รถด่วนขบวนสุดรัก
ชีวิตนี้เคยต้องรออะไรนานๆ มั้ยคะ โดยเฉพาะรอดูว่าเมื่อไหร่พ่อเนื้อคู่ตุนาหงัน โซลเม็ทของฉันจะโผล่มาเซอร์ไพรส์ในชีวิตจริงเสียที เพราะนั่งรอ นอนรอ ตบยุงรอมาก็หลายปีดีดักแล้ว รอไปก็กังวลไป สงสัยว่าชาตินี้ฉันคงจะได้ขึ้นคานแหงๆ
การรอคอยบางทีทรมานกว่าผลลัพธ์ แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีเหมือนรถด่วนขบวนสุดรักขบวนนี้ บางที...การ (อดทน) รอก็อาจจะให้ดอกผลที่น่าชื่นใจกว่าก็ได้
อย่าไปกังวลเลยค่ะว่าเราจะไปไม่ทันรถด่วนขบวนสุดท้ายหรือเปล่า ขอให้พากันสมัครใจไปกับ รถด่วนขบวนสุดรัก กันดีกว่า


Dear someone,

If love (still) kept you standing at the station when the last train's gone by…, then I thought maybe walking was better ‘coz we were the master of our choices.

So, do you wanna walk…?


Tags: เนื้อคู่ รถด่วนขบวนสุดท้าย ณนวล มัชฌิชา ภาณุวัฒน์

ตอน: ♥ บทที่ 7

นราภัทรกับเอกพลตกลงกันเอาไว้แล้วว่างานแต่งงานของพวกเขาทั้งสองคนจะออกมาเป็นแนวลูกผสม เพราะข้างเจ้าบ่าวเป็นพุทธ ส่วนฝ่ายเจ้าสาวเป็นคริสต์ ตอนเช้าจึงเป็นพิธีแบบไทยๆ มีทำบุญเลี้ยงพระแล้วก็พิธีหมั้น ตกบ่ายก็ค่อยย้ายไปทำพิธีแต่งงานในโบสถ์ พอถึงหัวค่ำก็มีงานเลี้ยงกันนิดหน่อย ซึ่งทั้งคู่ได้จองโรงแรมริมแม่น้ำเอาไว้สำหรับต้อนรับขับสู้บรรดาแขกเหรื่อทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงของตัวเองและของญาติผู้ใหญ่เอาไว้เรียบร้อยแล้ว

มัชฌิมาลองนึกทบทวนแผนการดูคร่าวๆ ก็พบว่าหล่อนจะต้องเตรียมชุดเพื่อนเจ้าสาวเอาไว้เพื่องานนี้ถึงสามชุด ทั้งชุดแบบไทยๆ สำหรับพิธีหมั้นตอนเช้า จากนั้นก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นชุดสำหรับเข้าโบสถ์ตอนบ่าย ไหนยังจะชุดราตรีสำหรับงานเลี้ยงตอนกลางคืนอีกต่างหาก

โอ้แม่เจ้า... แค่ชุดราตรีชุดเดียวหล่อนก็คงเสียเวลาไปเกือบครึ่งวันแล้ว แต่นี่จะต้องใช้ถึงสามชุดด้วยกัน ต่อให้หล่อนสามารถเร่งสปีดได้เร็วกว่าที่เคยแค่ไหนก็คงจะไม่มีทางเสร็จก่อนค่ำได้แน่ๆ

นี่หล่อนจะต้องทนอยู่กับอีตาหน้าดุนี่ไปอีกนานเป็นวันๆ เลยหรือเนี่ย... คิดแล้วมัชฌิมาก็ชักจะเขม่นคนตัวสูงที่เดินท่าทางสบายๆ อยู่ข้างตัวไม่ได้ โทษฐานที่ดันไม่ยอมแยกตัวออกไปอย่างที่หล่อนพยายามผลักไสเขามาตลอดทาง

ตอนที่นัดกับปาจารีย์ทีแรก ยัยตัวแสบกำชับกำชาหล่อนนักหนาว่าให้นั่งแท็กซี่มา จะได้ไม่ต้องเสียเวลาขับรถไปขับรถมาคันละคัน ช่วงนี้น้ำมันยิ่งขึ้นเอาขึ้นเอาอยู่ด้วย ไอ้หล่อนก็พาซื่อเห็นดีเห็นงามตามเจ้าหล่อนไปด้วย นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะโดนยัยปอวางแผนจับคู่ให้เสียดิบดีแบบนี้

อะไรก็ดี เสียแต่ว่าผู้ชายที่ยัยปอจัดแจงวางหมากให้มาเดินเคียงข้างหล่อนตอนนี้ไม่ค่อยจะน่าพิสมัยสักเท่าไหร่เท่านั้นแหละ

“นี่คุณ ตัดสินใจได้หรือยังล่ะว่าจะเข้าร้านไหนกันแน่ เห็นเดินผ่านมาหลายร้านแล้วนะ มัวแต่ทำเดินเป็นพระยาน้อยชมตลาดอยู่ได้ ตกลงจะซื้อหรือเปล่าเนี่ย”

อีตาตัวสูงที่เดินเงียบๆ ตามหล่อนมาตลอดทางทำบ่นลอยๆ มาเข้าหู มัชฌิมาหยุดเท้าที่กำลังเดินจ้ำๆ ชะงักกึก หันหน้าไปมองเจ้าของเสียง แววตาขุ่นจัด

“ถ้าคุณไม่พอใจจะมาเป็นเพื่อนฉัน เชิญกลับไปก่อนได้เลย...นะคะ ฉันเลือกของฉันคนเดียวได้ ” ด้วยความลืมตัว หล่อนจึงไม่เห็นความจำเป็นอันใดที่จะต้องมามัวทำเสียงสุภาพกับชายหนุ่มอีก จากดิฉันในยามที่หล่อนไม่ยินดีจะเสวนาด้วยก็กลายมาเหลือเป็น ‘ฉัน’ เสียงสูงคำเดียวสั้นๆ แทนเสียเลย

“แหม ไม่เห็นต้องทำเสียงดุขนาดนั้นเลยนะคุณ” ภาณุวัฒน์แกล้งปรามหล่อนยิ้มๆ อย่างไม่ถือสา

“อันที่จริง คุณก็อยากอยู่กับผมนานๆ ใช่มั้ยล่ะ ถึงได้ไม่ยอมเข้าร้านไหนเสียที นี่กว่าจะซื้อกันได้ครบคงจะต้องรอจนร้านพวกนี้ปิดกันหมดก่อนละมัง”

“แต่ถ้าคุณอยากอยู่กับผมนานๆ จริงๆ ล่ะก็ ถึงเราจะซื้อกันวันนี้ไม่ทัน แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะพาคุณมาดูอีกทีก็ได้ ดีมั้ยครับ คุณผู้หญิง” ชายหนุ่มแกล้งหาความหล่อนอย่างจงใจยั่วเย้า

มัชฌิมามองอาการยียวน ลอยหน้าลอยตาพูดของคนตรงหน้าแล้วอยากจะอัดใครบางคนขึ้นมาติดหมัด ถ้าได้อัดใครบางคนที่หน้าเข้มๆ ตัวสูงๆ สักทีสองทีคงจะทำให้หล่อนอารมณ์ดีขึ้นมาได้ไม่น้อยเลยทีเดียวเชียว แต่สิ่งที่หล่อนทำได้คือยืนมองคนตรงหน้าตาเขียวปั๊ด มือกำหมัดแน่นอยู่ข้างตัว ก่อนจะกัดฟันบอกกลับไป

“ใครบอกว่าฉันอยากจะอยู่กับคุณนานๆ ไม่ทราบหา อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย”

“ถึงคุณจะไม่ว่า แต่พฤติกรรมมันฟ้องชัดๆ นะครับ คุณผู้หญิง” ชายหนุ่มหน้าเข้มยังคงลอยหน้าลอยตาตอบกลับมาอย่างที่มั่นใจแล้วว่าจะต้องยั่วให้แม่เสือสาวหนวดกระตุกได้แน่ๆ

“นายนี่มันหลงตัวเองชะมัด” มัชฌิมากระแทกเสียงลอดไรฟันตอบกลับไป ไม่คิดจะรักษามารยงมารยาทอะไรอีกแล้ว ไม่สนใจจะเรียกคงเรียกคุณกันอีกต่อไปด้วยเหมือนกัน

เป็นความซวยของหล่อนเองที่บังเอิญต้องมาข้องแวะกับผู้ชายกวนประสาทอย่างอีตานี่เข้า เจอกันแต่ละที มีแต่หาเรื่องเจ็บตัวเจ็บใจมาให้ตลอด ไม่รู้ว่ายัยปอดันเกิดไปเห็นดีเห็นงามอะไรถึงได้ส่งผู้ชายซังกะบ๊วยพรรค์นี้มายัดเยียดให้หล่อนได้ หล่อนละไม่เข้าใจเพื่อนตัวเองเลยจริงๆ

มัชฌิมาหันไปทิ้งค้อนวงใหญ่ใส่คนหลงตัวเองที่เอาแต่ยิ้มกริ่มเหมือนไม่รู้จักสะดุ้งสะเทือนกับคำว่ากล่าวของหล่อนเลยแม้แต่น้อยนิด สุดท้าย เมื่อทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ มัชฌิมาก็เดินสะบัดหน้าหนีเข้าร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมร้านหนึ่งที่อยู่เยื้องไปเล็กน้อย โดยไม่สนใจเลยว่าคนที่ถูกยัดเยียดให้มาเป็นเพื่อนจะเดินตามหลังหล่อนมาด้วยหรือไม่

ผู้ชายกวนประสาทพรรค์นั้น ใครจะไปสน ! อยากจะไปไหนก็ไป ไปให้ไกลๆ หล่อนได้ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี

ถึงแม้ตอนที่ก้าวเท้าเข้ามาในร้านหล่อนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่พอได้มาอยู่ท่ามกลางเสื้อผ้าสวยงาม ตัดเย็บประณีตสมราคา และเต็มไปด้วยแบบเก๋ไก๋มากมายแขวนเต็มราวไปหมด มัชฌิมาก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น อย่างว่า ผู้หญิงสวยกับเสื้อผ้างดงามย่อมเป็นของคู่กันอยู่แล้ว มัชฌิมาไล่จับดูเสื้อผ้าแต่ละชุดด้วยความพึงใจ

ขณะที่หล่อนกำลังเพลินของหล่อนอยู่ดีๆ อีตาภาณุวัฒน์ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ อยู่ๆ ก็มายื่นชุดเดรสกึ่งสั้นกึ่งยาวให้หล่อนเข้าชุดหนึ่ง

“คุณลองชุดนี้ดูสิ ผมว่าน่าจะเหมาะกับคุณดีออกนะ” ชายหนุ่มบอกพลางยื่นชุดเดรสสีม่วงนั้นส่งให้และถือค้างไว้อยู่อย่างนั้น

มัชฌิมายืนมองชุดเดรสสีม่วงอ่อนชุดนั้นนานชั่วครู่ มันเป็นชุดเดรสคอปาดเปลือยไหล่ทิ้งระบายตรงช่วงแขนลงมาเล็กน้อย ช่วงตัวมีริบบิ้นผ้าต่วนสีม่วงเข้มคาดทับใต้หน้าอกทำให้ดูออกแนววินเทจนิดๆ ผ้าชีพองสีม่วงอ่อนที่พลิ้วไหวล่อใจให้หล่อนอยากเอื้อมมือออกไปจับ หากแต่ยังไม่ยอมทำตามความต้องการของตัวเองง่ายๆ เพราะกลัวเสียหน้า

“ทำไมฉันต้องเชื่อคุณด้วย” หญิงสาวต่อปากออกไปอย่างเล่นแง่

“อ้าว ก็เพื่อนคุณให้ผมมาช่วยคุณเลือกชุดไม่ใช่เหรอ ผมก็อุตส่าห์ทำหน้าที่ของตัวเองแล้วนี่ไง”

“ว่าแต่คุณเถอะ จะยอมทำหน้าที่รับเอาชุดนี่ไปลองเสียดีๆ ได้หรือเปล่า” ชายหนุ่มยื่นชุดนั้นมาตรงหน้าหล่อนอีกครั้งและถือค้างไว้ ใช้สายตาแทนคำบังคับ แต่หญิงสาวยังคงนิ่งเฉย ไม่ยอมทำตามผู้ชายตรงหน้าง่ายๆ

ถ้าคิดว่าจะสั่งคนอย่างมัชฌิมาได้ นายก็ผิดล่ะ อีตาภาณุวัฒน์เอ้ย... เจ้าหล่อนนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ แต่เผลอแสดงออกไปทางแววตาจนชายหนุ่มจับสังเกตเห็น

“ก็อย่างว่านั่นแหละ ผมพอจะรู้อยู่หรอกว่าคุณอยากแกล้งถ่วงเวลาเพราะอยากหาโอกาสอยู่กับผมนานๆ ใช่มั้ยล่ะ... อันที่จริงผมก็พอจะรู้อยู่แล้วล่ะนะ คุณไม่ต้องพยายามนักก็ได้”

ภาณุวัฒน์ทำทีเปรยๆ ขึ้นมา พอเห็นแน่ว่ามัชฌิมากำลังจะเริ่มหนวดสั่นกระตุก เขาก็ยิ่งยั่วยุด้วยการทำหน้าเหมือนละเหี่ยระอาใจ

“เอาเถอะ ถ้าคุณอยากอยู่กับผมไปนานๆ ก็ไม่ต้องเอาชุดนี้ไปลองก็ได้ เชิญเลือกต่อไปตามสบายเถอะ” เขาแกล้งทำท่าจะเอาชุดสวยนั่นกลับไปแขวนคืนที่เดิมอยู่พอดีมัชฌิมาก็มาชิงกระตุกไปจากมือเขาเสียก่อน

“เอามานี่” หล่อนรีบคว้าชุดเจ้าปัญหานั่นมาเสียก่อนที่อีตาภาณุวัฒน์จะเอาไปแขวนเก็บ

“แต่บอกไว้ก่อนเลยนะ ที่ฉันจะยอมทำตามอย่างที่นายว่า ก็เป็นเพราะฉันไม่อยากเสียเวลาอยู่กับนายนานๆ หรอกนะจะบอกให้ อย่าสำคัญตัวผิดไปว่าคนอย่างฉันเกิดอยากจะเชื่อถือรสนิยมของนายเข้าล่ะ”

ออกคำสั่งประกาศศักดากับชายหนุ่มเรียบร้อยแล้วเจ้าหล่อนก็เดินถือชุดเดรสชีฟองนั่นเข้าห้องลองเสื้อผ้าไป แต่ยังไม่วายจะหันมาทำตาดุใส่ชายหนุ่มก่อนปิดประตูลงอีกต่างหาก

สิบนาทีหลังจากนั้น มัชฌิมายืนหมุนตัวไปมาอยู่ตรงหน้ากระจกบานใหญ่ภายในห้องลองเสื้อ ไม่รู้เป็นเพราะแสงไฟหรือเป็นเพราะภาพสะท้อนจากกระจกใสมันบิดเบือนไปจากความเป็นจริงกันแน่จึงได้ทำให้ภาพหญิงสาวที่กำลังเอียงคอมองตอบหล่อนกลับมาในเวลานี้ดูสวยงามอย่างสาวแรกรุ่นไร้เดียงสาทว่าแฝงความเย้ายวนไว้นิดๆ

อีตานี่ตาถึงไม่ใช่เล่น... หล่อนนึกชมอยู่ในใจแม้ใจจริงจะไม่อยากชมนัก

หญิงสาวพิจารณาเงาในบานกระจกอีกครั้ง ชุดเดรสสีม่วงอ่อนหวานปนเซ็กซี่ไปด้วยกันได้ดีกับผมซอยสั้นดูทะมัดทะแมง ปราดเปรียวของหล่อน ทำให้ลุคโดยรวมไม่ชวนหวานเอียนจนเกินไปแล้วก็ไม่เปรี้ยวจนจัดจ้านด้วยเช่นกัน เรียกว่าทั้งแบบชุดและตัวหล่อนเองต่างเบรกกันและกันไว้นิดๆ อย่างลงตัวพอดี มัชฌิมาสำรวจความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนจะถอดชุดนั้นออกเก็บใส่ไม้แขวนไว้ตามเดิม

“อ้าว ไหนชุดที่เอาเข้าไปลองล่ะคุณ” ภาณุวัฒน์ทวงถามทันทีที่หญิงสาวเปิดประตูห้องลองเสื้อออกมาโดยมีสภาพไม่ต่างจากตอนที่เข้าไปเลยสักนิด

“ก็อยู่ในไม้แขวนนี่ไง นายมองไม่เห็นเหรอ” มัชฌิมาย้อนกลับไปพร้อมกับชูเสื้อผ้าในมือประกอบ

“นี่คุณลองเสร็จแล้วเหรอ” ชายหนุ่มถามกึ่งโวยวายนิดๆ

“ก็ใช่น่ะสิ ถ้ายังลองไม่เสร็จแล้วฉันจะออกมาทำไมล่ะ นายนี่ถามอะไรแปลกๆ ”

เจ้าหล่อนหันไปตอบอย่างไม่สนใจอินังขังขอบกับผู้ชายตรงหน้าที่มาเซ้าซี้ถามอะไรไม่เข้าท่าอยู่ได้ ก่อนจะเดินออกจากห้องลองเสื้อตรงไปยังเคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน หากแต่ภาณุวัฒน์เองกลับไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“เดี๋ยวก่อนสิคุณ” ชายหนุ่มตรงไปคว้าแขนหญิงสาวเอาไว้ก่อนจะเดินไปถึงจุดชำระเงินที่ห่างออกไปเพียงแค่สองก้าวครึ่งเท่านั้น

“อะไรอีกล่ะ” มัชฌิมาหันไปตวัดเสียงใส่ อีตานี่ช่างน่ารำคาญจริงๆ เชียว !

“คุณตกลงจะซื้อชุดนี้เลยเหรอ”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“แต่คุณยังไม่ได้ลองใส่ให้ผมดูก่อนเลยนะ”

“ก็แล้วทำไมฉันจะต้องลองให้นายดูด้วยเล่า”

ปกติตามร้านเสื้อผ้าเบรนด์เนมพวกนี้จะมีคนเข้ามาดูไม่พลุ่กพล่านแล้วก็ไม่ค่อยมีใครเข้ามาทำเสียงดังกันมากนัก ดังนั้นเมื่อหญิงสาวกับชายหนุ่มเริ่มทำท่าว่าจะเถียงกันหน้าดำหน้าแดงไปอีกนาน จากเสียงในระดับปกติก็ชักจะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีสายตาอีกสี่ห้าคู่ก็พากันหันมองมายังคนทั้งสองอย่างสนใจใคร่รู้เต็มที่
ภาณุวัฒน์เป็นฝ่ายรู้ตัวก่อน ดังนั้นประโยคต่อมาเขาจึงพยายามลดเสียงลงจนเกือบกระซิบ

“ก็เพราะผมเป็นคนออกไอเดียเรื่องชุดนี้น่ะสิคุณ”

“เพราะฉะนั้นก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อ คุณต้องลองใส่ให้ผมดูก่อน เกิดคุณใส่แล้วไม่สวยขึ้นมา ใครๆ ก็ต้องพากันโทษว่าเป็นความผิดของผม เป็นเพราะไอเดียผม...” ชายหนุ่มชี้แจงกับหล่อนราวกับว่าการมีเทสต์ที่ไม่เอาไหนเป็นเรื่องคอขาดบาดตายมากมายสำหรับเขา

ทีแรกมัชฌิมาก็อยากจะเออออห่อหมกเข้าอกเข้าใจไปกับชายหนุ่มตรงหน้าด้วยอยู่หรอก ถึงแม้ใบหน้าหล่อนจะไม่บอกอย่างนั้นเลยสักนิด แต่ใจจริงหล่อนว่าจะกลับไปลองชุดให้เขาดูอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่บังเอิญว่าได้ยินประโยคต่อมาของอีตาภาณุวัฒน์นี่เข้าเสียก่อน

“ไม่มีใครเขาสนใจหรอกว่าเป็นเพราะคุณใส่ได้ไม่สวยเองน่ะ ทีนี้เข้าใจหรือยังว่าทำไมคุณต้องลองใส่ให้ผมดูก่อน”

หน็อย...มาหาว่าเป็นเพราะฉันใส่ได้ไม่สวยเองแล้วจะโทษว่าเป็นความผิดของนายงั้นเหรอ

“ถ้านายกลัวว่าจะมีปัญหานักก็เอาไอเดียของนายคืนไปก็แล้วกัน ไม่ซงไม่ซื้อมันแล้ว”
พูดจบหญิงสาวก็กระแทกทั้งชุดทั้งไม้แขวนใส่หน้าอกผู้ชายปากเสียตรงหน้า ทั้งที่ใจจริงหล่อนนึกอยากจะกระแทกใส่ลูกกะตากวนๆ นั่นแทนด้วยซ้ำไป ถึงตอนนี้หล่อนยังไม่อยากทำให้ใครพิการโดยไม่จำเป็น แต่อย่ามายั่วให้หล่อนโมโหมากไปกว่านี้ก็แล้วกัน

“อ้าว เดี๋ยวสิคุณ” ชายหนุ่มคว้าชุดสวยนั่นมาถือไว้อย่างงงๆ ก่อนจะร้องเรียกแม่เสือสาวขี้โมโหที่ก้าวฉับๆ ออกจากร้านไปโดยไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน ไม่สนใจด้วยว่าเขาจะมองหน้าอีกหลายคนในร้านนี้ได้ยังไง

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

หลังจากที่เดินหนีอีตาบ้ากวนประสาทนั่นมาแล้ว มัชฌิมาก็ตัดสินใจมาดับอารมณ์โกรธกรุ่นของตัวเองที่ร้านไอศกรีมเจ้าอร่อยร้านหนึ่ง ขณะที่หล่อนกำลังเพลินใจอยู่กับเชอร์เบ็ตมะนาวราดวิปปิ้งครีมชุ่มฉ่ำของหล่อนอยู่ดีๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ

มัชฌิมาดูเบอร์ที่โชว์หราอยู่หน้าจอแล้วไม่อยากจะกดรับสายเลยจริงๆ พับผ่า แต่ก็รู้ดีว่าถ้าไม่รับเสียตั้งแต่ตอนนี้ ยัยปอตัวแสบก็จะต้องโทรจิกหล่อนไปเรื่อยๆ จนกว่าหล่อนจะยอมรับสายอยู่ดีนั่นแหละ คิดได้ดังนั้นแล้วเจ้าหล่อนก็เลยกรอกเสียงลงไปทักทายเพื่อนสาว

“นี่หล่อนอยู่ไหนยะ รู้มั้ยว่าคุณภาณุวัฒน์เขาตามหาหล่อนจะแย่แล้วเนี่ย” ปาจารีย์ส่งเสียงแหวๆ คาดคั้นมาตามสาย ถ้าสามารถมายืนท้าวสะเอวด่าหล่อนได้ มัชฌิมาแน่ใจว่ายัยปอต้องทำอย่างนั้นโดยไม่รอช้าเลยแน่ๆ

“ก็ช่างหัวเขาสิยะ คนปากเสียพรรค์นั้นน่ะ ฉันไม่เห็นอยากจะสนใจเลย” หล่อนโต้กลับไปเหมือนไม่เกรงใจใครทั้งนั้น

“ไม่ได้เลยนะยะ ยัยมัช” ปาจารีย์รีบเบรกเสียงเขียวก่อนจะเปลี่ยนเป็นเอาน้ำเย็นเข้าลูบในตอนหลัง

“แกทำอย่างนี้รู้มั้ยว่าฉันจะเสียหน้าแค่ไหน นี่ขนาดว่าไม่ต้องกลับไปพูดถึงเรื่องสัญญาที่แกรับปากกับฉันเอาไว้เสียดิบดีเลยนะ ยัยมัช”

ปากบอกว่าไม่ได้พูดเรื่องสัญญา แต่เจตนาน่ะกำลังทวงสัญญาหล่อนเลยชัดๆ !

“เออ รู้แล้วๆ ไม่ต้องมาทำเป็นพูดจาอ้อมค้อมอ้อมคุ้งหรอก”

“ตอนนี้ฉันกินไอติมอยู่ที่ร้าน... แกโทรไปบอกเขาเองก็แล้วกัน แล้วก็ฝากบอกด้วยนะว่าถ้าไม่เต็มใจจะมาก็กลับไปเลยก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไรหรอก”

“แกก็คงจะไม่ว่าอะไรเหมือนกันใช่มั้ย ปอ” ประโยคนี้เจ้าหล่อนทำคาดคั้นกับเพื่อนสาวเสียงหนัก

“เออ รู้แล้วน่า ถ้าผู้ชายเขาไม่เต็มใจ ฉันก็ไม่มีปัญญาไปบังคับใจเขาให้ใครได้เหมือนกันแหละ”
ทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ปาจารีย์ก็วางสายไป มัชฌิมามองไอศกรีมตรงหน้าอย่างเซ็งจัดเพราะชักหมดอร่อยก่อน
จะตักเข้าปากอย่างเสียไม่ได้ และยิ่งหมดอร่อยหนักเข้าไปใหญ่เมื่อหล่อนบังเอิญหันไปเห็นว่าอีตาภาณุวัฒน์เดินผ่านประตูร้านเข้ามานั่นแล้ว

“กินไอศกรีมแล้วอารมณ์เย็นขึ้นหรือยังล่ะคุณ” ชายหนุ่มมาหยุดยืนยิ้มกริ่มอยู่ตรงหน้าก่อนจะถามหล่อนขึ้นมาอย่างจงใจยั่วเย้า

เฮ้อ... ทำไมไม่รู้จักกลับบ้านกลับช่องไปเสียทีก็ไม่รู้ ไหนทีแรกทำเป็นเหมือนไม่เต็มใจ หน้าตาบึ้งตึงเป็นตูด ทีนี้ละทำมาเป็นยิ้มหน้าระรื่นอยู่ได้ น่าโมโหชะมัด !

“จะอารมณ์ร้อน อารมณ์เย็นมันก็เรื่องของฉัน นายไม่ต้องมายุ่ง”

“อ้าว ไหงพูดจาตัดรอนกันเสียอย่างนั้นล่ะคุณ ยังไงผมก็เป็นบั๊ดดี้คุณนะวันนี้น่ะ” ชายหนุ่มว่าพลางหันไปสั่งไอศกรีมกับพนักงานที่เดินมารับออร์เดอร์

“เรามาเจรจาสงบศึกกันดีกว่า จะได้ช่วยกันปฏิบัติภารกิจของวันนี้ให้ลุล่วงไปเสียที คุณว่าดีมั้ยล่ะ”

มัชฌิมามองดูคนหน้าดุที่บัดนี้มีแต่รอยยิ้มแจ่มใสราวกับชายหนุ่มหน้าทะเล้นคนหนึ่งเพียงเท่านั้น
อีตานี่เวลาไม่ทำหน้าดุ ก็ดูเข้าท่าดีอยู่เหมือนกันแฮะ เจ้าหล่อนนึกชมแกมทึ่งเพราะนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าอีตาหน้าดุที่หล่อนชอบว่าจะทำหน้าตาดูใจดีกับเขาได้ด้วย

“ก็ได้ นายเองก็อย่ามากวนโมโหฉันอีกก็แล้วกัน” มัชฌิมายอมรับปากแต่ยังไม่วายทิ้งท้ายอย่างกลัวเสียฟอร์ม

“คุณก็อย่าขี้โมโหง่ายนักก็แล้วกัน” ชายหนุ่มก็เถียงกลับมาอย่างไม่ยอมลดราวาศอกให้เลยเช่นกัน

“ห้ามมาว่าฉันด้วยนะ เดี๋ยวเถอะ” มัชฌิมาปรามพร้อมกับถลึงตาใส่

“โอ๊ย กลัวจะแย่แล้วเนี่ย อย่าดุนักสิคุณ”

ภาณุวัฒน์ยังไม่วายจะมาทำล้อเลียนใส่ แต่พอเห็นว่ามัชฌิมาทำท่าจะไม่สบอารมณ์ขึ้นมาจริงๆ เขาก็แกล้งเปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยนท่าทีใหม่ให้ดูเป็นการเป็นงานขึ้นมาแทน

“ผมว่าเดี๋ยวคุณลองไปดูชุดราตรีที่จะใช้ตอนงานเลี้ยงที่โรงแรมดูอีกชุดก็แล้วกันนะ ส่วนชุดไทยสำหรับพิธีตอนเช้า เดี๋ยวผมพาคุณไปตัดเอาดีกว่า”

“เอาร้านเดียวกับที่ผมไปสั่งตัดไว้ก็ได้นะ จะได้ออกมาสไตล์เดียวกัน สมัยเดียวกัน ไม่ใช่เพื่อนเจ้าบ่าวมาชุดสมัย ร.5 แต่เพื่อนเจ้าสาวมาตั้งแต่สมัย ร.1 แล้วยังไงผมจะขอให้เขาช่วยเร่งคิวให้ คุณจะได้มีชุดใส่ทันวันงาน” ชายหนุ่มกะเกณฑ์ไปพลางตักไอศกรีมใส่ปากไปพลาง ไม่ได้สนใจเลยว่ามัชฌิมาอยากจะออกความเห็นหรือโต้แย้งอะไรหรือไม่

“อีกอย่างร้านนี้ผมเคยใช้บริการมานาน รับรองว่าฝีมือดี ตัดเย็บประณีต ชุดต้องออกมาสวยแน่นอน คุณไม่ต้องเป็นห่วง”

“ดูเหมือนว่าคุณจะมีแผนเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วเลยนะ ฉันก็คงต้องเชื่อฟังตามคุณทุกอย่างเลยล่ะสิท่า” พอโต้แย้งอะไรเขาไม่ได้ หล่อนก็เลยเหน็บกลับไปเสียบ้าง

“ใช่แล้วครับ คุณผู้หญิง เชื่อผมเอาไว้รับรองไม่เสียหลายหรอก” ภาณุวัฒน์ยิ้มรับคำประชดหน้าชื่นก่อนจะส่งถุงกระดาษแข็งเนื้อดีมาให้หล่อนใบหนึ่ง

“อะไรอีกล่ะ” มัชฌิมาถามกลับไปเสียงขุ่นขณะที่ยื่นมือออกไปรับมาเปิดดู

“ก็ชุดสำหรับเข้าโบสถ์ตอนบ่ายยังไงล่ะ ผมซื้อมาให้แล้ว”

มัชฌิมาเปิดถุงนั้นออกดูก็พบว่าชุดเดรสชีฟองสีม่วงอ่อนที่หล่อนอยากได้มาพับเพียบเรียบร้อยรออยู่ในถุงกระดาษเคลือบมันใบนี้แล้ว หญิงสาวมองดูของในถุงกับใบหน้ายิ้มกริ่มของชายหนุ่มตรงหน้าสลับกันไปมา

“คุณซื้อมาให้ฉันเหรอคะ”

“อืม ก็ผมเห็นว่าคุณชอบ คิดว่าใส่แล้วคงต้องออกมาสวยแน่ๆ ก็เลยซื้อมาให้ กลัวว่ากว่าคุณจะหายโมโหแล้วกลับไปซื้อใหม่ เขาก็จะขายให้คนอื่นไปเสียก่อน” ชายหนุ่มบอกกลับมาเหมือนทวงบุญคุณอยู่
กลายๆ และแอบกัดหล่อนอยู่นิดๆ ไปด้วยพร้อมกัน จากที่กำลังจะซาบซึ้ง มัชฌิมาก็เลยชักจะกรุ่นๆ ขึ้น
มาอีก

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณมากเลยนะคะที่อุตส่าห์เป็นห่วง ยังไงฉันจะจ่ายคืนให้คุณเลยก็แล้วกัน แค่ไม่ถึงชั่วโมงหวังว่าคงยังไม่คิดดอกหรอกนะคะ” คราวนี้หล่อนเป็นฝ่ายประชดเขากลับไปบ้าง

“แหม คุณก็พูดซะ ผมไม่ใช่คนหน้าเลือดขนาดนั้นหรอกน่า เอาเป็นว่าชุดนี้ผมซื้อให้คุณก็แล้วกันนะ คิดเสียว่าเพื่อนเจ้าบ่าวให้ของขวัญเพื่อนเจ้าสาวก็ได้”

“ฉันก็ไม่ใช่คนเห็นแก่ได้เหมือนกัน” หล่อนเถียงเขาอย่างโกรธๆ

“ถ้าคุณไม่รับเงินค่าชุด คุณก็เอาของคุณคืนไป”

“โธ่ คุณก็... ทำคิดมากไปได้ ก็บอกแล้วไงว่าให้เป็นของขวัญ”

“ฉันไม่ชอบรับของขวัญจากคนแปลกหน้าค่ะ” มัชฌิมายืนยันกลับไป จริงจังทั้งน้ำเสียงและแววตา

“เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ” สุดท้ายภาณุวัฒน์เลยเป็นฝ่ายยอมแพ้

“ที่คนเขาชอบพูดกันว่าสวยแล้วหยิ่งนี่ ผมก็เพิ่งจะได้เห็นของจริงวันนี้เองแหละ” ชายหนุ่มทำทีเป็นเปรยลอยๆ ขึ้นมา เป็นคำชมกึ่งประชดอย่างที่คนชมตั้งใจจะประชดเสียมากกว่า

“รู้เสียอย่างนี้แล้วก็ดีค่ะ คุณจะได้ไม่ต้องเที่ยวมาเสนออะไรให้ฉันอีก” เจ้าหล่อนบอกก่อนจะเตรียมลุกออกไปหลังจากที่พนักงานเดินมาเก็บค่าไอศกรีมไปเรียบร้อยแล้ว

ภาณุวัฒน์มองตามแผ่นหลังของคนที่ก้าวนำลิ่วๆ ออกไป เขานึกอยากรู้ขึ้นมาจริงๆ ว่าหล่อนจะไม่รับ ‘ข้อเสนอ’ ทุกอย่างของเขาจริงหรือเปล่า ถ้าเจ้าชานนท์ไม่ได้เข้าใจอะไรผิดไป อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีข้อเสนอสักข้อสองข้อที่หล่อนยินดีจะรับไว้พิจารณาก็ได้ ชั่วเพียงแต่ว่าเขาอยากจะเสนอมันกับหล่อนจริงๆ หรือเปล่าเท่านั้นล่ะ





ณนวล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2555, 00:35:00 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2555, 00:35:00 น.

จำนวนการเข้าชม : 1276





<< ♥ บทที่ 6   ♥ บทที่ 8 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account