกยังผ่านมันมาได้เลย กับอีเรื่องแค่นี้ แก...แก...ต้องพยายามนะ” ประโยคท้ายๆ คนปลอบเริ่มมีน้ำเสียงเครือ
“แล้วแกเป็นอะไรไปษา ทำท่ายังกับจะร้องไห้ซะงั้น” คนในผ้าห่มที่ปากสั่นจากความหนาวเย็น มีรอยยิ้มให้จางๆ “แกคิดว่าฉันจะทำอะไร ฆ่าตัวตายงั้นเหรอ?” หญิงสาวมองหน้าเพื่อนที่มีน้ำตาคลอเบ้า คนที่รู้จักกันมานานเกินกว่า 10 ปีและรู้ในความห่วงใยของเพื่อนรักคนนี้ดีว่ามีให้เธอมากแค่ไหน “ถ้าฉันเป็นคนคิดสั้นๆ แบบนั้นคงตายไปแล้วเมื่อ 2 ปีก่อน” ปรายปรางค์เสริมคำพูดตัวเองแววตาบอกถึงความเข้มแข็งที่เริ่มมีมากขึ้น
“แกไม่คิดก็ดีแล้ว” วริษายิ้มกว้างรู้สึกสบายใจ “ว่าแต่จะไปทำงานไหวไหม?”
“ไม่ไหวก็ต้องไหว แกก็รีบไปอาบน้ำเถอะจะสายแล้วนะ”
“จ้าแม่สาวหัวใจเหล็ก” คนที่ยังไม่ได้อาบน้ำหันมาแซวค้อนด้วยหางตาเล็กๆ “ทำมาเร่งคนอื่นแล้วใครกันละไปแช่ตัวซะนานดีนะมันไม่เปื่อยซะก่อน”
“โทษทีก็เมื่อคืนมันไม่ได้อาบนี่”
ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ที่เพื่อนสาวประเภทสองมาส่งพวกเธอที่คอนโด ปรายปรางค์ซึ่งหมดสิ้นฤทธิ์คอพับคออ่อนไม่รู้เนื้อรู้ตัวได้โดนหอบหิ้วปีกขึ้นมานอนกองทั้งชุดที่ใส่ไปเที่ยวแบบนั้นทั้งคืน คนที่หมดสภาพนอนหลับใหลสิ้นเรี่ยวแรงแต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีเสียงสะอื้นเป็นห้วงๆ ในนิทรา คนที่นอนข้างๆ อย่างวริษาก็ได้แต่สงสารใช้มือช่วยปาดคราบน้ำตาที่ไหลแม้ยามหลับตาของเธอ แค่ 4 ชั่วโมงเกือบจะไม่ถึงที่ทั้งสองได้พักผ่อนเสียงนาฬิกาปลุกเหมือนเสียงเรียกจากนรกในยามเช้าที่แสนอ่อนล้า คนที่ยังไม่อยากจะลุกจากที่นอนนุ่มๆ ผ้าห่มอุ่นๆ ทว่าก็จำเป็นต้องขุดตัวเองให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับเช้าวันทำงานต่อไป
หลายวันต่อมาในห้องนอนที่มีขนาดความใหญ่พอๆ กับสนามฟุตบอลขนาดย่อมมันกว้างพอที่จะให้เด็กหลายสิบคนมาวิ่งเล่นได้เลย ของใช้ภายในห้องนี้รวมถึงของตกแต่งตั้งแต่ขนาดใหญ่ลงไปถึงของชิ้นเล็กๆ ที่วางตามตู้และมุมโชว์ล้วนดูมีค่าราคาแพงทั้งนั้น แสงอาทิตย์ยามสายส่องกระทบใบหน้าคมเข้มแดดอ่อนๆ ทอแสงจับตาคู่นั้นทำให้เห็นขนตายาวสวยกว่าหญิงสาวบางคนเสียอีก คนบนเตียงทำตาขยุบขยิบรู้สึกว่าความสว่างพวกนั้นกวนใจกวนการหลับที่แสนสุขเสียจริง ผ้าห่มถูกดึงขึ้นปิดคลุมโปงโดยทันทีเหมือนเป็นสันชาตญาณ แต่ไม่ทันที่คนในผ้าห่มนุ่มผืนใหญ่จะได้กลับเข้าสู่ฝันหวานก็ต้องสะดุ้งตกใจตื่นเมื่อรู้สึกว่าเสียงจากนาฬิกาชั้นเยี่ยมที่มีชีวิตกำลังส่งเสียงดัง นาฬิกาปลุกอันนี้เสียงไม่เพราะไม่ค่อยจรรโลงใจนัก
ชายวัยกลางคนที่ดูภูมิฐานบนศีรษะมีเส้นผมสีขาวแซมอยู่ไม่น้อยบ่งบอกอายุที่ล่วงเลยเข้าวัย 50 เศษๆ แล้ว แต่ยังมีเค้าโครงความดูดีปรากฏอยู่เป็นการยืนยันว่าชายคนนี้เมื่อครั้งยังหนุ่มแน่นคงหล่อเหลาเอาการใช่น้อย ชายคนซึ่งยืนอยู่ปลายเตียงกระชากผ้าห่มออกจากตัวคนที่นอนอยู่ด้วยความแรง
“ณัท แกจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน” เสียงห้าวดังขึ้นพร้อมกับหมอนใบใหญ่กระแทกลงไปเต็มหน้าคนที่กำลังงัวเงีย “ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้” คำสั่งของคนสูงวัยกว่าดูมีอำนาจ
“โอ้ยยย... พ่อ ลุกแล้ว ลุกแล้วครับ” หมอนใบเดิมตามเข้าไปฟาดศีรษะบุตรชายอีกหลายที
“ฉันบอกให้แกไปช่วยที่ออฟฟิศ หรือไม่ก็โน้นไปดูที่ไซด์งานก่อสร้าง กลับมา 2 อาทิตย์แล้วยังไม่เห็นแกโผล่หัวไปให้เห็นเลย” เสียงดุดันด่าทอด้วยความโมโห
“ก็ ก็ ผมยังไม่พร้อมนี่ครับพ่อ” พูดอ่อยๆ พร้อมกับยกแขนทั้งสองข้างขึ้นป้องหน้า ป้องกันการโจมตีของสงครามหมอนเมื่อกี้
“ไม่พร้อมบ้าอะไร แกจะนอนแช่ตัวให้เงินมันงอกขึ้นมาเองหรือไงไอ้ณัท” เสียงเค้นลอดไรฟันปนเสียงหอบเป็นห้วงๆ จากการใช้แรงเหวี่ยงของคนอายุเยอะ
“นี่มันอะไรกัน เอะอะโวยวายกันแต่เช้า” เสียงแหลมจากบุคคลที่สามดังขึ้นเจ้าของเสียงดังกล่าวก้าวเข้ามาในห้องนอนนั้นทันทีเมื่อประโยคคำถามจบลง
หญิงวัย 74 ที่ยังคงดูแข็งแรงสวยสง่าหน้าตาผิวพรรณมีราศรีจับทั่วอณู คุณหญิงย่าประภาศรี จักรวาลวงศ์ ที่สืบทอดเชื้อสายผู้ดีเก่ามาตั้งแต่บรรพบุรุษทำให้ลูกหลานพลอยฟ้าพลอยฝนได้รับบุญเก่าอันนี้ไปด้วย “ตานพ จะส่งเสียงดังเอ็ดตะโรทำไมอายเด็กในบ้านมันบ้าง เดี๋ยวพวกนั้นก็พากันเอาเรื่องเจ้านายไปนินทาสนุกปากกันพอดี” คุณหญิงต่อว่าคุณประนพลูกชายคนโตของวงศ์ตระกูล น้ำเสียงเรียบๆ แบบฉบับของผู้ดีเก่าเป๊ะ
“ใช่ครับคุณย่า คุณพ่อชอบใช้ความรุนแรงกับผม” หลานชายเพียงคนเดียวลุกจากเตียงเดินเข้าไปเกาะแขนผู้เป็นย่าทำเสียงออดอ้อนเหมือนเด็กๆ
“คุณแม่ก็ดูซิครับวันๆ ไม่เคยทำอะไรเป็นประโยชน์ เอาแต่ ดื่ม กิน เที่ยว เกี้ยวหญิงอยู่แบบนี้ ถามจริงแกจะกลับมาทำไมเมืองไทยเนี้ย” คนเป็นบิดายังคงส่งเสียงตัดพ้อต่อว่าดังด้วยความโกรธ ทั้งโมโหทั้งเอือมระอาเกินทนกับพฤติกรรมของบุตรชาย ตั้งแต่ปาณัทกลับมาเขาก็เอาแต่ออกเที่ยวกลางคืน กลับบ้านเกือบเช้าหรือบางวันก็กลับเย็นเลยก็มี
“ก็ผมยังไม่พร้อม ยังไม่อยากทำงานตอนนี้นี่ครับ” คนพูดหน้างุดหลบหลังย่าที่ตัวเล็กกว่า
“ตอนนี้แกอายุเท่าไหร่ อีกไม่กี่วันก็จะ 30 แล้ว แกจะพร้อมตอนฝาโลงแง้มรอรึไอ้ลูก....บังเกิดเกล้า” ใจจริงคุณประนพอยากจะด่าว่าไอ้ลูกเวรเสียมากกว่าเขาโกรธจนหูหน้าแดงก่ำ แต่ก็ยังคงเกรงใจคนเป็นมารดา ที่ยืนด่ากลับด้วยหางตาอย่างไม่พอใจ
“อย่าเรียกลูกว่าไอ้ มันไม่สุภาพนะตานพ”
“คุณแม่ครับ” ชายวัยกลางคนถอนหายใจเฮือกใหญ่กัดฟันดังกรอด สายตามองขวางไปทางบุตรชายที่ยืนหลบอยู่ด้านหลังคนเป็นย่าไม่ยอมห่าง
หลานชายหัวแก้วหัวแหวนผู้ที่จะสืบทอดกิจการทุกอย่างของตระกูล คุณหญิงประภาศรีทั้งรักทั้งหลงตั้งแต่แบเบาะ จนถึงเท่าทุกวันนี้ก็ยังคอยปกป้องทำเอาคนเป็นหลานได้ใจ
“คุณแม่ก็เป็นเสียแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่หลานชายคุณแม่จะรู้จักโตสักทีละครับ” คุณประนพพูดต่อ “ดูเพื่อนๆ ของมันซิ มีเมียมีลูกกันไปหมดแล้วแต่มันยังเกาะหลังคุณแม่กินอยู่เลย” คนพูดหอบเล็กๆ เขาเหนื่อยเหลือเกินกับประโยคเดิมๆ ที่สอนทั้งลูกชายและทั้งคนเป็นแม่ไปพร้อมๆ กัน
“ตานพเรียกลูกว่ามันอีกแล้ว ไม่สุภาพนะแม่สอนกี่ครั้งแล้ว” คุณหญิงใช้สายตาจิกมอง น้ำเสียงค่อนขอด ทำเอาบุตรชายวัยกลางคนได้แต่หัวเสียขยี้ผมสองสีจนยุ่ง “เอาเถอะฉันจะช่วยพูดกับหลานให้เอง แกก็เลิกโวยวายซักทีป่านนี้เสียงดังไปถึงข้างล่างแล้วละมั้ง” ความเป็นผู้ดียังคงห่วงหน้าตาแม้กระทั่งในบ้านของตัวเอง
“งั้นผมก็หวังว่าจะเห็นหลานรักของคุณแม่ที่ไซด์งานบ่ายนี้นะครับ” คุณประนพพยายามข่มอารมณ์ให้เย็นลงเขาสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะสาวเท้ายาวเดินออกไปปล่อยให้ย่าหลานโอ๋กันต่อไปสองคน
“คุณย่าผมน่ารักที่สุดเลยครับ” ปาณัทหอมแก้มหญิงสูงอายุหน้าผ่องฟอดใหญ่ โอบกอดประจบอย่างรู้ใจ
คุณหญิงประภาศรี ยกมือที่มีริ้วรอยย่นตามกาลเวลาลูบลงกลางศีรษะหลานชายอย่างเอ็นดู เธอจ้องมองหน้าหลานชายที่ต้องสูญเสียมารดาไปตั้งแต่อายุ 10 ขวบด้วยโรคร้ายที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มันพรากชีวิตมารดาของหลานชายเธอไปก่อนวัยอันสมควร ด้วยเหตุนี้คุณหญิงจึงสงสาร เธอพยายามให้ความรักทดแทนโดยการตามใจหลานชายคนนี้มากขึ้นจากที่เคยรักและตามใจอยู่แล้วก็เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าทวีคูณ
รถสีบรอนทองตระกูลยุโรปคันใหญ่ที่ใครมองก็รู้ปั๊บว่ามูลค่าของมันสูงลิบลิ่ว ปาณัทที่นั่งอยู่เบาะหลังพลิกดูหนังสือที่มีเสียบอยู่เต็มรถ หนังสือแบบบ้าน อาคาร สำนักงานกับเอกสารการทำงานที่ดูเท่าไหร่ก็ไม่ได้ช่วยให้ความบันเทิงใจเลยสักนิด ชายหนุ่มโยนหนังสือในมือลงบนเบาะข้างกายอย่างไม่ปรานีปราศรัยด้วยความเบื่อหน่ายสุดๆ แสงแดดจัดสว่างจ้าภายนอกขนาดคนนั่งอยู่ข้างในรถที่ติดฟิล์มกรองแสงทึบกับแอร์ที่เย็นฉ่ำยังคงรู้สึกได้ถึงความร้อนผ่าวของมัน
“กรุงเทพนี่ยังรถติดเหมือนเดิมนะครับน้ายาม” ปาณัทหันไปคุยกับคนขับรถประจำตัวของคุณประนพผู้เป็นพ่อ ซึ่งวันนี้น้าคนขับได้รับภารกิจที่ถือว่าใหญ่พอสมควรเพราะเขาต้องมารับบุตรชายเจ้านายไปส่งให้ถึงที่หมายตามคำสั่งของคนเป็นนายบอกไว้
“ครับคุณณัท คุณไปอยู่เมืองนอกซะนานคงยังไม่ชินกับบ้านเราซินะครับ” น้าที่ชื่อยามแต่ดันมีอาชีพเป็นคนขับรถเอ่ยกลับ
ปาณัทคิดถึงเมืองที่เขาจากมาใจเจ็บแปลบ ความแห้งเหี่ยวเกิดขึ้นภายในจิตใจแวบหนึ่งในดวงตาของชายหนุ่มมีประกายแห่งความทรงจำที่ทิ้งรอยเจ็บปวดเอาไว้ ปนรวมกับความหน่ายเมื่อครู่ ทำให้รู้สึกขัดลูกหูลูกตาไปเสียหมดกับทุกสิ่งที่มองเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่หนุ่มสาวที่เดินจูงมือกันหวานอี๋อ๋ออยู่ข้างทางนั้นมันทำให้เขาหงุดหงิดมากขึ้น สายตาคมเข้มทอดมองยาวออกไปด้านหน้าและสะดุดกับบางอย่างที่มันทำให้เขาพอใจจนยิ้มกริ่มออกมา
“น้ายามครับช่วยจอดโชว์รูมรถข้างหน้าหน่อยซิครับ” รถหันหัวเลี้ยวแวะตามคำสั่งของบุตรชายเจ้านาย ปาณัทก้าวเท้าลงจากรถเดินฉับๆ เข้าไปในโชว์รูมที่ว่า ชายหนุ่มส่ายตามองรถทุกคันทั่วร้านก่อนจะเดินตรงไปหารถเก๋งคนงามที่เขาเห็นแว๊บๆ จากด้านนอก รถรูปร่างเรียวเล็กดูโฉบเฉี่ยวแต่ดูเหมือนว่าราคาจะไม่ได้เล็กตามขนาด คนที่สนใจเดินวนอยู่รอบตัวรถลูบๆ คลำๆ ก่อนจะเข้าไปนั่งลองเครื่อง มือไม้จับนั้นดูนี่อยู่สักพักใหญ่ก่อนจะออกมายืนคุยกับพนักงานขายไม่นานเกินรอสำหรับชายหนุ่ม แต่อาจนานมากพอสำหรับคนที่กำลังรออยู่ด้านนอก รถคันนั้นก็กลายเป็นของเขา
รถคันดังกล่าวค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากที่นั่นลงสู่ท้องถนนเสียงบีบแตรรถคันใหม่ป้ายแดงดังจนแสบแก้วหูทำเอาน้ายามคนขับรถที่กำลังยืนชะเง้อชะแง้คอยาวรอเจ้านายน้อยของเขากลับมาต้องสะดุ้งโหยง เจ้าตัวหันขวับตามเสียงแตรนั้น และก็เห็นว่ากระจกรถคันสวยเลื่อนต่ำลงมีคนโผล่ศีรษะออกมาจากข้างในรถ
“น้ายามครับผมไปก่อนนะ บอกพ่อด้วยวันนี้ไม่ต้องรอผมยังไม่พร้อมจะทำงาน” ปาณัทตะโกนบอกพร้อมกับยิ้มร่า โบกไม้โบกมือให้ชายวัยใกล้เคียงบิดาที่อ้าปากค้างรับกรรมที่จะตามมาแต่เพียงผู้เดียว รถคันเล็กโฉบเฉี่ยววิ่งฉิวลิ่วลมหนีห่างออกไปไกลเกินที่คนขับรถวัยกลางคนจะตามทัน จึงทำได้แต่ตะโกนไล่หลังอย่างไร้ประโยชน์
ปาณัทไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งที่กระทำ การผิดคำสั่งบิดาแล้วหนีการทำงานของวันนี้มันเป็นเรื่องเล็กสำหรับเขา มิหนำซ้ำยังอารมณ์ดีเสียบหูต่อโทรศัพท์คุยกับเพื่อนสนิทคนเดิมอย่างสบายใจเฉิบ
“ไอ้กิตมึงอยู่ไหน?”
“อยู่บ้านซิว่ะ” เสียงหงุดหงิดของคนที่โดนปลุกจากการนอนพักผ่อนกลางวันตอบรับ
“เออ อยู่บ้านก็ดีแล้ว เดี๋ยวจะเข้าไปหา”
“มึงจะมาหากูทำไม...” คนปลายสายลากเสียงยาวอย่างรำคาญ

“ก็กูไม่มีที่ไป ห้ามหนีนะโว้ยมีของใหม่จะไปอวด” คนพูดยิ้มกว้างอยู่ในรถคนเดียว “ห้ามหนีถ้ากูไปถึงบ้านแล้วมึงไม่อยู่ มึงตาย” เขาขู่ย้ำอีกครั้งแล้วหัวเราะร่าอย่างสำราญใจไม่ทันที่บทสนทนาของคู่เพื่อนสนิทจะจบลงเสียงสัญญาณ ‘ตู๊ด ๆ’ จากสายของปาณัทก็ดังแทรกขึ้น ชายหนุ่มเหลือบตาไปมองมือถือแต่หน้าจอกลับไม่มีเบอร์โชว์บอกสายที่มาให้รู้ว่าเป็นใคร เขาแปลกใจนิดๆ แต่กระนั้นก็ยังคงคิดจะรับ

“แค่นี้ก่อนนะ มีสายซ้อนว่ะ” ปาณัทกดวางสายจากกิตติก่อนจะรับสายที่เรียกซ้อนเข้าเสียงคนโทรมาทักทายทันที ทำให้ชายหนุ่มแน่นิ่งชั่วขณะ ใบหน้าที่ดูสดใสกับเสียงหัวเราะเมื่อสักครู่นี้ถูกเก็บลงกลายเป็นบึ้งตึงดวงหน้าเครียดขึงทันที

“ณัทคะ นี่โยเองนะ” เสียงหวานจากโยษิตาแฟนเก่าอดีตรักหวานฉ่ำยากยิ่งจะลืมลงรีบเอ่ยแนะนำตัวอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่มีเสียงตอบกลับไป
“คุณเอาเบอร์ผมมาจากไหน” น้ำเสียงขุ่นเคืองอย่างไม่พอใจสองมือบีบพวงมาลัยรถไว้แน่น ใบหน้าร้อนระอุเหมือนอากาศข้างนอกรถ
“หึหึ ณัทคะเรื่องของคุณมีอะไรบ้างละที่โยไม่รู้” เสียงหัวเราะกระซิกจากคนโทรมาทำเอาชายหนุ่มยิ่งหน้าชาเหมือนเธอกำลังตอกย้ำซ้ำเติมความงี่เง่าของเขา
“คุณโทรมาทำไม” น้ำเสียงห้าวห้วนคล้ายคนที่หมดสิ้นเหยื่อใย แต่ทว่าลึกลงข้างในกับรู้สึกโศกศัลย์
“โยแค่จะโทรมาบอกว่า โยจะกลับเมืองไทยเดือนหน้าแล้วนะคะ”
ความรู้สึกหวิววาบวิ่งเข้าจับหัวใจอย่างประหลาดชายหนุ่มรู้สึกหายใจขัดๆ ความร้อนรุ่มแล่นไปทั่วกาย เดือนหน้าเหรอ เดือนหน้าการพบเจอเธออีกครั้งมันไม่ใช่สิ่งที่เขาปรารถนา

“มาบอกผมเพื่ออะไร ผมไม่ได้อยากจะรู้” ปาณัทกัดฟันพูดออกไป มันอาจเป็นคำที่สะเทือนความรู้สึกของหญิงสาวก็จริงอยู่แต่สำหรับเขาแล้วอยากจะพูดถ้อยคำแรงๆ กว่านี้ด้วยซ้ำถ้าหากทำได้ แต่สมองกับหัวใจมันแย้งกันอยู่ความอาทรที่มีให้เธอยากยิ่งจะตัดใจ

“ณัทคะโยคิดถึงคุณนะ” เสียงหวานที่คุ้นเคยทำให้คนฟังใจสั่นระรัว
“แค่นี้นะ หวังว่าคุณคงไม่โทรมารบกวนผมอีก” ก่อนที่เขาจะใจอ่อนด้วยเสียงอ้อนๆ แบบที่เคยเป็นมาชายหนุ่มจึงรีบตัดบทและวางสายทันที

ปาณัทขับรถป้ายแดงมาจอดอยู่หน้าประตูรั้วเหล็ก เขาบีบแตรยาว 2 ครั้งติดกันยังไม่เห็นเงาเจ้าของบ้านมาเปิดประตูให้ คนที่กำลังอารมณ์ฉุนบีบแตรรถรัวติดกันเสียงดังสนั่น จนคนเป็นเจ้าบ้านที่ตอนแรกค่อยๆ เดินออกมาต้องรีบเร่งฝีเท้าเปลี่ยนเป็นวิ่งแทน

“อะไรของมันว่ะ ใจเย็นซิโว้ย” คนที่พึ่งวิ่งมาถึงลากประตูให้กว้างขึ้นปากก็ตะโกนพูดไปด้วย “มึงเป็นห่าอะไรไอ้ณัทบีบแตรเสียงดังเดี๋ยวชาวบ้านเขาก็ออกมาด่าเอาหรอก” กิตติขมวดคิ้วแน่นแต่ก็ต้องคลายออกอย่างรวดเร็วทำตาโตแทนเมื่อเห็นสีหน้าขมุกขมัวของคนที่เปิดประตูก้าวเท้าออกจากรถ

“ไม่มีใครอยู่บ้านเหรอ บ้านมึงไม่มีเด็กรับใช้หรือไงถึงได้เปิดประตูช้าแบบนี้” ปาณัทพาลหาเรื่องถามเสียงห้วนแล้วเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่รอฟังคำตอบของเจ้าบ้านเลยสักนิด

บ้านหนุ่มโสดสองชั้นหลังกะทัดรัดในหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งที่พึ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่นานไม่มีแม่บ้านหรือคนรับใช้ประจำเหมือนบ้านเพื่อนมหาเศรษฐีคนที่พึ่งเดินเข้าไป แต่อาจมีหญิงสาวแวะเวียนเปลี่ยนหน้าเข้ามาบ้างถึงบ่อยครั้ง ปาณัทหย่อนตูดลงกับเก้าอี้นวมแล้วถอนหายใจยาวเฮือก

“อยากดื่มน้ำ ขอน้ำกูหน่อยดิ” แขกหันไปใช้เจ้าบ้านอย่างไม่เกรงใจ

“ไปกินแกงร้อนที่ไหนมาว่ะถามจริง หรือว่าอากาศกรุงเทพมันร้อนมากถึงได้ขึ้นขนาดนี้” กิตติแซวก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็น “เออแล้วนั้นรถใคร สวยโครต” คนที่กำลังก้มหยิบน้ำตะโกนถามเสียงดัง

“รถกูเองพึ่งไปเอามาตะกี้”

“อันนี้ละซิของใหม่ที่มึงว่า”

“เออใช่” ระหว่างที่ตะโกนตอบกลับไปปาณัทก็ค้นอัลบั้มรูปถ่ายที่วางอยู่ใกล้ๆ มือขึ้นมาเปิดดู ชายหนุ่มนั่งพลิกดูรูปเก่าๆ ของกิตติผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วมันไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นรูปเดิมๆ ที่เขาก็เคยเห็นมาก่อนหน้านี้บ้างแล้วอัลบั้มในมือถูกปิดโยนลงบนโต๊ะ มือใหญ่เอื้อมไปหยิบอัลบั้มรูปถัดไปเขาพลิกเปิดดูไปเรื่อยๆ แต่ให้ความสนใจเพิ่มขึ้นมาหน่อยเพราะในนี้ไม่มีรูปของกิตติเพื่อนสนิทเลยสักใบมีแต่รูปชายหนุ่มกับหญิงสาวถ่ายคู่กัน พลิกเปิดรูปถัดไปผู้ชายยังคงเป็นคนเดิมแต่ผู้หญิงเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนคน
“นี่มันรูปใครกันว่ะ เปลี่ยนผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าเลยนี่หว่า” คนที่จ้องดูรูปถ่ายในมือเอ่ยถามกับเจ้าบ้านที่เลื่อนแก้วน้ำเย็นให้ตรงหน้า กิตติชะโงกหน้าดูแวบเดียวก็ตอบได้

“น้องชายกูเองเป็นไงละสมัยอยู่มหาวิทยาลัยมันฮอตมาก เพลย์บอยสุดๆ”
“ยิ่งกว่ามึงอีกเหรอ ไม่อยากจะเชื่อ” คนพูดยิ้มเยาะมือใหญ่ยังคงพลิกดูรูปต่อไปเรื่อย หากต่อมามุมปากที่ยกขึ้นกลับหุบฉับลงทันที ดวงตาคมเข้มเบิกกว้างขึ้นคล้ายไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เขาจับจ้องรูปนั้นเนิ่นนานกว่ารูปที่ผ่านมาก่อนหน้า

“มึงดูอะไร ไหน” คนที่นั่งข้างยืดคอยาวดูตามด้วยความสงสัย “เป็นไงสวยละซิคนนี้ สวยเซ็กซ์ เอ็กซ์ อึ๋ม” คนเจ้าชู้ยกมือทั้งสองข้างทำท่าทาบเทียบขนาดหน้าอกของหญิงสาว แถมยังทำหน้าตาทะลึ่งทะเล้นประกอบ
ปาณัทรู้สึกคอแห้งผ่าวถึงแม้ว่าเพื่อนจะไม่บรรยายอะไรเลย เขาเองก็รู้จักคนในรูปนี้เป็นอย่างดี อาจจะดียิ่งกว่าน้องชายของเพื่อนที่กอดกันกลมอยู่ในภาพถ่ายนี้ก็เป็นได้



กันเหงา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 พ.ค. 2555, 17:43:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 พ.ค. 2555, 17:44:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1359





<< เจ้าสาวสีเลือดตอนที่สอง   เจ้าสาวสีเลือดตอนที่สี่ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account