ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: โทรหา  

ตอนที่ 25

เย็นวันนั้น หลังจากคุณนรินทร์มาส่งฉันที่บ้านแล้ว ฉันก็ได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่สวนหลังบ้านบนชิงช้าตัวเก่าของพ่อที่คุ้นเคย มองดูแปลงดอกไม้ขนาดพอเหมาะที่เราสองคนแม่ลูกช่วยกันปลูก เสียงพลิ้วไหวของใบไม้กับสายลมอ่อนๆกระตุ้นประสาทสัมผัสของฉันให้รับรู้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้น่าจะทำให้ฉันรู้สึกสงบและสบายใจได้ แต่ก็เปล่าเลย ถึงแม้ตอนนี้สิ่งรอบๆตัวเหมือนจะเป็นปกติและเข้าที่เข้าทาง แต่สำหรับตัวฉันแล้ว ความวุ่นวายและความสับสนยังคงวนเวียนอยู่

“เสาร์นี้ผมจะมารับคุณไปหาคุณแม่นะ” นั่นคือสิ่งที่คุณนรินทร์พูดก่อนจะขับรถออกไป

งานแต่งงานจอมปลอมของฉันใกล้เข้ามาทุกที ถ้านี่เป็นความจริงฉันคงกลายเป็นเจ้าสาวที่มีความสุขมากอีกคนหนึ่ง แต่ฉันมันโชคร้ายนี่ นอกจากจะต้องแต่งกันเพื่อผลประโยชน์แล้ว เขายังคงรักแฟนเก่าอยู่ พร้อมๆกับที่ฉันเริ่มหวั่นไหวกับเขาแล้ว

หา??? เปล่านะคือฉันหมายความว่า ใบไม้มันพลิ้วไหวน่ะ
เย็นนี้แม่ไม่กลับมาทานข้าว เนื่องจากไปทานข้างนอกกับเพื่อนร่วมงาน ฉันเลยนั่งเหงาอยู่คนเดียว เบื่อไปเสียทุกอย่าง คิดจะโทรไปหาหนูเล็กก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอต้องแสดงงานแฟชันโชว์ของตัวเองที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ชื่อดังกลางเมือง เป็นหนูเล็กนี่ก็ดีอย่าง เธอได้อยู่กับสิ่งที่เธอรักและชอบ ความจริงพ่อแม่หนูเล็กอยากให้เธอเรียนหมอมากกว่า แต่เพราะความที่รักในการแต่งตัวและศิลปะมาก หนูเล็กจึงดื้อด้านขู่เข็นให้พ่อแม่ส่งเสียตัวเองไปเรียนแฟชั่นดีไซน์ที่เมืองนอกให้ได้

ฉันกับหนูเล็กเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่มัธยมแล้ว ความจริงเราทั้งสองคนต่างก็สนใจในศิลปะเหมือนกัน แต่สำหรับฉันไม่ได้สนใจถึงขั้นอยากทำงานตรงนั้น จริงๆแล้วฉันไม่เคยรู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร ไม่เหมือนหนูเล็กที่เธอชอบศิลปะมาก และมีความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กๆว่าอยากเป็นดีไซเนอร์ อีกทั้งฉันก็ไม่ได้เลือดนักภาษาอย่างแม่มาเลยสักนิดเดียว

แล้วนี่ฉันนั่งคิดบ้าอะไรอยู่ได้ เดี๋ยวนะ! เมื่อกี้ฉันพูดถึงเรื่องอะไรนะ?

เรื่องศิลปะหรือเปล่า?

โอ้ไม่นะ! นั่นทำให้ฉันนึกถึงคนคนหนึ่ง คนที่ฉันเคยสัญญากับตัวเองว่าจะกลับไปหา คนที่ชอบสอนให้ฉันมองอะไรให้ลึกซึ้ง

แจ๊กกี้!!!!!!!!

ฉันนึกออกแล้ว แจ๊กกี้และศิลปะคงทำให้ฉันมีความสุขขึ้นจากการจมปลักอยู่กับการแต่งงานหลอกลวงนี่ได้บ้าง!!!!!!

ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้างน้า…..

แล้วร่างกายก็ไวกว่าความคิด ฉันจับแท็กซี่ไปลงที่หน้าบ้านโรงเรียนสอนศิลปะของแจ๊กกี้โดยด่วน แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจว่านี่ฉันจำทางถูกหรือผิดกันแน่ เพราะหน้าบ้านที่แท็กซี่มาจอดนั้น ไม่มีหญ้ารกๆ และสภาพบ้านที่ซอมซ่ออีกต่อไป ฉันเดินผ่านประตูรั้วหน้าบ้านซึ่งทาสีฟ้าสบายตาแถมมีกังหันลมหมุนพริ้วล้อสายลมบางเบา

แล้วฉันก็เห็นหลังใครคนหนึ่งก้มๆเงยๆทาสีบ้านอยู่บริเวณนั้น ผิวขาว ผมสั้น ร่างสูงใหญ่ นั่นไม่ใช่แจ๊กกี้แน่ๆ อย่าบอกนะว่าแจ๊กกี้ขายบ้านให้คนอื่นไปแล้วน่ะ นี่เขาเลิกสอนศิลปะแล้วเหรอ!!!! เอ่อ อันที่จริง เหมือนเขาก็รับสอนแต่ฉันคนเดียวเท่านั้นละ

ฉันเดินเบาๆ อย่างไม่มั่นใจเข้าไปหาชายคนนั้น

“เอ่อ ขอโทษนะคะคุณ เจ้าของบ้านเก่าเขาขายบ้านนี้แล้วเหรอคะ”

แล้วพ่อหนุ่มทาสีบ้านก็สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะหันมามองฉันด้วยสายตางงงวย

เอ….ฉันว่าเขาหน้าคุ้นๆนะ

“คุณมาหาใครเหรอครับ” เขาลุกขึ้น โยนแปรงทาสีลงในกระป๋อง

“เอ่อ ฉันอยากทราบว่าเจ้าของบ้านคนเก่าเขาขายบ้านนี้แล้วเหรอคะ”

แล้วเขาก็ขมวดคิ้ว สายตาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย “บ้านนี้ไม่เคยเปลี่ยนเจ้าของนะครับ อ้อ หรือคุณมาหาแจ๊กกี้”

เขาถามฉันเหมือนหยั่งเสียง

แล้วฉันก็ยิ้มหน้าบาน รู้สึกโล่งอกที่ได้รับรู้ว่าเขายังอยู่ที่นี่ “ค่ะ ใช่ ฉันมาหาแจ๊กกี้ นี่เขายังไม่ได้ย้ายไปไหนใช่ไหมคะ ตอนนี้เขาอยู่ไหนล่ะคะ ฉันอยากพบจริงๆ” ท่าทีกระตือรือร้นอีกทั้งดีใจสุดขีดของฉันทำเอาพ่อหนุ่มทาบ้านแอบขำ

“เดี๋ยวสักครู่นะครับ” แล้วเขาก็หันไปทางหลังบ้าน ตะโกนเสียเสียดัง

“เฮ้ยไอ้แจ๊กกี้! มีสาวมาหาว่ะ”

แล้วแจ๊กกี้คนที่ฉันรอคอยก็วิ่งโทงๆออกมา

ให้ตายสิ! แจ๊กกี้ไม่ใช่แจ๊กกี้คนเดิมอีกแล้ว เขาไปเปลี่ยนไปมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันยังคงจำได้คือ แววตาของเขาที่เคยอยู่ใต้ผมเผ้ารุงรังนั่น แต่ตอนนี้ผมแจ๊กกี้กลับสั้นและสะอาด คงไว้แต่หนวดเคราที่ยังไว้ลายแห่งความเฟิ้มอยู่ เสื้อผ้าของเขาก็ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น ไม่สิ! เขาดูดีมากเลยละ!!!!

“โอ้ว ทรัพย์สิดี! อิส แด้ด ยู้?” แล้วอีกสิ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยนั่นก็คือ สไตล์การพูดของเขา

“แจ๊กกี้! ฉันเองค่ะ คุณสบายดีใช่ไหม” แล้วเราสองคนก็ยืนคุยกันนาน โดยลืมสนใจพ่อหนุ่มทาสีบ้านคนนั้นไป

“เอ่อ ผมว่าเชิญคุณเข้าไปนั่งในบ้านก่อนดีไหมครับ เฮ้ยแจ๊กกี้ มีแฟนน่ารักแบบนี้ไม่เคยบอกไอเลยนะ” เขาพูดแล้วหลิ่วตาให้ฉัน เอ…หน้าเขาคุ้นๆนะ แถมรูปร่างก็สูงใหญ่เหมือนใครสักคนที่ฉันรู้จัก

“ชัทอัพ! สิดี คุณไปนั่งรอในบ้านก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้” แล้วแจ๊กกี้ก็วิ่งหยองแหย็งด้วยความกระตือรือร้นหายไปที่หลังบ้าน

ฉันหันไปมองหนุ่มทาสีบ้านที่กำลังจ้องฉันอย่างพิจารณา พร้อมส่งยิ้มน้อยๆให้

“คุณคบกับแจ๊กกี้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรือครับ”

ฉันเบิกตาโต แล้วก็หัวเราะเสียเสียงดัง

“เปล่าเลยค่ะ ฉันเป็นลูกศิษย์ของแจ๊กกี้เท่านั้นเอง ฉันจะกลับมาเรียนศิลปะกับเขาใหม่น่ะค่ะ”

เขาทำหน้าตาตกใจเอามากๆ “ไอ้แจ๊กกี้เนี่ยนะ ที่คุณจะให้มันสอน คุณคิดดีแล้วเหรอครับ”

“คะ…คือ ทำไมเหรอคะ เขาก็สอนดีนี่คะ”

แล้วหนุ่มทาสีบ้านก็ระเบิดหัวเราะบ้าง เขาดูเป็นคนอารมณ์ดีและเป็นมิตร

“เอาเถอะครับ” เขาพูดพลางเช็ดมือเปื้อนๆกับเกางเกงตัวเก่า ก่อนจะยื่นมือมาให้ฉัน

“ผมชื่อรัน เป็นเพื่อนคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ของแจ๊กกี้ แล้วคุณ…”

“เอ่อ ฉันทรัพย์สิดีค่ะ เรียกว่า สิดี ก็ได้” แล้วฉันก็ยื่นมือไปสัมผัสมือเขาแผ่วเบา

“ชื่อเพราะดี เชิญเข้าบ้านก่อนดีกว่าครับ”

ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจที่เขาบอกว่าเขาเป็นเพื่อนคนเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ของแจ๊กกี้ก็ตาม แต่คิดว่าเขาคงเป็นพวกอเมริกันจ๋าพอสมควร คนไทยที่ไหนเขาเช็คแฮนด์กันล่ะ

ฉันเดินไปหยุดที่ประตูเข้าบ้าน ถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไป ในที่สุดฉันก็ต้องตะลึงอีกครั้งกับความสะอาดสะอ้าน ไม่มีเปลือกกล้วย พู่กัน ถุงขนม หลอดสี วางเกลื่อนบนโซฟา หรือตามพื้นอีกแล้ว ทุกอย่างเป็นระเบียบและเข้าที่เข้าทางจนผิดหูผิดตา

ฉันมองไปรอบๆด้วยความชื่นชม “เกิดอะไรขึ้นกับแจ๊กกี้เหรอคะ? ทำไมบ้านเขา….”

คุณรันอมยิ้มน้อยๆ ยิ่งทำให้เขาหน้าคุ้นเข้าไปอีก

“เขาคงอยากปฏิวัติตัวเองน่ะครับ”

“เฮ้ พวก ยู ทอล์ก อะไรกันอยู่ได้ มา อี้ท ของว่างกันเร็ว”

แจ๊กกี้หอบขนมพร้อมเครื่องดื่มมาเต็มถาด แล้วเราสามคนก็นั่งล้อมโต๊ะทานอาหารที่ฉันจำได้ว่า ครั้งหนึ่งมันเป็นเพียงที่เก็บเฟรมวาดรูปเท่านั้น

“สิดี วอท บริง ยู เฮีย อะไรทำให้คุณกลับมาที่นี่ได้ล่ะฮึ” แจ๊กกี้ถามทั้งๆที่ขนมเต็มปาก

“คือ…คุณคงไม่โกรธฉันนะคะแจ๊กกี้ ถ้าฉันอยากจะกลับมาเรียนกับคุณอีก”

แจ๊กกี้สำลักน้ำแดงแฟนต้า แล้วลูบเครา สมบัติชิ้นเดียวบนใบหน้าเขาที่ยังหลงเหลืออยู่

“เวลคัม เสมอเลย แล้วทำไมผมต้องโกรธคุณด้วยเล่า ผมนึกอยู่แล้วว่าคนอย่างคุณไม่มีวันทิ้งศิลปะไปได้หรอก ผมถึงให้รูปวาดนั่นกับคุณไปอย่างไรล่ะ เพราะคุณคงรักษามันไว้อย่างดี”

คุณรันแทรกขึ้น “รูปไหนวะ”

แจ๊กกี้หันไปมองเขาอย่างหวาดๆ ราวกับเด็กที่ถูกจับได้ว่าทำผิด

เขากลืนน้ำลายอย่างทุกข์ทน “เน…เนเธอร์แลนด์น่ะ ทุ่งทิว…”

แจ๊กกี้ยังอธิบายไม่จบ แต่คุณรันกลับหุนหันลุกขึ้นจากวงอาหารว่าง

“หา!!! แจ๊กกี้เอ็งให้รูปนั้นกับคุณคนนี้ไปเหรอวะ รูปที่เคยแขวนบนผนังตรงนั้นน่ะ นั่นมันเป็นรูปที่ไอวาดเองกับมือเลยนะเว้ย ทำไมไม่ถามเจ้าของก่อนเลยวะ”

คุณรันโวยวายออกมาอย่างหัวเสีย

“อะ อ้าว รูปนั่นแจ๊กกี้ไม่ได้วาดเองเหรอคะ” ฉันถามด้วยความประหลาดใจ

แจ๊กกี้กำลังอ้าปากจะแก้ตัว

“ไอ้แจ๊กกี้มันจะวาดได้อย่างไรครับ มันไม่เคยออกนอกชายแดนไทยเลยสักที รูปพวกทุ่งทิวลิป รูปวิวต่างประเทศของผมทั้งนั้นล่ะครับในบ้านนี้ มันชอบแอบอ้างว่าเป็นของมันอยู่เรื่อย แถมยังยกรูปให้คนอื่นโดยไม่ถามผมอีก มันน่านัก!”

หา??? ฉันคิดว่าแจ๊กกี้ไปเที่ยวมาแล้วรอบโลกเสียอีก ฉันคิดว่าเขา…คิดว่าเขาคือศิลปินผู้ยิ่งใหญ่มาตั้งนาน

“แล้ว แล้ว ไอ จะรู้ไหมวะ ว่ายู ยังอยากเก็บไว้ เห็นวาดทิ้งไว้ตั้งหลายปีแล้ว บ้านนี้ที่เราร่วมสร้างด้วยกันก็ไม่เห็นกลับมาดู ทำมา แองกรี้ ไปได้” แจ๊กกี้เถียงเสียงอ่อน

ฉันเห็นท่าไม่ดีเลยรีบห้ามศึก “คือ ฉันผิดเองล่ะค่ะ ถ้าคุณรันอยากได้คืน เดี๋ยวฉันเอามาคืนให้ก็ได้ค่ะ” แล้วฉันก็นึกถึงหน้าไม่พอใจของคุณนรินทร์

คุณรันโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

“ไม่ต้องครับๆ ผมยังมีเก็บไว้เองอีกหลายรูป บางมุมผมก็วาดซ้ำ แต่แค่ผมไม่พอใจที่แจ๊กกี้มันไม่เคยถามความเห็นเจ้าของก่อนเลย”

“แล้ว ยู อยู่ให้ ไอ ถามไหมวะ หาย เฮ้ด ไปอยู่เนเธอร์แลนด์ตั้งหลายปี”
แจ๊กกี้เถียงต่อไป

“โห อย่างนี้คุณรันคงไปมาหลายประเทศทั่วโลกแล้วสิคะ” ฉันมองเขาด้วยความทึ่ง เพราะคุณรันก็ทำตัวธรรมดา ไม่ได้อวดความโก้อะไรเลย

“ก็แค่ทั่วยุโรปเท่านั้นครับ” เขาตอบพลางยิ้มให้

“ดีจังนะคะ ตอนแรกฉันคิดว่ารูปภาพพวกนั้นเป็นของแจ๊กกี้ทั้งหมดเสียอีก ฉันนึกว่าแจ๊กกี้ไปมาแล้วทั่วโลก เห็นพูดภาษาอังกฤษปร๋อเชียว” น้ำเสียงของฉันรู้สึกผิดหวังในตัวอาจารย์ลึกๆ

คราวนี้คุณรันหัวเราะกลิ้ง มีแจ๊กกี้ทำหน้าปะหลักปะเหลือก อยู่ข้างๆ

“ฮ่าๆๆๆๆๆ นี่คุณคงโดนแจ๊กกี้ต้มแล้วสิครับ ใช่ไหมวะแจ๊กกี้”

แจ๊กกี้ได้แต่ทำท่าให้คุณรันหยุดพูด แต่คุณรันยังคงพูดต่อไป

“แจ๊กกี้ เอ็งบอกความจริงเธอไปสิ เรื่องที่แกชอบพูดภาษาอังกฤษน่ะ”

แจ๊กกี้ยังคงทำท่าหลุกหลิกไม่เลิก

“คือคุณสิดีครับ ความจริง แจ๊กกี้มันไม่เคยไปต่างประเทศเลยครับ มันชอบวาดรูปวัดไทยมากกว่า แถมที่ชอบพูดภาษาอังกฤษเนี่ย เนื่องจากว่า…” แล้วคุณรันก็ถูกแจ๊กกี้เอามือปิดปาก

“สิดี คุณเริ่มมาเรียนได้วันเสาร์นะ วันนี้คุณกลับไปก่อนแล้วกัน ส่วนค่าเรียนก็เหมือนเดิมล่ะ”

แต่ฉันยังคงไม่ยอมไปไหน “คือ ฉันยังฟังคุณรันไม่จบเลยค่ะแจ๊กกี้ คือคุณมีอะไรปิดบังฉันหรือเปล่าคะ” ฉันถามอย่างอยากรู้ ปริศนาของแจ๊กกี้กำลังถูกเปิดเผย ให้ตาย ฉันคิดว่าเขาคงเป็นลูกเศรษฐีที่พ่อแม่อยากให้เรียนหมอ แต่ดื้อมาเรียนศิลปะเลยมาหมกตัวอยู่อย่างนี้ นอกจากนั้นคิดว่าเขาคงเคยไปวาดรูปมาแล้วทั่วโลกเสียอีก ฉันตีความเขาผิดข้างเดียวเลยนะนี่

แล้วคุณรันก็สลัดตัวหลุดจากแจ๊กกี้มาได้

“มันแค่อยากลอกเลียนแบบผมเท่านั้นล่ะครับ มันเห็นผมพูดภาษาอังกฤษได้ ฮ่าๆๆๆ โอ๊ย! เจ็บนะเว้ย!” แล้วแจ๊กกี้ก็ไล่เตะคุณรันไปทั่วห้อง ฉันเห็นว่ามันขำดี เลยนั่งดูต่อสักพัก แล้วออกจากบ้านเขาไปโดยที่ทั้งสองไม่ได้สังเกต

ความจริงจะบอกว่าแจ๊กกี้โกหกก็คงไม่ถูกนัก เพราะเขาไม่เคยบอกฉันเลยว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน และที่สำคัญ ทำไมถึงต้องพูดไทยคำอังกฤษสองคำ แต่ฉันกลับมองและคิดวิเคราะห์ไปเองเจนเลยเถิดเท่านั้น เอาละถึงวันนี้ความจริงจะถูกเปิดเผยออกมาแล้วว่าเขาเป็นอย่างไร ฉันก็ยังอยากเรียนกับเขาเหมือนเดิม และวันนี้ฉันก็รู้สึกดีแทนแจ๊กกี้จริงๆที่มีเพื่อนอย่างคุณรันช่วยเก็บบ้าน แถมเขาก็ดูนิสัยดีอีกด้วย ว้าว!!! อยากมาเรียนกับแจ๊กกี้ไวไวจัง

เอ๋? แต่วันเสาร์นี้ คุณนรินทร์บอกว่าฉันต้องไปหาแม่เขานี่นา!!!!




ในที่สุดคืนก่อนวันเสาร์ก็มาถึง ฉันพึ่งขึ้นมาบนห้องหลังจากคุยกับแม่เรื่องสัพเพเหระเสร็จ และบอกแม่ว่าพรุ่งนี้ต้องไปหาแม่คุณนรินทร์

“ตุ๋มเขาโทรบอกแม่แล้วล่ะจ้ะ ความจริงเขาจะให้แม่ไปด้วย แต่พอดีแม่ต้องไปประชุมที่สำนักพิมพ์น่ะ รู้ไหมสิดี ตุ๋มเขาเอ็นดูลูกมากนะจ๊ะ อย่างนี้คงไม่มีปัญหาเรื่องแม่ผัวลูกสะใภ้แน่ๆ”

นี่คือคำพูดสุดท้ายของแม่ในค่ำคืนนั้น ฉันไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะสาระสำคัญในการแต่งงานครั้งนี้ก็คือ การโกหก

ฉันกลับเข้าห้องนอนตัวเอง อาบน้ำแต่งตัว จัดที่นอนให้เรียบร้อย และกำลังเริ่มต้นสวดมนต์ อย่างตั้งใจ

“อะระหังสัมมา….” ฉันสวดอย่างแผ่วเบา

ตรู๊ดดดดดดดดดดดดดด!!!! เสียงโทรศัพท์ข้างเตียงก็ดังขึ้น

“สัมพุทโธภะคะวา…” ฉันยังคงพยายามสวดต่อไป

ตรู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ขอฉันสวดให้จบก่อนเถอะนะ

ตรู๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

โอ๊ย!รับก่อนก็ได้ นี่ฉันจะบาปหรือผิดศีลไหมนะ ในเมื่อโทรศัพท์แผดเสียงร้องอย่างเอาแต่ใจตัวเองอย่างนี้

“พุทธังภะคะวันตัง….เอ๊ย…หะ ฮัลโหล สวัสดีค่ะ” รู้สึกตัวเองเหมือนคนเสียสติ

“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะสิดี” เสียงทุ้มกังวานมาตามสาย ซึ่งฉันจำได้ว่าเป็นเสียงคุณนรินทร์ โถ่เอ๊ย! เขาจะให้ฉันทำบาปไปถึงไหน ทั้งโกหก ทั้งสวดมนต์ไม่จบ

ฉันแสร้งทำเสียงปกติ “เปล่านี่คะ คุณมีธุระอะไรตอนดึกอย่างนี้หรือ”

เขาทำกระแอมทีหนึ่ง “คือ…ผมแค่จะโทรมาย้ำน่ะว่าพรุ่งนี้ 9 โมงเช้า ห้ามสาย”

ให้ตายสิ เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ“อ้อ ไม่ลืมหรอกค่ะ ฮ้าวววววววววววว” ฉันรู้สึกง่วงจนลืมตัว

เขาพูดเสียงขำๆกลับมา “นี่คุณจะนอนแล้วเหรอ ผมยังไม่ง่วงเลย”

แล้วฉันก็เหลือบมองนาฬิกาเหนือเตียง “นี่ห้าทุ่มกว่าแล้วนะคะ คุณนอนดึกจัง” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงอู้อี้จากความง่วง

“ปกติผมนอนเที่ยงคืนน่ะ แล้ววันนี้…” เขาพูดติดๆขัดๆ

“ผมอยากคุยกับคุณ”

ฉันแปลกใจ จนรู้สึกตื่นตัว เขาอยากคุยโทรศัพท์กับฉันก่อนนอนเนี่ยนะ

“จะให้ฉันเล่านิทานกล่อมเหรอคะ” ฉันพูดติดตลก แต่เขากลับถอนหายใจเหมือนรำคาญ

“อะไรของคุณ เข้าเรื่องเลยดีกว่า ที่ผมอยากคุยกับคุณเนี่ยเพราะผมคิดว่า ผมยังไม่รู้จักคุณดีพอเลย แล้วพอเราแต่งงานกัน คงเป็นคู่แต่งงานที่ไม่เข้าใจกันมากที่สุดในโลกจริงไหม อย่างนี้คุณพ่อคุณแม่ผมคงจับผิดได้หลายอย่าง”

อ้อ…กลัวแผนแตกแล้วโดนแม่จับตีก้นเท่านั้นเองสินะ

“แล้วจะให้ฉันทำอย่างไรคะ?” ฉันมืดแปดด้าน

“คือวันนี้คุณแม่ถามผมว่าคุณชอบกินอะไร อันนี้ผมพอตอบได้ว่าคุณน่ะชอบกินทุกอย่าง ถามว่าคุณชอบสีอะไร ผมก็ตอบมั่วๆว่าสีชมพูมั้ง….”

“เปล่าค่ะ ฉันไม่ชอบชมพูเลยยยยย”

“นั่นไงล่ะ แล้วคุณแม่ก็ถามว่าคุณชอบแต่งตัวแบบไหน ผมก็เริ่มอึกอักว่า ชุดสูท ….”

“ชุดสูท!!!! คงใช่หรอกค่ะคุณนรินทร์” ฉันชักหงุดหงิด

“แล้วผมจะรู้ไหมล่ะ ผมเห็นแต่คุณใส่ชุดสูทมาทำงานน่ะสิ แล้วคุณแม่ก็ถามอีกว่า ผมชอบคุณตรงไหน…..”

ฉันนิ่งเงียบ

เขาก็เงียบเช่นกัน เงียบไปนานด้วย

“แล้วคุณตอบไปว่าอะไรคะ” ฉันถามกล้าๆกลัวๆได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นไม่เป็นจังหวะ

เขาอึกอัก “ผมตอบว่าผมไม่รู้….หรืออาจเป็นเพราะคุณตลกดี”

อืม…นั่นสินะ

“ก็ถูกแล้วนี่คะ แล้วที่พูดมายืดยาวเนี่ย คุณต้องการจะบอกว่า เราควรจะรู้จักกันให้มากกว่านี้อย่างนั้นหรือ”

“ใช่ คุณฉลาดมาก ผมควรจะรู้เรื่องของคุณให้หมด ด้วยการที่เราควรโทรคุยกันวันละ 1 ชั่วโมง ทุกวัน”

นี่ฉันกำลังคุยกับผู้ป่วยโรงพยาบาลศรีธัญญารึเปล่า

“คุณนรินทร์คะ คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ ทำไมจะต้องมากะเกณฑ์ว่าต้องคุยโทรศัพท์หากันทุกวันด้วย แล้วความรู้สึกจริงๆของเราสองคนก็คือเจ้านายกับลูกน้อง คงจะมีเรื่องให้อยากคุยกันมากนักหรอกค่ะ อีกอย่างฉันว่าเราคุยกันที่ทำงานก็ได้ ฉันคิดว่าเราไม่ต้อง….”

“ผมก็ไม่คิดว่าคุณจะยอมร่วมมืออย่างดีหรอกนะ แต่เอาเป็นว่าเราคงคุยกันเรื่องสัพเพเหระในที่ทำงานไม่ได้หรอก”

ฉันเริ่มส่งเสียงดังเถียงเขา ฉันคงไม่จำเป็นต้องทำตามที่เขาสั่งทุกเรื่องหรอกนะ “ฉันเข้าใจค่ะ ฉันเข้าใจ เอาอย่างนี้แล้วกันนะคะ ฉันจะเขียนประวัติละเอียดยิบทุกอย่างของฉันให้คุณ อย่างนี้สะดวกกว่าไหมคะ คุณจะได้ไม่ต้องฝืนมาคุยกับฉันนัก แล้วจะบอกให้รู้เลยนะคะว่าฉันชอบสีฟ้า ฉันชอบฮาร์เก้นดาสรสสตรอว์เบอรรี่ชีสเค้ก ชอบดูเคเบิ้ล ชอบใส่ชุดอยู่บ้าน และที่สำคัญ”

ฉันรู้สึกเหนื่อย “ฉันไม่ชอบคุยโทรศัพท์ค่ะ”

แต่เหมือนเขาไม่ได้ใส่ใจฟังเท่าไรนัก เขาเป็นพวกชอบบังคับและวางอำนาจ

“ผมจะโทรมาหาคุณทุกสี่ทุ่มแล้วกัน อีกอย่างผมไม่ได้ฝืนด้วย”

แล้วเขาก็วางสายไปดื้อๆ

ฉันรู้สึกหัวเสีย ทำไมเขาต้องเอาแต่ใจตัวเองและบังคับให้ฉันทำอย่างนั้นอย่างนี้ มันจะมากไปแล้วนะ ถึงแม้ฉันจะรู้สึกดีใจนิดๆก็เถอะ

อะไรนะ? เฮ้ย! แล้วฉันจะต้องดีใจทำไมเล่า


เช้าวันเสาร์ คุณนรินทร์มารับฉันตามสัญญา ส่วนฉันก็ไปรอเขาหน้าบ้าน 9 โมงตรงเป๊ะ

เขาไม่ได้โกรธเรื่องที่ฉันดื้อด้านและเถียงเขาเมื่อคืนเลย ได้แต่บอกว่าให้ฉันเป็นตัวของตัวเองไม่ต้องกลัวคุณแม่ ก่อนจะพาฉันไปส่งที่บ้านจากนั้นก็ปล่อยให้ฉันอยู่กับแม่เขาเพียงลำพังส่วนเขาก็หายตัวไปไหนไม่รู้

ฉันเดินไปหาหล่อนในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยโซฟาหนานุ่ม และประดับด้วยผ้าม่านหรูหรา แล้วก็ได้เห็นว่าคุณแม่กำลังทำความสะอาดเครื่องประดับอยู่ที่โซฟากลางห้อง ฉันยกมือไหว้ แล้วเธอก็กวักมือให้ฉันมานั่งใกล้ๆ

คุณแม่ยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู ถึงแม้กระบังผมจะยกสูงขึ้นกว่าปกติก็ตาม “มาช่วยแม่ขัดหน่อยนะจ๊ะ”

ครึ่งวันเช้าฉันเลยได้แต่ช่วยคุณแม่ทำความสะอาดเครื่องประดับ แล้วก็ฟังเธอบ่นว่า ชิ้นนี้ไม่ค่อยได้ใช้ ชิ้นนี้ ใช้บ่อยเกินไป

“หนูว่าชิ้นนี้สวยไหม นี่เป็นเครื่องประดับชิ้นแรกที่คุณนรินทร์มอบให้แม่ของชีวิตการแต่งงาน”

เธอหยิบสร้อยข้อมือขนาดเล็กกระทัดรัด แต่ส่องแสงแวววาวอย่างน่าประหลาด ขึ้นมาจากหีบเก่าแก่ที่มีเครื่องประดับอื่นๆอยู่เต็ม

ตอนแรกฉันก็งงว่า ทำไมลูกชายให้แม่ในวันแต่งงาน แต่ก็ลืมคิดไปว่าพ่อคุณนรินทร์ ก็ชื่อนรินทร์เหมือนกัน

“น่ารักดีค่ะ” ฉันตอบอย่างชื่นชม พลางมองสร้อยข้อมือที่เธอให้ฉันดู

“หนูชอบชิ้นไหนที่สุดจ๊ะ ในบรรดาเครื่องประดับในกล่องนี้” แม่คุณนรินทร์ถามอย่างใจดี

ฉันก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน เพราะไม่ใช่คนที่ชอบของแบบนี้ แถมมันก็มีประกายวิบวับเหมือนกันหมด เลยเปรียบเทียบไม่ออกว่าชิ้นไหนสวยกว่า แต่พอดีสายตาฉันเหลือบไปเห็นต่างหูเล็กๆคู่หนึ่ง ดูเรียบๆ น่ารักดี เลยรีบตอบคุณแม่คุณนรินทร์ที่จ้องฉันจะเอาคำตอบอย่างตั้งใจ

“หนูว่าต่างหูนี่น่ารักดีค่ะ คุณแม่ซื้อมาจากไหนเหรอคะ” ตอนนี้เธอให้ฉันเรียกว่าแม่แล้ว แถมฉันต้องพยายามทำตัวให้สนใจเรื่องเครื่องประดับเข้าไว้เพื่อรักษามารยาท ทั้งๆที่ ไม่เคยรู้เรื่องแบบนี้เลยจนนิดเดียว

“หือ ชิ้นนี้เหรอจ๊ะ หนูรสนิยมดีมากนะ นี่เป็นสมบัติตกทอดของตระกูลนราธรจ้ะ ถ้าหนูชอบแม่ก็จะให้ ความจริงชิ้นนี้มีสร้อยเข้าชุดกันด้วยนะ” แล้วเธอก็เอื้อมไปหยิบสร้อยคอ ซึ่งฉันเห็นว่าสวยจริงจากหีบเล็กๆอีกใบ

ฉันอ้าปากหวอ “คะ คือ ไม่ต้องหรอกค่ะคุณแม่ หนูไม่ได้ชอบขนาดนั้น ถ้ามันเป็นสมบัติของตระกูล คุณแม่ควรเก็บไว้ดีกว่านะคะ” ฉันแค่ตอบว่าชอบชิ้นไหนตามมารยาทเท่านั้น ขืนฉันเอาอะไรของตระกูลนราธรไปมากกว่านี้ ฉันคงต้องไปปีนต้นงิ้วหลังตายไปแล้วแน่ๆ

แต่หล่อนกับยัดเยียดตุ้มหูคู่นั้นใส่มือฉัน

“ต่อไปหนูก็ต้องมาดูแลของเหล่านี้ต่อจากแม่ อีกอย่างมันเป็นธรรมเนียมของตระกูล ที่แม่สะใภ้ต้องมอบเครื่องประดับให้ลูกสะใภ้นะจ๊ะ แม่ยังจำได้ดี สมัยเป็นคู่หมั้นคุณนรินทร์ แม่สามีท่านใจดีเหลือเกิน ให้แม่เลือกชุดเครื่องเพชรไว้มากมาย เสียดาย ท่านสิ้นเสียก่อนที่จะได้เห็นตานรินทร์แต่งงาน”

คุณแม่ระลึกความหลังได้อย่างน่าประทับใจ แต่ยังไงฉันก็รับไม่ได้จริงๆนะ

“เอาไว้หนูแต่งเข้าก่อนแล้วคุณแม่ค่อยให้ก็ได้ค่ะ ตอนนี้คงไม่…”

ฉันยังพูดไม่เสร็จ คุณแม่ก็รีบปิดหีบเครื่องเพชรทุกใบ แล้วทำท่ากระตือรือร้น “ถึงเวลาไปทำคอร์สเจ้าสาวกันแล้วละ รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวทางร้านที่นัดไว้จะรอนาน” เธอรีบตัดบทเสียอย่างนั้น ก่อนจะลากฉันไปขึ้นรถส่วนตัวแล้วมุ่งหน้าออกจากบ้านไป

เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ คอร์สเจ้าสาว?????? โอ๊ยตายละ ตุ้มหูของตระกูลนั่นก็ยังอยู่ในมือฉัน แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้เลย ฉันต้องอยู่ใต้คำบัญชาของแม่สะใภ้ทุกอย่าง (คำบัญชาอีตานรินทร์ด้วย) รถขับมาถึงสปาหรูแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็วก่อนที่คุณแม่จะผลักฉันเข้าไปในห้องสปา แล้วปล่อยให้พนักงานที่ไหนไม่รู้มาแตะต้องตัวฉัน ทั้งนวด ขัด ถู สารพัด กว่าฉันจะรู้ตัวอีกทีว่าถูกทำอะไรไปบ้าง ฟองหอมๆจนน่าเวียนหัวอยู่ก็ลอยอยู่รอบตัวฉันแล้ว จนในที่สุดฉันก็ถูกลากออกมาจากห้องสี่เหลี่ยม มายืนอยู่ตรงหน้าแม่คุณนรินทร์ที่กำลังให้พนักงานขัดเล็บอยู่

เธอยิ้มแล้วพูดเสียงสูงด้วยความพอใจ “อ้าวหนูเสร็จแล้วเหรอจ๊ะ รอแม่ทำเล็บสักครู่นะ แล้วเราค่อยไปช็อปปิ้งกัน”

ฉันรู้สึกลมจับ นี่ยังไม่หมดอีกเหรอ วันนี้มันวันแม่ผัวลูกสะใภ้แห่งชาติหรืออย่างไรกัน

ขณะนั่งรอคุณแม่ ฉันนั่งคนน้ำส้มที่พนักงานนำมาเสิร์ฟ ถึงแม้จะรู้สึกสบายตัวพิลึกหลังทำคอร์สเจ้าสาว แต่สิ่งที่ฉันเห็นเมื่อมองผ่านแก้วน้ำใสๆคือการโกหก

ภาพบวมๆ เบลอๆ หลังแก้วทรงสวย ก็เหมือนกับสิ่งที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ การเป็นลูกสะใภ้ การแต่งงานกับคุณนรินทร์ การรับเอาตุ้มหูของตระกูล

มันไม่ใช่เรื่องจริงทั้งเพ

นี่ฉันทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย หลอกเอาเงินคนอื่น หลอกเอาความรักความเอ็นดูจากการเป็นลูกสะใภ้ แล้วบั้นปลายชีวิตของฉันจะจบลงอย่างไรล่ะนี่

แล้วคุณแม่ก็เดินนวยนาดมาแต่ไกล “ไปกันได้หรือยังจ๊ะ แหมหนูดูสดใสขึ้นมากเลยนะ แม่รับประกันได้เลยว่า วันงานแต่งงาน หนูต้องเป็นลูกสะใภ้ที่เจิดจ้าที่สุดในบรรดาลูกสะใภ้ของเหล่าทายาทจากเครือโรงแรมต่างๆ”

ความคิดฉันหยุดนิ่ง มีแต่ความรู้สึกผิดจุกคอ แต่แล้วคำพูดของคุณนรินทร์ก็แว่วขึ้นในสมอง

‘คุณช่วยรักษาผลประโยชน์ของบริษัท’

และนั่นยิ่งทำให้ฉันห่อเหี่ยว เพราะฉันคงมีค่ากับเขาได้แค่นั้น

“ไปกันเถอะจ้ะ แม่อยากช็อปปิ้งไม่ไหวแล้ว”

แล้วเธอก็ลากฉันไปอีก เธอพาฉันเข้าไปในห้างสรรพสินค้า พยายามทาบเสื้อตัวนู้น กระโปรงตัวนี้ รองเท้าคู่นั้น จับฉันเข้าๆออกๆ ห้องลองเสื้อ แม้ฉันจะปฏิเสธว่าไม่อยากได้ และแกล้งไม่ชอบเสื้อผ้าตัวที่เธอหยิบให้บ้าง แต่มันก็ไม่สำเร็จเลย ดูแม่คุณนรินทร์มีความสุขมากกับการทรมานฉันให้เป็นลูกสะใภ้หุ่นเชิดของเธอ

“ถ้าหนูใส่ชุดนี้ แม่รับรองเลยว่าตานรินทร์ต้องตกตะลึงแน่ๆ หนูดูเริดมากเลยจ้ะ” แล้วเธอก็ส่งถุงเสื้อผ้ากองมหึมาให้ฉัน ก่อนจะส่งบัตรเครดิตให้พนักงานขาย

“ไหนดูซิว่าของครบไหม กระโปรงสาม เสื้อสี่ ร้องเท้าสอง อ้อ เสื้อสีเขียวตัวนั้นล่ะจ๊ะ อ้ออยู่นี่เอง แล้วก็นี่ แล้วก็นั่น”

ฉันมองเสื้อผ้าเหล่านี้ด้วยความรู้สึกผิด อยากจะร้องไห้หนักสักครั้งจริงๆ

“คุณแม่คะ ขอบคุณมากเลยนะคะ แต่ไม่เห็นต้องสิ้นเปลืองกับหนูขนาดนี้เลย”

เธอยิ้มให้ฉัน แล้วกุมมือฉันไว้

“มันเป็นธรรมเนียมของตระกูลจ้ะสิดี สมัยแม่เป็นคู่มั้นก็…..” แล้วเธอก็เริ่มสาธยายอีก ขณะเราสองคนเดินตรงไปที่ลิฟท์เพื่อจะกลับบ้าน

“แต่อีกอย่างที่แม่เต็มใจทำให้ก็เพราะ หนูเป็นเด็กดี และจะต้องเป็นลูกสะใภ้ที่ดีในอนาคตแน่ๆ ตอนแรกแม่ก็เชื่อว่าตานรินทร์พูดถูก แต่แค่หวงลูกชายเท่านั้นก็เลยแกล้งมึนตึง หนูคงไม่ถือสาแม่ในตอนนั้นหรอกนะ อ้อ อีกอย่าง มันเหมือนสวรรค์บันดาลจริงๆที่หนูเป็นลูกสาวของเพื่อนรัก”

“คุณนรินทร์เขาพูดไว้ว่าอย่างไรเหรอคะ” ฉันถามอย่างกระตือรือร้นขณะกดเรียกลิฟท์ ทั้งๆที่ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาต้องกุเรื่องพูดถึงฉันให้ดูดี

“วันแรกที่เขาพาหนูมาที่บ้าน เขาบอกว่าอารมณ์ขันและความจริงใจของหนูจะทำให้เขามีความสุขจ้ะ”

อืม….ฉันแปลกใจ และรู้สึกได้ว่านั่นไม่ใช่คำพูดที่ปรุงแต่งถึงฉัน

ความตลก…นั่นเป็นสิ่งที่เขามักบอกกับฉันเสมอ

ถ้ามันจะทำให้เขามีความสุขจริงๆล่ะก็…ถ้านั่นเป็นสิ่งที่เขาพูดมาจากใจจริงล่ะก็…

“คุณนรินทร์คงรักหนูที่ความตลกอย่างเดียวมั้งคะ” ฉันเผลอพูดเหมือนน้อยใจออกไป ก็มันเรื่องจริงนี่เนอะ เขาจะมารักฉันด้วยเหตุผลอะไรล่ะ มีแค่ความตลกขบขันของฉันที่พอเป็นจุดขายเอาไปโกหกได้เท่านั้น

ลิฟท์เปิดออก คนในลิฟท์เต็มไปหมด ฉันรีบแทรกตัวเข้าไปก่อนพร้อมของพะรุงพะรังเพื่อจะได้กดประตูค้างไว้ให้แม่สามี

คุณแม่พูดด้วยน้ำเสียสุดแสนประทับใจ “เมื่อคืนเขาบอกแม่ว่าที่เขารักหนู เพราะว่าหนูรักเขามาก”

“อะ อะไรนะคะ!!!!” แล้วฉันก็กระแทกปุ่มเปิดประตูลิฟท์อย่างรุนแรง

“โอ๊ย!!!!!!” คุณแม่ร้องเสียงดัง พร้อมเบิกตาโพลงตกใจสุดขีด ไม่เหลือมาดความเป็นผู้ดีให้เห็น

ว้าย!!!! ฉันทำอะไรลงไปเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยยย ฉันกดปุ่มผิดแน่ๆ ฉันคงไปกดปุ่มปิดประตูเข้า ประตูมันเลยเลื่อนมาปิดพอดีขณะที่คุณแม่เดินเข้ามา มันหนีบศีรษะคุณแม่เข้า ก่อนจะเด้งเปิดออกอีกครั้ง พร้อมความตกใจของคนทั้งลิฟท์

“คุณแม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ คุณแม่คะ!!!” ฉันร้องเสียงหลง รู้สึกตกใจมากจริงๆ

“มะ ไม่เป็นอะไรจ้ะ นี่ทรงผมแม่เสียหรือเปล่า” แล้วเธอก็คลำกระบังผมอย่างลนลาน

ฉันยังคงห่วงว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บ “เจ็บตรงไหนไหมคะ หนูขอโทษจริงๆค่ะ”

“เอ่อ นิดหน่อยจ้ะ อย่าเสียงดังสิ นี่ทรงผมแม่ยังดีอยู่หรือเปล่า” ประโยคหลังเธอหน้าซีดกระซิบบอกฉัน

ฉันรีบดูอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะคนในลิฟท์เริ่มหงุดหงิดที่คุณแม่ไม่เข้ามาเสียที “ยังดูดีอยู่ค่ะ หนูขอโทษจริงๆนะคะ”

“มะ ไม่เป็นไรจ้ะ” แล้วเธอก็ยิ้มให้ฉันหน้าเจื่อนๆ

ฉันทำอะไรบ้าๆบอๆอีกแล้ว แต่คราวนี้เป็นเพราะอีตานรินทร์คนเดียวเลย!!!!

นายมัน…….ขี้โกหกที่สุดในโลก!!!!!!!

ใครเขารักนายกันหา????




“ฮ่าๆๆๆๆ คุณหนีบประตูลิฟท์ใส่คุณแม่เหรอ”

คุณนรินทร์หัวเราะงอหาย ขณะขับรถพาฉันส่งกลับบ้าน

ฉันรู้สึกโมโหเหลือเกินที่เขาคิดว่าฉันเป็นพวกป้ำๆเป๋อๆ “นั่นมันก็เพราะคุณบอกว่ารักฉัน เพราะฉันรักคุณมากต่างหาก คุณนี่กล้าพูดมากนะคะ ไหนบอกว่า ตอบไปว่าเพราะฉันตลกยังไงล่ะ”

ได้ผล คุณนรินทร์หยุดหัวเราะทันที เขาเงียบทำทีเคร่งเครียดกับการขับรถ

ฉันรู้สึกมีชัย เลยได้ทีหาเรื่องเขาต่อไป “ว่าไงล่ะคะคุณนรินทร์ คุณนี่นะ!!!!”

“นี่คุณแม่บอกเหรอ ให้ตายสิ!” เขาพึมพำอย่างหัวเสีย

ก่อนจะกลับมาเสียงดังอีกครั้ง “ยังไงผมก็ต้องโกหกคุณแม่อยู่แล้ว มันเสียหายตรงไหน”

ฉันยังคงฉุนขาด เขานี่ดื้อด้านไม่เคยยอมรับความผิดเลย “คุณนี่มั่นใจจังนะคะ กล้าพูดออกมาได้ ไม่กระดากบ้างเลยหรือไง”

คุณนรินทร์หัวเราะเยาะเย้ย

“คุณก็รู้อยู่ว่าผมโกหกแล้วจะโมโหทำไม มันจี้ใจดำคุณเหรอ”

นั่นยิ่งส่งผลให้ความฉุนเฉียวของฉันก่อขึ้นเท่าตัว ฉันหันไปจ้องเขาด้วยเพลิงแค้นลุกไหม้ “ก็ใช่น่ะสิ เอ๊ย ไม่ใช่ ฉันหมายความว่า หมายความว่า….”

โอ๊ย! เขานี่ฉลาดจริงๆ ฉันตายแน่ๆ

“ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมไม่บอกฉันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อวานล่ะ”

ฉันรีบแก้บทที่เกือบจนมุม เกือบไปแล้วไหมล่ะทรัพย์สิดี

คุณนรินทร์กลับมาเงียบอีกครั้ง คงจะหาเรื่องแก้ตัวไม่ได้ล่ะสิ

“เงียบทำไมล่ะคะ อายฉันหรือยังไงถ้าจะบอกความจริง ฮึๆ มันจี้ใจดำคุณล่ะสิ”
ฉันย้อนเขาบ้าง ทำเอาคุณนรินทร์เหยีบเบรกดังเอี๊ยดเมื่อถึงไฟแดง

แล้วเขาก็หันมายักคิ้วแบบชั่วร้ายให้ก่อนจะโน้มตัวเขามาใกล้ “หรือจะทำให้มันเป็นจริงดีล่ะ”

เขาทำเสียงเข้มขึ้น
“ทำให้คุณรักผมจริงๆเลยดีไหม” ตอนนี้เขาเอนตัวใกล้ฉันมากจนได้กลิ่นอาฟเตอร์เชฟ

ฉันตกใจ รู้สึกทำอะไรไม่ถูก “อย่านะอีตาบ้า!!!!!!” ฉันกรี๊ดดังสุดๆ แล้วผลักไหล่กว้างๆของเขาโดยแรง แต่มันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากเสียงวืดๆของกระจกประตูข้างฉัน

แล้วคุณนรินทร์ก็หัวเราะอย่างชั่วร้าย “หึหึ กระจกด้านคุณมันปิดไม่สนิทน่ะ คิดมากไปหรือเปล่า”

โถ่เอ๊ย!!!! อีตาบ้า น่าเกลียดที่สุด เขาแค่แกล้งฉันเพื่อจะเอาชนะเท่านั้น

ตาบ้า!!!!!!

แล้วฉันก็โวยวายใส่เขามาตลอดทาง แต่คุณนรินทร์กลับใจเย็น และเห็นว่าอารมณ์โมโหของฉันเป็นเรื่องตลก

จนในที่สุดเขาก็มาจอดสนิทที่หน้าบ้านฉัน ฉันยังคงไม่พอใจคุณนรินทร์เช่นเดิม เลยลุกออกจากรถโดยไม่ได้ขอบคุณและล่ำลาเลยสักคำ

แต่แล้วคุณนรินทร์กลับรั้งข้อมือฉันไว้ “เดี๋ยว” เขาพูดเสียงนุ่มๆ

“ผมขอโทษแล้วกัน ถ้ามันทำให้คุณไม่พอใจนักล่ะก็”

ฉันรู้สึกแปลกใจ แต่ก็หันไปมองพร้อมขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ “ค่ะ ขอบคุณ” ก็ยังดี ที่เขารู้จักขอโทษใครเสียบ้าง

“ปล่อยแขนฉันเถอะค่ะ ทำน้ำเน่าไปได้”

คุณนรินทร์มองมือตัวเองอย่างตื่นๆ ก่อนจะปล่อยอย่างแผ่วเบา แล้วมองหน้าฉันตรงๆ

“แต่คุณก็ยังโกรธผมอยู่ดี เพราะคุณไม่ยิ้ม” เขาทำเสียงตัดพ้อ

ฉันรู้สึกเหนื่อยที่จะต่อปากต่อคำ เลยแกล้งยิ้มแหยๆใส่

“พอใจยังคะ ฉันไปละ ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”

แล้วฉันก็เปิดประตูรถออกมาเดินสู่ประตู้รั้วบ้าน ขณะที่คุณนรินทร์ยังคงส่งเสียงตามหลัง

“ผมจะโทรหาคุณตอนสี่ทุ่มนะ”




ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2555, 00:46:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2555, 00:46:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1801





<< รู้ทัน   ชุดแต่งงาน >>
ling 30 พ.ค. 2555, 12:19:45 น.
วันนี้ได้ขำอีกแล้ว


agentaja 30 พ.ค. 2555, 12:39:20 น.
วันแม่ผัวลูกสะใภ้แห่งชาติเนี่ยนะ 555
แต่ว่ามีอันนึงที่สะกิดๆ แปลกๆ น่ะค่ะ ที่คุณแม่สามีบอกว่า แม่อยากช้อปปิ้งไม่ไหวแล้ว มันน่าจะ แม่อยากจะไปช้อปปิ้งจนทนไม่ไหวแล้วมั้งคะ
แต่โดยรวม ชอบมากกกกค่ะ


คิมหันตุ์ 30 พ.ค. 2555, 13:28:42 น.
มาดเยอะนะคะคุณนรินทร์เนี่ย


goldensun 30 พ.ค. 2555, 20:13:12 น.
แม่สะใภ้ คำนี้ไม่น่าใช่นะคะ แม่ผัวหรือแม่สามียังพอว่า
คู่นี้ ใครจะบอกรักก่อน น่าลุ้น
รันจะเกี่ยวกับบ้านนรินทร์รึเปล่า


ลายเส้น 30 พ.ค. 2555, 21:21:22 น.
โอเค จพแก้คำผิดค่ะ ขอบคุณทุกคนค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account