รถด่วนขบวนสุดรัก
ชีวิตนี้เคยต้องรออะไรนานๆ มั้ยคะ โดยเฉพาะรอดูว่าเมื่อไหร่พ่อเนื้อคู่ตุนาหงัน โซลเม็ทของฉันจะโผล่มาเซอร์ไพรส์ในชีวิตจริงเสียที เพราะนั่งรอ นอนรอ ตบยุงรอมาก็หลายปีดีดักแล้ว รอไปก็กังวลไป สงสัยว่าชาตินี้ฉันคงจะได้ขึ้นคานแหงๆ
การรอคอยบางทีทรมานกว่าผลลัพธ์ แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีเหมือนรถด่วนขบวนสุดรักขบวนนี้ บางที...การ (อดทน) รอก็อาจจะให้ดอกผลที่น่าชื่นใจกว่าก็ได้
อย่าไปกังวลเลยค่ะว่าเราจะไปไม่ทันรถด่วนขบวนสุดท้ายหรือเปล่า ขอให้พากันสมัครใจไปกับ รถด่วนขบวนสุดรัก กันดีกว่า


Dear someone,

If love (still) kept you standing at the station when the last train's gone by…, then I thought maybe walking was better ‘coz we were the master of our choices.

So, do you wanna walk…?


Tags: เนื้อคู่ รถด่วนขบวนสุดท้าย ณนวล มัชฌิชา ภาณุวัฒน์

ตอน: ♥ บทที่ 9

เสียงเคาะประตูหนักๆ ดังติดกันสองสามครั้ง มัชฌิมาเงยหน้าขึ้นมาจากนิตยสารเล่มหนาหนักที่กำลังอ่านบทสัมภาษณ์ของใครคนหนึ่งค้างอยู่ก่อนจะลุกเดินไปที่ประตูช้าๆ อิดออด

ใจจริงหล่อนไม่นึกอยากจะเปิดประตูบานนี้ให้ใครบางคนเข้ามาเล้ย... ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะแม่เพื่อนรักเพื่อนเลิฟโทรมาสั่งเสียงเข้มเอาไว้ตั้งแต่เช้าแล้วล่ะก็หล่อนไม่มีทางจะเปิดประตูรับอีตาภาณุวัฒน์ให้เข้ามาในที่พักของหล่อนเป็นเด็ดขาด

ยัยปอก็เหลือเกินเลยจริงๆ ไม่รู้ว่าไปนึกถูกชะตากันมาแต่ชาติปางไหน ทำไมถึงได้วางใจอีตานี่ได้ง่ายดายนักก็ไม่รู้ สงสัยแม่เพื่อนตัวดีจะไม่เคยนึกเป็นห่วงสวัสดิภาพของหล่อนสักนิดเลยกระมัง นี่ถ้าหากว่าผู้ชายที่ยังยืนอยู่อีกฝากหนึ่งของประตูกั้นไม่ได้เป็นคนดิบคนดีอะไรอย่างที่ใครๆ คิดจะเกิดอันตรายอันใดขึ้นแก่หล่อนบ้างก็ไม่รู้

...นึกแล้วมันก็น่าแค้นใจเสียจริงๆ

ภาณุวัฒน์กำลังจะยกมือเคาะประตูเป็นหนสองอยู่พอดีตอนที่แม่สาวหน้าตาบูดบึ้งผู้เป็นเจ้าของห้องชุดห้องนี้ดึงประตูเปิดผลัวะเข้าไปราวกับกระชาก ชายหนุ่มพยายามส่งยิ้มทักทายแม่สาวหน้าบึ้งตรงหน้าอย่างเป็นมิตรพลางนึกเอาว่าตัวเองคือทูตสันถวไมตรีชั้นหนึ่ง แต่ทว่าไม่บังเกิดผลใดอย่างที่เขาแอบหวังกับหญิงสาวคนนี้เลยสักนิด

“สวัสดีครับ คุณมัช ผมมารับตามสัญญาแล้วนะฮะ”

“ฉันยังไม่เสร็จธุระ คุณรอก่อนก็แล้วกัน หรือถ้าไม่อยากรอก็กลับไปก่อนเลยก็ได้ ห้องเสื้อ ‘มนสิตา’ ที่คุณบอกฉันเองก็พอจะรู้จัก คิดว่าไปเองถูกค่ะ”

มาถึงก็ออกปากไล่กันเลยทีเดียว เขานึกเอาไว้อยู่แล้วไม่มีผิด ซื้อหวยทำไมไม่ถูกอย่างนี้บ้างก็ไม่รู้ ภาณุวัฒน์นึกอยู่ในใจเมื่อฟังคำต้อนรับขับสู้อันสุดแสนจะมีน้ำใจไมตรีของเจ้าหล่อนจบ

“ไม่เป็นไรนี่ฮะ ทำธุระของคุณไปก่อนเถอะ ผมรอได้” ชายหนุ่มตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มซื่อๆ ที่ปั้นมาอย่างดิบดี ทำเอาเจ้าหล่อนโกรธจนเกือบควันออกหูก่อนจะสะบัดหน้าพรืดเดินเข้าไปข้างใน

ภาณุวัฒน์ถือวิสาสะรับคำเชิญที่ไม่มีร่องรอยของความเต็มใจด้วยการเดินตามหลังหญิงสาวเจ้าของห้องไปต้อยๆ วันนี้มัชฌิมาอยู่ในชุดลำลองแบบสบายๆ เสื้อยืดแขนกุดสีเขียวอ่อนกับกางเกงขาสามส่วนสีเขียวเข้มเหมือนเจ้าตัวตั้งใจจะอยู่บ้านทั้งวันมากกว่าจะออกไปไหน แต่ก็ไม่แน่ บางทีนี่อาจจะเป็นสไตล์การแต่งตัวของเจ้าหล่อนก็ได้

พอมาถึงโซนห้องนั่งเล่นกึ่งๆ ห้องรับแขก หญิงสาวก็เดินไปทรุดนั่งลงบนโซฟาสีแดงครีมตัวหนึ่งก่อนจะหยิบเอานิตยสารที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาอ่านต่อเหมือนกับว่านั่นถือ ‘ธุระ’ ที่สำคัญมากจนเจ้าหล่อนไม่อาจเสียเวลามาสนใจไยดีกับภาณุวัฒน์ต่อไปได้อีก

มัชฌิมาทำราวกับชายหนุ่มที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างๆ ไม่ได้มีความหมายต่อหล่อนเลยสักนิด แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่หล่อนทำนั้นเป็นมารยาทที่แย่มากเพียงใด ในฐานะที่หล่อนเป็นเจ้าของบ้านและเขาเองก็เป็นแขก แต่คิดอีกทีก็ช่วยไม่ได้ เขาอยากเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญของหล่อนเองนี่นา ทำไมมัชฌิมาจะต้องสนด้วยล่ะ อย่างดีก็แค่ทำให้ชายหนุ่มไม่อยากคบค้าสมาคมกับหล่อนอีกต่อไป ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่หล่อนต้องการเป็นที่สุด หรืออย่างร้ายหล่อนก็อาจจะต้องทนฟังยัยปอบ่นจนหูชาไปอีกสามวันแปดวันเท่านั้นเอง

ภาณุวัฒน์มองอาการกระดิกเท้าอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์ของหญิงสาวแล้วเกิดความรู้สึกท้าทายขึ้นมานิดๆ ก็ดีในเมื่อเจ้าหล่อนแสดงทีท่าว่าจะเอาชนะเขาให้ได้ เขาก็จะทำให้หล่อนได้รู้เองว่าคนอย่างภาณุวัฒน์ไม่ใช่เด็กอ่อนหัดที่จะยอมให้ใครมาล้มคว่ำได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครบางคนที่ว่าเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่สุดแสนจะเอาแต่ใจตัวเพียงคนหนึ่งเท่านั้น

เมื่อชายหนุ่มได้หมายมาดเอาไว้ในใจเช่นนั้นแล้วเขาก็ถือโอกาสทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกันกับหล่อนโดยเว้นที่ว่างเอาไว้เพียงแค่หนึ่งฝ่ามือเท่านั้น เป็นระยะที่ใกล้ชิดกันเสียจนหญิงสาวแทบสะดุ้งและโวยวายใส่เขาทันทีที่นั่งลงเลยเหมือนกัน ภาณุวัฒน์ได้แต่แอบยิ้มชอบใจกับแผนการอันชาญฉลาดของตัวเอง

มัชฌิมาหันขวับมาทำตาเขียวใส่ชายหนุ่มที่ถือวิสาสะมานั่งลงข้างหล่อน แถมยังจงใจทิ้งตัวลงมาเสียชิดจนหล่อนรู้สึกถึงกระไอร้อนผ่าวที่เกิดขึ้นระหว่างระยะห่างอันน้อยนิดนั้น

“นี่คุณ ที่นั่งมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมจะต้องมานั่งตรงนี้ด้วย” หญิงสาวโวยวายใส่หลังจากที่กระถดตัวหนีห่างจากชายหนุ่มที่ยังนั่งวางท่าเป็นทองไม่รู้ร้อนออกมาแล้ว

“อ้าว ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าตรงไหนนั่งได้ ตรงไหนนั่งไม่ได้ ก็คุณไม่เห็นบอกอะไรผมเลยนี่นา ผมก็เลยคิดเอาเองน่ะสิว่าอยากจะนั่งตรงไหนก็นั่งได้” เขาทำแก้ตัวเสียงซื่อแถมยังจงใจต่อว่าหล่อนอยู่กลายๆ หาว่าหล่อนเป็นเจ้าของบ้านที่ใช้ไม่ได้อีกด้วย

“แล้วผมก็เห็นว่าที่ตรงนี้ยังว่างอยู่ ...แถมยังได้อยู่ใกล้ๆ คุณอีกต่างหาก ผมก็เลยนั่งน่ะสิ” ภาณุวัฒน์แกล้งบอกพลางทำตาหวานเชื่อมใส่หล่อนหน้าตาเฉย

มันจะมากไปแล้วนะยะ ! มัชฌิมานึกโกรธพลางคิดในใจว่าถ้าโดนทุบสักตุ้บสองตุ้บอีตาหน้าตายนี่คงจะได้สติขึ้นมาบ้างหรอก จะได้เลิกมาทำหน้าซื่อกวนประสาทหล่อนอย่างนี้ซะที

“แล้วใครอนุญาตให้นายมานั่งใกล้ๆ ฉันได้ยะ ขยับออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ขยับออกไปนั่งตัวนู้นเลยไป”
มัชฌิมาตวาดเสียงแหวใส่ ทั้งผลักทั้งดันคนตัวสูงให้ถอยห่างออกไปจากโซฟาตัวที่หล่อนยึดครองอยู่

หากแต่ภาณุวัฒน์ทำเหมือนไม่สะดุ้งสะเทือนกับอาการผลักไสนั่นเลยสักนิด หล่อนนี่เหมือนเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง เอากระต่ายไปไล่ฉุดพญาช้างสารเลยแท้ๆ สุดท้ายพอทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ หญิงสาวก็เอานิตยสารเล่มหนาในมือนั่นแหละแทนอาวุธ

“โอ๊ย คุณ ! มันเจ็บนะเนี่ย” คราวนี้ภาณุวัฒน์เริ่มออกอาการสะดุ้งสะเทือนขึ้นมาบ้างแล้ว ก็ไอ้นิตยสารที่เจ้าหล่อนถือมาฟาดเขาเอาๆ มันหนักน้อยอยู่เสียเมื่อไหร่ ถึงจะตีลงมาไม่แรงเท่าไหร่แต่เจ้าตัวก็ตั้งใจเอาให้เจ็บเลยเชียวล่ะ

แม่เสือสาวขี้โมโหนี่ดุจริงๆ !

“ถ้าเจ็บก็ถอยออกไปสิ มานั่งเป็นเบื้ออยู่ทำไมล่ะ พูดดีๆ ไม่รู้เรื่อง ชอบให้ใช้กำลังนักใช่มั้ย” เจ้าตัวคนชอบใช้กำลังหยุดเจรจาความกับเขาก่อนชั่วครู่ แต่ภาณุวัฒน์ยังไม่มีทีท่าว่าจะถอยหนีตามที่หล่อนสั่งแถมยังยิ้มยั่วเป็นเชิงท้าทายหล่อนอีกต่างหาก

อีกลองดีนักใช่ไหม... มัชฌิมาคิดแล้วก็ลงมือฟาดท่อนแขนแข็งๆ ของคนช่างยั่วนั่นอีกชุด แต่คราวนี้แทนที่ภาณุวัฒน์จะปล่อยให้หล่อนตีเอาๆ อย่างใจไปเรื่อยๆ เขากลับพลิกตัวมาคว้าข้อมือบางๆ ทั้งสองข้างของหล่อนเอาไว้ นิตยสารเจ้าปัญหานั่นก็หล่นจากมือของหญิงสาวไปโดยอัตโนมัติ

“นี่ คุณ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”

เจ้าตัวออกคำสั่งทั้งที่ใจยังเต้นรัวเป็นกลองเพลอยู่ในอก อยู่ๆ อีตานี่จะเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ แล้วนี่ถ้าเกิดเขาโกรธจัดจนบันดาลโทสะฆ่าบีบคอหล่อนขึ้นมา มัชฌิมาไม่ต้องมาตายเปล่าเสียหรอกหรือ ถ้าพ่อของหล่อนรู้เข้าจะว่ายังไงบ้างหนอ ท่านจะเสียใจกับหล่อนบ้างหรือเปล่า... เป็นเพราะยัยปอคนเดียวเลยแท้ๆ ที่ชอบผลักไสหล่อนมาให้ผู้ชายหน้าเหี้ยม ใจโหดคนนี้นัก มัชฌิมาคิดอะไรวุ่นวายไปกันใหญ่ตามประสา

โอย หล่อนจะทำยังไงดีเนี่ย... อีตาหน้าโหดนี่ก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะปล่อยตามที่หล่อนบอกเลยสักนิด จะออกแรงดิ้นขัดขืนหรือก็กลัวว่าเขาก็ยิ่งใช้กำลังบังคับหล่อนไปกันใหญ่ มัชฌิมาจึงได้แต่มองคนตรงหน้าแววตาหวาดหวั่นค้างอยู่อย่างนั้น

ภาณุวัฒน์มองหญิงสาวที่กำลังทำตาปริบๆ ใส่เขาอย่างพินิจ ท่าทางเจ้าหล่อนคงจะกลัวเขาขนาดหนักจนไม่เหลือท่าแม่เสือสาวคนเมื่อกี้เลยสักนิด ตรงหน้าเขาตอนนี้มีเพียงลูกแมวเซื่องๆ ที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แหล่มิร้องไห้แหล่อยู่แล้ว ชายหนุ่มคิดพลางพยายามซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ในหน้า

พอเห็นอย่างนี้แล้วแทนที่ชายหนุ่มจะเกิดความสงสาร เขากลับนึกอยากแกล้งหล่อนมากยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นภาณุวัฒน์จึงยังไม่ยอมปล่อยหล่อนออกไปง่ายๆ แต่กลับโน้มตัวก้มหน้าลงไปใกล้เสียจนร่างบางต้องเอนตัวหนีเขาไปโดยอัตโนมัติ ทั้งที่ตอนนี้เจ้าตัวก็แทบจะพยุงตัวเอาไว้ไม่ไหวอยู่แล้ว ถ้าหากไม่เป็นเพราะว่าเขายังดึงรั้งร่างบางเอาไว้ เจ้าหล่อนคงลงไปนอนกับเบาะบนโซฟาแล้วแน่ๆ

“ปล่อยฉันสิคะ คุณภาณุวัฒน์” หญิงสาวพึมพำเสียงอ่อนเสียงหวานกับเขาอย่างที่เจ้าตัวไม่เคยทำมาก่อน ภาณุวัฒน์เกือบจะหลุดขำออกมาแล้วหากแต่กลั้นเอาไว้ได้

“เรื่องอะไรจะยอมปล่อยง่ายๆ เดียวคุณก็เอาหนังสือนั่นมาฟาดผมเข้าอีกปะไร จับตัวไว้อย่างนี้แหละดีแล้ว ค่อยดูคุณเซื่องเหมือนลูกแมวขึ้นมาหน่อย” ชายหนุ่มพูดอย่างคนที่ถือแต้มเหนือกว่า

“แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันนะ ถ้าคุณพูดจาเพราะๆ หวานๆ กับผมเหมือนเมื่อกี้นี้อีก ผมอาจจะยอมปล่อยให้ก็ได้ ว่ายังไงล่ะ มัชฌิมา...”

“คุณจะลองอ้อนผมดูหน่อยมั้ย” ประโยคนี้ชายหนุ่มก้มหน้าลงมาถามเสียจนเกือบชิดแก้มนวลนั้น มัชฌิมาหลับตาปี๋ รู้สึกเหมือนมีตัวอะไรวิ่งไต่ไปทั่วสันหลัง ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด

“คุณเอาหน้าออกไปไกลๆ ฉันหน่อยได้มั้ย...คะ ฉันอึดอัด”

หญิงสาวหลับหูหลับตาบอกเขาไป พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ร้องตะโกนใส่ มัชฌิมาบอกตัวเองให้อดทนทำเสียงอ่อนเสียงหวานกับชายหนุ่มไปก่อน แล้วถ้าหล่อนหลุดไปได้เมื่อไหร่ สัญญาเลยว่าจะต้องอัดอีตานี่คืนเสียให้หนัก

อย่าให้ถึงทีของมัชฌิมาบ้างก็แล้วกัน !

ทีแรกภาณุวัฒน์เองก็ไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินอะไรหญิงสาวเช่นนี้หรอก แค่คิดจะขู่ให้หล่อนกลัวเพียงเท่านั้น แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน พอได้เห็นแก้มแดงๆ ที่เริ่มซับสีเรื่อขึ้นเรื่อยๆ เช่นนั้นแล้วเขาก็เกิดอาการห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ทั้งที่พยายามอย่างยิ่งแล้วที่จะไม่ฝังจมูกลงไปบนเนื้อนวลนั้น

“ผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมมัชฌิมาว่าเป็นผู้หญิงอย่าทำเก่งกับผู้ชายน่ะ ...คุณจำได้หรือเปล่า”

มัชฌิมาขนลุกเกรียวกับเสียงกระซิบที่ดังอยู่ข้างๆ หูนั้น หัวอกหัวใจหล่อนเต้นแรงรัวราวกับจะประทุออกมาจากอก ไหนจะยังรอยสัมผัสจากปลายจมูกโด่งๆ ที่คลอเคลียเรี่ยผิวแก้มของหล่อนอีกต่างหาก ยิ่งหล่อนพยายามขยับหนีมากเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็ยิ่งทิ้งตัวลงมาใกล้ ร่างบางก็เลยทานน้ำหนักตัวที่ไม่ได้สมดุลเอาไว้ไม่อยู่ สุดท้ายเลยล้มลงไปนอนบนโซฟาตัวนั้นนั่นเอง คราวนี้หญิงสาวออกแรงดิ้นเป็นพัลวัน ไม่สนใจแล้วว่าจะยิ่งทำให้อีตาบ้านี่โกรธขึ้นมาอีกหรือเปล่า หล่อนไม่สนใจอะไรแล้วนอกจากจะทำยังไงก็ได้ให้เขาปล่อยหล่อนออกไปเสียที

“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ คนบ้า คนฉวยโอกาส ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ! ”

“ถ้าไม่ปล่อย ฉัน... ฉันจะฟ้องพี่เอก ฟ้องยัยปอว่าคุณลวนลามฉัน ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ได้ยินมั้ย บอกให้ปล่อยยังไงเล่า ไอ้บ้านี่” พอยิ่งดิ้นยิ่งออกแรง หญิงสาวก็ยิ่งร้องโวยวายเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ภาณุ
วัฒน์ก็เลยชักได้สติ

ชายหนุ่มนึกโกรธตัวเองอยู่เหมือนกันที่เผลอไผลไปล่วงเกินหญิงสาวเข้าอย่างนี้ ทีนี้แม่คุณคงเห็นเขาเป็นไอ้บ้ากามกันพอดี มันน่าเตะตัวเองนัก

“นี่คุณ ไม่ต้องร้องเสียงดังก็ได้ เดี๋ยวชาวบ้านเขาก็พากันแตกตื่นไปหมดหรอก คุณอยากให้ใครๆ พากันแห่เข้ามาดูเรานักหรือไง” ภาณุวัฒน์บอกเสียงดุ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาโกรธแม่สาวตรงหน้าหรือว่าโกรธ
ตัวเองมากกว่ากันแน่

“ไม่ต้องมาห้ามฉัน ฉันจะร้อง จะร้องให้มันบ้านแตกไปเลยจนกว่าคุณจะยอมปล่อยฉันนั่นแหละ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไอ้คนบ้า บอกให้ปละ...”

หญิงสาวเปล่งเสียงคำสุดท้ายออกมาได้ไม่ทันจบชายหนุ่มก็เปลี่ยนมาใช้มือข้างหนึ่งรวบข้อมือทั้งสองข้างของหล่อนไว้เหนือศีรษะ ส่วนมืออีกข้างก็กดลงมาปิดปากหล่อนเอาไว้ ทีนี้หญิงสาวเลยได้แต่มองเขาตาตื่นก่อนจะส่งเสียงโวยวายอู้อี้อยู่ในลำคออีกชุดใหญ่

“ผมจะปล่อยคุณนะ มัชฌิมา แต่คุณต้องสัญญาก่อนว่าจะไม่ร้องโวยวายอีก”
ชายหนุ่มลองเสนอเงื่อนไขแบบใช้ไม้อ่อนกับหล่อนดูก่อน แต่ดูเหมือนว่ามัชฌิมาจะไม่ยินดีรับข้อต่อรองใดๆ ทั้งนั้น เพราะเจ้าหล่อนยังคงส่งเสียงต่อต้านอึกอักอยู่ในคอ อีกทั้งยังพยายามดิ้นรนสุดแรงให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเขาออกไปให้ได้อีกต่างหาก

“ก็ได้ ถ้าคุณยังไม่หยุดดิ้น หยุดโวยวาย นอกจากผมจะไม่ปล่อยคุณแล้ว ...ผมก็จะปล้ำคุณจริงๆ ด้วย ไม่เชื่อก็ลองดูได้”

เมื่อเห็นว่าไม้อ่อนใช้ไม่ได้ผล ชายหนุ่มก็เปลี่ยนมาใช้ไม้แข็งที่มั่นใจว่าจะต้องได้ผลแน่ๆ กับหล่อนแทน แล้วก็จริงดังคาด หลังจากที่เจ้าหล่อนมองตาเขานิ่งๆ เหมือนจะหยั่งให้เห็นความจริงในใจคนพูดแล้วเจ้าตัวก็ยอมเงียบเสียงลงจนได้ ภาณุวัฒน์มองดูอาการยอมจำนนของหญิงสาวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถอนฝ่ามือออกมาจากริมฝีปากนุ่มนิ่มเต็มอิ่มนั้น

“ปล่อยฉันได้แล้ว” มัชฌิมาออกคำสั่งเสียงแข็ง ชายหนุ่มก็ยอมทำตามแต่โดยดี พยายามจะช่วยดึงแขนหญิงสาวขึ้นมาด้วยแต่เจ้าหล่อนชิงสะบัดออกเสียก่อน

“คุณกลับไปได้แล้ว แล้วทีหลังก็ช่วยจำไว้ด้วยว่าอย่าเอามือเค็มๆ ของคุณมาปิดปาก หรือแตะต้องตัวฉันอีก”

หญิงสาวเอ่ยปากไล่อย่างไม่เกรงใจเมื่อเจ้าตัวตั้งหลักได้และถอยออกไปยืนห่างเสียคนละมุมห้อง เป็นอาการที่เหมือนทั้งกลัวและรังเกียจ ภาณุวัฒน์รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในใจอย่างบรรยายไม่ถูก อาจเป็นเพราะว่าในชีวิตที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำกิริยาไม่เหมาะไม่ควรให้หญิงสาวคนไหนมาแสดงอาการหวาดหวั่นและรังเกียจเขาได้ถึงเพียงนี้

“ผมขอโทษนะฮะ คุณมัช ผมเสียใจจริงๆ ”

หญิงสาวมองดูแววตาสำนึกผิดของชายหนุ่มแล้วก็รู้สึกเหมือนใจจะอ่อนลงไปนิดหน่อย หากแต่หล่อนก็ยังไม่ยอมยกโทษให้เขาง่ายๆ ไม่อย่างนั้นถ้ายังคบค้ากันต่อไปหมอนี่ไม่ถือโอกาสหาเศษหาเลยกับหล่อนไปกันใหญ่เลยหรือ อีกอย่างแววตาสำนึกผิดของผู้ชายมันไว้ใจกันได้เสียที่ไหน หล่อนเองมีประสบการณ์ในเรื่องพวกนี้มามากพอเสียจนไม่อยากที่จะให้โอกาสใครอีกแล้ว

“เชิญคุณกลับไปได้แล้วค่ะ คุณภาณุวัฒน์ ฉันต้องการพักผ่อน” หล่อนออกปากไล่เขาซ้ำเป็นหนสอง ชายหนุ่มมองมาอย่างขอลุแก่โทษต่อหล่อนอีกครั้งก่อนจะลุกยืนขึ้นเต็มความสูง

“แล้ว... เรื่องชุดของคุณ” ก่อนจะเปิดประตูออกไปชายหนุ่มยังไม่วายหันมาถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกคะ ฉันไปของฉันเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้คุณพาไปหรอก”

“และหวังเป็นอย่างยิ่งนะคะว่าเราคงจะไม่ต้องมาเจอกันอีก อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงวันงาน”

มัชฌิมาเอ่ยตัดบทอย่างไม่เหลือเยื่อใยเลยจริงๆ ชายหนุ่มผงกศีรษะให้นิดหนึ่งเป็นเชิงว่ารับรู้และเข้าใจก่อนจะหันหลังเดินออกไป ถ้าสายตาหล่อนไม่ได้บิดเบือนไป แวบหนึ่งเหมือนแววตาเขาจะดูเศร้าเสียใจอย่างบอกไม่ถูก

เขาจะไปเศร้าเสียใจเรื่องอะไร หล่อนไม่ได้สลักสำคัญอะไรต่อเขาเสียหน่อย พ้นภาระจากหล่อนไปได้ เขาน่าจะยิ่งตีปีกดีใจเสียด้วยซ้ำ มัชฌิมาบอกตัวเองขณะเดินตามไปลงกลอนประตูห้องเสียแน่นหนา
ขณะที่เดินกลับมานั่งที่โซฟาตัวเดิม หญิงสาวก้มเก็บนิตยสารที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาแล้วก็อดจะนึกถึงเหตุการณ์ระทึกขวัญเมื่อครู่อีกไม่ได้ และไม่รู้ว่าเป็นด้วยเหตุผลกลใดอยู่ๆ หัวใจของหล่อนก็เต้นตึก ตึก เป็นจังหวะรัวถี่ ใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเฉยๆ

มัชฌิมายกมือขึ้นถูแก้มถูปากตัวเองอย่างหงุดหงิด พยายามอย่างยิ่งที่จะลบรอยสัมผัสของใครบางคนออก ลึกลงไปในใจแล้วหล่อนไม่ได้ทำเช่นนั้นด้วยอาการรังเกียจ หากแต่กำลังพยายามที่จะลบรอยวาบหวามที่ติดอยู่ในความรู้สึกของหล่อนออกไปให้ได้เสียทีต่างหาก

หญิงสาวเดินเข้าไปส่องกระจกในห้องน้ำ พบว่าทั้งแก้มและปากตัวเองเริ่มแดงเพราะแรงถูก็ยิ่งหงุดหงิดขัดใจเข้าไปใหญ่

เป็นเพราะนายคนเดียวแท้ๆ อีตาภาณุวัฒน์ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกเชียว ! มัชฌิมาเข่นเขี้ยวอยู่ในใจทั้งที่หล่อนก็ยังไม่รู้หรอกว่าถ้าหากได้เจอหน้าชายหนุ่มอีกครั้ง หล่อนจะไปทำอะไรเขาได้ แต่ถึงยังไงหล่อนก็จะขอผูกใจเจ็บเอาไว้อย่างนี้ก่อน พอให้ได้สบายใจ หายหงุดหงิดขึ้นมาบ้างเท่านั้นล่ะ
เจ้าหล่อนยังไม่รู้ตัวหรอกว่าใครบางคนที่หล่อนนึกผูกใจเจ็บหนักหนากำลังพยายามหาหนทางเข้ามาใกล้หล่อนอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าจะลงมือทำมาก่อนเลยเหมือนกัน

















ณนวล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 พ.ค. 2555, 00:44:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 พ.ค. 2555, 00:44:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1285





<< ♥ บทที่ 8   ♥ บทที่ 10 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account