รถด่วนขบวนสุดรัก
ชีวิตนี้เคยต้องรออะไรนานๆ มั้ยคะ โดยเฉพาะรอดูว่าเมื่อไหร่พ่อเนื้อคู่ตุนาหงัน โซลเม็ทของฉันจะโผล่มาเซอร์ไพรส์ในชีวิตจริงเสียที เพราะนั่งรอ นอนรอ ตบยุงรอมาก็หลายปีดีดักแล้ว รอไปก็กังวลไป สงสัยว่าชาตินี้ฉันคงจะได้ขึ้นคานแหงๆ
การรอคอยบางทีทรมานกว่าผลลัพธ์ แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีเหมือนรถด่วนขบวนสุดรักขบวนนี้ บางที...การ (อดทน) รอก็อาจจะให้ดอกผลที่น่าชื่นใจกว่าก็ได้
อย่าไปกังวลเลยค่ะว่าเราจะไปไม่ทันรถด่วนขบวนสุดท้ายหรือเปล่า ขอให้พากันสมัครใจไปกับ รถด่วนขบวนสุดรัก กันดีกว่า


Dear someone,

If love (still) kept you standing at the station when the last train's gone by…, then I thought maybe walking was better ‘coz we were the master of our choices.

So, do you wanna walk…?


Tags: เนื้อคู่ รถด่วนขบวนสุดท้าย ณนวล มัชฌิชา ภาณุวัฒน์

ตอน: ♥ บทที่ 5

ชานนท์ขับรถวนมาจอดใต้อาคารสำนักงานแห่งนั้นด้วยความคุ้นเคย ไม่ได้เป็นเพราะว่าออฟฟิศของเขาตั้งอยู่แถวนี้หรอก หากแต่เป็นเพราะเจ้าภาณุวัฒน์ เพื่อนสนิทของเขานั่งทำงานอยู่ที่นี่ แล้วเขาก็ไปมาหาสู่เจ้าเพื่อนรักรายนี้เป็นประจำต่างหาก

วันนี้ชานนท์มีเรื่องสำคัญมากๆ ที่จะต้องมาทำความเข้าใจและตกลงกับภาณุวัฒน์ให้รู้เรื่องเสียก่อน เป็นเรื่องที่สำคัญมากขนาดว่าพูดกันทางโทรศัพท์ไม่ได้เลยทีเดียว

ด้วยความร้อนใจ จอดรถเสร็จชายหนุ่มก็รีบตรงดิ่งเพื่อขึ้นไปยังชั้นบนสุด โดยไม่ได้สนใจเอ้อระเหยกับกลิ่นกาแฟหอมกรุ่น หรือกลุ่มสาวออฟฟิศท่าทางสวยเก๋ที่เดินสวนกันไปมาอยู่บริเวณชั้นล่างของอาคารสำนักงานแห่งนั้นอย่างที่เขามักจะทำอยู่บ่อยๆ ดรุณี เลขาฯ หน้าห้องของภาณุวัฒน์ส่งรอยยิ้มทักทายชานนท์อย่างคนคุ้นเคยกันดี

“สวัสดีค่ะ คุณชานนท์ วันนี้แวะมาแต่หัววันเลยนะคะ” เจ้าหล่อนเอ่ยทักน้ำเสียงแจ่มใสไม่น้อยไปกว่ารอยยิ้ม แม้อายุอานามจะเลยเลขสามมานานแล้ว แต่ดรุณีก็ยังคงรักษาความสดชื่น กระฉับกระเฉง ไว้กับตัวอย่างคนที่ไม่ได้ปล่อยตัวเองให้แก่ลงตามวัยเลยสักนิด

“สวัสดีครับ คุณณี ตอนนี้เจ้านายใหญ่ยุ่งอยู่หรือเปล่าฮะ” ชายหนุ่มแวะมาหยุดถามที่โต๊ะเลขาฯ หน้าห้องเป็นเชิงขออนุญาตอยู่กลายๆ เพราะถึงจะเป็นเพื่อนสนิทกับนายใหญ่มานานแค่ไหน แต่ความเกรงใจและมารยาทก็ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในสถานที่ที่ไม่ได้มีไว้สำหรับพักผ่อนส่วนตัวเช่นนี้

“ตอนนี้คงยังไม่ยุ่งหรอกค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะบอกเจ้านายให้นะคะว่าคุณชานนท์มาหา” เจ้าตัวส่งยิ้มให้ชายหนุ่มอีกครั้งก่อนจะยกหูโทรศัพท์เพื่อกดเบอร์ภายในไปรายงานให้ภาณุวัฒน์ทราบ หลังจากวางสายไปแล้ว หล่อนก็บอกให้ชายหนุ่มตรงเข้าไปพบนายใหญ่หรือเจ้านายของหล่อนได้เลย

“ว่าไง ไอ้เสือ วันนี้อุตส่าห์แวะมาหากันแต่เช้า มีธุระร้อนอะไรหรือเปล่าวะ”

ภาณุวัฒน์เป็นฝ่ายร้องทักทันทีที่ชานนท์เปิดประตูห้องทำงานส่วนตัวของเขาเข้ามา ส่วนคนถูกทักทำเพียงแค่ส่งยิ้มซ่อนลับลมคมในกลับไปก่อนที่จะเลือกนั่งลงในท่วงท่าดูสบายๆ ตรงโซฟาหนังสีดำที่ตั้งอยู่ด้านหนึ่งของมุมห้อง

“จะว่าธุระร้อนหรือเปล่า มันก็ไม่เชิงหรอกว่ะ แต่ยอมรับว่าที่มาหาวันนี้น่ะมีธุระจะคุยด้วย” ถึงแม้ตอนแรกชานนท์จะมีท่าทีร้อนใจจนต้องรีบบึ่งรถมาหาภาณุวัฒน์ตั้งแต่เช้า แต่ตอนนี้เขากลับทำใจเย็นเหมือนเป็นน้ำแข็งขั้วโลกไปแล้วเสียอย่างนั้น

“แล้วมันยังไงกันแน่วะ ไอ้นนท์ ตกลงนายจะมีธุระกับฉันหรือว่าไม่มีกันแน่ เลือกเอาซักอย่างเถอะ” ชายหนุ่มเอ่ยตัดบทเหมือนไม่สบอารมณ์กับการอ้อมค้อมหรือโยกโย้ใดๆ ทั้งนั้น

“เออ ก็ต้องมีสิวะ ไม่งั้นฉันจะถ่อมาหานายถึงนี่แต่เช้าอย่างนี้เหรอ” ชานนท์เป็นฝ่ายย้อนกลับไปบ้าง ก่อนจะเริ่มเข้าเรื่องแบบอ้อมๆ คล้ายๆ ว่าต้องชักแม่น้ำมาสักห้าสิบสายก่อนจะไหลลงอ่าวไทยได้ ประมาณนั้น

“นายใหญ่ ตกลงว่านายรับปากจะไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้นายเอกมันแน่แล้วใช่มั้ย” ชานนท์เริ่มต้นด้วยการทวนข้อมูลเดิมซ้ำ แม้ตัวเขาเองจะรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วก็ตามที

“ก็ใช่ ฉันตกลงจะไปเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้นายเอก นายเองก็รู้อยู่แล้วนี่ จะมาถามกันอีกทำไม” ตอนท้ายชายหนุ่มหน้าเข้มหันมามองเพื่อนอย่างสงสัยแกมคาดคั้น ค้นคว้าหาคำตอบ

“เออ ก็ถามไปอย่างนั้นแหละ” ชานนท์แกล้งบอกปัดไปส่งๆ เหมือนไม่ได้สนใจอะไรจริงจังนัก ก่อนจะเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นต่อ

“แล้วเรื่องที่นายเคยบอกกับฉันว่าอยากจะหาคู่หมั้นกำมะลอมาควงให้แม่นายสบายใจซักคนน่ะ นายพูดจริงหรือเปล่าวะ หรือว่าแค่นึกครึ้มขึ้นมาชั่วครั้งชั่วคราวเฉยๆ”

“ถามทำไม อย่าบอกนะว่านายช่วยหาว่าที่คู่หมั้นจอมปลอมมาให้ฉันได้แล้วน่ะ” คราวนี้ ภาณุวัฒน์ถามกลับมากลั้วหัวเราะ ทั้งขำทั้งไม่เชื่อถือ

“ก็ถ้าฉันบอกว่าหาให้ได้ นายจะยังสนใจอยู่หรือเปล่าล่ะ”

ถึงแม้ชานนท์จะย้อนถามกลับมาด้วยน้ำเสียงกึ่งจริงกึ่งเล่น แต่ก็มีผลทำให้เจ้าตัวคนถูกย้อนหันกลับมามองเพื่อนด้วยความตั้งอกตั้งใจค้นหาความจริงมากยิ่งขึ้น ภาณุวัฒน์นิ่งไปเกือบนาทีก่อนจะตัดสินใจบอก

“ก็ถ้าคนที่นายหามาได้ เขาสามารถยอมรับเงื่อนไขของฉันได้โดยไม่เรื่องมาก ไม่มีข้อตกลงจุกจิก ตุกติกอะไรให้วุ่นวาย ฉันคิดว่าตัวเองก็อาจจะยังสนใจอยู่หรอกนะ”

“ดูเหมือนนายจะไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไหร่เลยนะเพื่อน” ชานนท์หรี่ตามองภาณุวัฒน์อย่างค้นคว้าและท้าทายไปด้วยในตัว

“ทั้งคิดว่า อาจจะ ยัง แต่ละคำฟ้องหมดเลยว่ะว่านายไม่มั่นใจเลยนะ นายใหญ่” ชายหนุ่มหน้าสวยตั้งข้อสังเกตกับเพื่อนพร้อมทั้งส่ายหัวไปมาเหมือนกับว่าตัวเขาผิดหวังในความไม่หนักแน่นของภาณุวัฒน์นัก

“มันก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เพียงแต่บางทีฉันก็ยังนึกสงสัยอยู่ว่าผู้หญิงดีๆ ที่ไหน จะสนใจมารับข้อเสนอบ้าๆ ของฉันเข้าได้เท่านั้นแหละ”

“ถ้าเกิดมีใครเสนอตัวขึ้นมาจริงๆ บอกตรงๆ ว่าบางทีฉันก็อดจะระแวงไว้ก่อนไม่ได้เหมือนกันว่ะ” ชายหนุ่มยอมรับกับเพื่อนรักไปตรงๆ ว่าข้อเสนอของเขามันบ้า แล้วเขาก็ไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงสติดีที่ไหนจะสนใจมารับข้อเสนอนั่นเข้าไปได้

“เอาอย่างนี้ นายบอกฉันมาคำเดียวเลยดีกว่าว่าสนใจหรือไม่สนใจ”

“เอาแบบสั้นๆ ง่ายๆ คำเดียวจบไปเลย”

“ไอ้ฉันเองก็ไม่อยากจะเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องพิเรนๆ แบบนี้เหมือนกันแหละ”

ชานนท์ยักไหล่เหมือนเขาไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากไปกว่าที่ควรจะใส่ใจเลยสักนิด ทั้งที่ความจริงแล้วเขาตั้งอกตั้งใจกับมันจะตายไป ถึงขั้นว่าอุตส่าห์ไปตกลงวางแผนนัดแนะกับปาจารีย์ ภรรยาของนายอาณัติ เพื่อนสนิทต่างก๊วนของเขามาเสียดิบดี ทั้งที่เขาไม่เคยคิดจะทำให้คำพูดเปรยๆ ของภาณุวัฒน์ที่ร้านอาหารในวันนั้นเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาถึงขนาดนี้มาก่อนเลยเหมือนกัน

เรื่องของเรื่องมันเริ่มจากการที่เจ้าเพื่อนรักของเขาเพิ่งถูกสาวเจ้าเชือดนิ่มๆ มาหมาดๆ จนเจ้าตัวถึงกับนึกเข็ดขยาดกับผู้หญิงไปเลยทีเดียว แต่ทีนี้ ไม่รู้นายใหญ่มันไปนึกอีท่าไหนของมัน อยู่ๆ ก็มาออกปากเปรยกับเขาว่าอยากจะหาคู่หมั้นกำมะลอไว้เป็นหนังหน้าไฟให้สักคน

ทีแรกชานนท์เองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจในเจตนาของเพื่อนนัก ไม่รู้ว่าเป็นด้วยเหตุว่าอดีตแฟนสาวเพิ่งประกาศหมั้นไปสดๆ ร้อนๆ ด้วยหรือเปล่า ภาณุวัฒน์ถึงได้เกิดอยากจะมีคู่หมั้นกับเขาขึ้นมาบ้าง ตอนนั้นเขาก็เลยแค่ฟังผ่านๆ ไป และไม่คิดจะเก็บมาต่อความยาวสาวความยืดอะไรอีก

จนเมื่อประมาณสัปดาห์ก่อน เขาบังเอิญได้เจอกับอาณัติที่งานเลี้ยงสังสรรค์งานหนึ่ง ประจวบเหมาะเหลือเกินที่อาณัติเล่าให้เขาฟังว่ากำลังปวดหัวกับความชอบเป็นเจ้ากรมจัดการหาคู่ของภรรยาสาวสุดที่รักที่พยายามอย่างยิ่งที่จะแนะนำผู้ชายดีๆ สักคน สองคน หรือสามสี่คนให้เพื่อนสนิทคนหนึ่งของเธอได้รู้จัก เพื่อที่เพื่อนสาวคนนั้นจะได้แผลงฤทธิ์ให้ผู้ชายหนีหายไปในที่สุด

ถึงแม้อาณัติจะเล่าให้เขาฟังกึ่งบ่นปนระอา แต่น้ำเสียงก็ยังแฝงความเอ็นดูคนทั้งคู่ไว้ด้วยไม่น้อย ทั้งกับภรรยาสุดที่รักและเพื่อนสาวช่างเลือกของเธอด้วยเช่นกัน พอชานนท์ได้ฟังประวัติวีรกรรมของเจ้าหล่อนมากเข้าก็เกิดนึกสนุก อยากจะลองเล่นเกมจับคู่ระหว่างเจ้าเพื่อนรักที่เริ่มทำตัวเหม็นเบื่อผู้หญิงกับแม่สาวช่างเลือกที่ปาจารีย์กลัวเหลือเกินว่าจะต้องอยู่ตัวคนเดียวไปจนชั่วชีวิตคนนี้ดูบ้าง

ก็มันน่าสนุกน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่... ต่างคนต่างไม่อยากมีคู่ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าจับให้มาเจอกันแล้วเขาก็อยากจะลองดูสิว่าทั้งสองคนจะมีปฏิกิริยาต่อกันยังไงบ้าง จะรักหรือว่าจะเกลียดกันไปเลย
ชานนท์นึกอยากจะลองให้รู้ดูเหมือนกัน

พอตั้งใจดังนั้นแล้ว เขาก็ลองพูดกับอาณัติไปตามตรงว่าตอนนี้เขาเองก็มีเพื่อนที่กำลังมองหาผู้หญิงดีๆ มาดามหัวใจให้สักคนอยู่เหมือนกัน ทีแรกอาณัติเองก็ไม่ค่อยอยากจะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยสักเท่าไหร่ เรียกว่าไม่เต็มใจสักนิดเลยดีกว่า เพราะอาณัติหวั่นใจเหลือเกินว่าเรื่องละเอียดอ่อนพรรค์นี้จะย้อนกลับมาทำให้เขาต้องเสียคนในภายหลัง

ชานนท์ต้องลงทุนหาเหตุผลหว่านล้อมชักจูงอยู่ตั้งนานว่าเจ้าภาณุวัฒน์เพื่อนเขาคิดจริงจังถึงขั้นรักจริงหวังแต่ง ถ้าจะคบกับใคร ไม่มีทางทำเล่นๆ เป็นอันขาด อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีการตกลงหมั้นหมายกันให้เป็นเรื่องเป็นราว ไม่ต้องกลัวว่าจะไปทำทิ้งขว้างให้ผู้หญิงเขาเสียหาย นิสัยใจคอก็เป็นคนดีอยู่พอใช้ ไม่ได้เลวเกวอะไรนักหนา

ถ้าหากปาจารีย์คิดจะหาผู้ชายดีๆ ไปแนะนำให้เพื่อนสาวของหล่อนรู้จักจริงๆ นายภาณุวัฒน์เพื่อนเขาก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีพอใช้ ชายหนุ่มถึงขั้นออกปากรับรองแข็งขันด้วยซ้ำไปว่าเพื่อนของเขาคนนี้ไม่มีทางทำให้อาณัติต้องมาเสียคนในภายหลังได้แน่ๆ

“นายลองคิดดูดีๆ นะนายณัติ” ชานนท์เตรียมหว่านล้อมตบท้ายอีกครั้ง อย่างคนที่กัดอะไรแล้วไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ

“เราก็แค่ช่วยแนะนำให้นายใหญ่ได้รู้จักกับคุณมัช เหมือนอย่างที่ผ่านๆ มาเท่านั้นเอง ถ้าหากคุณมัช เขาไม่ชอบ ไม่สนใจนายใหญ่จริงๆ เดี๋ยวเธอก็หาวิธีเสือกไสนายใหญ่ให้มันออกไปไกลๆ จากชีวิตเขาได้เอง
แหละ”

“นายลองเอาเก็บไปคิดดูก่อนก็ได้นะ ถ้าเกิดเห็นว่าข้อเสนอของฉันน่าสนใจ จะให้คุณปอโทรมาคุยกับฉันเมื่อไหร่ก็ได้”

“อยู่ว่างๆ ลองมาเป็นพ่อสื่อดูสักทีก็น่าสนุกดีอยู่เหมือนกันนะนายณัติ นายว่ามั้ย”

ชานนท์ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นโดยไม่พยายามยัดเยียดอะไรต่อไปอีก เขาเองก็แค่นึกสนุกขึ้นมาชั่วขณะเพียงเท่านั้น ถ้าอาณัติจะไม่เห็นเป็นเรื่องน่าสนุกไปด้วย เขาก็ไม่คิดจะไปบังคับฝืนใจใครอยู่แล้ว

แต่การณ์กลับปรากฏว่าข้อเสนอของเขาได้รับการตอบรับกลับมาดีเกินคาด เมื่อคุณปอ ภรรยาของนายอาณัติโทรมานัดเขาทานอาหารกลางวันด้วยกันในอีกสามวันให้หลัง รวดเร็วทันใจจนชายหนุ่มนึกทึ่งในความมุ่งมั่นขยันหาคู่ให้เพื่อนสาวของหล่อนขึ้นมาเล็กน้อย

ถึงแม้ตอนที่พูดคุยกับอาณัติ ชายหนุ่มจะปิดบังความจริงเรื่องที่ภาณุวัฒน์ต้องการเพียงคู่หมั้นกำมะลอเอาไว้ แต่บ่ายวันนั้นเขาตัดสินใจเล่าที่มาที่ไปทุกอย่างให้ปาจารีย์ฟังทั้งหมด เพราะเอาเข้าจริงชานนท์เองก็แอบนึกกลัวอยู่เหมือนกันว่าถ้าหากเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เขาเองก็อาจจะมาเสียหมาเอาทีหลังได้เหมือนกัน สู้ตกลงทำข้อเสนอและคำสนองให้ถูกต้องตรงกันไปตั้งแต่แรกเสียเลยยังดีกว่า

พอชายหนุ่มเล่าจบ แทนที่ปาจารีย์จะนึกกังวลว่าเพื่อนของเขาไม่ได้อยากจะรักใครจริงจังเสียหน่อย ถึงจับมาแนะนำให้เพื่อนหล่อนรู้จักไปก็คงจะเสียเวลาเปล่า แต่เจ้าหล่อนกลับเห็นดีเห็นงามตามข้อเสนอของเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น บางที อาจเป็นเพราะปาจารีย์กับเขามีเซนส์ที่ตรงกันก็ได้

และนี่ก็เป็นที่มาว่าทำไมเขาถึงจะต้องกลับมาคาดคั้นกับเจ้าภาณุวัฒน์ถึงเรื่องคู่หมั้นหลอกๆ ที่มันเคยคิดอยากจะมีอีกครั้งอย่างที่เห็นกันอยู่ตอนนี้นี่แหละ

“เอ้า ตกลงว่ายังไงฮึ นายใหญ่” เมื่อเห็นเพื่อนเงียบไปนาน ชานนท์ก็อดจะเร่งเร้าขึ้นมาอีกไม่ได้

“ตัดสินใจได้หรือยังว่าอยากจะมีคู่หมั้นตอนนี้ หรือไม่อยากมีแล้วกันแน่”

“ฉันยังไม่แน่ใจว่ะ บางทีอาจจะไม่จำเป็นก็ได้” ภาณุวัฒน์ตัดสินใจบอกออกมาในที่สุด ทำเอาชานนท์ถึงกับลอบถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ผิดแผนไปเลยทีเดียว

“ก็โอเค ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจนายก็แล้วกัน” ชานนท์ตัดใจตอบกลับไปเหมือนกัน สงสัยงานนี้เขาคงจะเริ่มต้นเสียคนด้วยการผิดคำพูดกับปาจารีย์เป็นอย่างแรกก่อนเลยกระมัง

เฮ้อ...คิดแล้วก็เซ็งจริงๆ ชานนท์นึกเสียดายอยู่ในใจ เกิดอาการเซ็งจัดขึ้นมาติดหมัดขนาดว่าต้องรีบพาตัวเองออกมาจากออฟฟิศของภาณุวัฒน์ไปเลยทีเดียว ตามประสาคนที่ไม่ค่อยจะมีใครกล้าขัดใจบ่อยๆ นั่นเอง

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวขึ้นไปบนเรือนไม้หลังนั้น เจ้าของแผ่นหลังอรชรในชุดเสื้อยืดสีเหลืองสดแนบพอดีตัวก็หันมาเห็นเขาเข้าพอดี เจ้าตัวถึงกับส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดทักทายมาจนภาณุวัฒน์ถึงกับอึ้งไปเหมือนกันกับลมพายุสลาตันแห่งความคิดถึงของแม่สาวน้อยผมหยิก ตากลมโต ผิวขาวจัด ที่แทบจะวิ่งถลาเข้ามาสวมกวดเขาเข้าแล้ว แต่เจ้าตัวคงนึกขึ้นมาได้พอดีว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วจึงได้ติดดิสเบรกยั้งมือ ยั้งเท้าเอาไว้ได้เสียก่อน

“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่กลับมาแล้ว น้องรินคิดถึงจังเลยค่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งหลายปี พี่ใหญ่ยังหล่อเข้มเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนเลยนะคะ รินไปเรียนต่อตั้งนาน พี่ใหญ่คิดถึงน้องรินบ้างหรือเปล่าเอ่ย”
แม่สาวตากลมพรั่งพรูคำพูดมากมายใส่เขาจนแทบจะไม่มีช่องไฟเว้นวรรค จนชายหนุ่มนึกเป็นห่วงว่าเจ้าหล่อนอาจจะหายใจไม่ทันเอาก็ได้

“ค่อยๆ พูดก็ได้นะฮะ น้องริน เดี๋ยวเกิดหายใจหายคอไม่ทันขึ้นมา จะลำบากพี่เสียเปล่าๆ ” ภาณุวัฒน์บอกพร้อมรอยแย้มหัวเป็นเชิงล้อ ทำเอาน้องริน หรือดาริกาหยุดเสียงพูดจ้อยๆ มาทิ้งค้อนให้วงใหญ่

“แหม... ก็น้องรินดีใจที่ได้เจอพี่ใหญ่อีกนี่นา คนเขาอุตส่าห์คิดถึงแล้วยังจะมาแซวกันอีก รู้งี้ไม่คิดถึงเสียยังดีกว่า”

ตัดพ้อจบแล้วเจ้าตัวก็ทำเป็นงอนป่องไป ในใจคิดว่าชายหนุ่มคงจะรีบวิ่งมาปลอบ มางอนง้อขอให้หล่อนยกโทษให้อย่างที่เด็กชายภาณุวัฒน์เคยทำมาเสมอเมื่อครั้งสมัยที่ทั้งคู่ต่างยังเป็นเด็ก หากแต่คราวนี้ภาณุวัฒน์กลับไม่เอาใจใส่กับอาการงอนตุ๊บป่องของหญิงสาว กลับเดินผ่านคนขี้งอนเข้าไปหามารดาที่ง่วนอยู่กับการจัดสำรับอาหารอยู่ในห้องครัวขนาดเล็กที่มีเครื่องมือเครื่องใช้พร้อมสรรพแทน

“ไหนดูสิว่าวันนี้แม่ทำอะไรอร่อยๆ ให้ใหญ่กินบ้างเนี่ย” ชายหนุ่มถามขณะที่โอบแขนรอบเอวมารดาไว้หลวมๆ

“ก็น่องไก่ต้มฟัก ไข่ยัดไส้ แล้วก็ปูผัดผงกะหรี่ ของโปรดของใหญ่กับยัยหนูรินยังไงล่ะลูก” นางไล่รายการอาหารตรงหน้าให้บุตรชายฟังทีละอย่างพลางลงมือทำอาหารรายการสุดท้ายไปด้วย

“แล้วนี่ใหญ่ได้เจอน้องแล้วหรือยัง” ยังไม่ทันที่ภาณุวัฒน์จะได้ตอบคำมารดา ‘น้อง’ ที่ถูกถามถึงก็เดินกึงๆ มาฟ้องคุณประไพพิศเข้าถึงที่

“คุณป้าขา คุณป้าดูพี่ใหญ่สิคะ” เริ่มต้นประโยคพร้อมทำปากบุ้ยใบ้ไปทางชายหนุ่มที่ยังยืนเฉย ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้จนคนตั้งใจจะมาฟ้องชักหมั่นไส้หนัก

“พี่ใหญ่ไม่สนใจน้องรินเลย ปล่อยให้น้องรินยืนเก้ออยู่คนเดียวตั้งนานแน่ะ คุณป้าต้องจัดการให้น้องรินด้วยนะคะ ไม่งั้นน้องรินไม่ยอมจริงๆ ด้วย”

คุณประไพพิศนิ่งฟัง ‘น้องริน’ รายงานความผิดของชายหนุ่มเสียงแจ้วด้วยความเอ็นดู ถึงแม้หญิงสาวจะเรียนจนจบชั้นปริญญามาแล้ว แต่ดาริกาก็ยังคงไม่ละทิ้งนิสัยของเด็กหญิงตัวน้อยเมื่อสิบกว่าปีก่อนไปเสียทั้งหมด โดยเฉพาะความเจ้าแง่แสนงอน และช่างเอาแต่ใจตามวิสัยลูกสาวคนสุดท้องที่ใครๆ ก็คอยแต่จะตามใจน้องเล็กอยู่เสมอ แม้แต่พี่ชายข้างบ้านอย่างเด็กชายภาณุวัฒน์ก็ไม่มีข้อยกเว้น พอนึกมาถึงตรงนี้นางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อย้อนกลับไปคิดถึงความทรงจำแต่ครั้งเก่าก่อนขึ้นมาอีกหนหนึ่ง

ก่อนที่เด็กทั้งสองคนจะเติบโตขึ้นมาเป็นชายหนุ่มกับหญิงสาวอย่างในทุกวันนี้ ดาริกาเคยเป็นเพียงแค่ลูกสาวของคุณน้าข้างบ้านที่แสนดื้อ แสนซน และสุดจะเอาแต่ใจอย่างร้าย ไม่ว่าใครจะดุ จะห้ามปรามอย่างไร เด็กหญิงน้องริน วัยห้าขวบก็คอยแต่จะแอบลอดแนวรั้วกระถินข้างบ้านมาเล่นมากวนใจเด็กชายวัยสิบสองปีอยู่เสมอ

ถ้าหากวันไหน เด็กชายภาณุวัฒน์ทำท่าไม่สนใจใยดี หรือไม่เล่นด้วยอย่างที่เจ้าตัวอยากให้เล่น คนตัวเล็กกว่าเป็นต้องร้องไห้สะอึกสะอื้นจนกว่าจะได้รับการตามใจเสมอ จนภาณุวัฒน์แอบเอามาเรียกลับหลังกับมารดาว่า ‘ยัยน้องรินขี้งอแง’

แต่ถึงกระนั้น ตลอดหลายปีที่เด็กทั้งสองเติบโตคู่กันมา ไม่เคยเลยสักครั้งที่เด็กชายจะขัดใจ ‘ยัยน้อง
รินขี้งอแง’ ให้จนถึงที่สุด ถึงจะโมโห จะรำคาญคนตัวเล็กที่คอยเซ้าซี้ ตอแย ตามติดเขาแจหยั่งกับตังเมอย่างไงอย่างงั้น แต่สุดท้ายเด็กชายภาณุวัฒน์ก็บอกกับมารดาว่าเขาอยากจะเห็นยัยน้องรินยิ้มสดใส ทำแป้นแร้นหน้าเป็นมากกว่าจะมานั่งร้องไห้ขี้มูกโป่งให้เกะกะรำคาญหูรำคาญตาเขาเสียเปล่าๆ

จนเมื่อทั้งคู่เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นนั่นแหละ ถึงได้เริ่มห่างๆ กันไป เพราะคุณดารารายย้ายครอบครัวตามสามีไปอยู่ต่างจังหวัดก่อนจะย้ายกลับมากรุงเทพฯ อีกครั้งเมื่อปีก่อน ช่วงแรกๆ ทั้งภาณุวัฒน์และมารดาต่างก็รู้สึกใจหายไปเหมือนกันที่อยู่ๆ คนคุ้นเคยก็มาห่างหายไปอย่างนี้ แต่ผ่านไปไม่ถึงเดือนดี แต่ละคนก็ปรับตัวเข้าสู่ความเป็นจริงได้ในที่สุด และหลังจากนั้นไม่นานนักภาณุวัฒน์เองก็ได้น้องสาวคนใหม่เข้ามาแทนที่ น้องสาววัยแรกรุ่นที่ชื่อพิมพ์ตา !

“คุณป้าขา คุณป้าต้องจัดการให้น้องรินนะคะ” คุณประไพพิศตื่นจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงรบเร้าจากหญิงสาวอีกหนหนึ่ง

“ว่าไงฮึ ตาใหญ่ ไปแกล้งอะไรน้องอีกล่ะลูก โตๆ กันแล้วนะ ยังจะแกล้งน้องเป็นเด็กๆ อยู่ได้” นางหันไปดุลูกชาย แม้จะไม่จริงจังนัก แต่ก็ทำเอาคนช่างฟ้องชักหน้าเสีย ภาณุวัฒน์แอบสบตากับมารดาแล้วก็ยิ้มขำ

“เอ่อ น้องรินว่าคุณป้าไม่ต้องไปดุพี่ใหญ่หรอกค่ะ พี่ใหญ่คงไม่ได้ตั้งใจ น้องรินจะยอมยกโทษให้เขาซักครั้งก็ได้” ตอนท้ายเจ้าหล่อนว่าพร้อมหันมามองค้อนชายหนุ่มอย่างอดไม่ได้ ในขณะที่คนเป็นพี่ใหญ่ได้แต่ซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ในหน้า

ยัยน้องรินจอมงอแงยังนิสัยเหมือนเดิมไม่มีผิด สมัยที่ยังเป็นเด็ก มีอยู่หลายหนที่เจ้าหล่อนแกล้งฟ้องเขากับแม่ แต่พอเขาจะโดนดุจริงๆ ขึ้นมา เจ้าตัวกลับโดดออกมาปกป้องแทนไปเสียทุกครั้ง
คิดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

“โอ๊ย พี่ดีใจจะแย่แล้วนะเนี่ย ถ้าวันนี้น้องรินไม่ยอมยกโทษให้ พี่คงกินไม่ได้ นอนไม่หลับ... เลยมั้ง” ชายหนุ่มทิ้งช่วงประโยคก่อนจะทิ้งทวนในตอนท้าย ทำเอาคนที่ตั้งใจยกโทษให้ชักจะตาขุ่นเขียวขึ้นมาอีก คุณประไพพิศสังเกตเห็นเข้าพอดีเลยรีบห้ามทัพเอาไว้เสียก่อน

“ไม่เอาแล้วนะจ๊ะ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ตาใหญ่มาช่วยแม่ยกสำรับออกไปตั้งโต๊ะกันดีกว่านะ จะได้พาน้องกินข้าวกันเสียที แค่นี้น้องก็แขวนท้องรอใหญ่มาตั้งนานแล้วนะลูก”

สิ้นคำบอกกล่าวแกมบังคับของมารดา ก็เป็นอันว่าสัญญาณศึกระหว่างเขากับยัยน้องรินต้องมีอันเงียบเสียงลงเสียก่อน

ระหว่างอาหารมื้อนั้น ชายหนุ่มแอบสังเกตเห็นแววตากลมแป๋วของหญิงสาวตรงหน้าที่มักจะทอดสายตามาตกที่เขาคราวละนานๆ อยู่บ่อยครั้ง ภาณุวัฒน์รู้สึกสะกิดใจกับแววตาเป็นประกายหวานอ่อนที่แลเห็น เหลือบไปมองทางมารดาที่ทำท่าเหมือนพร้อมจะเห็นดีเห็นงามตามหล่อนไปเสียทุกอย่าง เขาก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าท่าทางคงจะเตรียมการสนับสนุนกันมาเต็มที่

แม้จะเห็นแววความวุ่นวายตั้งเค้ารออยู่ตรงหน้า แต่ชายหนุ่มก็ยังทำเป็นนิ่งเฉย เพราะตอนนี้ภาณุวัฒน์เองยังไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเขาประเมินสายตาของสาวน้อยตรงหน้าได้ชัดเจนแค่ไหน บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรเกินเลยอย่างที่เขากำลังนึกกังวลอยู่ก็ได้

ถึงมารดาของเขาจะแสดงออกชัดเจนว่าเต็มใจเสียยิ่งกว่าเต็มใจที่จะผลักดันให้เจ้าหล่อนเข้ามาใกล้ชิดผูกพันกับเขาเหมือนอย่างสมัยที่ยังเป็นเด็กๆ แต่ภาณุวัฒน์ก็แอบภาวนาเอาไว้ในใจลึกๆ ชายหนุ่มหวังว่ายัยน้องรินคงไม่ได้คิดจะมารักเขาเชิงชู้สาวเข้าหรอกนะ เพราะต่อให้หญิงสาวจะเติบโตขึ้นมาสวยหยาดฟ้าปานใด แต่ดาริกาก็ยังคงเป็นน้องในความรู้สึกของเขาเสมอ

และตั้งแต่นี้ต่อไปชายหนุ่มก็ไม่มีวันจะรักและเอ็นดูน้องสาวคนไหนได้มากไปกว่าเห็นว่าเป็นน้องสาวคนหนึ่งหรอก !

















ณนวล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2555, 00:18:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2555, 00:18:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1373





<< ♥ บทที่ 4    ♥ บทที่ 6 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account