รถด่วนขบวนสุดรัก
ชีวิตนี้เคยต้องรออะไรนานๆ มั้ยคะ โดยเฉพาะรอดูว่าเมื่อไหร่พ่อเนื้อคู่ตุนาหงัน โซลเม็ทของฉันจะโผล่มาเซอร์ไพรส์ในชีวิตจริงเสียที เพราะนั่งรอ นอนรอ ตบยุงรอมาก็หลายปีดีดักแล้ว รอไปก็กังวลไป สงสัยว่าชาตินี้ฉันคงจะได้ขึ้นคานแหงๆ
การรอคอยบางทีทรมานกว่าผลลัพธ์ แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีเหมือนรถด่วนขบวนสุดรักขบวนนี้ บางที...การ (อดทน) รอก็อาจจะให้ดอกผลที่น่าชื่นใจกว่าก็ได้
อย่าไปกังวลเลยค่ะว่าเราจะไปไม่ทันรถด่วนขบวนสุดท้ายหรือเปล่า ขอให้พากันสมัครใจไปกับ รถด่วนขบวนสุดรัก กันดีกว่า


Dear someone,

If love (still) kept you standing at the station when the last train's gone by…, then I thought maybe walking was better ‘coz we were the master of our choices.

So, do you wanna walk…?


Tags: เนื้อคู่ รถด่วนขบวนสุดท้าย ณนวล มัชฌิชา ภาณุวัฒน์

ตอน: ♥ บทที่ 8

ดาริกาขับรถเก๋งสปอร์ตคันเล็กของหล่อนมาจอดหน้าประตูรั้วไม้สีน้ำตาลแก่นั้นอย่างคุ้นเคย หล่อนจากที่นี่ไปนานกว่าสิบปี หกปีนับตั้งแต่มารดาย้ายครอบครัวตามบิดาที่ต้องไปรับราชการต่างจังหวัดและอีกกว่าห้าปีที่หล่อนเรียนอยู่ต่างประเทศ น่าแปลกที่แม้เนิ่นนานปานนั้น แต่ทว่าบ้านหลังนี้ก็ยังคงฝังแน่นแม่นยำอยู่ในความทรงจำของหล่อนเสมอ ความทรงจำยามเยาว์วัยที่หล่อนมักจะวิ่งตามติดจนเหมือนเป็นเงาของใครบางคน

ใครบางคนที่เป็นเพียงพี่ชายข้างบ้าน แต่กลับเป็น ‘พี่ชายใหญ่’ ที่แสนใจดีต่อหล่อนอย่างที่สุด
เด็กหญิงดาริกามีพี่ชายแท้ๆ อยู่สองคนด้วยกัน ทั้งคู่อายุห่างจากน้องเล็กอย่างหล่อนอยู่สี่ปีและห้าปีตามลำดับ แต่พี่อรรถพลกับพี่อรรณพก็ไม่มีใครใจดีอย่างพี่ใหญ่ของหล่อนเลยสักนิด สองคนนั้นดีแต่แกล้งยั่วแหย่หยอกเย้าให้หล่อนร้องไห้จ้า แล้วก็ชอบกันเด็กหญิงออกมาจาก ‘วงเล่นประสาเด็กผู้ชาย’ ที่ทั้งคู่กับเด็กผู้ชายแถวบ้านอีกสองสามคนช่วยกันจับกลุ่มขึ้น เด็กหญิงดาริกาหรือน้องรินจึงต้องแอบมุดรั้วกระถินข้างบ้านไปกวนใจพี่ชายใหญ่คนดีคนเดียวของหล่อนอยู่บ่อยๆ

ครั้งแรกที่เด็กหญิงริทำรั้วกระถินเป็นช่องเป็นรูขนาดเท่ากะละมังล้างผักใบย่อมก็เป็นเพราะความอยากเล่นซุกซนตามประสาเด็ก ด้วยความที่เจ้าตัวน้อยดันเหลือบไปเห็นร่องรอยทางหมาลอดช่องเล็กๆ ที่เจ้าศรีนวล สุนัขพันธุ์ไทยหลังอานขนานแท้ที่อยู่คู่กับครอบครัวของหล่อนมาตั้งแต่ดาริกายังไม่เกิดแอบไปทำโพรงเอาไว้เวลาจะหลบไปหา ’สาว’ บ้านข้างๆ เด็กหญิงก็เลยพยายามจะมุดผ่านโพรงเล็กๆ นั้นตามรอยเจ้าศรีนวลไปด้วยเช่นกัน

ระหว่างที่เจ้าตัวกลมป้อมตัวน้อยพยายามดันตัวยักแย่ยักยันเพื่อที่จะลอดผ่านช่องว่างช่องเล็กๆ ออกจากรั้วกระถินมายังอาณาเขตของบ้านข้างๆ ให้ได้นั้น เด็กชายภาณุวัฒน์ ผู้กลายมาเป็นพี่ชายใหญ่ของเจ้าตัวกลม ผมหยิกฟูยุ่งเหยิงในเวลาต่อมากำลังนอนกระดิกเท้าอ่านหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดอยู่ในเปลญวนหลังใหญ่ที่ผูกปลายเข้ากับต้นมะม่วงทั้งสองฝั่งอย่างสบายอารมณ์

ระหว่างที่กำลังเพลินอยู่นั้นเด็กชายได้ยินเสียงใครบางคนทำเสียงฮื๊บ...ฮื๊บ อยู่ไม่ไกลจากเขานัก จึงหันไปมองรอบๆ ตัวเพื่อสำรวจที่มาของเสียงประหลาดนั่นก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะตามมาเป็นพรืด

ภาพที่เด็กชายมองเห็นนั้นชวนหัวยิ่งนัก วัตถุกลมป้อม แต่มีหัวหยิกฟู กระเซิง ไร้รูปทรงเนื่องจากเจ้าตัวเอาหัวไปถูไถกับแนวรั้วต้นกระถินด้วยความมุ่งมั่นสุดกำลังในอันที่จะทะลุกำแพงเข้ามาในเขตรั้วบ้านของเขาให้ได้ ถ้าหากไอ้เจ้าก้อนกลมๆ ที่ว่ามีขนาดตัวผอมๆ แล้วก็ยาวๆ กว่านี้อีกสักนิด ภาณุวัฒน์คงนึกว่าเจ้าศรีนวล หมาข้างบ้านกำลังแอบมุดรั้วมาหาเจ้าน้ำตาลของเขาแล้วด้วยซ้ำไป นึกขึ้นมาดังนี้แล้วเด็กชายก็กลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ได้อีก

พอเจ้าตัวเล็กได้ยินเสียงเขาหัวเราะเข้าก็เงยหน้าขึ้นมามองอย่างตื่นๆ เด็กชายภาณุวัฒน์มองแก้มแดงๆ เนียนใสที่พราวไปด้วยเหงื่อที่เกาะทั่วใบหน้าและชื้นไปทั่วไรผมอย่างนึกเอ็นดู ตัวเขาเองมีแต่น้องชาย และเท่าที่จำได้ตาเล็กก็ยังไม่เที่ยวเล่นซุกซนขนาดนี้ อันที่จริงตาเล็กของเขาออกจะเป็นเด็กสุภาพ เรียบร้อยจะตายไป

เด็กชายมองแววตาฉายร่องรอยความตกใจเหมือนเด็กถูกจับได้ว่าแอบทำอะไรผิดของเจ้าตัวเล็กอีกครั้งก่อนจะเดินตรงดิ่งเข้าไปหา

“ว่าไง เจ้าตัวเล็ก อยากจะข้ามมาฝั่งนี้มากนักเหรอเราน่ะ” เด็กชายนั่งยองๆ ลงพูดกับเด็กหญิงตัวน้อยที่บัดนี้ถอยกลับไปทางเดิมแล้วเกินกว่าครึ่ง ชั่วแต่ยังแย้มหน้ามาด้อมๆ มองๆ เขาอยู่เพียงเท่านั้น

“น้อง... น้องรินไม่ได้อยากข้ามไปซะหน่อย” เจ้าตัวเล็กเถียงกลับมาอย่างไม่ยอมรับข้อหาใดง่ายๆ คล้ายว่าเจ้าตัวดียังไม่ค่อยอยากจะไว้ใจพี่ชายตัวใหญ่ที่มานั่งจ้องหน้าตัวเองอยู่ตอนนี้

“อ้าว ก็เมื่อกี้ยังเห็นทำท่าเหมือนอยากจะลอดรั้วข้ามมาอยู่เลย”

“ดูสิ ไอ้เรารึอุตส่าห์จะมาช่วยเสียหน่อย นึกว่าน้องรินอยากจะมาเที่ยวเล่นฝั่งนี้เสียอีก” เด็กชายพูดกลั้วเสียงหัวเราะ หน้าตาใจดีจนคนตัวเล็กเริ่มจะใจชื้นขึ้นมานิดๆ

บางทีพี่คนนี้อาจจะใจดีจนยอมเล่นกับหล่อนด้วยก็ได้ ว่าแล้วเด็กหญิงก็เยี่ยมหน้าเข้าไปใกล้ๆ พี่ชายข้างบ้านคนที่กำลังยิ้มจนตาหยีคนนี้อีกครั้ง

“จะมาช่วยดึงน้องรินไปฝั่งนู้นจิงๆ หรอ” เจ้าตัวเล็กถามย้ำอย่างไม่แน่ใจนัก

“จริงสิ น้องรินอยากมาเที่ยวบ้านพี่มั้ยล่ะ เดี๋ยวพี่ใหญ่จะพาไปหาขนมอร่อยๆ กินด้วยนะ แม่พี่ทำไว้เยอะเลย น้องรินอยากมาหรือเปล่าล่ะ”

“แต่คุณแม่สอนว่าไม่ให้กินขนมของคนแปลกหน้า น้องรินไม่กินขนมของพี่หรอก” เจ้าตัวเล็กว่ามาแจ้วๆ อาการทวนคำที่ผู้ใหญ่สอนให้เขาฟังเหมือนนกแก้วนกขุนทองนั้นเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากเด็กชายได้อีกหน

“ถ้างั้น ไม่ต้องกินขนมก็ได้ ข้ามมาเที่ยวเล่นเฉยๆ ก็ได้ เอามั้ยล่ะ” คนที่เรียกตัวเองว่าพี่ใหญ่ยังคงพยายามเสนอข้อเสนอให้เจ้าตัวเล็กที่เขาชักนึกเอ็นดูขึ้นเรื่อยๆ

แทนคำตอบ เด็กหญิงทำเหมือนชั่งใจอยู่นิดๆ ก่อนจะขยับตัวมาข้างหน้าเพื่อให้เด็กชายที่แก่วัยกว่าเกือบแปดปีช่วยดึงต้นกระถินสองฝั่งให้ถ่างออกก่อนจะช่วยดึงเจ้าตัวเล็กให้ลอดรั้วกระถินออกมาโผล่ยังอีกฝั่งของรั้วบ้านเข้าจนได้

พอลุกขึ้นมายืนเต็มสองเท้าในสนามหญ้าข้างบ้านของเขาได้แล้วเจ้าตัวเล็กก็ออกอาการลิงโลดราวกับได้ออกไปผจญภัยในสวนสนุกแห่งใหม่เลยก็ไม่ปาน

“เย้ๆ น้องรินออกจากรั้วมาได้แล้ว น้องรินเก่งที่สุด” เด็กหญิงกระโดดโลดเต้นพลางตบมือเปาะแปะชมตัวเองเป็นการใหญ่ก่อนจะเริ่มใช้สายตามองสำรวจ ’บ้านหลังใหม่’ ไปรอบๆ

“บ้านพี่ไม่เห็นเหมือนบ้านน้องรินเลย...” เด็กชายมองดูใบหน้าที่บ่งบอกความผิดหวังในอะไรบางอย่างอยู่เงียบๆ รอดูว่าเจ้าตัวยุ่งจะว่ายังไงต่อไปอีก

“บ้านน้องรินไม่เห็นมีต้นไม้ใหญ่ๆ แล้วก็ไม่เห็นมีสระน้ำแบบบ้านนี้เลย” ที่แท้เจ้าตัวก็กำลังนึกอิจฉาบ้านของเขาอยู่นั่นเอง เด็กชายนึกอย่างโล่งอก

“อันนี้เขาไม่ได้เรียกว่าสระน้ำหรอกนะ เขาเรียกว่าคลองต่างหาก ที่บ้านน้องรินไม่มีจริงๆ หรือ”
เด็กชายช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดของคนตัวเล็กก่อนจะถามกลับไปด้วยความแปลกใจ เพราะลำคลองสายนี้ย่อมจะต้องไหลผ่านหลังบ้านของเจ้าตัวเล็กนี่ด้วยแน่ๆ ซึ่งเด็กชายมารู้ภายหลังว่าหลังบ้านของเด็กหญิงทำแนวรั้วกั้นลำคลองด้านหลังเอาไว้เพราะกลัวว่าเด็กๆ จะแอบไปเล่นซุกซนกันนั่นเอง

“ไม่มีจิงๆ นะ ไม่เชื่อก็ไปดูได้เลย น้องรินไม่ได้พูดโกหกนะ” เจ้าตัวเถียงกลับมาทันควัน เสียงแหลมเล็กๆ กับปลายจมูกเชิดๆ นั้นบอกท่าทางเอาเรื่องมากพอดู เด็กชายภาณุวัฒน์จึงไม่อยากจะเสี่ยงหาเรื่องต่อกรด้วย

“พี่ก็ยังไม่ได้ว่าน้องรินโกหกเสียหน่อย ไม่มีก็ดีแล้วแหละ น้องรินจะได้ไม่ไปเล่นซนจนตกน้ำตกท่าเข้า มาทางนี้ดีกว่า พี่ใหญ่จะพาไปนั่งเปลเล่นด้วยกัน ดีมั้ย”

คิดมาถึงตรงนี้ ดาริกาก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ พี่ใหญ่ของหล่อนน่ารัก อ่อนโยน และแสนใจดีเช่นนี้เสมอ หล่อนยังจำแววตาอบอุ่น รอยยิ้มเป็นมิตรในวันที่เขายื่นมือมาจับจูงให้หล่อนไปนั่งเล่นนอนเล่นบนเปลญวนหลังใหญ่หลังนั้นได้อยู่เลย ดาริกาไม่เคยเห็นเปลญวน ไม่เคยนั่งเปลญวนที่ไหนมาก่อน เด็กหญิงจึงจดจำประสบการณ์วันนั้นได้แม่นยำนัก อีกทั้งประสบการณ์ในวันต่อๆ มาก็ยังชวนให้หล่อนเฝ้าระลึกถึงใครคนหนึ่งมาเสมอ

ไม่รู้ลืมรู้เลือนออกไปจากห้วงแห่งความทรงจำเลยสักนิด

ตั้งแต่เล็กจนเติบโตขึ้นมาเป็นหล่อนอย่างทุกวันนี้ ในใจของหญิงสาวมีภาพสูงใหญ่ของใครบางคนฝังตรึงอยู่เสมอ แม้หล่อนจะจากเขาไปนานแค่ไหนหรือว่าภาณุวัฒน์จะลบเลือนภาพหล่อนออกไปจากความใส่ใจใดๆ ในชีวิตของเขาไปแล้วก็ตามที

ในคืนวันที่ไม่มีหล่อนอยู่ใกล้ๆ ภาณุวัฒน์อาจจะเคยมอบหัวใจให้กับใครอื่น แต่ในวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องต่างออกไป เพราะดาริกามาอยู่ตรงนี้แล้ว และหล่อนก็ตั้งใจมาเต็มที่ว่าจะต้องทำให้ชายหนุ่มลบภาพ ‘ผู้หญิงอื่น’ ที่เขาเคยรักหรือคิดว่ารักออกไปจากทุกอณูความทรงจำให้ได้

หล่อนไม่มีวันยอมให้พี่ใหญ่กลับไปคิดถึงผู้หญิงใจร้ายคนนั้นอีกแน่ๆ

ต่อให้ใครเคยทิ้งขว้างภาณุวัฒน์ไปยังไง แต่หล่อนนี่แหละจะพิสูจน์ให้พี่ใหญ่ของหล่อนได้เห็นว่าดาริกาคือผู้หญิงที่รักเดียวและมีความรักที่จริงใจมอบให้ชายหนุ่มมาเสมอ รักตั้งแต่ที่หล่อนยังเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ เป็นไอ้ตัวยุ่งจอมป่วนในสายตาของเขาด้วยซ้ำไป ดาริกาบอกตัวเองอีกครั้งอย่างมุ่งมั่นก่อนจะกดแตรเรียกให้เด็กในบ้านวิ่งมาเปิดประตูให้

หญิงสาวตรงไปยังเรือนไม้อันเป็นที่พักของคุณประไพพิศหรือที่หล่อนเรียกจนติดปากว่า ‘คุณป้า’ ผู้เป็นมารดาของภาณุวัฒน์ก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยถือคติว่าถ้าคิดจะไปเป็นลูกสาวบ้านไหนก็ต้องทำตัวให้ผู้ใหญ่บ้านนั้นรักและเอ็นดูหล่อนให้ได้เสียก่อน แม่หล่อนสอนมาอย่างนั้นและใช้มาตรฐานเดียวกันในการตัดสินใจเลือกผู้หญิงแต่ละคนของบรรดาพี่ชายจอมเจ้าชู้ที่สุดแสนจะเนื้อหอมทั้งสองคนของหล่อนด้วยเช่นกัน

ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคุณดาราราย มารดาของหล่อนด้วยหรือเปล่าที่ทำให้พี่อรรถพลกับพี่อรรณพเปลี่ยนผู้หญิงที่ควงกันออกหน้าออกตามาไม่รู้กี่รายต่อกี่รายแล้วกว่าที่อรรณพ พี่ชายคนรองของหล่อนจะได้แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาไปกับโสภิตา พี่สะใภ้วัยใกล้เคียงกันกับหล่อนที่เปลี่ยนมาสวมชุดเจ้าสาวแทบจะทันทีที่ถอดชุดครุยออกหมาดๆ เมื่อสามปีที่แล้ว ส่วนอรรถพล พี่ชายคนโตก็ยังคงรักที่จะใช้ชีวิตเป็นพ่อพวงมาลัยเนื้อหอมตามประสาเขาต่อไป

ดาริกาเดินขึ้นไปบนเรือนไม้หลังนั้นอย่างคนคุ้นเคย ก็สมัยยังเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ พี่ใหญ่เคยพาหล่อนมาหาข้าวหาขนมกินกันที่นี่ด้วยกันทุกบ่อยๆ แต่ละครั้งก็เนื่องมาจากว่ากระเพาะเล็กๆ ของเด็กกำลังโตอย่างหล่อนมันชอบออดอ้อนเอานั่นเอง ที่สำคัญที่บ้านนี้มักจะมีขนมไทยอร่อยๆ ไว้คอยหล่อนเสมอจนเหมือนกับว่าเด็กหญิงดาริกากลายเป็นลูกสาวบ้านนี้อีกหนึ่งคนไปแล้วด้วยซ้ำ

“คุณป้าขา” หล่อนส่งเสียงอ่อนหวานไปทักทายก่อนจะเดินตรงเข้าไปถึงตัวคนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเย็นโดยมีพี่อ่อน แม่บ้านของที่นี่เป็นลูกมือคอยช่วยหยิบจับนู้นนี่ส่งให้

“เย็นนี้ทำอะไรกินเอ่ย หอมจังเลย น้องรินขออยู่ทานด้วยคนได้มั้ยคะเนี่ย” พูดจบแล้วเจ้าตัวก็โอบรอบเอวคนสูงวัยเป็นเชิงประจบ คุณประไพพิศหันมายิ้มรับกับหล่อนเป็นอันดี

“ได้สิจ๊ะ หนูรินแวะมากินข้าวด้วยกันก็ดีแล้วลูก ป้ากับพี่ใหญ่จะได้ไม่เหงา กินกับตาใหญ่สองคนทุกวัน น่าเบื่อจะตายไป เดี๋ยวป้าจะโทรไปบอกให้พี่เขารีบกลับบ้านไวๆ นะลูกนะ”

“ไม่ต้องไปเร่งพี่ใหญ่เขาก็ได้นะคะ คุณป้า น้องรินรอได้ค่ะ” หล่อนรีบขัดคนที่ตั้งท่าว่าจะวางมือจากหม้อแกงตรงหน้าไปหาโทรศัพท์

“เดี๋ยวน้องรินช่วยเป็นลูกมือคุณป้าเองดีกว่า พี่อ่อนจะได้ไปทำอะไรอย่างอื่นแทนนะคะ” หล่อนอาสาพลางหอบถุงผลไม้ทั้งหลายที่หล่อนซื้อมาฝากไปวางไว้บนโต๊ะ

“น้องรินซื้อผลไม้มาฝากคุณป้าเยอะแยะเลยค่ะ กล้วยหอม สาลี่ องุ่นแดง ของชอบของคุณป้าทั้งนั้นเลยใช่มั้ยคะ น้องรินว่าน้องรินจำไม่ผิดหรอก”

“หนูรินยังจำได้อยู่เหรอลูกว่าป้าชอบอะไรบ้าง ไม่ได้เจอกันเสียนาน หนูยังน่ารักเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ถ้าป้ามีลูกสาวอย่างหนูซักคนก็คงจะดีไม่น้อยเลยนะจ๊ะ”

คุณประไพพิศเอ่ยชมหญิงสาวด้วยน้ำใสใจจริง แต่ไหนแต่ไรมาเธอก็นึกชื่นชมเอ็นดูความช่างอ้อนช่างเอาใจของเด็กสาวคนนี้มาอยู่แล้ว ประกอบกับช่วงนี้ภาณุวัฒน์กำลังมีปัญหาหัวใจที่ต้องการคนดูแลรักษาอยู่ด้วย เธอยิ่งนึกนิยมชมชอบดาริกาเข้าไปใหญ่ ถึงขนาดแอบหมายมั่นปั้นมืออยู่ในใจว่าเธอจะต้องหาทางสนับสนุนให้ตาใหญ่หันมารักหญิงสาวแทนพิมพ์ตา อดีตคนรักที่ปันใจไปกับคนอื่นให้ได้ ตาใหญ่จะได้เลิกเสียใจ
อย่างนี้เสียที

ตอนนี้คุณประไพพิศไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะสมกับภาณุวัฒน์ไปได้มากกว่าดาริกาอีกแล้ว

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

ภาณุวัฒน์หันไปมองหญิงสาวข้างๆ ตัวที่กำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วชวนเขาคุยเรื่องนั้นต่อเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ จนดูเหมือนว่าบทสนทนาจะดำเนินต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด หากแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้มีทีท่าว่ารำคาญแต่ประการใด เสียงใสๆ กับแววตาเป็นประกายเปี่ยมสุขของคนเล่ากลับทำให้เขาพลอยรื่นเริงใจตามหล่อนไปเสียด้วยซ้ำ
หลังจากทานอาหารมื้อค่ำกันเสร็จ คุณประไพพิศ มารดาของเขาทั้งสนับสนุนทั้งบังคับขู่เข็ญให้เขาพา ‘ยัยหนูริน’ มาเดินเล่นย่อยอาหารเพื่อร่วมกันระลึกความหลังไปด้วยในตัว ค่าที่เมื่อสมัยสิบปีที่แล้วยัยหนูรินกับพี่ใหญ่เคยวิ่งเล่นไปทั่วทุกซอกทุกมุมภายในอาณาเขตบ้านหลังนี้ด้วยกันมาก่อน

จากน้ำเสียงและท่าทางกระตือรือร้นเกินเหตุของมารดา ภาณุวัฒน์ก็พอจะเดาเจตนาแฝงเร้นของคนเป็นแม่ได้ไม่ยาก แต่พอขยับปากจะปฏิเสธก็อดสงสารคนตาโตกลมแป๋วที่มองมาที่เขาอย่างรอคอยคาดหวังขึ้นมาไม่ได้

เอาเถอะ แค่เดินเล่นด้วยกันแค่นี้จะเป็นอะไรไป บางทียัยน้องรินอาจจะแค่เกิดอาการหวนคำนึงถึงวันเก่าๆ ขึ้นมาเท่านั้นก็ได้ ชายหนุ่มนึกปลอบตัวเองอย่างปลงๆ

อันที่จริงแล้วภาณุวัฒน์ไม่ได้ตั้งใจจะตั้งท่ารังเกียจรังงอนอะไรในตัวหญิงสาวเลยสักนิด ในเมื่อตัวเขาเองก็รักและเอ็นดูดาริกาอย่างน้องสาวคนหนึ่งมาตั้งแต่เล็กๆ ถ้าเพียงแต่เมื่อวันแรกที่ได้กลับมาเจอกันเจ้าหล่อนจะไม่ทำให้เขาเกิดความหวั่นกังวลขึ้นมาในใจเสียก่อน เขาก็คงไม่ต้องมาคอยระวังตัวแจจนดูเหมือนไม่ค่อยแยแสหล่อนแบบนี้หรอก แล้วไหนจะยังคุณประไพพิศ มารดาของเขาอีก

ภาณุวัฒน์กลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งข้างหน้าดาริกาจะต้องมาเสียใจเพราะเขา ชายหนุ่มไม่ค่อยนึกเป็นห่วงตัวเองเท่าไหร่เพราะเขาตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ยอมปล่อยผู้หญิงหน้าไหนเข้ามาทำให้เขาเสียใจได้อีกต่อไปแล้ว

“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่รู้มั้ยคะว่าตั้งแต่ตอนที่น้องรินย้ายบ้านตามคุณพ่อคุณแม่ไป น้องรินคิดถึงพี่ใหญ่.. .แล้วก็คิดถึงคุณป้าทุกวันเลยนะคะ”

อยู่ๆ ดาริกาก็เกิดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาเสียดื้อๆ ชายหนุ่มกะพริบตาอย่างงงๆ เล็กน้อยคล้ายว่าจะตามคนตัวเล็กที่บัดนี้เติบโตขึ้นมาเป็นหญิงสาวเต็มตัวได้ไม่ทัน เมื่อกี้ยัยน้องรินของเขายังเล่าเรื่องวีรกรรมสมัยเรียนอยู่ที่อเมริกาให้ฟังอยู่จ้อยๆ เป็นต่อยหอยอยู่เลย อยู่ๆ ก็เกิดจะมาทำบทซึ้งแทนเสียอย่างนั้น

ภาณุวัฒน์รู้สึกถึงน้ำหนักของอะไรบางอย่างที่กำลังทิ้งถ่วงลงในใจของเขาช้าๆ ยิ่งเมื่อยามที่ชายหนุ่มมองสบดวงตาเจือรอยอบอุ่นอ่อนหวานคู่นั้นเข้าด้วยแล้ว ชายหนุ่มก็ชักจะแน่ใจขึ้นมาทันทีว่าสัญชาตญาณของเขาไม่น่าจะผิด ภาณุวัฒน์มองเจ้าตัวเล็กของเขานิ่งอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะเสทำยิ้มหัว

“พี่ก็คิดถึงน้องรินเหมือนกันนะ ก็น้องสาวของพี่ทั้งคนนี่นา” ภาณุวัฒน์บอกพลางขยี้หัวคนข้างตัวกึ่งหยอกกึ่งเอ็นดู หากแต่กิริยาหยอกเอินเช่นนั้นกลับไม่ได้ทำให้ดาริกาเต็มตื้นขึ้นมาในใจได้เลยสักนิด
เขาทำให้ดวงใจฟูๆ ของหล่อนเหี่ยวแฟบลงไปเสียด้วยซ้ำ

“พี่ใหญ่เห็นรินเป็นแค่น้องสาวคนหนึ่งเท่านั้นเหรอคะ” เจ้าตัวถามกลับมาแกมตัดพ้ออย่างที่ชายหนุ่มเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี แต่เลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียดีกว่า

“ใครบอก... น้องรินเป็น ‘ตั้ง’ น้องสาวคนหนึ่งของพี่ต่างหาก”

“น้องรินน่าจะภูมิใจนะ รู้ตัวหรือเปล่า ตำแหน่งนี้พี่ไม่ได้ยกให้ใครง่ายๆ หรอกนะ ก็มีแต่น้องรินคนเดียวนี่แหละที่พี่จะยอมยกให้เสียคนน่ะ” ชายหนุ่มบอกยิ้มๆ อย่างพยายามงอนง้อและเอาใจคนขี้ใจน้อยที่บัดนี้กำลังทำป่องใส่เขาอย่างที่เจ้าหล่อนมักจะทำเป็นประจำเสมอยามที่เขาเกิดขัดใจหล่อนขึ้นมา

ดาริกากัดริมฝีปากมองค้อนคนตัวสูงที่แกล้งทำเป็นพูดเฉไฉเพื่อหลบเลี่ยงประเด็นอย่างนึกขัดใจ แม้จะไม่แน่ใจนักแต่หล่อนก็เชื่อว่าภาณุวัฒน์ไม่น่าจะซื่อขนาดเดาความหมายในประโยคซ่อนความนัยของหล่อนไม่ออก และถ้าดูจากนัยน์ตาคมกริบคู่นั้นแล้ว หล่อนคิดว่าพี่ชายใหญ่ของหล่อน ’รู้ดี’ เลยเชียวล่ะ
คิดแล้วมันน่าโมโหนัก ทั้งๆ ที่ภาณุวัฒน์ก็จะพอรู้ความในใจของหล่อนอยู่บ้างแล้ว แต่ก็ยังทำมาเป็นหลบเลี่ยงกันด้วยมุขบ้านๆ อย่างนี้อีก คิดว่าดาริกาเด็กนักหรือยังไง หล่อนโตเป็นผู้ใหญ่มาตั้งนานแล้วนะ นานพอที่จะคิดรักใครสักคนฉันชู้สาวได้แล้วก็แล้วกัน

ถ้าเขาคิดว่าจะปฏิเสธดาริกาได้ง่ายๆ ได้ด้วยคำพูดเพียงเท่านี้ ภาณุวัฒน์ก็ประเมินหล่อนผิดไปเยอะเลยเชียวล่ะ

“ทำไมทำหน้างอขนาดนั้นล่ะ หรือว่าน้องรินไม่อยากเป็นน้องสาวของพี่แล้วฮึ”

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางลงบนเส้นผมที่หยิกเป็นลอนน้อยๆ ตามธรรมชาตินั้นก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเดียวกับที่เด็กชายภาณุวัฒน์เคยถาม ‘ยัยน้องรินขี้งอแง’ ของเขาอยู่บ่อยๆ เวลาที่เจ้าตัวเล็กเกิดทำท่าเหมือนโกรธเคืองเขามากมายขึ้นมา

“เอาเถอะค่ะ น้องรินสัญญาว่าวันหนึ่งน้องรินจะทำให้พี่ใหญ่เปลี่ยนใจเอง” เจ้าหล่อนหันไปบอกคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจเต็มที่ ใบหน้างามนั้นเชิดขึ้นน้อยๆ อย่างคนที่มุ่งมั่นจะเอาชนะ

“น้องริน... พี่...” ชายหนุ่มพยายามจะพูดจะอธิบายอะไรหลายๆ อย่างแต่เขาก็พูดไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือจะเริ่มต้นจากตรงไหนดี

“วันนี้น้องรินไม่อยากคุยกับพี่ใหญ่แล้ว น้องรินกลับก่อนนะคะ แล้วเดี๋ยววันหลังจะแวะมาหาใหม่” ดาริกาตัดบทฉับอย่างคนที่เคยทำอะไรตามใจตัวมาเสมอ แต่ถึงกระนั้นก็ยังส่งรอยยิ้มสดใสให้ชายหนุ่มในตอนท้าย

“พี่ใหญ่ก็ดูแลตัวเองดีๆ นะคะ อย่าเศร้ามาก น้องรินเป็นห่วง แล้วก็ฝากลาคุณป้าด้วยนะคะ”
ทิ้งท้ายไว้แค่นั้นเจ้าตัวก็เดินตัวปลิวไปยังรถสปอร์ตคันจิ๋วที่จอดเอาไว้ไม่ไกลจากจุดที่ยืนคุยกันอยู่มากนัก

ส่วนภาณุวัฒน์เองก็ได้แต่มองตามร่างบางที่ก้าวฉับๆ จากไปด้วยความรู้สึกที่ชักจะว้าวุ่นใจขึ้นเรื่อยๆ
เห็นท่าทาง ‘เอาจริง’ ของคนที่ถูกยกให้เป็นน้องสาวของเขาแล้ว ภาณุวัฒน์ยอมรับตรงๆ ว่าเขาอดจะหนักใจขึ้นมาไม่ได้เลยจริงๆ








ณนวล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2555, 00:39:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2555, 00:39:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1235





<< ♥ บทที่ 7   ♥ บทที่ 9 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account