ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: รู้ทัน

ตอนที่ 24

วันนี้แล้วสินะ วันนี้แล้วสินะ วันนี้แล้วสินะ!!!!
ฉันพึ่งวางสายจากคุณนรินทร์ เขาบอกว่าอีกไม่ถึง 20 นาที ทั้งเขาและครอบครัวก็จะยกขบวนมาที่บ้านฉันแล้ว
“เอ่อ สิดี แล้วเจอกันนะ”
น้ำเสียงของเขาดูเป็นกังวล เหมือนไม่มั่นใจอะไรบางอย่าง ซึ่งก็สมควรจะเป็นอย่างนั้นอยู่หรอก เพราะเรื่องของเรามันโกหกทั้งเพ อีกทั้งแม่คุณนรินทร์ก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าฉันเท่าไรนัก
ให้ตายสิ ฉันรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย
“สิดี ลูกเสร็จหรือยัง ลงมาช่วยแม่จัดขนมได้แล้ว” แม่พูดเสียงหนักๆ ตะโกนมาจากชั้นล่าง
โอ๊ย! ไม่อยากนึกถึงตอนที่แม่ฉันเผชิญหน้ากับแม่คุณนรินทร์เลย แม่ฉันไม่ชอบให้ใครมาวางท่าหยิ่งยโสใส่ สงครามเย็นๆย่อมๆมันจะต้องเกิดขึ้นเป็นแน่
“ค่ะแม่” ฉันรับคำแล้ว ก่อนจะเดินเอื่อยๆลงบันไดมาชั้นล่างแล้วช่วยแม่จัดขนมไทยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น ทองหยิบ ทองหยอด ขนมเปียกปูนที่โรยหน้าด้วยมะพร้าวฝอยสีขาว สาคูไส้หมู ลูกชุบ รวมทั้ง ผลไม้ต่างๆแยกใส่จานเล็กจานน้อยตามที่แม่ครัวใหญ่สั่ง ไม่นานนักขณะที่ฉันกำลังรินน้ำใบเตยใส่แก้วทรงสวย เสียงรถของคุณนรินทร์ก็เข้ามาจอดพอดี
แม่ชะโงกหน้าผ่านไหล่ฉันไปดู ก่อนจะกระตือรือร้นถอดผ้ากันเปื้อน แล้วจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่
“แม่ดูดีพอหรือยัง” แม่ถามฉันพร้อมมองกระจกส่องตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย
ฉันทำหน้าเซ็งสุดขีด มือยังคงรินน้ำใบเตยต่อไป “คงไม่ดูดีไปกว่านี้แล้วล่ะค่ะ”
ฉันทำคอตก “เอ่อ หนูหมายถึงตัวหนูน่ะค่ะแม่”
แม่สั่งให้ฉันหยุดทำอะไรเสียที ก่อนจะเจ้ากี้เจ้าการจัดกระโปรงสีอ่อนของฉันที่แม่เลือกให้ว่าสวยที่สุด แล้วสั่งฉันให้ยิ้มแย้ม อย่าอาย และเรียบร้อยเข้าไว้
แล้วเราสองคนก็ออกไปต้อนรับครอบครัวนราธรกันอย่างสง่าผ่าเผย
โอย…ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ…ฉันไม่คิดที่จะอายด้วยซ้ำ…
คุณนรินทร์และคุณพ่อของเขากำลังลงมาจากรถคันใหญ่สีดำขลับที่ขัดจนมันวาว เหมือนรองเท้าทำงานของเขาที่ใส่อยู่เป็นประจำ แต่วันนี้ฉันเลยได้เห็นคุณนรินทร์ในมาดที่ต่างไปจากเดิม เขาไม่ได้ใส่สูท ผูกไท พร้อมกางเกงแสล็ค แต่เขาใส่เสื้อโปโลธรรมดา กางเกงลำลองใส่สบาย แต่ยังคงดูสุภาพและภูมิฐานอย่างเคย
ชั่วขณะหนึ่งเขาดูเหมือนผู้ชายธรรมดาที่ไม่ใช่เจ้านาย หรือคนที่ฉันต้องแต่งงานด้วยเพราะเงื่อนไขที่ไม่ใช่ความรักค้ำคอ
คุณนรินทร์เดินอ้อมไปเปิดประตูรถอีกฝั่ง ก่อนที่กระบังใหญ่ๆจะโผล่พ้นเหนือขอบประตูรถ และฉันเริ่มรู้สึกว่าเหงื่ออกที่ฝ่ามือ
“โอย ตายแล้ว แม่ไม่อยากจะเชื่อเลย” อยู่ดีดีแม่ก็อุทานขึ้นมา
“อะไรเหรอคะแม่” ฉันหันไปมองแม่ ซึ่งกำลังเบิกตาโตมองครอบครัวนราธรที่เดินเรียงหน้ากระดานเข้ามาหาเรา
“นั่นมัน……” แม่พูดค้างไว้อย่างนั้น ทำเอาฉันงง
“คะแม่?”
“นิด! นั่นนิดหน่อย ใช่ไหม” เสียงตะโกนแหลมสูงทำให้ฉันต้องหันไปมอง แล้วก็ได้เห็นว่าแม่คุณนรินทร์สาวเท้าอย่างรวดเร็วตรงเข้ามากอดแม่ฉันเหมือนคุ้นเคยกันมานาน แล้วทั้งสองก็จับมือคุยจ้อกันไม่หยุด ทำเอาฉันกับคุณนรินทร์สบตากันด้วยความไม่เข้าใจ
“เป็นเธอจริงๆด้วย ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” น้ำเสียงของแม่ที่พูดตอบก็ดูจะตื่นเต้นและดีใจไม่แพ้กัน

“เราเป็นเพื่อนรักกันมากตอนอยู่มหาวิทยาลัยจ้ะ อ้อ นี่คุณนรินทร์ สามีฉัน ชื่ออาจเหมือนลูกชายนะ เธออย่าแปลกใจล่ะ” คุณราชาวดี แม่คุณนรินทร์พูดกับลูกชาย ก่อนจะหันมาแนะนำสามีกับแม่ฉัน
ส่วนฉันยังคงมืดแปดด้าน เพื่อนรัก? แม่ฉันกับแม่คุณนรินทร์เป็น……..ว่าอะไรนะ!!!!!
“ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเลยตุ๋ม แล้วนี่ลูกสาวฉัน ทรัพย์สิดี เธอคงรู้จักแล้วสินะ”
ฉันยืนยิ้มแห้งๆ ตัวแข็งทื่อ และแล้วคุณราชาวดีหรือ ‘ตุ๋ม’ ให้ตายสิ ตลกชะมัด ฉันยอมรับจริงๆว่าขำกับชื่อเล่นของเธอ
เอาเถอะๆ เรียกว่าแม่คุณนรินทร์ดีกว่านะ หล่อนก็หันมามองฉันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม คือดูมีเมตตากับฉันมากขึ้นนั่นเอง
“ฉันพึ่งรู้นะจ๊ะว่าหนูเป็นลูกเพื่อนรักของฉัน แหมช่างโชคดีอะไรอย่างนี้” แล้วหล่อนก็ดึงตัวฉันไปกอดเสียแน่น
มันช่างเป็นความรู้สึกที่… ฉันโอบกลับแม่คุณนรินทร์ด้วยความขวยเขิน พอฉันมองข้ามไหล่เธอไปสบตากับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เขาก็มองตอบอย่างยิ้มๆ แล้วเมินหน้าไปขำเบาๆ
“ฉันว่าเชิญครอบครัวเธอเข้ามาในบ้านก่อนดีกว่านะจ๊ะตุ๋ม เชิญเลยค่ะทั้งคุณนรินทร์และคุณนรินทร์”
ฉันเดินเตะฝุ่นเล่น รอรั้งท้ายให้ผู้ใหญ่เข้าไปก่อน แล้วคุณนรินทร์ก็เดินมายืนข้างฉัน
“มัน….ราบรื่นไปหรือเปล่าคะ ตอนแรกฉันว่าแม่คุณคงไม่เต็มใจมาขอฉันเท่าไร” ฉันเงยหน้าพูดกับเขาซึ่งตัวสูงกว่ามากนัก
คุณนรินทร์ขำเบาๆ “นั่นสิแต่ผมว่า…เป็นอย่างนี้ดีแล้วล่ะ”

เวลาแห่งความทุกข์ทรมานมักจะผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสมอ คราวนี้ก็เช่นกัน ฉันนั่งสงบเสงี่ยมอยู่ใกล้ๆคุณนรินทร์คนพ่อและคนลูก ปล่อยให้คุณแม่ทั้งสองระลึกถึงความหลังกันอย่างสนุกสนาน มองจากภายนอกแล้ว อีกคนหนึ่งดูเรียบๆ ส่วนอีกคนดูเข้าสังคมเก่ง ช่างแตกต่างและไม่น่าจะมาเป็นเพื่อนรักกันได้เลย แต่ก็นั่นแหละ เรามักอยู่กับคนที่แตกต่างแต่ไม่แตกแยกได้ดีที่สุดเสมอ
คุณพ่อยกแก้วดื่มน้ำใบเตยอึกใหญ่หลังจากจิ้มสาคูเข้าปากมองบรรดาสาวใหญ่คุยกันอย่างอดทนมาสักพัก ก่อนท่านจะหันมาพูดกับฉัน
“ขอโทษแทนแม่ตารินด้วยนะหนูืเจอเพื่อนเก่าหน่อยเป็นไม่ได้”
ฉันได้แต่ยิ้มตอบอย่างขำๆ คุณนรินทร์ก็แอบหัวเราะเบาๆอยู่เช่นกัน
ในที่สุดเมื่อวันคืนสู่เหย้าไม่มีทางจบลงง่ายๆ คุณพ่อจึงต้องใช้ความเด็ดขาดเข้าสู้ ท่านกระแอมเสียงดัง เมื่อหมดความอดทน “นี่แม่ วันนี้เราจะมาขอลูกสาวเขาไม่ใช่หรือ”
เสียงพูดคุยเงียบลงทันที แม่คุณนรินทร์หันมามองสามีตัวเองราวกับว่าลืมสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งไป
คุณพ่อพูดต่ออย่างสุภาพ “เอ่อ ขอโทษนะครับคุณแม่หนูทรัพย์สิดี แต่ลูกชายของผมเขารักลูกสาวคุณ ผมเลยมาทำหน้าที่สู่ขอลูกสาวคุณน่ะครับ”
นั่นทำให้แม่คุณนรินทร์และแม่ฉันเลิกคุยกันจนได้ ที่สำคัญฉันรู้สึกว่าหน้าแดงขึ้นมาเฉยๆ
แล้วคุณพ่อคุณนรินทร์ก็ไล่ให้เราสองคนไปนั่งเล่นกันที่อื่นก่อน จนกว่าผู้ใหญ่จะตกลงกันเสร็จ
ฉันจึงพาคุณนรินทร์มาที่สวนหลังบ้าน ซึ่งวันนี้อากาศกำลังดี และต้นมะม่วงสูงใหญ่ก็ทำหน้าที่บดบังแสงแดดพร้อมโบกพัดลมเย็นๆให้เราได้อย่างดีเยี่ยม เขาเดินนำฉันมาที่ชิงช้าก่อนจะแกว่งเบาๆอย่างสนอกสนใจ
“คุณทำเองเหรอ น่ารักดีนะ”
ฉันอมยิ้มมองคนตัวใหญ่เล่นของเล่น และยอมเล่าประวัติเล็กๆน้อยๆให้เขาฟัง
“ชิงช้าตัวนี้พ่อทำให้ฉันค่ะ เป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงเราทั้งสองคนไว้หลังจาก…”
แล้วฉันก็หยุดไว้อย่างนั้น เมื่อนึกถึงว่าตอนเด็กๆเคยสนุกและมีความสุขกับพ่อมากแค่ไหน แต่นั่นแหละ ช่วงเวลาดีดีมักอยู่เคียงข้างเราไม่นานนัก ฉันเลยต้องรีบกลืนความรู้สึกคิดถึงพ่อลงไปสู่ก้นลึกของหัวใจ ไม่อยากให้คนอื่นมาเห็นน้ำตา

เหมือนคุณนรินทร์จะเข้าใจ เขารีบเปลี่ยนเรื่องคุยและสั่งให้ฉันขึ้นมานั่งชิงช้า
ฉันมองอย่างแปลกใจ แต่ก็ยอมขึ้นไปนั่งแต่โดยดี เขาผลักเบาๆแต่กลับได้ผล ทำเอาฉันเหวี่ยงไปข้างบนชิงช้าตัวโปรด
คุณนรินทร์คอยผลักอย่าเบามือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนฉันได้แต่นั่งยิ้มแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีครามที่ถูกแต่งแต้มด้วยเหล่าก้อนเมฆรูปร่างต่างๆอย่างสบายอารมณ์
“ฉันไม่ได้มานั่งอย่างนี้นานแล้วล่ะค่ะ คงเพราะไม่มีใครมาแกว่งให้ด้วยล่ะมั้ง อีกอย่างงานที่บริษัทก็ยุ่งจะตาย”
“อะไรสิดี คุณหาว่าผมใช้คุณหนักอย่างนั้นเหรอ” คนแกว่งชิงช้าถามเสียงหนักๆอย่างไม่สบอารมณ์
ฉันขำ ก็ตานี่โมโหง่ายเป็นประจำ
“แหงล่ะค่ะ…” แล้วฉันก็คิดอะไรออก เมื่อเห็นว่าก้อนเมฆเริ่มจับตัวกันมากขึ้น
“คุณว่า ผู้ใหญ่เขาจะคุยอะไรกันบ้างคะ”
เขาเริ่มแกว่งช้าลง แล้วกลายเป็นหยุดนิ่งในที่สุด “ไม่รู้สิ คุณอยากจะคุยกับผมบ้างไหมล่ะ”
ฉันค่อยๆลุกออกจากชิงช้าหันไปมองเขาอย่างไม่เข้าใจ คุณนรินทร์นั่งลงง่ายๆที่พื้นสนามหญ้าเขียวขจี ฉันเลยนั่งลงข้างๆเขา
“เรื่องอะไรคะ”
แล้วเขาก็จ้องฉันอย่างจริงจัง “เอ่อ…เรื่องของเรา อย่างเช่น คุณอยากได้ผ้าปูที่นอนสีไหน ต้องกินอะไรเป็นพิเศษตอนเช้าหรือเปล่า หรือมีข้อห้ามอะไรสำหรับผมไหมถ้าเราต้องอยู่ด้วยกัน”
ฉันรู้สึกเขินขึ้นมาทันที เมื่อคิดเข้าข้างตัวเองลึกๆว่าเขาใส่ใจฉัน แต่ความไม่เข้าใจนั้นมีมากกว่า เลยพลั้งปากพูดออกไปแบบไม่ทันคิด
“อย่าคิดมากไปเลยค่ะ เราไม่ได้รักกันจริงสักหน่อย สิ่งที่คุณควรทำก็คืออย่าแตะต้องตัวฉันก็พอ”
มันสายไปแล้ว เมื่อฉันมารู้ทีหลังว่าได้จุดระเบิดขึ้น คุณนรินทร์เลิกคิ้วสูงและเบิกตาน้อยๆอย่างที่เขามักทำเวลาต้องการเอาชนะใคร
“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้พิศวาสอะไรคุณนักหรอก” เขากระแทกเสียง
พอได้ยินดังนั้น ฉันก็เนื้อเต้น ทั้งๆที่ตัวเองเป็นคนหาเรื่องก่อน “แล้วคุณทำมาพูดใส่ใจฉันนักหนาทำไม”
เขาตาวาว เม้มปาก “ผมทำในฐานะสุภาพบุรุษ”
ฉันเลยทำเสียง เฮอะ แนวประชดประชันออกมาดังๆ ขณะที่ตั้งท่าจะเถียงต่อ แต่แล้วกลับถูกขัดขึ้นเมื่อแม่เดินมาบอกว่าให้เราทั้งสองเข้าไปในบ้านได้แล้ว
สุดสัปดาห์นั้นจบลงอย่างแข็งกระด้าง เมื่อทั้งเขาและฉันไม่มีทางได้คุยกันอย่างที่คู่รักพึงกระทำ


“ช่วยส่งรายการสั่งซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างให้แผนกบัญชีด้วยนะสิดี” คุณนรินทร์ออกมาจากห้องทำงานแล้วโยนกองเอกสารมหึมามาให้ฉัน
“ส่งสรุปรายงานการประชุมก่อนบ่ายสองด้วย อ้อ อย่าลืมพิมพ์จดหมายนัดประชุม เอ่อ ประชุมอะไรนะ ผมลืม ของอาทิตย์หน้านั่นละ”
“ประชุมรวมเครือโรงแรมนราธรค่ะ แล้วนี่คุณจะไปไหนคะ” ฉันถามเขาทั้งๆที่ยังง่วนอยู่กับการแยกกองเอกสาร
“คือ…เอ่อ…ไม่ต้องถามหรอกน่า ทำงานให้เสร็จก่อนผมกลับมาล่ะ” แล้วเขาก็เดินดุ่มๆออกไป เอ…ปกติเวลาเขาจะไปไหน ฉันมักต้องไปด้วยเสมอนี่นา เพราะส่วนมากเขาก็ไปด้วยเรื่องงานทั้งนั้น
และด้วยความสามารถด้านการทำงานอันมีประสิทธิภาพซึ่งได้รับการรับรองแล้วจาก ISO KFC MK TOT TOA และ ฯลฯ ฉันจึงสามารถปั่นงานทุกอย่างเสร็จก่อนคุณนรินทร์กลับมา ฉันรีบเดินเอาเอกสารไปส่งที่ฝ่ายบัญชี พนักงานที่ฝ่ายนั้นแสดงความยินดีที่ฉันจะแต่งงานไม่หยุดพร้อมโชว์การ์ดแต่งงานที่ได้รับให้ฉันดูเพื่อยืนยันว่าจะไปงานนี้อย่างแน่นอน
เอ่อ….พวกเขาโชว์อะไรให้ฉันดูนะ
ไม่นะ!!!! การ์ดแต่งงาน มันถูกผลิตออกมาเมื่อไรเล่า ฉันยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง ฉันคว้ามันมาจากมือพนักงานคนหนึ่ง แล้วเปิดซองออกอ่าน ซึ่งสามารถยืนยันได้ทันทีว่ามันคงเป็นของจริง เพราะในนั้นมีชื่อของฉัน ชื่อคุณนรินทร์ สถานที่จัดงาน วันและเวลาที่ถูกกำหนดอย่างแน่นอน
“เอ่อ ขอบคุณนะคะ แล้วพวกคุณได้รับการ์ดกันทุกคนหรือเปล่าคะ” ฉันถามด้วยความหวาดระแวง
แล้วสุณีฝ่ายบัญชีก็ยิ้มกว้าง
“ทุกคน ทุกแผนกเลยล่ะสิดี คงเป็นงานแต่งที่ใหญ่มากนะ ฉันดีใจด้วยจริงๆจ้ะ”
โอ้ ไม่นะ!!!
ฉันนึกแล้ว แค่อ่านชื่อโรงแรมที่จัดเลี้ยงชื่อก็เป็นภาษาฝรั่งยาวๆ อีกทั้งยังเชิญพนักงานไปหมดบริษัทอย่างนี้ คงไม่ใช่งานแต่งหลอกๆ ที่ควรจัดแบบเล็กๆ ให้ประหยัดเงินเป็นดีที่สุดแน่นอน อยากรู้จริงๆว่านี่เป็นฝีมือของใคร แต่คิดว่าคงไม่ใช่คุณนรินทร์หรอก เพราะเขาคงไม่อยากป่าวประกาศถึงการแต่งงานแบบปาหี่ให้เป็นเรื่องใหญ่โตอยู่แล้ว
ถ้าอย่างนั้น ผู้ต้องหาก็มีคนเดียว นั่นก็คือ แม่คุณนรินทร์!!!
มาถึงตอนนี้ ฉันละไม่อยากให้หล่อนรู้เลยว่าจริงๆแล้วเราสองคนไม่ได้รักกันสักนิด ที่แต่งกันเนี่ยก็เพื่อผลประโยชน์ล้วนๆ
โอยยยย แล้วถ้าวันนึงความลับแตกล่ะ ถ้าความลับมันแตกเล่า!!!! เงินที่หล่อนเสียไปกับการทำการ์ด จัดงานแต่งอันหรูหราฟู่ฟ่าให้ฉัน มันคงเหมือนการซื้อเครื่องออกกำลังกายแอปเชปเปอร์ที่หวังว่าจะทำให้ผอมแต่ก็ยังอ้วนตุ้มเป๊ะเหมือนเดิม
เอ่อ ช่วยคิดอะไรให้ง่ายกว่านั้นหน่อยได้ไหม ฉันคงถูกฆ่าแล้วโบกปูนอำพรางคดี ถ้าเธอรู้ความจริงเข้าต่างหาก
ฉันมองนาฬิกาข้อมือ เกือบบ่ายสามแล้ว หวังว่าคุณนรินทร์จะกลับมาแล้วนะ ว่าแล้วฉันก็รีบผละจากฝ่ายบัญชีบ่ายหน้าสู่ห้องทำงานคุณนรินทร์
ทำไมนะ พอหมดเรื่องของแม่ให้กังวลใจแล้ว ดันต้องมากังวลเรื่องทุกข์สาหัสของตัวเองอีก ฉันรู้สึกกลัวจริงๆ กลัวที่จะต้องโกหกคนอื่นไปตลอดชีวิต และก็กลัวว่าสักวันฉันอาจจะรักคุณนรินทร์เข้า
หา? เมื่อกี้ฉันว่าฉันกลัวอะไรนะ?
“คุณนรินทร์คะ” ฉันเปิดประตูเข้าไป แล้ว….โอ้ว ม่ายยย! แทนที่จะได้พบคุณนรินทร์ ฉันดันเจอกับ….
“หล่อนใช่ไหม!!!! หล่อนใช่ไหม!!!! ที่จะแต่งงานกับนรินทร์!!!!! บอกมาสิว่าไม่จริง มันเรื่องโกหก!!!! แกคิดจะจับเขาใช่ไหมล่ะ แก!!!!!!!”
โอ๊ย! ฉันเหนื่อยแล้วนะ ไหนจะต้องต่อกรกับพวกบรรดาแฟนคลับ และคอยปั้นน่าโกหกคนทั้งบริษัท แล้วนี่! คุณถวิกายังคงมารังควานไม่เลิก พอหล่อนโวยวายใส่ฉันเสร็จก็กระโดดจู่โจมเข้าหาฉัน โชคดีที่ฉันหลบได้ทัน ยัยทับทิมที่ติดตามมาด้วยซึ่งคาดว่าน่าจะกำลังพยายามจับตัวฉันไว้จากข้างหลัง แต่เพราะฉันหลบรวดเร็วเกินไป เลยกลายเป็นว่าคุณถวิกาวิ่งเข้าโถมใส่ยัยทับทิมแทน
มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย!!! น้ำเน่าสิ้นดี!!!!
สองคนนั้นพยายามแยกร่างออกจากกัน แต่เพราะน้ำหนักของยัยทับทิมที่มากเกินล้มทับคุณถวิกา ทำให้ความพยายามที่จะลุกขึ้นนั้นเป็นหมัน ฉันจึงเลือกเอาจังหวะนั้นโทรเรียกยามจากชั้นล่างให้ขึ้นมารับตัวสองคนนี้ที
“นี่แก!!! ไม่ว่าแกจะแลกตัวให้เขา หรือท้องก่อนแต่ง จนทำให้นรินทร์ต้องแต่งงานกับแก แต่ฉันจะบอกให้เอาบุญนะ ว่าไม่มีวันที่แกจะมาแทนที่ฉันได้หรอก!!!!”
เฮ้…เธอพูดแรงเกินไปหรือเปล่า??????
คุณถวิกาที่ลุกขึ้นยืนได้แล้วตะโกนด่าฉันจนหมดมาดนางงาม แต่ยังโชคดีที่มียัยทับทิมคอยยืนจัดเสื้อให้ หล่อนยังคงตะโกนด่าฉันแว้ดๆต่อไป แต่ไม่กล้าเข้ามาทำอะไรอีก เนื่องจากในมือฉันตอนนี้ถือแฟ้มงานขนาดใหญ่ของคุณนรินทร์ไว้ป้องกันตัว ฉันไม่อยากตอบโต้อะไรมาก เพราะสิ่งที่ฉันจะเถียงออกไปล้วนไม่ใช่เรื่องจริงอยู่ดี
“แกรู้ไหมว่านรินทร์เคยพูดกับฉันไว้ว่าอย่างไร เขาบอกว่าถ้าไม่ใช่ฉัน เขาคงไม่สามารถรักใครได้อีก และฉันก็รู้ว่านรินทร์ไม่ใช่คนโกหก!!!!”
ฉันเม้มปาก มือยิ่งกำแฟ้มแน่นขึ้นอีก น่าแปลก ปกติคำพูดแบบนี้คงทำอะไรฉันไมได้ นั่นเพราะฉันไม่ได้หวังให้คุณนรินทร์รักฉัน และฉันก็ไม่ได้รักเขา แต่พอคุณถวิกาพูดประโยคเมื่อกี้ มันทำให้ฉันนึกได้ว่า เหตุที่คุณนรินทร์ไม่คิดจะแต่งงานอีกก็เพราะคุณถวิกานั่นเอง
ใช่…คุณถวิกาพูดถูก เขาไม่ใช่คนโกหก และเขายังรักเธอ ที่สำคัญ เขาคงไม่รักใครอีกนอกจากเธอ
ที่สำคัญกว่านั้น……..ฉันรู้สึกเจ็บ
บ้าน่า….มันคงเป็นเพราะคุณถวิกาว่าฉันแรงไปมากกว่า
“คุณมาทำอะไรที่นี่!!!!” และแล้วตัวต้นเรื่องของทั้งหมดก็เข้ามาในห้องทำงานพร้อมยามสองคน
“เอาตัวเธอออกไป” คุณนรินทร์สั่งเสียงเฉียบขาด
“ฉันไม่ไป!!!!!” คุณถวิกากรี๊ดดังลั่น ไม่เกรงกลัวคุณนรินทร์เหมือนยัยทับทิมที่ตอนนี้หลบไปอยู่หลังเธอสักนิด
“คุณจะแต่งงานกับยัยเฉิ่มนี่จริงเหรอ!!!!”
นี่แม่คุณ ถึงฉันจะเฉิ่ม แต่ฉันไม่ว่าใครเสียๆหายๆเหมือนนางงามอย่างเธอหรอกย่ะ
แล้วคุณนรินทร์ก็มองฉันที่ยังคงถือแฟ้มขนาดใหญ่อยู่
“อย่าว่าเธออย่างนั้น เธอดีกว่าคุณหลายเท่า แล้วผมก็จะแต่งงานกับเธอ” เขาพูดเสียงเย็นเฉียบ
“คุณโกหก!!! ไหนคุณบอกว่าถ้าไม่ใช่ฉัน คุณจะไม่รักใครอย่างไรล่ะ!!!! คุณโกหก!!!”
คราวนี้คุณนรินทร์สีหน้าเปลี่ยนไป ใบหน้าเขารู้สึกเจ็บปวด ฉันเข้าใจ ก็ถ้าคุณถวิกาไม่ทิ้งเขาไป เรื่องคงไม่ออกมาแบบนี้ อีกอย่าง…ตอนนี้เขาก็ยังรักเธออยู่
“ใช่ผมโกหกเรื่องของคุณ แต่ไม่ได้โกหกเรื่องจะแต่งงานกับเธอ”
“ถึงคุณจะแต่งงานกับเธอ แต่คุณไม่ได้รักเธอใช่ไหมล่ะ คุณไม่ได้รักเธอ คุณรักใครไม่ได้หรอกนรินทร์นอกจากฉัน!!!!” แล้วคุณถวิกาก็ร้องห่มร้องไห้
เพราะอะไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ แต่ฉันรู้สึกเจ็บอีกแล้วที่เธอพูดคำนี้
ตอนนี้ทุกอย่างหยุดนิ่ง ทั้งฉัน คุณถวิกากับยัยทับทิม ยามสองคนนั้น และคุณนรินทร์ เขายืนมองเธอร่ำไห้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย คุณนรินทร์เป็นคนแปลกอีกอย่างหนึ่ง คือบางครั้งเขาก็เปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว แต่บางครั้งเขาก็ทำหน้าตายจนฉันอ่านไม่ออกว่าเขารู้สึกอย่างไร
“ผมไม่เคยรักคุณ และไม่มีวัน” เสียงคุณนรินทร์พูดออกมาอย่างหนักแน่น แล้วเขาก็เดินตรงมาหาฉันที่บัดนี้ยังคงกอดแฟ้มไว้เช่นเดิม
เฮ้….แล้วนั่นเขาจะทำอะไรน่ะ
“แต่ผมรักคุณสิดี”
คุณนรินทร์ก้าวยาวๆมายืนประชิด ก่อนจะล้วงอะไรกุกกักออกมาจากสูท แล้วฉันก็ได้เห็นว่านั่นคือกล่องกำมะหยี่สีแดง และสิ่งที่อยู่ในนั้นก็คือ……
แหวนแต่งงาน
เขาหยิบแหวนอออกจากกล่องแล้วบรรจงใส่ที่นิ้วนางข้างซ้ายของฉันอย่างเบามือ
ฉันสบตาเขาพร้อมกระพริบตาถี่ๆ คุณนรินทร์ฝืนยิ้มให้ฉัน….ใช่ ฝืนยิ้ม
“คุณคงเข้าใจแล้วนะถวิกา” เขาพูดกับหล่อนเสียงเรียบเฉย ขณะโอบตัวฉันไว้
ฉันมองแหวนเพชรเม็ดกระทัดรัดที่กำลังส่องประกายวาวล้อแสงไฟ จากนั้นฉันก็หูตาบอดไปชั่วขณะ ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเกิดเหตุการณ์อย่างไรต่อไปบ้าง ฉันไม่ได้เห็นและไม่ได้ยินเสียงใครอีกเลย จนในที่สุดฉันรู้สึกเหมือนโลกหมุนเร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้น……..

ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นลมไปนานเท่าไร แต่พอตื่นขึ้นมาอีกทีสิ่งแรกที่เห็นก็คือเพดานห้องทำงานเจ้านาย
“คุณ…..รู้สึกดีขึ้นไหม?” เสียงคุณนรินทร์ดังแว่วๆอยู่ข้างหูฉัน
ฉันยังคงรู้สึกเวียนหัว
“นี่ถ้าคุณมีสติแล้วช่วยตอบผมด้วยสิ” เสียงนั่นยังคงดังต่อไป
“เอ่อ…..หิวน้ำ” รู้สึกว่าตัวเองไม่มีแรงพูดเอาเสียเลย
“ตื่นมาก็ใช้เลยแฮะ” นั่น…ใครบ่นอะไรหรือเปล่า
แล้วไม่ถึงอึดใจฉันก็ได้ดื่มน้ำจนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก จากนั้นก็กลับมามีแรงอีกครั้ง ฉันลุกขึ้นนั่ง มองไปทั่วห้องแล้วก็เห็นคุณนรินทร์มองฉันอยู่ข้างๆใกล้ๆ
“มัน…เกิดอะไรขึ้นหรือคะ คนอื่นไปไหนกันหมด แล้วนี่กี่โมงแล้ว”
“นี่คุณจำอะไรไม่ได้เลยเหรอ พอคุณเป็นลม ถวิกาเขาก็กรี๊ดแล้ววิ่งออกไปเลย นี่ก็เกือบห้าโมงแล้วล่ะ คุณดีขึ้น แล้วใช่ไหม งั้นเดี๋ยวผมพาไปส่งที่บ้านเลยแล้วกัน”
สติฉันเริ่มกลับคืนมาโดยสมบูรณ์ เหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นกลับมาประมวลผลในหัวสมองอีกครั้ง
คุณถวิกา
คุณนรินทร์
…….แหวนแต่งงาน
“เอ่อ…นั่น นั่นของปลอมใช่ไหมคะ” ฉันถามเขาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“นั่น?” เขามองหน้าฉันงงๆ แต่แล้วก็ไล่สายตามองตามฉันไปที่นิ้วนางซ้ายของฉันเอง
“คุณหมายถึง แหวนน่ะเหรอ” แววตาเขาวาวอย่างประหลาด
“คือ….” เขากลืนน้ำลายพยายามปั้นหนาเฉย
“คุณแม่คงไม่ให้ผมซื้อของปลอมมาให้คุณหรอก”
นี่แสดงว่าที่เขาออกไปเมื่อตอนกลางวันเพื่อไปซื้อแหวนนี่มาเหรอ แล้วฉันก็จ้องเขาอย่างไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลย ทำไมการแต่งงานหลอกๆของเราดูจะสมจริงขึ้นทุกที ซึ่งนั่นทำให้ฉันรู้สึกกลัว รู้สึกผิด รู้สึก….สับสน
“ทั้งเรื่องการ์ด เรื่องงานแต่ง แล้วนี่ยังเรื่องแหวนอีก คุณนรินทร์คะ มันไม่มากไปหน่อยเหรอ”
เขาทำท่าไม่สนใจแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน
“จะให้ผมบอกคุณอีกกี่ครั้ง ว่าคุณแม่ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง และคุณแม่ก็จัดการเรื่องทั้งหมด คุณเป็นอะไรสิดี คุณจะเป็นลมทำไม ถ้าเห็นแหวน ในเมื่อถ้าคุณรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่จริง แล้วคุณก็มัวแต่ต่อต้านอะไรที่ผมทำให้อยู่ได้ ในเมื่อหน้าที่ของคุณตอนนี้ก็คือต้องเล่นละคร คุณกลัวอะไรสิดี คุณกลัวว่าต้องหลอกคนอื่นตลอดไปงั้นหรือ ในเมื่อคุณก็เริ่มต้นทำมันไปขนาดนี้แล้ว หรือคุณกลัวว่าต่อไปคุณจะไปรักคนอื่น ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมจะบอกให้เลยว่า….”
“ไม่ใช่! ฉันกลัวว่า…..กลัวว่า….” โถ่เอ๊ยจะให้ฉันตอบยังไง กลัวว่าฉันจะรักคุณเข้าอย่างนั้นหรือ
“กลัวว่า….คือ….ฉันรู้สึกผิดที่ต้องให้แม่คุณมาเสียเงินกับคนที่ไม่มีความหมายอย่างนี้”
เขาสบตาฉันแล้วแสร้งทำเป็นมองเอกสาร
“อ้อ อย่างนี้เอง” เขาตอบรับสั้นๆ แล้วเงียบไปพักใหญ่
อ้อ อย่างนี้เอง แค่นี้น่ะนะที่เขาตอบในขณะที่สถานการณ์ยังคงสับสน
“คุณ….คุณ…ช่วยขยายความหน่อยได้ไหมคะ”
คุณนรินทร์ตอบกลับอย่างใจเย็น “คือว่านะสิดี คุณไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก เพราะคุณไม่ใช่คนที่ไม่มีความหมายสำหรับผม”
หา????? เขา…เขา….ว่าอะไรนะ??????
เขาเงยหน้าสบตาฉันอย่างลุกลี้ลุกลน
“คือ คือ ผะ ผมหมายความว่าการที่คุณมาช่วยผมแบบนี้ ทำให้บริษัทของเรายังคงเดินหน้าต่อไป และก้อนเงินที่เข้าบริษัทก็ยังต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้น อะไรก็ตามที่ผมทำให้คุณ มันเทียบค่าไม่ได้หรอก กับผลประโยชน์ของบริษัท ที่…ที่คุณช่วยรักษาเอาไว้”
อ้อ อย่างนี้เอง
ฉันจะไปฝันหวานทำไมนะกับคำพูดว่าฉันมีความหมายต่อเขา ในเมื่อเขาหมายความถึงผลประโยชน์ของบริษัท
เอ่อ…เปล่านะ ฉันไม่ได้ฝันหวานด้วยซ้ำ
แต่เดี๋ยว เมื่อกี้เขาพูดอะไรค้างไว้หรือเปล่านะ “เมื่อกี้คุณพูดค้างหรือเปล่าคะที่ว่าถ้าฉันเกิดไปรักคนอื่นเข้า แล้วเราจะทำอย่างไร”
คุณนรินทร์รีบหลบสายตา แล้วทำยุ่งกับกองเอกสาร
ฉันคาดคั้นอีกเพราะอยากรู้ถึงทางออก “คุณพูดหรือเปล่าคะ”
เขาทำเสียงจึ๊กจั๊กไม่พอใจ แต่ยังคงไม่ยอมสบตา “แล้วไง ไม่ใช่ เรา หรอก ที่จะทำอย่างไร แต่เป็น ผม คนเดียวต่างหาก”
ฉันหน้าบึ้ง รำคาญกับพวกชอบสำบัดสำนวน “อะไรของคุณ ไม่เห็นจะเข้าใจ”
เขาทำเสียง ฮึ แบบประชดประชัน จริงๆแล้วคงตำหนิว่าฉันหัวช้าพิลึก “ผมไม่มีทางยอมน่ะสิ”
เขาว่าอะไรนะ? ฉันได้ยินผิดอีกหรือเปล่า แต่พอสมองรีบประมวลผล ฉันจึงเข้าใจ และรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว

“เพราะคุณไม่อยากให้ฉันทำลายผลประโยชน์ของคุณล่ะสิ”





ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 พ.ค. 2555, 00:22:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 พ.ค. 2555, 00:22:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1825





<< แปลกๆ   โทรหา   >>
konhin 26 พ.ค. 2555, 01:34:41 น.
ฮ่าๆๆ บอกรักกันแปลกๆนะคู่นี้ อีกฝ่ายดันไม่เชื่อซะงั้น


ใบบัวน่ารัก 26 พ.ค. 2555, 09:57:57 น.
สิดี ไม่รู้หรอก
บอกตรงๆไปดีก่านะ


mhengjhy 26 พ.ค. 2555, 11:33:19 น.
โอ๊ย คุณนรินทร์ปากแข็ง


goldensun 26 พ.ค. 2555, 20:10:24 น.
ปากแข็งทั้งคู่ แถมหลุดปากผิดจังหวะซะอีก


ling 26 พ.ค. 2555, 23:03:42 น.
แล้วเมื่อไหร่จะรู้ใจกันละเนี้ย ลุ้นสุดตัวเลยค่ะ


agentaja 28 พ.ค. 2555, 00:14:22 น.
นั่นสินะคะ แล้วเมื่อไหร่จะรู้ใจตัวเอง คนแต่งจะใช้มุขไหนน้า มาทำให้คนปากแข็งยอมรับใจตัวเองซักที


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account