ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ
ตอน: ไคโร (๔)
นวนิยายเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คแล้ว
+++++++++++++++++++++
การปรากฏตัวของไอซิสทำให้เรื่องเล่าปิดท้ายมื้อเย็นชะงักลงฉับพลัน ชายหนุ่มทั้งสองหันมองผู้มาใหม่ สายตาแน่วนิ่งเสมือนหมุดปักกระดาน แล้วค่อยๆ เลื่อนตามจังหวะเสียงฝีเท้าที่หยุดลงตรงข้างโต๊ะอาหาร
ศัตรูตัวฉกาจของหล่อนไม่ผิดอย่างที่คิด อยู่ในชุดสีดำกุดแขนคว้านคอลึกกว้าง ชายกระโปรงสูงจากเข่าประมาณหนึ่งคืบเจ้าของ ทั้งชุดจับเกล็ดระยิบระยับยามต้องแสงไฟ ดูเหมาะสมกลมกลืนกับถุงน่องตาข่ายกับรองเท้าส้นเข็มสีเดียวกับชุด
สิ่งที่โดดเด่นออกจากความดำมืดคือสายสร้อยไข่มุกสีขาวยาวระเอว เครื่องหน้าขาวกระจ่างจากเครื่องสำอางตามแบบการแต่งหน้าของไอซิส โดยเฉพาะริมฝีปากสีเชอร์รีสุกเคลือบมันวาว ช่างขับกับผมดำขลับซึ่งถูกรวบมวยไว้ที่ต้นคอ
“คิดว่าอยู่ที่นี่แน่...ก็เลยมาตาม” ไอซิสว่าพลางจิกปลายเท้ายักสะโพก หางตาปรายใส่อารีสราวนางหงส์สยายปีก ทว่าสำหรับนักโบราณคดีสาวชาวไทย กลับเบื่อหน่ายเต็มทน
“ว่ายังไงไอซ์ มีอะไรเหรอ” วิลเลียมหันไปถาม คงตั้งใจขัดจังหวะ ระหว่างนั้นเห็นเขาเหลือบมองผู้มาใหม่สลับกับหล่อนเป็นระยะ อาจกลัวว่าจะเกิดสงครามขึ้นอีกกระมัง
“ลืมไปแล้วเหรอวิล วันนี้คุณเกียนนัดพบพวกเราเพื่อประเมินความก้าวหน้าของโครงการ เรามาไคโรไม่ใช่เพื่อพาใครเที่ยวเป็นพิเศษ” อารีสรับรู้ถึงน้ำเสียงตวัดสูง แฝงความไม่พอใจ แต่หล่อนก็ยังแข็งใจกดตามองต่ำ คาดว่าอีกฝ่ายคงค้อนปะหลับปะเหลือกนับไม่ถ้วน “เรามาที่ไคโรเพราะคุณเกียนมีภารกิจที่นี่พอดี เรื่องอื่นมันก็แค่ผลพลอยได้”
อารีสกัดริมฝีปากล่างจนรู้สึกเจ็บ รับรู้ความไม่พอใจกำลังพุ่งพล่าน เตรียมพร้อมระเบิดในอกตลอดเวลา
“เข้าห้องประชุมเถอะ คุณเกียนโทร.มาบอกว่ากำลังเดินทาง ใกล้จะถึงแล้ว”
วิลเลียมเรียกพนักงานเพื่อเช็คบิลค่าอาหาร จากนั้นจึงหันไปบอกไอซิสว่าจะตามไปทีหลัง อีกฝ่ายจึงยักไหล่แทนการรับรู้ ก่อนจะตวัดหางตามาที่อารีสแล้วจากไป ทว่าด้วยความหมั่นไส้ หญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นขาดักรอไว้ด้านหน้า พานเอาไอซิสสะดุดล้มหน้าคะมำ ตัวพาดเก้าอี้ล้มโครมคราม
เสียงกรีดร้องพร้อมเสียงเก้าอี้ล้มคว่ำทำให้ทุกคนหันมอง อารีสรีบชักเท้ากลับ หันไปดูแล้วหลุดหัวเราะดังลั่น หากอึดใจก็รีบปิดปาก ก่อนแสร้งทำสีหน้าสลด
“โอ้...ไอซิส เป็นอย่างไรบ้าง” หล่อนรุดลุก ทำหน้าสีหน้าตระหนก วิ่งไปช่วยอีกฝ่ายที่พยายามหยัดตัวขึ้นยืน ทว่าไอซิสไม่แยแส ปัดมืออารีสออก นัยน์ตาปรากฏแววเคียดแค้นฉายชัด
“เธอแกล้งฉันนังอีริส” น้ำเสียงนั้นแม้ไม่ใช่การตวาด หากก็เป็นเสียงลอดไรฟัน แข็งกระด้างและบอกถึงการข่มขู่โดยนัย “ยายขี้แพ้ เอาชนะด้วยสมองไม่ได้ก็เลยต้องใช้กำลัง นังคนป่าไร้อารยธรรม มาจากโลกที่สาม แกมันดอกเตอร์จากประเทศที่ขี่ช้างบนไฮเวย์ อนารยชน”
อารีสนิ่งอั้น ตาเบิกโต หน้าซึ่งเคยขาวผ่องแดงจัดลามถึงใบหู สองมือกำแน่น ริมฝีปากสั่นระริก แล้วชั่วอึดใจโดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว อารีสก็กระโจนเข้าไปทึ้งผมของไอซิสขยำเขย่าอย่างรวดเร็ว ทำเอาอีกฝ่ายกรีดร้อง พยายามกระชากดึงผมหล่อนไม่ต่างกัน
มวยผมซึ่งรวบไว้อย่างประณีตของไอซิสแตกกระจาย อารีสเองก็ไม่ต่าง ผมยาวสยายหยักศกฟูเต็มหัว ระหว่างนั้นปากก็พร่ำก่นด่ากันด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอาหรับคละเคล้าสำเนียงไทย น้ำลายแตกฟองกระเด็นใส่หน้ากันและกัน ระหว่างการฉุดกระชากผมเผ้า ด้วยความที่อารีสตัวเล็กกว่า ไอซิสจึงได้โอกาสเหวี่ยงตัวหล่อนไปมาชนเก้าอี้บ้าง โต๊ะบ้าง เกิดเสียงโครมครามล้มระเนระนาด สร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้คนรอบข้าง หากทั้งสองไม่ยี่หระ กระทั่งวิลเลียมและอนัตตาต้องรีบมาห้ามศึก
“เฮ้! หยุดนะไอซ์ อารีส คนเขามองกันใหญ่แล้ว” วิลเลียมพยายามปราม หากไม่เป็นผล เขาจึงให้อนัตตาไปแยกอารีส ส่วนตัวเขาเองแยกไอซิสซึ่งขนาดตัวทัดเทียมกัน
วิลเลียมและอนัตตาแยกการนัวเนียของทั้งสองออกได้ ทว่ามือที่ดึงเส้นผมของกันและกันนี่สิที่ยังเหนียวแน่น ต่างฝ่ายต่างพยายามกระตุกทึ้งผมอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ได้โอกาสเข้าใกล้ก็ข่วนกันบ้าง ตีกันบ้าง จนชายหนุ่มทั้งสองได้แต่ส่ายหน้ายุ่งเหยิง
“ปล่อยผมพวกเธอลงเดี๋ยวนี้” วิลเลียมตวาดลั่นจนทั้งสองนิ่งอั้น หากไอซิสที่ได้สติเร็วกว่ากลับใช้ช่วงเวลานั้นกระตุกผมอารีสติดมือมาหลายสิบเส้น ทำเอาเจ้าของร้องจ้า ต้องรีบปล่อยผมไอซิสแล้วกุมหัวตัวเองด้วยความเจ็บปวด
“นังลูกหมา กล้าดียังไงมาดึงผมฉัน” อารีสกัดฟันด่า มือข้างหนึ่งกุมหัวที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บ
ไอซิสลอยหน้าลอยตายิ้มเย้ย แบมือให้หญิงสาวเห็นเส้นผมสีดำหยักศกนับสิบที่ติดมือมา ยิ่งทำให้อารีสเลือดขึ้นหน้า เตรียมกระโจนใส่อีกรอบ ทว่าโชคดีที่มีอนัตตาเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยง พยายามกันตัวออกห่างจากอีกฝ่าย
“ปล่อยฉันนะคุณนัต ฉันจะไปจัดการมัน” คราวนี้หล่อนใช้ภาษาไทย น้ำเสียงกึ่งบังคับให้อีกฝ่ายทำตาม แต่มีหรืออนัตตาจะยอม
“ใจเย็นๆ ได้ไหมคุณอารีส” ชายหนุ่มปราม แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ อนัตตาจึงหันไปหาวิลเลียมที่เวลานี้แค่ยืนข้างๆ ไอซิส “วิล ผมฝากคุณกับไอซ์เรื่องเงินด้วย เดี๋ยวผมจะไปจัดการอารีสเสียก่อน”
วิลเลียมพยักหน้ารับทราบ ปล่อยให้ชายหนุ่มลากตัวอารีสซึ่งกำลังบ้าคลั่งออกจาภัตตาคารอย่างทุลักทุเล สีหน้าซึ่งเคยยิ้มแย้มของอนัตตาสลด เมื่อเห็นแขกเหรื่อรอบข้างหันมองหญิงสาวในอ้อมแขนเป็นตาเดียว ส่วนตัววิลเลียมหันไปตำหนิไอซิสด้วยหางตา เจ้าหล่อนก็ทำไม่สนใจใยดี จนชำเลืองเส้นผมสีดำหยักศกนับสิบในมือ นั้นล่ะ รอยยิ้มพึงพอใจจึงเผยออกมา
+++++++++++++++
เรี่ยวแรงจากอาหารมื้อเย็นของอนัตตาแทบหมดลงเพียงเพราะการพยายามนำอารีสออกจากภัตตาคาร หล่อนดิ้นรนขัดขืน ทั้งพยายามข่วนหน้า ทึ้งผม หรือแม้แต่ดึงใบหูของเขา แต่กระนั้นชายหนุ่มก็สามารถพาหล่อนมายังโถงทางเดินจนได้
“คุณอนัตตา คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะไปฆ่ามัน” หล่อนแผดเสียงลั่น โชคยังดีที่ไม่มีแขกเหรื่อคนไหนเดินผ่านมาในช่วงนี้ ลงได้ยินเสียงแม่เจ้าประคุณกรีดร้องคงสะดุ้งไปตามๆ กัน “คุณนี่มันไม่รักประเทศชาติ ไม่รักบ้านเมืองเอาซะเลย นังลูกหมาหน้าคอสเมติกมันหยามประเทศไทยว่าเป็นโลกที่สาม ประเทศด้อยพัฒนา ทั้งยังว่าฉันขี่ช้างบนไฮเวย์ คุณไม่รู้สึกเจ็บใจบ้างหรือยังไง”
อารีสพยายามออกแรงยื้อยุดต่อ หากอนัตตาซึ่งกำลังจะหมดแรงอยู่รอมร่อตัดสินใจใช้ไม้ตายสุดท้าย ซึ่งหวังเหลือเกินว่ามันจะทำให้อีกฝ่ายสงบลงได้เสียที
“เลิกบ้าได้แล้ว!”
เสียงตวาดลั่นทำให้อารีสสะดุ้งโหยง หล่อนหันมองเขาด้วยสายตาคาดไม่ถึง ได้ผล...หล่อนสงบนิ่งไม่ไหวติงแม้แต่น้อย แต่เกิดอะไรขึ้น...นัยน์ตาของหญิงสาวจึงรื่นน้ำ
ให้ตายเถอะ...ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก อดโมโหตัวเองไม่ได้ น้อยครั้งนักที่เขาจะแสดงพฤติกรรม ‘เกือบ’ หยาบคายเช่นนี้ออกมา และเป็นปกติที่ทุกคนที่ได้พบจะต้องนิ่งเงียบคาดไม่ถึง
“ผมขอโทษ” อนัตตาหลบตามองต่ำ ส่ายหน้าไปมาด้วยความรู้สึกผิดที่คั่งค้าง “ผมไม่รู้จะหยุดอารมณ์บ้าดีเดือดของคุณยังไง”
ชายหนุ่มสารภาพ ลอบเห็นหล่อนเสหน้าออก สูดสะอื้นซึ่งกำลังจะหลากไหล กำลังคิดอยู่ว่าควรจะปลอบหล่อนอย่างไรดี ถ้าหากว่าเป็นคนรัก ใช่...หากเป็นคนรัก เขาจะเข้าไปกอด ประโลมจุมพิตกลางหน้าผาก จากนั้นจึงค่อยๆ เชยดวงหน้างามนั้นมาปาดเช็ดน้ำตาที่ทำท่าจะรินอาบสองแก้มด้วยปลายนิ้วเบาๆ
ทว่าเขากับหล่อน...ไม่ใช่ จึงทำได้แต่เพียงถอนหายใจ หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าของตนยื่นให้หล่อนซับน้ำตา
“ผมขอโทษ” เป็นอีกครั้งที่เขาพูด หากด้วยน้ำเสียงที่นุ่มและละมุนกว่าครั้งแรกหลายเท่า อาจเพราะหัวใจมันอ่อนลงเพราะน้ำตาคนตรงหน้ากระมัง
อารีสรับผ้าเช็ดหน้าไปซับน้ำตา ขณะซับก็ลอบมองเขาเป็นระยะ แน่นอนว่าเขาเห็น และรู้สึกอยากหัวเราะเสียด้วยซ้ำ ท่าทางของหล่อนดูไม่เหมือนคนเพิ่งหายตกใจ แต่คล้ายคนช่างสอดรู้ที่พยายามลอบมองพฤติกรรมเพื่อนข้างบ้านเสียมากกว่า
“ผ้าเช็ดหน้าคุณก็ใส่น้ำหอมด้วยเหรอ” หล่อนถาม สีหน้าดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อครู่ “กลิ่นคาโมไมล์ ฉันชอบนะ”
อนัตตาขมวดคิ้ว กำลังสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้ช่างไม่เหมือนใครอื่นที่เคยผ่านมาในชีวิต หล่อนดูเป็นผู้หญิงที่มีช่วงอารมณ์กวัดแกว่งราวคลื่นในมหาสมุทร เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง เดี๋ยวนิ่งสงบ หากสักพักก็ถาโถมซัดทำลายเรือทุกลำที่ผ่านเข้ามา
“เปล่าหรอกครับ ผมคิดว่าคงมาจากน้ำหอมที่ใช้มากกว่า” ชายหนุ่มว่าพลางจับแขนเสื้อของตนขึ้นแตะปลายจมูก
ใช่ล่ะ...คงเป็นเพราะน้ำหอมกลิ่นคาโมไมล์ หรือดอกเก๊กฮวยฝรั่งที่เขาใช้มากกว่า เรียกได้ว่าเป็นกลิ่นประจำของเขาหลังจากมาอยู่อียิปต์ก็ว่าได้ เพราะความหอมละมุนละไมทำให้รู้สึกผ่อนคลายกับบรรยากาศอันแสนอบอ้าว คับคั่งและวุ่นวายในกรุงไคโร
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว” หญิงสาวยื่นผ้าเช็ดหน้าคืน หากเขาปฏิเสธ
“คุณเอาไปใช้เถอะ ผมให้” ชายหนุ่มว่าพลางคลี่ยิ้ม เป็นยิ้มครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทในภัตตาคารเมื่อครู่ “ไม่ต้องกังวลว่ามันจะไม่สะอาด ของใหม่ครับ ซื้อจากแถวตลาดผ้าทอในไคโร”
หญิงสาวไม่มีทีท่าอิดออด หรือลำบากใจอย่างที่เขาเคยเห็นจากคนอื่น หล่อนยิ้มแป้นแล้วรีบซุกผ้าเช็ดหน้าเข้าสู่กระเป๋ากระโปรงผ้าลินินสีชมพู
‘แปลก’ อนัตตาขมวดคิ้ว หากก็ยิ้มอย่างนึกขัน ตามปกติที่เคยพบเจอ เวลาเขาให้ของกับใครสักคนในเหตุการณ์แบบนี้ แต่ละคนจะมีรูปแบบการตอบสนองที่ต่างกัน ไม่พูดว่า ‘จะดีหรือ?!’ ก็ต้องว่า ‘ขอบคุณนะ’ หรือไม่ก็อ้ำอึ้งอึกอัก หากอารีสกลับไม่เหมือนสักคน นี่ล่ะที่ ‘แปลก’
“ออ...อีกอย่างหนึ่ง” แล้วอนัตตาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะพูดหลังจากที่ถูกหญิงสาวต่อว่า “ที่ไอซ์เขาต่อว่าคุณเมื่อกี้ ผมอยากบอกว่าถ้าเราไม่ใช่ก็อย่าเดือดเนื้อร้อนใจ ประเทศเรามีดีตั้งเยอะ เขาเคยไปเที่ยวประเทศไทยหรือ...ก็เปล่า คนที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นด้วยตา เราห้ามความคิดเขาไม่ได้”
คราวนี้นัยน์ตาของหล่อนใสแจ๋ว มีรอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก
“แต่เรารู้ความจริงนั้นดี ผมว่าไม่จำเป็นที่ต้องตีโพยตีพาย” อนัตตาพยายามทำเสียงให้สุขุม น่าเชื่อถือ แต่ดูเอาเถอะ ท่าทางของหล่อนที่ฟังเขา ทั้งประกายนัยน์ตาระยิบระยับ ทั้งรอยยิ้มที่มุมปากสีชมพูอ่อนนั่นอีก ดูเหมือนหล่อนไม่ได้ตั้งใจฟังแม้แต่นิด
“คุณต้องรู้จักใช้เหตุผลมากกว่านี้ อารมณ์กับเหตุผลที่ดีควรอยู่เคียงคู่กัน” ข้อนี้อนัตตาตั้งใจบอกหล่อนโดยนัยว่าอย่าใช้ ‘อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล’ ตามความหมายชื่อของหล่อนนัก
“ขอบคุณนะคะ...ดอกเตอร์อนัตตา อังกูร” อารีสยิ้มแล้วย่อตัว จากนั้นจึงนวยนาดไปที่หน้าลิฟต์ สองมือจับริ้วกระโปรงผ้าลินินสะบัดไปมาตามการเยื้องย่าง เรียบร้อยก็หันมาหาชายหนุ่ม คลี่ยิ้มพริ้มตาให้อย่างอ่อนหวาน อนัตตาเห็นก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว หายใจไม่ทั่วท้อง ราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็นจัด
“ไปห้องประชุมกันเถอะค่ะ ฉันอยากทำงานแล้ว” หญิงสาวพูดพลางเอียงไหล่ซ้ายขวาเข้าจังหวะ กิริยาอาการแตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว สงสัยเหลือเกินว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรของเขา เมื่อสิบนาทีที่แล้วยังอาละวาดเป็นคลื่นยักษ์กลางทะเล แต่มาเวลานี้กลับยิ้มร่ายินดีมีความสุข
อย่างนี้สิ...วิลเลียมถึงชอบเรียกชื่อพร้อมความหมายของหล่อนจนติดปาก
อารีส...อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
อย่าได้เอาเหตุผลกับผู้หญิงคนเลย...ท่อนหลังนี้อนัตตาเติมให้จากความคิดของเขาเอง
ก็เพราะหล่อนไม่เคยมี...
+++++++++++++++++++++
+++++++++++++++++++++
การปรากฏตัวของไอซิสทำให้เรื่องเล่าปิดท้ายมื้อเย็นชะงักลงฉับพลัน ชายหนุ่มทั้งสองหันมองผู้มาใหม่ สายตาแน่วนิ่งเสมือนหมุดปักกระดาน แล้วค่อยๆ เลื่อนตามจังหวะเสียงฝีเท้าที่หยุดลงตรงข้างโต๊ะอาหาร
ศัตรูตัวฉกาจของหล่อนไม่ผิดอย่างที่คิด อยู่ในชุดสีดำกุดแขนคว้านคอลึกกว้าง ชายกระโปรงสูงจากเข่าประมาณหนึ่งคืบเจ้าของ ทั้งชุดจับเกล็ดระยิบระยับยามต้องแสงไฟ ดูเหมาะสมกลมกลืนกับถุงน่องตาข่ายกับรองเท้าส้นเข็มสีเดียวกับชุด
สิ่งที่โดดเด่นออกจากความดำมืดคือสายสร้อยไข่มุกสีขาวยาวระเอว เครื่องหน้าขาวกระจ่างจากเครื่องสำอางตามแบบการแต่งหน้าของไอซิส โดยเฉพาะริมฝีปากสีเชอร์รีสุกเคลือบมันวาว ช่างขับกับผมดำขลับซึ่งถูกรวบมวยไว้ที่ต้นคอ
“คิดว่าอยู่ที่นี่แน่...ก็เลยมาตาม” ไอซิสว่าพลางจิกปลายเท้ายักสะโพก หางตาปรายใส่อารีสราวนางหงส์สยายปีก ทว่าสำหรับนักโบราณคดีสาวชาวไทย กลับเบื่อหน่ายเต็มทน
“ว่ายังไงไอซ์ มีอะไรเหรอ” วิลเลียมหันไปถาม คงตั้งใจขัดจังหวะ ระหว่างนั้นเห็นเขาเหลือบมองผู้มาใหม่สลับกับหล่อนเป็นระยะ อาจกลัวว่าจะเกิดสงครามขึ้นอีกกระมัง
“ลืมไปแล้วเหรอวิล วันนี้คุณเกียนนัดพบพวกเราเพื่อประเมินความก้าวหน้าของโครงการ เรามาไคโรไม่ใช่เพื่อพาใครเที่ยวเป็นพิเศษ” อารีสรับรู้ถึงน้ำเสียงตวัดสูง แฝงความไม่พอใจ แต่หล่อนก็ยังแข็งใจกดตามองต่ำ คาดว่าอีกฝ่ายคงค้อนปะหลับปะเหลือกนับไม่ถ้วน “เรามาที่ไคโรเพราะคุณเกียนมีภารกิจที่นี่พอดี เรื่องอื่นมันก็แค่ผลพลอยได้”
อารีสกัดริมฝีปากล่างจนรู้สึกเจ็บ รับรู้ความไม่พอใจกำลังพุ่งพล่าน เตรียมพร้อมระเบิดในอกตลอดเวลา
“เข้าห้องประชุมเถอะ คุณเกียนโทร.มาบอกว่ากำลังเดินทาง ใกล้จะถึงแล้ว”
วิลเลียมเรียกพนักงานเพื่อเช็คบิลค่าอาหาร จากนั้นจึงหันไปบอกไอซิสว่าจะตามไปทีหลัง อีกฝ่ายจึงยักไหล่แทนการรับรู้ ก่อนจะตวัดหางตามาที่อารีสแล้วจากไป ทว่าด้วยความหมั่นไส้ หญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นขาดักรอไว้ด้านหน้า พานเอาไอซิสสะดุดล้มหน้าคะมำ ตัวพาดเก้าอี้ล้มโครมคราม
เสียงกรีดร้องพร้อมเสียงเก้าอี้ล้มคว่ำทำให้ทุกคนหันมอง อารีสรีบชักเท้ากลับ หันไปดูแล้วหลุดหัวเราะดังลั่น หากอึดใจก็รีบปิดปาก ก่อนแสร้งทำสีหน้าสลด
“โอ้...ไอซิส เป็นอย่างไรบ้าง” หล่อนรุดลุก ทำหน้าสีหน้าตระหนก วิ่งไปช่วยอีกฝ่ายที่พยายามหยัดตัวขึ้นยืน ทว่าไอซิสไม่แยแส ปัดมืออารีสออก นัยน์ตาปรากฏแววเคียดแค้นฉายชัด
“เธอแกล้งฉันนังอีริส” น้ำเสียงนั้นแม้ไม่ใช่การตวาด หากก็เป็นเสียงลอดไรฟัน แข็งกระด้างและบอกถึงการข่มขู่โดยนัย “ยายขี้แพ้ เอาชนะด้วยสมองไม่ได้ก็เลยต้องใช้กำลัง นังคนป่าไร้อารยธรรม มาจากโลกที่สาม แกมันดอกเตอร์จากประเทศที่ขี่ช้างบนไฮเวย์ อนารยชน”
อารีสนิ่งอั้น ตาเบิกโต หน้าซึ่งเคยขาวผ่องแดงจัดลามถึงใบหู สองมือกำแน่น ริมฝีปากสั่นระริก แล้วชั่วอึดใจโดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว อารีสก็กระโจนเข้าไปทึ้งผมของไอซิสขยำเขย่าอย่างรวดเร็ว ทำเอาอีกฝ่ายกรีดร้อง พยายามกระชากดึงผมหล่อนไม่ต่างกัน
มวยผมซึ่งรวบไว้อย่างประณีตของไอซิสแตกกระจาย อารีสเองก็ไม่ต่าง ผมยาวสยายหยักศกฟูเต็มหัว ระหว่างนั้นปากก็พร่ำก่นด่ากันด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอาหรับคละเคล้าสำเนียงไทย น้ำลายแตกฟองกระเด็นใส่หน้ากันและกัน ระหว่างการฉุดกระชากผมเผ้า ด้วยความที่อารีสตัวเล็กกว่า ไอซิสจึงได้โอกาสเหวี่ยงตัวหล่อนไปมาชนเก้าอี้บ้าง โต๊ะบ้าง เกิดเสียงโครมครามล้มระเนระนาด สร้างความตื่นตระหนกแก่ผู้คนรอบข้าง หากทั้งสองไม่ยี่หระ กระทั่งวิลเลียมและอนัตตาต้องรีบมาห้ามศึก
“เฮ้! หยุดนะไอซ์ อารีส คนเขามองกันใหญ่แล้ว” วิลเลียมพยายามปราม หากไม่เป็นผล เขาจึงให้อนัตตาไปแยกอารีส ส่วนตัวเขาเองแยกไอซิสซึ่งขนาดตัวทัดเทียมกัน
วิลเลียมและอนัตตาแยกการนัวเนียของทั้งสองออกได้ ทว่ามือที่ดึงเส้นผมของกันและกันนี่สิที่ยังเหนียวแน่น ต่างฝ่ายต่างพยายามกระตุกทึ้งผมอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย ได้โอกาสเข้าใกล้ก็ข่วนกันบ้าง ตีกันบ้าง จนชายหนุ่มทั้งสองได้แต่ส่ายหน้ายุ่งเหยิง
“ปล่อยผมพวกเธอลงเดี๋ยวนี้” วิลเลียมตวาดลั่นจนทั้งสองนิ่งอั้น หากไอซิสที่ได้สติเร็วกว่ากลับใช้ช่วงเวลานั้นกระตุกผมอารีสติดมือมาหลายสิบเส้น ทำเอาเจ้าของร้องจ้า ต้องรีบปล่อยผมไอซิสแล้วกุมหัวตัวเองด้วยความเจ็บปวด
“นังลูกหมา กล้าดียังไงมาดึงผมฉัน” อารีสกัดฟันด่า มือข้างหนึ่งกุมหัวที่เพิ่งได้รับบาดเจ็บ
ไอซิสลอยหน้าลอยตายิ้มเย้ย แบมือให้หญิงสาวเห็นเส้นผมสีดำหยักศกนับสิบที่ติดมือมา ยิ่งทำให้อารีสเลือดขึ้นหน้า เตรียมกระโจนใส่อีกรอบ ทว่าโชคดีที่มีอนัตตาเข้ากอดรัดฟัดเหวี่ยง พยายามกันตัวออกห่างจากอีกฝ่าย
“ปล่อยฉันนะคุณนัต ฉันจะไปจัดการมัน” คราวนี้หล่อนใช้ภาษาไทย น้ำเสียงกึ่งบังคับให้อีกฝ่ายทำตาม แต่มีหรืออนัตตาจะยอม
“ใจเย็นๆ ได้ไหมคุณอารีส” ชายหนุ่มปราม แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ยอมหยุดง่ายๆ อนัตตาจึงหันไปหาวิลเลียมที่เวลานี้แค่ยืนข้างๆ ไอซิส “วิล ผมฝากคุณกับไอซ์เรื่องเงินด้วย เดี๋ยวผมจะไปจัดการอารีสเสียก่อน”
วิลเลียมพยักหน้ารับทราบ ปล่อยให้ชายหนุ่มลากตัวอารีสซึ่งกำลังบ้าคลั่งออกจาภัตตาคารอย่างทุลักทุเล สีหน้าซึ่งเคยยิ้มแย้มของอนัตตาสลด เมื่อเห็นแขกเหรื่อรอบข้างหันมองหญิงสาวในอ้อมแขนเป็นตาเดียว ส่วนตัววิลเลียมหันไปตำหนิไอซิสด้วยหางตา เจ้าหล่อนก็ทำไม่สนใจใยดี จนชำเลืองเส้นผมสีดำหยักศกนับสิบในมือ นั้นล่ะ รอยยิ้มพึงพอใจจึงเผยออกมา
+++++++++++++++
เรี่ยวแรงจากอาหารมื้อเย็นของอนัตตาแทบหมดลงเพียงเพราะการพยายามนำอารีสออกจากภัตตาคาร หล่อนดิ้นรนขัดขืน ทั้งพยายามข่วนหน้า ทึ้งผม หรือแม้แต่ดึงใบหูของเขา แต่กระนั้นชายหนุ่มก็สามารถพาหล่อนมายังโถงทางเดินจนได้
“คุณอนัตตา คุณปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะไปฆ่ามัน” หล่อนแผดเสียงลั่น โชคยังดีที่ไม่มีแขกเหรื่อคนไหนเดินผ่านมาในช่วงนี้ ลงได้ยินเสียงแม่เจ้าประคุณกรีดร้องคงสะดุ้งไปตามๆ กัน “คุณนี่มันไม่รักประเทศชาติ ไม่รักบ้านเมืองเอาซะเลย นังลูกหมาหน้าคอสเมติกมันหยามประเทศไทยว่าเป็นโลกที่สาม ประเทศด้อยพัฒนา ทั้งยังว่าฉันขี่ช้างบนไฮเวย์ คุณไม่รู้สึกเจ็บใจบ้างหรือยังไง”
อารีสพยายามออกแรงยื้อยุดต่อ หากอนัตตาซึ่งกำลังจะหมดแรงอยู่รอมร่อตัดสินใจใช้ไม้ตายสุดท้าย ซึ่งหวังเหลือเกินว่ามันจะทำให้อีกฝ่ายสงบลงได้เสียที
“เลิกบ้าได้แล้ว!”
เสียงตวาดลั่นทำให้อารีสสะดุ้งโหยง หล่อนหันมองเขาด้วยสายตาคาดไม่ถึง ได้ผล...หล่อนสงบนิ่งไม่ไหวติงแม้แต่น้อย แต่เกิดอะไรขึ้น...นัยน์ตาของหญิงสาวจึงรื่นน้ำ
ให้ตายเถอะ...ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก อดโมโหตัวเองไม่ได้ น้อยครั้งนักที่เขาจะแสดงพฤติกรรม ‘เกือบ’ หยาบคายเช่นนี้ออกมา และเป็นปกติที่ทุกคนที่ได้พบจะต้องนิ่งเงียบคาดไม่ถึง
“ผมขอโทษ” อนัตตาหลบตามองต่ำ ส่ายหน้าไปมาด้วยความรู้สึกผิดที่คั่งค้าง “ผมไม่รู้จะหยุดอารมณ์บ้าดีเดือดของคุณยังไง”
ชายหนุ่มสารภาพ ลอบเห็นหล่อนเสหน้าออก สูดสะอื้นซึ่งกำลังจะหลากไหล กำลังคิดอยู่ว่าควรจะปลอบหล่อนอย่างไรดี ถ้าหากว่าเป็นคนรัก ใช่...หากเป็นคนรัก เขาจะเข้าไปกอด ประโลมจุมพิตกลางหน้าผาก จากนั้นจึงค่อยๆ เชยดวงหน้างามนั้นมาปาดเช็ดน้ำตาที่ทำท่าจะรินอาบสองแก้มด้วยปลายนิ้วเบาๆ
ทว่าเขากับหล่อน...ไม่ใช่ จึงทำได้แต่เพียงถอนหายใจ หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าของตนยื่นให้หล่อนซับน้ำตา
“ผมขอโทษ” เป็นอีกครั้งที่เขาพูด หากด้วยน้ำเสียงที่นุ่มและละมุนกว่าครั้งแรกหลายเท่า อาจเพราะหัวใจมันอ่อนลงเพราะน้ำตาคนตรงหน้ากระมัง
อารีสรับผ้าเช็ดหน้าไปซับน้ำตา ขณะซับก็ลอบมองเขาเป็นระยะ แน่นอนว่าเขาเห็น และรู้สึกอยากหัวเราะเสียด้วยซ้ำ ท่าทางของหล่อนดูไม่เหมือนคนเพิ่งหายตกใจ แต่คล้ายคนช่างสอดรู้ที่พยายามลอบมองพฤติกรรมเพื่อนข้างบ้านเสียมากกว่า
“ผ้าเช็ดหน้าคุณก็ใส่น้ำหอมด้วยเหรอ” หล่อนถาม สีหน้าดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อครู่ “กลิ่นคาโมไมล์ ฉันชอบนะ”
อนัตตาขมวดคิ้ว กำลังสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้ช่างไม่เหมือนใครอื่นที่เคยผ่านมาในชีวิต หล่อนดูเป็นผู้หญิงที่มีช่วงอารมณ์กวัดแกว่งราวคลื่นในมหาสมุทร เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง เดี๋ยวนิ่งสงบ หากสักพักก็ถาโถมซัดทำลายเรือทุกลำที่ผ่านเข้ามา
“เปล่าหรอกครับ ผมคิดว่าคงมาจากน้ำหอมที่ใช้มากกว่า” ชายหนุ่มว่าพลางจับแขนเสื้อของตนขึ้นแตะปลายจมูก
ใช่ล่ะ...คงเป็นเพราะน้ำหอมกลิ่นคาโมไมล์ หรือดอกเก๊กฮวยฝรั่งที่เขาใช้มากกว่า เรียกได้ว่าเป็นกลิ่นประจำของเขาหลังจากมาอยู่อียิปต์ก็ว่าได้ เพราะความหอมละมุนละไมทำให้รู้สึกผ่อนคลายกับบรรยากาศอันแสนอบอ้าว คับคั่งและวุ่นวายในกรุงไคโร
“เอาล่ะ เรียบร้อยแล้ว” หญิงสาวยื่นผ้าเช็ดหน้าคืน หากเขาปฏิเสธ
“คุณเอาไปใช้เถอะ ผมให้” ชายหนุ่มว่าพลางคลี่ยิ้ม เป็นยิ้มครั้งแรกหลังจากเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทในภัตตาคารเมื่อครู่ “ไม่ต้องกังวลว่ามันจะไม่สะอาด ของใหม่ครับ ซื้อจากแถวตลาดผ้าทอในไคโร”
หญิงสาวไม่มีทีท่าอิดออด หรือลำบากใจอย่างที่เขาเคยเห็นจากคนอื่น หล่อนยิ้มแป้นแล้วรีบซุกผ้าเช็ดหน้าเข้าสู่กระเป๋ากระโปรงผ้าลินินสีชมพู
‘แปลก’ อนัตตาขมวดคิ้ว หากก็ยิ้มอย่างนึกขัน ตามปกติที่เคยพบเจอ เวลาเขาให้ของกับใครสักคนในเหตุการณ์แบบนี้ แต่ละคนจะมีรูปแบบการตอบสนองที่ต่างกัน ไม่พูดว่า ‘จะดีหรือ?!’ ก็ต้องว่า ‘ขอบคุณนะ’ หรือไม่ก็อ้ำอึ้งอึกอัก หากอารีสกลับไม่เหมือนสักคน นี่ล่ะที่ ‘แปลก’
“ออ...อีกอย่างหนึ่ง” แล้วอนัตตาก็เพิ่งนึกขึ้นได้ เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะพูดหลังจากที่ถูกหญิงสาวต่อว่า “ที่ไอซ์เขาต่อว่าคุณเมื่อกี้ ผมอยากบอกว่าถ้าเราไม่ใช่ก็อย่าเดือดเนื้อร้อนใจ ประเทศเรามีดีตั้งเยอะ เขาเคยไปเที่ยวประเทศไทยหรือ...ก็เปล่า คนที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นด้วยตา เราห้ามความคิดเขาไม่ได้”
คราวนี้นัยน์ตาของหล่อนใสแจ๋ว มีรอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก
“แต่เรารู้ความจริงนั้นดี ผมว่าไม่จำเป็นที่ต้องตีโพยตีพาย” อนัตตาพยายามทำเสียงให้สุขุม น่าเชื่อถือ แต่ดูเอาเถอะ ท่าทางของหล่อนที่ฟังเขา ทั้งประกายนัยน์ตาระยิบระยับ ทั้งรอยยิ้มที่มุมปากสีชมพูอ่อนนั่นอีก ดูเหมือนหล่อนไม่ได้ตั้งใจฟังแม้แต่นิด
“คุณต้องรู้จักใช้เหตุผลมากกว่านี้ อารมณ์กับเหตุผลที่ดีควรอยู่เคียงคู่กัน” ข้อนี้อนัตตาตั้งใจบอกหล่อนโดยนัยว่าอย่าใช้ ‘อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล’ ตามความหมายชื่อของหล่อนนัก
“ขอบคุณนะคะ...ดอกเตอร์อนัตตา อังกูร” อารีสยิ้มแล้วย่อตัว จากนั้นจึงนวยนาดไปที่หน้าลิฟต์ สองมือจับริ้วกระโปรงผ้าลินินสะบัดไปมาตามการเยื้องย่าง เรียบร้อยก็หันมาหาชายหนุ่ม คลี่ยิ้มพริ้มตาให้อย่างอ่อนหวาน อนัตตาเห็นก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว หายใจไม่ทั่วท้อง ราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็นจัด
“ไปห้องประชุมกันเถอะค่ะ ฉันอยากทำงานแล้ว” หญิงสาวพูดพลางเอียงไหล่ซ้ายขวาเข้าจังหวะ กิริยาอาการแตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มได้แต่ขมวดคิ้ว สงสัยเหลือเกินว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรของเขา เมื่อสิบนาทีที่แล้วยังอาละวาดเป็นคลื่นยักษ์กลางทะเล แต่มาเวลานี้กลับยิ้มร่ายินดีมีความสุข
อย่างนี้สิ...วิลเลียมถึงชอบเรียกชื่อพร้อมความหมายของหล่อนจนติดปาก
อารีส...อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
อย่าได้เอาเหตุผลกับผู้หญิงคนเลย...ท่อนหลังนี้อนัตตาเติมให้จากความคิดของเขาเอง
ก็เพราะหล่อนไม่เคยมี...
+++++++++++++++++++++
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 พ.ค. 2555, 16:31:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 พ.ค. 2555, 16:31:40 น.
จำนวนการเข้าชม : 1372
<< ไคโร (๓) | ไคโร (๕) >> |
แล่นแต๊ 28 พ.ค. 2555, 19:57:19 น.
ติดตามนะคะ ^^
ติดตามนะคะ ^^
นาถลดา 29 พ.ค. 2555, 07:15:42 น.
ขอบคุณครับผม ^^
ขอบคุณครับผม ^^
icewinter 29 พ.ค. 2555, 12:16:49 น.