ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว
Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ
ตอน: ไคโร (๕)
นวนิยายเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คแล้ว
+++++++++++++++
ห้องประชุมที่จองไว้ ภายในกว้างขวาง สะอาดตา เพดานเจาะเป็นหลุมลึกมีโคมรูปร่างคล้ายริ้วผ้าม่านคอยให้ความสว่าง กลางห้องเป็นโต๊ะประชุมไม้ขนาดยาว มุมมน จัดเก้าอี้หุ้มเบาะไว้ข้างละ ๑๔ ตัว ผนังฟากหนึ่งมีเครื่องทำน้ำร้อน เครื่องดื่มจำพวกกาแฟและชา ข้างๆ เป็นของว่างจำพวกผลไม้สดฝาน จัดวางอย่างเป็นระเบียบในถาดเครื่องแก้วสีเทอร์ควอยซ์
เครื่องปรับอากาศในห้องเปิดไว้เย็นฉ่ำ หากบรรยากาศกลับร้อนระอุผิดกัน อารีสและไอซิสนั่งอยู่คนละหัวมุมโต๊ะ ต่างเสหน้าออกคนละทาง เวลาผ่านไปนาน รอยขีดข่วนจากการต่อสู้ก็เริ่มเห็นเด่นชัด
ฝั่งอารีสมีอนัตตายืนอยู่ข้างๆ คอยระแวดระวังไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีก ส่วนฟากไอซิสมีหนุ่มแว่นทัดดินสอไม้ที่หู คอยจดๆ จ้องๆ สมาชิกคนอื่นยืนมองรอบนอก ส่วนวิลเลียมยืนกอดอกมองสองสาวระหว่างความยาวโต๊ะ สีหน้าเคร่งเครียดจนเห็นเส้นเลือดปูดบริเวณขมับ
“พวกเธอทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างหรือเปล่า?!” เสียงของชายหนุ่มแข็งกระด้างและเอาเรื่อง “ผู้จัดการโรงแรมเขาจะเอาเรื่องถึงตำรวจ ยังดีที่พูดคุยกันได้ แต่เราก็ต้องจ่ายค่าเสียหายให้เขาอยู่ดี เสียทั้งเงินเสียทั้งชื่อเสียง นี่ลงถ้าคุณเกียนทราบเรื่อง คงบานปลาย”
วิลเลียมโมโห หน้าแดงจัดลามถึงใบหู และด้วยความที่มีโครงร่างใหญ่อย่างชายชาวยุโรป เวลาที่เขาเกรี้ยวกราดเช่นนี้จึงดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่
“เป็นยังไงล่ะ” คราวนี้ไอซิสพูดแทรก ปรายหางตามาที่อารีสอย่างจงใจ “ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ คนบางคนเอามาร่วมกลุ่มก็มีแต่จะทำให้ยุ่งยากวุ่นวาย นายก็ไม่เชื่อ”
“ไอซิส!” วิลเลียมแทบตวาด อีกฝ่ายจึงส่งค้อนแล้วเสหน้าไม่พอใจออก หล่อนพูดขึ้นลอยๆ หากก็ดังพอที่วิลเลียมจะได้ยิน
“ฉันพูดผิดหรือยังไง”
“อารีสผิดก็จริง แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากเธอ เธอไปดูถูกอารีสเขาก่อน”
คราวนี้อารีสยิ้มที่มุมปาก ตวัดนัยน์ตาราวปลายแส้ส่งให้อีกฝ่าย เห็นไอซิสค้อนปะหลับปะเหลือก หากไม่สามารถทำอะไรได้ ก็รีบหาจังหวะยิ้มเย้ยไม่ให้วิลเลียมเห็น
สาวอียิปต์ได้แต่ขบปากเคี้ยวฟัน ทำท่าจะลุกขึ้น แต่ทันทีที่เห็นหน้าเพื่อนหนุ่มชาวอังกฤษ เจ้าหล่อนก็ต้องนั่งลงโดยปริยาย ส่วนอารีส ครั้นวิลเลียมหันกลับมามอง หล่อนก็รีบตีสีหน้าเรียบเฉย แต้มรอยเศร้าลงนัยน์ตาเล็กน้อย กระทั่งอีกฝ่ายเลิกสนใจ จึงหันไปหาอนัตตา เห็นชายหนุ่มส่งยิ้มพลางส่ายหน้า หญิงสาวก็ยักไหล่เลิกคิ้วเป็นคำตอบ
“คราวนี้ฉันจะยกโทษให้” วิลเลียมผ่อนลมหายใจ มองไอซิสสลับอารีสก่อนจะลดน้ำเสียงลง “แต่ถ้ามีคราวหน้า ไม่คนใดคนหนึ่งก็ต้องถูกปลดออกจากทีมแน่ แล้วฉันขอบอกตรงนี้ว่า ถ้าเกิดถูกปลดจากทีมระหว่างภารกิจด้วยเรื่องทะเลาะวิวาท คนๆ นั้นจะไม่ได้อะไรตอบแทนเลย”
คู่กรณีทั้งสองนิ่งเงียบ เสหน้าออกคนละทาง วิลเลียมที่ยืนดูได้แต่ทอดถอนใจ สักพักจึงหันไปหาหนุ่มแว่นซึ่งยืนข้างไอซิส
“หลุยส์” น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนลงไปกว่าครึ่ง และถ้าหูไม่ฝาด อารีสคิดว่าเสียงนั้นออกจะทุ้มนุ่มเสียด้วยซ้ำ “เดี๋ยวนายพาคนไปเอาของที่สำรวจได้มาที่ห้องนี้นะ อีกสักครู่คุณเกียนจะมาถึง เขาคงอยากดูว่าเราได้อะไรบ้างจากการสำรวจ อีกอย่าง...อารีสจะได้เห็นผ้าลินินผืนนั้นด้วย”
อารีสหันไปหาวิลเลียม เห็นหลุยส์รับคำแล้ววิ่งออกจากห้องประชุม มีสายตาเพื่อนหนุ่มชาวอังกฤษมองตามจนพ้นแผ่นหลังไป
‘ผ้าลินิน’
อยู่ๆ ความรู้สึกขุ่นเคืองจากการสะสางคดีของหล่อนกับไอซิสเมื่อครู่ก็ถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นกับเหตุการณ์ใหม่ หญิงสาวรับรู้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นเร็ว ความกระวนกระวายที่อยากเห็นโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ ยิ่งเป็นโบราณวัตถุจำพวกผ้า ไม่ใช่ผ้าธรรมดาด้วยสิ...หากแต่เป็นผ้าลินินผืนโบราณจากที่ตั้งเดิมของวิหารอาบูซิมเบล ในส่วนวิหารเล็กของพระนางเนเฟอตารี นั่นล่ะ...หล่อนยิ่งอยากเห็นกับตา
ตอนนี้วิลเลียมอนุญาตให้สมาชิกที่เหลือนั่งประจำที่ อนัตตาพยายามนั่งข้างอารีสไม่ห่าง ไม่ต่างจากวิลเลียมที่คอยขั้นกลางระหว่างคู่กรณีทั้งสอง
กระทั่งเสียงเปิดประตูดังขึ้นอีกรอบ วัตถุโบราณทั้งหลายก็ถูกคนงานทยอยนำเข้ามาวางบนโต๊ะประชุมโดยมีหลุยส์ นักโบราณคดีหนุ่มชาวฝรั่งเศสคอยดูแลควบคุม
“ทยอยเอาวางไว้บนโต๊ะเลยนะ” หลุยส์ออกคำสั่ง หากภาษาอาหรับสำเนียงฝรั่งเศสกลับทำให้มันน่าเอ็นดูมากกว่าน่าเกรงขาม “ระวังอย่าให้ตกล่ะ ของพวกนี้เรายังต้องส่งไปให้ทางการได้เห็นอีก”
อารีสนิ่งมองหลุยส์ เดอ มาแมร์ โดยรวมแล้วเขาไม่ใช่ผู้ชายร่างใหญ่อย่างวิลเลียม แม้จะไหล่กว้างอกผาย ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นตัวโคร่งกับกางเกงเอวสูง หากด้วยสัดส่วนความสูงที่เป็นรองกระทั่งไอซิส จึงทำให้เขาดูตัวเล็กและป้อมลงไปถนัด
นัยน์ตาหลังกรอบแว่นวงกลมเป็นสีเทา เข้ากับผมสีน้ำตาลทองตัดสั้น อาบน้ำมันแล้วหวีเรียบแปล้ ส่วนใบหน้ากว้าง รับสันกรามนูนกับคางบุ๋ม ผิวเนื้อขาวซีดอย่างชาวยุโรป หากสดใสเมื่อแต้มสีชมพูกลีบกุหลาบเอวีลีนที่พวงแก้ม
หลุยส์ดูคล้ายเด็กคงแก่เรียนที่ไม่ประสาเรื่องการแต่งตัว ดินสอไม้ที่ทัดหูอยู่ยิ่งทำให้เขาหลุดออกจากโลกของความเป็นจริง กลายเป็นพวกที่ชอบใช้สมองและเหตุผล แน่ล่ะ...อารีสไม่สู้จะชอบ ‘เหตุผล’ นัก บางครั้งหล่อนก็เบื่อหน่ายกับการที่ชีวิตต้องผูกติดกับเหตุผลนานัปการ
ของลำเลียงเสร็จเรียบร้อย หลุยส์ก็เดินกลับเข้าที่ มีวิลเลียมคอยเลื่อนเก้าอี้ให้
“เอ๋?!” หญิงสาวร้องขึ้นเบาๆ โคลงศีรษะขมวดคิ้ว นัยน์ตาหรี่มองวิลเลียมกับหลุยส์ซึ่งนั่งอยู่คู่กันด้วยความสงสัย กระทั่งหันกลับมองข้างๆ พบอนัตตากำลังจ้องมองตามก็สะดุ้ง
“มองอะไรเหรอคุณ” เขาถามพลางมองตาม “สงสัยอะไรเหรอ”
“เปล้า...ไม่มีอะไรเลย” หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่มี”
พูดจบก็ทำทีมองข้าวของบนโต๊ะ กวาดสายตาดูเครื่องใช้ทั้งกล่องไม้ หีบทองคำ ระหว่างนั้นก็ลอบมองวิลเลียมเป็นระยะ กระทั่งมาสะดุดตาหีบทองที่วางข้างหน้าหลุยส์ นั่นล่ะ...ความคิดฟุ้งซ่านทั้งมวลของหญิงสาวก็หยุดลงในทันที
‘หีบทองของพระนางเนเฟอตารี!’
หล่อนรู้ได้อย่างไร...ยากจะล่วงรู้ หากเพียงมองผ่านแวบเดียว สมองก็สั่งการอย่างรวดเร็ว หรืออาจเป็นอารมณ์ความรู้สึกภายในที่เป็นผู้บอกกล่าว
ไม่มีทางที่ของชิ้นนี้จะเป็นอื่น นอกเสียจาก ‘หีบทองของพระนาง’
ในอกของอารีสวูบไหว อ่อนยวบราวผิวน้ำเคลื่อน รับรู้ได้ถึงพื้นที่หัวใจซึ่งว่างเปล่า รอคอยการถูกเติมเต็ม และในหีบใบนั้นมีบางสิ่งที่หล่อนต้องการ
ระยะที่นั่งของหญิงสาวห่างจากหีบทองคำไม่มาก ใกล้พอที่หล่อนจะมองเห็นอักษรเฮียโรกลิฟิกได้ รอบๆ ตัวแม้จะมีเสียงพูด หากก็อื้ออึงเกินกว่าจะจับใจความ เหมือนการพูดผ่านห้วงน้ำ เสียงนั้นแตกซ่านฟังไม่ได้ศัพท์ หากเพียงเสียงเดียวที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง กลับเป็นเสียงพูดของใครบางคน และคำพูดเหล่านั้นก็ลอกจากจารึกอักษรภาพบนหีบถ้วนทุกคำ
[เทพธิดาแห่งเวทมนตร์และปรีชาญาณ เอเซ็ท...จะคุ้มครองสิ่งล้ำค่าที่อยู่ภายในหีบใบนี้
ด้วยพระอำนาจและพระเวทย์อันทรงฤทธิ์
ดวงตาวัทจัทของเฮรู เทวกษัตริย์ โอรสแห่งอูสิเรและเอเซ็ท
จะปกป้องจากภยันตราย ผองภัยและกาลเวลา
ตราบเท่านาน...คำสาปแช่ง คำอธิษฐาน จะยังคงอาบอยู่บนผ้าลินินผืนนี้
จวบ ‘พวกนาง’ ล่วงเข้าสู่มตภพดูอัต สู่การพิพากษาจนสำเร็จสิ้นจากเทวีแห่งความเที่ยงธรรม]
เสียงพูดนั้นทวนซ้ำไปมา โทนเสียงราบเรียบจนคล้ายการสวดวิงวอน แล้วฉับพลันอารีสก็ได้กลิ่นเครื่องหอมนานาชนิดคละคลุ้ง นัยน์ตาของหล่อนจับอยู่เพียงหีบทองใบนั้น ส่วนภาพอื่นหรือ...พร่าพราย
กลิ่นเครื่องหอมผสมผสานเสียงสวดตามจารึก ทำให้หญิงสาวคิดว่าหล่อนกำลังอยู่ในสักการสถานที่ใดที่หนึ่ง มีความรู้สึกอึดอัดอยู่ในอก หายใจไม่สู้คล่อง คล้ายจะขาดใจเสียด้วยซ้ำ
“ช่วยด้วย” อารีสพยายามร้อง หากเสียงของหล่อนแผ่วเหลือเกิน นัยน์ตาไม่อาจละจากหีบทองไปมองสิ่งอื่น เหมือนถูกบังคับตรึงสายตาด้วยหมุด มันดึงหล่อนเข้าไปใกล้เรื่อยๆ และยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไร เหงื่อเม็ดน้อยเม็ดใหญ่ก็ผุดพราย มือไม้สั่น หายใจไม่ออกจนจะเป็นลม
“อารีส!” เสียงเรียกทำให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ หีบทองเคลื่อนตัวออกห่าง หล่อนอ้าปากสูดอากาศราวกระหาย จากนั้นจึงกลับมาหอบหายใจหนักหน่วง ใบหน้าแดงจัดอยู่พักใหญ่
“เป็นอะไรไป” วิลเลียมถาม สายตามีแวววิตกปรากฏเด่นชัด ไม่ต่างจากอนัตตาและหลุยส์ หากไอซิสที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับแบะปาก ส่งสายตาเหยียดหยามมาให้หล่อน “อยู่ๆ ก็เห็นเธอนิ่ง ตัวนี่เกร็ง พวกเราตกใจแทบแย่”
“ฉัน...” อารีสพูดไม่ออก รู้สึกอ่อนแรงเหลือเกิน กระทั่งหันไปมองหีบทองเจ้ากรรม หล่อนจึงโพล่งออกมา “หีบ...จารึกบนหีบอ่านว่ายังไง”
ทุกคนหันมองหญิงสาวสลับหีบทองคำที่ยังวางนิ่งไม่มีใครแตะต้อง
“ฉันถามว่าจารึกบนหีบอ่านว่ายังไง” อารีสย้ำอีกครั้ง จนหลุยส์ต้องดึงหีบสลักอักษรภาพมาแปลความ อ่านออกเสียงให้หล่อนได้ยิน
“เทพธิดาแห่งเวทมนตร์และปรีชาญาณ ไอซิส...จะคุ้มครองสิ่งล้ำค่าที่อยู่ภายในหีบใบนี้ ด้วยพระอำนาจและพระเวทย์อันทรงฤทธิ์” หลุยส์อ่านบรรทัดแรกพลางมองอารีสด้วยความสงสัย หากหญิงสาวไม่ใส่ใจ หล่อนต้องการรู้เพียงอย่างเดียวว่าจารึกบนหีบนั้นเหมือนสิ่งที่หล่อนได้ยินหรือไม่
“ดวงตาวัทจัทของโฮรัส เทวกษัตริย์ โอรสแห่งโอซิริสและไอซิส จะปกป้องจากภยันตราย ผองภัยและกาลเวลา ตราบเท่านาน...คำสาปแช่ง คำอธิษฐาน จะยังคงอาบอยู่บนผ้าลินินผืนนี้”
“ท่อนสุดท้ายล่ะ!” อารีสพยายามเร่งหลุยส์ ทุกคนหันมองหล่อนเป็นตาเดียวด้วยความงุนงง “อักษรท่อนสุดท้าย”
“จวบ ‘พวกนาง’ ล่วงเข้าสู่แดนมรณะ สู่การพิพากษาจนสำเร็จสิ้นจากเทวีแห่งความเที่ยงธรรม” หลุยส์อ่านจนจบ ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับอารีสลุกขึ้นแล้ววิ่งอ้อมโต๊ะมาดูหีบทอง
หล่อนกระวนกระวาย สับสนและหวาดกลัว ครั้นมายืนอยู่หน้าหีบทองคำล้ำค่า ปลายนิ้วทั้งสิบที่ยังคงสั่นเทิ้มก็บรรจงสัมผัส รับรู้ถึงเสียงของตัวอักษรที่ดังออกมาอยู่เรื่อยๆ แม้จะแผ่วเบากว่าคราวแรก
“ไม่ใช่ไอซิส...แต่เป็นเอเซ็ท” อารีสรำพึง ปลายนิ้วสัมผัสอักษรภาพที่มีความหมายว่าบัลลังก์ จากนั้นจึงเลื่อนไปเรื่อยตามการอ่านของหล่อน “ไม่ใช่โฮรัส...แต่เป็นเฮรู ไม่ใช่โอซิริส...แต่เป็นอูสิเร”
“ออ...นั่นเป็นชื่อของเหล่าเทพในภาษาอียิปต์โบราณ” หลุยส์ออกความเห็น หากดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้ยินมัน
“ตรงนี้...แดนมรณะ มตภพดูอัต สู่การพิพากษาจากเทวีมาอัต” พอหล่อนอ่านจบ เสียงแว่วที่เคยได้ยินเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาก็ดังขึ้นอีกรอบ จากความฝันสู่ความเป็นจริง ชัดเจนและแจ่มแจ้ง
‘ข้าบริสุทธิ์ เทวีมาอัตทรงเป็นพยานแห่งคำสัจนั้นได้...’
“ข้างในหีบนี้เป็นผ้าลินินที่ฉันอยากให้เธอช่วยตรวจสอบยังไงล่ะ” วิลเลียมแทรกขึ้น จากนั้นจึงเอื้อมมือไปเปิดฝาหีบทองคำให้อารีสดู
ภายในหีบมีม้วนผ้าลินินผืนงามปรากฏ มันยังคงขาวสะอาดราวเพิ่งถักทอเสร็จไม่นาน ไม่ควรจะเป็นหลักฐานทางโบราณคดีอายุกว่า ๓,๐๐๐ ปีด้วยซ้ำ แต่ที่น่าประหลาดยิ่งกว่า เหมือนอารีสจะได้ยินเสียงสวดวิงวอนจากผ้าผืนดังกล่าว ทุกถ้อยถ้วนคำราวดังออกมาจากเส้นใยของผ้า เรียงร้อยผูกความจนเหมือนคำอธิษฐานและวิงวอน
‘ด้วยพระอำนาจและพระเวทย์อันทรงฤทธิ์ จะปกป้องจากภยันตราย ผองภัยและกาลเวลา’
เสียงเหล่านั้นดังออกมาจากม้วนผ้าลินินโบราณ แต่ละคำแต่ละประโยค ราวใยผ้าสีขาวสะอาดสอดเส้นทองจะกระตุกไหววูบ ทอแสงมลังเมลืองตามจังหวะเสียงพูด ราวกับว่ามี ‘ชีวิต’ และ ‘จิตวิญญาณ’ สิงสู่อยู่ภายใน
‘คำสาปแช่ง คำอธิษฐาน จะยังคงอาบอยู่บนผ้าลินินผืนนี้ จวบ ‘พวกนาง’ ล่วงเข้าสู่มตภพดูอัต สู่การพิพากษาจนสำเร็จสิ้นจากเทวีแห่งความเที่ยงธรรม’
จบท่อนดังกล่าว เสียงวิงวอนอย่างโหยหวน เยียบเย็น เสียดลึกลงในหัวใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง
‘ข้าบริสุทธิ์ เทวีมาอัตทรงเป็นพยานแห่งคำสัจนั้นได้...’
แล้วฆ้องยักษ์ก็ดังกระหึ่มตอนท้าย อารีสเอามือปิดหู กรีดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงนั้นแหลมสูงราวจะฉีกเยื่อแก้วหูออกเป็นชิ้นๆ หลุยส์ที่ยืนข้างๆ รีบวิ่งเข้าไปประคองเมื่อร่างของหล่อนซวนเซแล้วล้มหงาย สีหน้าซึ่งขาวนวลบัดนี้แดงจัดอีกรอบ หัวคิ้วขมวดกันแน่นราวปมเงื่อน มือที่กุมใบหูสั่นสะท้านจนน่ากลัว อนัตตาและวิลเลียมวิ่งเข้ามาสมทบดูอาการ มีสมาชิกคนอื่นยืนมุงด้วยความตระหนก แม้แต่ไอซิสที่ไม่สู้ลงรอยก็ยืนนิ่ง มองดูหญิงสาวด้วยความหวาดหวั่น
เสียงฆ้องยักษ์กระหึ่มอีกหน เหมือน ‘ใคร’ จงใจแกล้งตี เสียงพูดตามคำจารึกก็ยิ่งดังเป็นเท่าตัว เสียงคำวิงวอนต่อเทวีมาอัตนั่นอีก มันกำลังจะ ‘ฆ่า’ อารีส
“หยุดที! ฉันบอกให้หยุดมันที!” อารีสกรีดเสียงร้อง ดิ้นทุรนทุรายอยู่ในอ้อมแขนของหลุยส์ น้ำตาไหลพรากจากหางตาอาบสองแก้ม สองมือปิดหูไว้แน่น แต่เพราะอะไรกัน...เสียงจากหีบและผ้าลินินในนั้นถึงดังเหลือเกิน ดังจนแก้วหูหล่อนจะฉีกหมดแล้ว
“อารีสทำใจดีๆ ไว้ ใครก็ได้ไปตามพยาบาลมาที” วิลเลียมร้องบอกเหล่าสมาชิกที่ยืนมุง คนหนึ่งพยักพเยิดรับคำ ตั้งใจจะเปิดประตูออกไปแจ้งพยาบาลประจำโรงแรม ทว่าบานประตูกลับเหวี่ยงตัวเปิดออกเสียก่อน
ผู้มาใหม่กลับกลายเป็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่อารีสไม่เคยเห็น และประหลาดเหลือเกิน...เพียงการปรากฏตัวของหนุ่มใหญ่ผู้ประดับเข็มกลัดทองคำบนปกเสื้อสูทสีดำ เสียงรบกวนทั้งหมดก็มลายหายในพริบตา
+++++++++++++++++++++++
เขาชื่อ อีริค เค เกียน เป็นเศรษฐีชาวอเมริกัน มีหน้าที่สำคัญในโครงการการขุดสำรวจที่ตั้งเดิมของวิหารอาบูซิมเบลซึ่งจมอยู่ใต้ทะเลสาบนัสเซอร์
เขาเป็น ‘นายหน้า’ ผู้ประสานงานติดต่อระหว่างคณะสำรวจกับบริษัทเนบที เป็นหนุ่มใหญ่รูปร่างบึกบึน อกผายไหล่ผึ่ง ผิวขาวซีดนั้นประปรายด้วยกระบางๆ ตามมือและใบหน้า กระนั้นก็ไม่อาจลบเลือนความมีเสน่ห์และความหล่อเหลาที่เขามีแต่เดิม
โครงหน้าคนสันได้รูปรับจมูกโด่งเชิด มีนัยน์ตาสีเทากับผมสีบรอนซ์ทองตัดสั้นประกอบให้โดดเด่น ริมฝีปากสีชมพูธรรมชาติยิ่งเพิ่มเสน่ห์ความน่าดึงดูด หากนั่นไม่ได้ทำให้อารีสสนใจเขามากไปกว่าเข็มกลัดบนปกเสื้อสูทด้านซ้าย
“คุณสนใจมันเหรอ” อนัตตาที่นั่งข้างๆ หล่อนกระซิบ หญิงสาวจึงพยักพเยิด
“ฉันอยากรู้ว่ามันคืออะไร”
“อีกิส” ชายหนุ่มตอบ แอบชำเลืองมองอีริค ขณะที่เขากำลังรับฟังรายงานการสำรวจจากวิลเลียมอย่างมีสมาธิ ข้างๆ มีเลขาหนุ่มในชุดสูทคอยจดบันทึกรายงานลงคอมพิวเตอร์พกพาอย่างขมีขมัน “มันคือเข็มกลัดแห่งอีกิส”
“อีกิสเหรอ?!” หญิงสาวขมวดคิ้ว แอบชำเลืองเข็มกลัดรูปโล่บนปกเสื้ออีกครั้ง
“เป็นเครื่องรางหายากครับ เรียกได้ว่าหายากมาก ดูจากรูปพรรณสัณฐาน เดาว่าน่าจะเป็นของโบราณ เครื่องรางรูปโล่ ครึ่งวงกลม ไม่ใหญ่มากหรอกครับ ส่วนใหญ่ทำด้วยทองคำ” ชายหนุ่มอธิบายให้หล่อนฟัง “ด้านบนมีรูปเทวีมัต เทวีแห่งท้องฟ้า ฝั่งซ้ายและขวาเป็นงูเห่าแผ่พังพานกับนกแร้งสัญลักษญ์แห่งอียิปต์บนและอียิปต์ล่าง เขาเชื่อว่าอีกิสเป็นเครื่องรางที่ช่วยปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากวิญญาณชั่วร้าย”
“แสดงว่าเขาคงกระเป๋าหนักพอดู” อารีสแสดงความคิดเห็น หากใจจริงกำลังคิดว่าสิ่งที่ทำให้หล่อนแทบตายเมื่อครู่คือสิ่งชั่วร้ายหรอกหรือ ครั้นหล่อนเห็นเครื่องรางอีกิส อาการทั้งปวงจึงอันตรธานหายชั่วพริบตา
“ครับ” อนัตตาเห็นด้วย “อีกิสเป็นเครื่องรางหายาก แค่ดูก็พอจะรู้ว่าเป็นของโบราณ เก่าแก่ อาจจะได้มาจากตลาดมืดในไคโร อีกอย่าง...ผมว่าเขาทำงานให้เนบที จะมั่งมีก็คงไม่แปลก”
คราวนี้อารีสหันไปหาชายหนุ่ม เอียงหน้ามอง สงสัยในน้ำเสียงเมื่อครู่ เหมือนเขาไม่สู้จะชอบเนบทีนัก ทีท่าขมวดคิ้วเป็นปม จดจ้องเครื่องรางบนปกเสื้อของอีริคแทบไม่วางตานั่นอีก
“ดูคุณไม่ชอบเนบที มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มสบนัยน์ตาหล่อนแล้วยิ้ม มองแวบเดียวอารีสก็ดูออกว่าเป็นการกลบเกลื่อน
“เอ่อ...เปล่าหรอกครับ ผมก็พูดไปตามที่เห็น” พูดจบก็เกาหัวแก้เก้อ หลบสายตาหล่อนเสีย ครั้นหญิงสาวจะคุยต่อ ก็ประจวบเหมาะพอดีที่วิลเลียมรายงานจบ อีริคจึงหันมาหาสมาชิกทุกคน กวาดตามองก่อนมาหยุดลงที่อารีส
“สบายดีแล้วนะ...ดอกเตอร์ เห็นว่าจะเป็นลม คงเพราะเดินทางไกล” น้ำเสียงฟังดูแล้วทรงอำนาจ หากก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ในเวลาเดียวกัน ไม่อย่างนั้นไอซิสก็คงไม่จดจ้องเป็นหมุดตรึงกระดาน ยิ่งกว่า...ประกายระยิบระยับในดวงตายังเด่นชัดจนอารีสรู้สึกได้
“ดีขึ้นแล้วค่ะ” น้ำเสียงของหญิงสาวสดชื่น พยายามพูดพลางยิ้มพลาง ส่งสายตาอ่อนหวานให้อีริค ครั้นชำเลืองเห็นการค้อนปะหลับปะเหลือกจากคู่อริของหล่อน จึงเข้าใจ
ชัดเจนที่สุด...ไร้ข้อกังขา
กับอีริค อารีสไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าผู้ร่วมโครงการ เป็นนายหน้าให้แก่บริษัทเนบที ภาคเอกชนยักษ์ใหญ่ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในโครงการ นอกจากนั้นหนุ่มใหญ่ก็ไม่ได้อยู่ในความคิด การส่งสายตาแล้วยิ้มหวานก็เพื่อจะดูปฏิกิริยาของไอซิสเท่านั้น
“อย่างนั้นก็ดีเลยครับ จะได้มาช่วยทีมสำรวจอีกแรง” เขายิ้ม จากนั้นจึงขอตัวกลับเพื่อนำผลที่ได้เตรียมรายงานให้ทางบริษัทเนบทีได้ทราบ พร้อมกันนั้นก็ระบุกำหนดการณ์คราวหน้าที่อัสวาน สถานที่ซึ่งเป็นจุดขุดสำรวจ
วิลเลียมสั่งเลิกประชุมและขอตัวออกไปส่งอีริค โดยมีไอซิสอาสาไปด้วยอีกคน ส่วนหลุยส์จัดการให้คนช่วยขนของทั้งหมดกลับไปยังห้องของเขาเพื่อนำไปจัดการตรวจสอบต่อ เว้นเสียแต่ผ้าลินินผืนโบราณที่ทิ้งให้แก่อารีส
อารีสพยายามเพ่งมองม้วนผ้าอีกครั้ง หากคราวนี้ไม่ได้ยินเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก ผ้ายังคงเป็นผ้า ไม่มีการตอบสนองหรือเคลื่อนไหวใดๆ ให้เห็น ท้ายที่สุดหล่อนจึงจัดการคลี่ม้วนผ้าลินินออกไปตามความยาวของโต๊ะ แล้วนำมวนกระดาษที่เตรียมไว้ เป็นแกนสำหรับการม้วนเก็บผ้าลินินผืนดังกล่าวให้เข้าที่
“ผมตกใจแทบแย่ตอนเห็นคุณล้ม คิดว่าเป็นลมไปแล้ว” อนัตตาที่อยู่คอยช่วยเหลือหลุยส์และอารีสชวนคุย ขณะหญิงสาวกำลังม้วนผ้าลินินเข้าตามแกนกระบอก
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ ก็คงอย่างที่มิสเตอร์อีริคบอก ฉันคงเดินทางไกลแล้วก็พักผ่อนน้อยด้วย”
อารีสไม่ได้บอกความจริงเรื่องการได้ยินเสียงกับใคร หล่อนบอกทุกคนเพียงรู้สึกจะเป็นลม และที่กรีดเสียงร้องออกไปก็เพราะเกิดหูอื้อกะทันหัน ทุกคนเองก็เชื่อ ทั้งยังลงความเห็นว่าคงเพราะการเดินทางอันแสนยาวไกล ร่างกายยังปรับสภาพไม่ได้เมื่ออยู่ต่างแดน
เว้นเสียแต่ไอซิสที่กระซิบข้างหูตอนช่วยกันพยุงหล่อนขึ้นนั่งเก้าอี้
‘พวกฮีสทีเรีย ชอบเรียกร้องความสนใจ’
อันที่จริงหล่อนก็โกรธอยู่ ถ้าไม่เกรงจะถูกวิลเลียมคาดโทษ อารีสว่าจะกระโดดจิกหัวตบแล้วกัดหูอีกฝ่ายให้ขาดสักข้าง แต่เพราะทำไม่ได้นี่ล่ะ หล่อนจึงได้แต่ส่งค้อนวงใหญ่ไปให้แทน
“ว่าแต่ทำไมต้องม้วนผ้าเก็บอย่างนี้เหรอครับ” เขาชวนคุยไปเรื่อยๆ หล่อนเองก็ไม่เกี่ยงงอนที่จะอธิบายให้ฟัง
“ผ้าทั้งหลายต่างก็ทอจากเส้นใยค่ะ เส้นใยเองก็มีหลายชนิด ทั้งเส้นใยที่ทำจากพืช จากสัตว์ จากแร่ธาตุหรือกระทั่งเส้นใยสังเคราะห์” หญิงสาวว่าพลางบรรจงม้วนผ้าลินินจนหมดผืน จากนั้นจึงหันไปหยิบถุงผ้าขนาดยาวเท่าแกนกระดาษขึ้นมา “บางอย่างหักงอได้ง่าย อย่างเส้นใยที่ทำมาจากทองคำ เขาจึงมีวิธีเก็บเพื่อรักษาเส้นใยผ้าด้วยวิธีการม้วนกับแกนแทนวิธีการพับ ทำให้ผ้าคงทนมากขึ้น ไม่ชำรุดเอาง่ายๆ”
“ทองเหรอครับ” น้ำเสียงของชายหนุ่มสงสัยยิ่งยวด “ทองก็เอามาทำเป็นใยผ้าได้ด้วยเหรอ”
“ค่ะ” อารีสยิ้ม สองมือค่อยๆ หย่อนม้วนผ้าลินินลงถุงผ้าอย่างเบามือ “ใยผ้าที่ทำจากทองจริงๆ มีนะคะ อย่างของไทยเราก็เช่นพวกผ้าตาดทอง เขาเอาทองมาตีเป็นเส้นเล็กๆ หุ้มไหม เรียกทองแล่ง ใช้ทอเป็นผ้าสำหรับเจ้านาย แต่ถ้าใช้แร่เงินตีเป็นเส้นหุ้มไหม ก็เรียกเงินแล่ง ทอเป็นผ้าจะเรียกผ้าตาดเงิน ส่วนพวกผ้าที่ใช้ทองแล่งหรือเงินแล่งทอกับเส้นไหมสีที่มีเนื้อไหมปริมาณมากๆ เขาเรียกว่าตาดระกำไหมค่ะ”
ตอนนี้ในห้องประชุมว่างเปล่า หลุยส์จัดการข้าวของเรียบร้อย เหลือเพียงอารีสและอนัตตาที่เพิ่งเก็บผ้าเสร็จเมื่อครู่
ทั้งสองเดินออกจากห้องประชุมไปตามโถงทางเดินของโรงแรม อารีสยังคงเล่าเรื่องราวของผ้าต่อไปอย่างออกรส อนัตตาที่ยืนมองหล่อนรู้สึกได้ถึงความเบิกบานและความสุขระยิบระยับในดวงตาคู่งามขณะเล่าเรื่อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอิ่มเอม และเนื้อหาสาระดังกล่าวก็ยืนยันว่าหล่อนเองไม่ได้ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลทุกครั้งไป
“คุณอารีสนี่เก่งจังนะครับ” เขาชม ก่อนจะวกกลับมาเรื่องผ้าลินินที่อยู่ในมือ “ว่าแต่ผ้าอียิปต์ล่ะครับ มีการผสมทองคำด้วยหรือเปล่า”
คำถามดังกล่าวทำให้อารีสนิ่ง หล่อนหันซ้ายแลขวาราวกับเกรงใครจะมาได้ยิน กระทั่งพบว่าโดยรอบปลอดคน จึงฉุดแขนชายหนุ่มพาเดินไปหลบมุมของโถงทางเดิน
“ก็ผ้าลินิน ผืนที่อยู่ในมือของฉันนี่ยังไง” หล่อนกระซิบ
“จริงเหรอครับ” อนัตตาหันมองถุงผ้าในมืออารีส ตาโตคาดไม่ถึง
แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะครั้งแรกที่เขาได้เห็นผ้าลินินผืนดังกล่าว ดูอย่างไรก็ไม่เห็นว่าจะมีทองคำผสมอยู่ ไม่เห็นความสำคัญอื่นนอกจากโบราณวัตถุจำพวกผ้า ทว่าสำหรับอารีส หล่อนมองปราดเดียวก็บอกได้แล้วว่าผ้าลินินผืนดังกล่าวมีทองคำผสมอยู่
"แสดงว่าโบราณวัตถุดังกล่าวก็ถือเป็นของล้ำค่า มีราคามากทีเดียว"
จากความตื่นเต้นเรื่องผ้าลินินทองคำ แปรเปลี่ยนเป็นความประทับใจที่มีให้แก่หญิงสาว เห็นทีที่วิลเลียมเคยพูดกับเขาจะเป็นจริงเสียแล้ว
‘ถ้าเรื่องของโบราณจำพวกผ้า ไม่มีใครเกินอารีสกับอำไพหรอก สองคนนี้มองครั้งเดียวก็บอกได้ว่ามันใช้อะไรทอ โดยเฉพาะอารีส เห็นบ้าๆ บอๆ แต่ที่จริงเก่งชนิดหาตัวจับได้ยาก’
อนัตตายิ้มให้หล่อน มองดูหญิงสาวกอดถุงผ้าบรรจุสิ่งล้ำค่าด้วยท่าทางหวงแหน สายตาคู่งามระแวดระวังซ้ายขวาขณะเดินไปรอลิฟต์
หล่อนมีเสน่ห์ ทั้งจากพฤติกรรมล้นๆ เกินๆ ทั้งจากความคิดความอ่าน แม้กระทั่งความงามที่เจือความทระนง ความประทับใจดังกล่าวนี้เอง อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกดีๆ ที่เขามีให้หล่อนอย่างเงียบๆ นับตั้งแต่ได้ยินกิตติศัพท์ความสามารถ พร้อมทั้งนิสัยอันโลดโผนโจนทะยาน จากคำบอกเล่าของวิลเลียม
++++++++++++++++++
+++++++++++++++
ห้องประชุมที่จองไว้ ภายในกว้างขวาง สะอาดตา เพดานเจาะเป็นหลุมลึกมีโคมรูปร่างคล้ายริ้วผ้าม่านคอยให้ความสว่าง กลางห้องเป็นโต๊ะประชุมไม้ขนาดยาว มุมมน จัดเก้าอี้หุ้มเบาะไว้ข้างละ ๑๔ ตัว ผนังฟากหนึ่งมีเครื่องทำน้ำร้อน เครื่องดื่มจำพวกกาแฟและชา ข้างๆ เป็นของว่างจำพวกผลไม้สดฝาน จัดวางอย่างเป็นระเบียบในถาดเครื่องแก้วสีเทอร์ควอยซ์
เครื่องปรับอากาศในห้องเปิดไว้เย็นฉ่ำ หากบรรยากาศกลับร้อนระอุผิดกัน อารีสและไอซิสนั่งอยู่คนละหัวมุมโต๊ะ ต่างเสหน้าออกคนละทาง เวลาผ่านไปนาน รอยขีดข่วนจากการต่อสู้ก็เริ่มเห็นเด่นชัด
ฝั่งอารีสมีอนัตตายืนอยู่ข้างๆ คอยระแวดระวังไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นอีก ส่วนฟากไอซิสมีหนุ่มแว่นทัดดินสอไม้ที่หู คอยจดๆ จ้องๆ สมาชิกคนอื่นยืนมองรอบนอก ส่วนวิลเลียมยืนกอดอกมองสองสาวระหว่างความยาวโต๊ะ สีหน้าเคร่งเครียดจนเห็นเส้นเลือดปูดบริเวณขมับ
“พวกเธอทำอะไรลงไปรู้ตัวบ้างหรือเปล่า?!” เสียงของชายหนุ่มแข็งกระด้างและเอาเรื่อง “ผู้จัดการโรงแรมเขาจะเอาเรื่องถึงตำรวจ ยังดีที่พูดคุยกันได้ แต่เราก็ต้องจ่ายค่าเสียหายให้เขาอยู่ดี เสียทั้งเงินเสียทั้งชื่อเสียง นี่ลงถ้าคุณเกียนทราบเรื่อง คงบานปลาย”
วิลเลียมโมโห หน้าแดงจัดลามถึงใบหู และด้วยความที่มีโครงร่างใหญ่อย่างชายชาวยุโรป เวลาที่เขาเกรี้ยวกราดเช่นนี้จึงดูน่ากลัวเข้าไปใหญ่
“เป็นยังไงล่ะ” คราวนี้ไอซิสพูดแทรก ปรายหางตามาที่อารีสอย่างจงใจ “ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ คนบางคนเอามาร่วมกลุ่มก็มีแต่จะทำให้ยุ่งยากวุ่นวาย นายก็ไม่เชื่อ”
“ไอซิส!” วิลเลียมแทบตวาด อีกฝ่ายจึงส่งค้อนแล้วเสหน้าไม่พอใจออก หล่อนพูดขึ้นลอยๆ หากก็ดังพอที่วิลเลียมจะได้ยิน
“ฉันพูดผิดหรือยังไง”
“อารีสผิดก็จริง แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากเธอ เธอไปดูถูกอารีสเขาก่อน”
คราวนี้อารีสยิ้มที่มุมปาก ตวัดนัยน์ตาราวปลายแส้ส่งให้อีกฝ่าย เห็นไอซิสค้อนปะหลับปะเหลือก หากไม่สามารถทำอะไรได้ ก็รีบหาจังหวะยิ้มเย้ยไม่ให้วิลเลียมเห็น
สาวอียิปต์ได้แต่ขบปากเคี้ยวฟัน ทำท่าจะลุกขึ้น แต่ทันทีที่เห็นหน้าเพื่อนหนุ่มชาวอังกฤษ เจ้าหล่อนก็ต้องนั่งลงโดยปริยาย ส่วนอารีส ครั้นวิลเลียมหันกลับมามอง หล่อนก็รีบตีสีหน้าเรียบเฉย แต้มรอยเศร้าลงนัยน์ตาเล็กน้อย กระทั่งอีกฝ่ายเลิกสนใจ จึงหันไปหาอนัตตา เห็นชายหนุ่มส่งยิ้มพลางส่ายหน้า หญิงสาวก็ยักไหล่เลิกคิ้วเป็นคำตอบ
“คราวนี้ฉันจะยกโทษให้” วิลเลียมผ่อนลมหายใจ มองไอซิสสลับอารีสก่อนจะลดน้ำเสียงลง “แต่ถ้ามีคราวหน้า ไม่คนใดคนหนึ่งก็ต้องถูกปลดออกจากทีมแน่ แล้วฉันขอบอกตรงนี้ว่า ถ้าเกิดถูกปลดจากทีมระหว่างภารกิจด้วยเรื่องทะเลาะวิวาท คนๆ นั้นจะไม่ได้อะไรตอบแทนเลย”
คู่กรณีทั้งสองนิ่งเงียบ เสหน้าออกคนละทาง วิลเลียมที่ยืนดูได้แต่ทอดถอนใจ สักพักจึงหันไปหาหนุ่มแว่นซึ่งยืนข้างไอซิส
“หลุยส์” น้ำเสียงของชายหนุ่มอ่อนลงไปกว่าครึ่ง และถ้าหูไม่ฝาด อารีสคิดว่าเสียงนั้นออกจะทุ้มนุ่มเสียด้วยซ้ำ “เดี๋ยวนายพาคนไปเอาของที่สำรวจได้มาที่ห้องนี้นะ อีกสักครู่คุณเกียนจะมาถึง เขาคงอยากดูว่าเราได้อะไรบ้างจากการสำรวจ อีกอย่าง...อารีสจะได้เห็นผ้าลินินผืนนั้นด้วย”
อารีสหันไปหาวิลเลียม เห็นหลุยส์รับคำแล้ววิ่งออกจากห้องประชุม มีสายตาเพื่อนหนุ่มชาวอังกฤษมองตามจนพ้นแผ่นหลังไป
‘ผ้าลินิน’
อยู่ๆ ความรู้สึกขุ่นเคืองจากการสะสางคดีของหล่อนกับไอซิสเมื่อครู่ก็ถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้นกับเหตุการณ์ใหม่ หญิงสาวรับรู้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นเร็ว ความกระวนกระวายที่อยากเห็นโบราณวัตถุชิ้นสำคัญ ยิ่งเป็นโบราณวัตถุจำพวกผ้า ไม่ใช่ผ้าธรรมดาด้วยสิ...หากแต่เป็นผ้าลินินผืนโบราณจากที่ตั้งเดิมของวิหารอาบูซิมเบล ในส่วนวิหารเล็กของพระนางเนเฟอตารี นั่นล่ะ...หล่อนยิ่งอยากเห็นกับตา
ตอนนี้วิลเลียมอนุญาตให้สมาชิกที่เหลือนั่งประจำที่ อนัตตาพยายามนั่งข้างอารีสไม่ห่าง ไม่ต่างจากวิลเลียมที่คอยขั้นกลางระหว่างคู่กรณีทั้งสอง
กระทั่งเสียงเปิดประตูดังขึ้นอีกรอบ วัตถุโบราณทั้งหลายก็ถูกคนงานทยอยนำเข้ามาวางบนโต๊ะประชุมโดยมีหลุยส์ นักโบราณคดีหนุ่มชาวฝรั่งเศสคอยดูแลควบคุม
“ทยอยเอาวางไว้บนโต๊ะเลยนะ” หลุยส์ออกคำสั่ง หากภาษาอาหรับสำเนียงฝรั่งเศสกลับทำให้มันน่าเอ็นดูมากกว่าน่าเกรงขาม “ระวังอย่าให้ตกล่ะ ของพวกนี้เรายังต้องส่งไปให้ทางการได้เห็นอีก”
อารีสนิ่งมองหลุยส์ เดอ มาแมร์ โดยรวมแล้วเขาไม่ใช่ผู้ชายร่างใหญ่อย่างวิลเลียม แม้จะไหล่กว้างอกผาย ใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นตัวโคร่งกับกางเกงเอวสูง หากด้วยสัดส่วนความสูงที่เป็นรองกระทั่งไอซิส จึงทำให้เขาดูตัวเล็กและป้อมลงไปถนัด
นัยน์ตาหลังกรอบแว่นวงกลมเป็นสีเทา เข้ากับผมสีน้ำตาลทองตัดสั้น อาบน้ำมันแล้วหวีเรียบแปล้ ส่วนใบหน้ากว้าง รับสันกรามนูนกับคางบุ๋ม ผิวเนื้อขาวซีดอย่างชาวยุโรป หากสดใสเมื่อแต้มสีชมพูกลีบกุหลาบเอวีลีนที่พวงแก้ม
หลุยส์ดูคล้ายเด็กคงแก่เรียนที่ไม่ประสาเรื่องการแต่งตัว ดินสอไม้ที่ทัดหูอยู่ยิ่งทำให้เขาหลุดออกจากโลกของความเป็นจริง กลายเป็นพวกที่ชอบใช้สมองและเหตุผล แน่ล่ะ...อารีสไม่สู้จะชอบ ‘เหตุผล’ นัก บางครั้งหล่อนก็เบื่อหน่ายกับการที่ชีวิตต้องผูกติดกับเหตุผลนานัปการ
ของลำเลียงเสร็จเรียบร้อย หลุยส์ก็เดินกลับเข้าที่ มีวิลเลียมคอยเลื่อนเก้าอี้ให้
“เอ๋?!” หญิงสาวร้องขึ้นเบาๆ โคลงศีรษะขมวดคิ้ว นัยน์ตาหรี่มองวิลเลียมกับหลุยส์ซึ่งนั่งอยู่คู่กันด้วยความสงสัย กระทั่งหันกลับมองข้างๆ พบอนัตตากำลังจ้องมองตามก็สะดุ้ง
“มองอะไรเหรอคุณ” เขาถามพลางมองตาม “สงสัยอะไรเหรอ”
“เปล้า...ไม่มีอะไรเลย” หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่มี”
พูดจบก็ทำทีมองข้าวของบนโต๊ะ กวาดสายตาดูเครื่องใช้ทั้งกล่องไม้ หีบทองคำ ระหว่างนั้นก็ลอบมองวิลเลียมเป็นระยะ กระทั่งมาสะดุดตาหีบทองที่วางข้างหน้าหลุยส์ นั่นล่ะ...ความคิดฟุ้งซ่านทั้งมวลของหญิงสาวก็หยุดลงในทันที
‘หีบทองของพระนางเนเฟอตารี!’
หล่อนรู้ได้อย่างไร...ยากจะล่วงรู้ หากเพียงมองผ่านแวบเดียว สมองก็สั่งการอย่างรวดเร็ว หรืออาจเป็นอารมณ์ความรู้สึกภายในที่เป็นผู้บอกกล่าว
ไม่มีทางที่ของชิ้นนี้จะเป็นอื่น นอกเสียจาก ‘หีบทองของพระนาง’
ในอกของอารีสวูบไหว อ่อนยวบราวผิวน้ำเคลื่อน รับรู้ได้ถึงพื้นที่หัวใจซึ่งว่างเปล่า รอคอยการถูกเติมเต็ม และในหีบใบนั้นมีบางสิ่งที่หล่อนต้องการ
ระยะที่นั่งของหญิงสาวห่างจากหีบทองคำไม่มาก ใกล้พอที่หล่อนจะมองเห็นอักษรเฮียโรกลิฟิกได้ รอบๆ ตัวแม้จะมีเสียงพูด หากก็อื้ออึงเกินกว่าจะจับใจความ เหมือนการพูดผ่านห้วงน้ำ เสียงนั้นแตกซ่านฟังไม่ได้ศัพท์ หากเพียงเสียงเดียวที่ชัดเจนแจ่มแจ้ง กลับเป็นเสียงพูดของใครบางคน และคำพูดเหล่านั้นก็ลอกจากจารึกอักษรภาพบนหีบถ้วนทุกคำ
[เทพธิดาแห่งเวทมนตร์และปรีชาญาณ เอเซ็ท...จะคุ้มครองสิ่งล้ำค่าที่อยู่ภายในหีบใบนี้
ด้วยพระอำนาจและพระเวทย์อันทรงฤทธิ์
ดวงตาวัทจัทของเฮรู เทวกษัตริย์ โอรสแห่งอูสิเรและเอเซ็ท
จะปกป้องจากภยันตราย ผองภัยและกาลเวลา
ตราบเท่านาน...คำสาปแช่ง คำอธิษฐาน จะยังคงอาบอยู่บนผ้าลินินผืนนี้
จวบ ‘พวกนาง’ ล่วงเข้าสู่มตภพดูอัต สู่การพิพากษาจนสำเร็จสิ้นจากเทวีแห่งความเที่ยงธรรม]
เสียงพูดนั้นทวนซ้ำไปมา โทนเสียงราบเรียบจนคล้ายการสวดวิงวอน แล้วฉับพลันอารีสก็ได้กลิ่นเครื่องหอมนานาชนิดคละคลุ้ง นัยน์ตาของหล่อนจับอยู่เพียงหีบทองใบนั้น ส่วนภาพอื่นหรือ...พร่าพราย
กลิ่นเครื่องหอมผสมผสานเสียงสวดตามจารึก ทำให้หญิงสาวคิดว่าหล่อนกำลังอยู่ในสักการสถานที่ใดที่หนึ่ง มีความรู้สึกอึดอัดอยู่ในอก หายใจไม่สู้คล่อง คล้ายจะขาดใจเสียด้วยซ้ำ
“ช่วยด้วย” อารีสพยายามร้อง หากเสียงของหล่อนแผ่วเหลือเกิน นัยน์ตาไม่อาจละจากหีบทองไปมองสิ่งอื่น เหมือนถูกบังคับตรึงสายตาด้วยหมุด มันดึงหล่อนเข้าไปใกล้เรื่อยๆ และยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไร เหงื่อเม็ดน้อยเม็ดใหญ่ก็ผุดพราย มือไม้สั่น หายใจไม่ออกจนจะเป็นลม
“อารีส!” เสียงเรียกทำให้หญิงสาวหลุดจากภวังค์ หีบทองเคลื่อนตัวออกห่าง หล่อนอ้าปากสูดอากาศราวกระหาย จากนั้นจึงกลับมาหอบหายใจหนักหน่วง ใบหน้าแดงจัดอยู่พักใหญ่
“เป็นอะไรไป” วิลเลียมถาม สายตามีแวววิตกปรากฏเด่นชัด ไม่ต่างจากอนัตตาและหลุยส์ หากไอซิสที่นั่งฝั่งตรงข้ามกลับแบะปาก ส่งสายตาเหยียดหยามมาให้หล่อน “อยู่ๆ ก็เห็นเธอนิ่ง ตัวนี่เกร็ง พวกเราตกใจแทบแย่”
“ฉัน...” อารีสพูดไม่ออก รู้สึกอ่อนแรงเหลือเกิน กระทั่งหันไปมองหีบทองเจ้ากรรม หล่อนจึงโพล่งออกมา “หีบ...จารึกบนหีบอ่านว่ายังไง”
ทุกคนหันมองหญิงสาวสลับหีบทองคำที่ยังวางนิ่งไม่มีใครแตะต้อง
“ฉันถามว่าจารึกบนหีบอ่านว่ายังไง” อารีสย้ำอีกครั้ง จนหลุยส์ต้องดึงหีบสลักอักษรภาพมาแปลความ อ่านออกเสียงให้หล่อนได้ยิน
“เทพธิดาแห่งเวทมนตร์และปรีชาญาณ ไอซิส...จะคุ้มครองสิ่งล้ำค่าที่อยู่ภายในหีบใบนี้ ด้วยพระอำนาจและพระเวทย์อันทรงฤทธิ์” หลุยส์อ่านบรรทัดแรกพลางมองอารีสด้วยความสงสัย หากหญิงสาวไม่ใส่ใจ หล่อนต้องการรู้เพียงอย่างเดียวว่าจารึกบนหีบนั้นเหมือนสิ่งที่หล่อนได้ยินหรือไม่
“ดวงตาวัทจัทของโฮรัส เทวกษัตริย์ โอรสแห่งโอซิริสและไอซิส จะปกป้องจากภยันตราย ผองภัยและกาลเวลา ตราบเท่านาน...คำสาปแช่ง คำอธิษฐาน จะยังคงอาบอยู่บนผ้าลินินผืนนี้”
“ท่อนสุดท้ายล่ะ!” อารีสพยายามเร่งหลุยส์ ทุกคนหันมองหล่อนเป็นตาเดียวด้วยความงุนงง “อักษรท่อนสุดท้าย”
“จวบ ‘พวกนาง’ ล่วงเข้าสู่แดนมรณะ สู่การพิพากษาจนสำเร็จสิ้นจากเทวีแห่งความเที่ยงธรรม” หลุยส์อ่านจนจบ ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับอารีสลุกขึ้นแล้ววิ่งอ้อมโต๊ะมาดูหีบทอง
หล่อนกระวนกระวาย สับสนและหวาดกลัว ครั้นมายืนอยู่หน้าหีบทองคำล้ำค่า ปลายนิ้วทั้งสิบที่ยังคงสั่นเทิ้มก็บรรจงสัมผัส รับรู้ถึงเสียงของตัวอักษรที่ดังออกมาอยู่เรื่อยๆ แม้จะแผ่วเบากว่าคราวแรก
“ไม่ใช่ไอซิส...แต่เป็นเอเซ็ท” อารีสรำพึง ปลายนิ้วสัมผัสอักษรภาพที่มีความหมายว่าบัลลังก์ จากนั้นจึงเลื่อนไปเรื่อยตามการอ่านของหล่อน “ไม่ใช่โฮรัส...แต่เป็นเฮรู ไม่ใช่โอซิริส...แต่เป็นอูสิเร”
“ออ...นั่นเป็นชื่อของเหล่าเทพในภาษาอียิปต์โบราณ” หลุยส์ออกความเห็น หากดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้ยินมัน
“ตรงนี้...แดนมรณะ มตภพดูอัต สู่การพิพากษาจากเทวีมาอัต” พอหล่อนอ่านจบ เสียงแว่วที่เคยได้ยินเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาก็ดังขึ้นอีกรอบ จากความฝันสู่ความเป็นจริง ชัดเจนและแจ่มแจ้ง
‘ข้าบริสุทธิ์ เทวีมาอัตทรงเป็นพยานแห่งคำสัจนั้นได้...’
“ข้างในหีบนี้เป็นผ้าลินินที่ฉันอยากให้เธอช่วยตรวจสอบยังไงล่ะ” วิลเลียมแทรกขึ้น จากนั้นจึงเอื้อมมือไปเปิดฝาหีบทองคำให้อารีสดู
ภายในหีบมีม้วนผ้าลินินผืนงามปรากฏ มันยังคงขาวสะอาดราวเพิ่งถักทอเสร็จไม่นาน ไม่ควรจะเป็นหลักฐานทางโบราณคดีอายุกว่า ๓,๐๐๐ ปีด้วยซ้ำ แต่ที่น่าประหลาดยิ่งกว่า เหมือนอารีสจะได้ยินเสียงสวดวิงวอนจากผ้าผืนดังกล่าว ทุกถ้อยถ้วนคำราวดังออกมาจากเส้นใยของผ้า เรียงร้อยผูกความจนเหมือนคำอธิษฐานและวิงวอน
‘ด้วยพระอำนาจและพระเวทย์อันทรงฤทธิ์ จะปกป้องจากภยันตราย ผองภัยและกาลเวลา’
เสียงเหล่านั้นดังออกมาจากม้วนผ้าลินินโบราณ แต่ละคำแต่ละประโยค ราวใยผ้าสีขาวสะอาดสอดเส้นทองจะกระตุกไหววูบ ทอแสงมลังเมลืองตามจังหวะเสียงพูด ราวกับว่ามี ‘ชีวิต’ และ ‘จิตวิญญาณ’ สิงสู่อยู่ภายใน
‘คำสาปแช่ง คำอธิษฐาน จะยังคงอาบอยู่บนผ้าลินินผืนนี้ จวบ ‘พวกนาง’ ล่วงเข้าสู่มตภพดูอัต สู่การพิพากษาจนสำเร็จสิ้นจากเทวีแห่งความเที่ยงธรรม’
จบท่อนดังกล่าว เสียงวิงวอนอย่างโหยหวน เยียบเย็น เสียดลึกลงในหัวใจก็ดังขึ้นอีกครั้ง
‘ข้าบริสุทธิ์ เทวีมาอัตทรงเป็นพยานแห่งคำสัจนั้นได้...’
แล้วฆ้องยักษ์ก็ดังกระหึ่มตอนท้าย อารีสเอามือปิดหู กรีดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงนั้นแหลมสูงราวจะฉีกเยื่อแก้วหูออกเป็นชิ้นๆ หลุยส์ที่ยืนข้างๆ รีบวิ่งเข้าไปประคองเมื่อร่างของหล่อนซวนเซแล้วล้มหงาย สีหน้าซึ่งขาวนวลบัดนี้แดงจัดอีกรอบ หัวคิ้วขมวดกันแน่นราวปมเงื่อน มือที่กุมใบหูสั่นสะท้านจนน่ากลัว อนัตตาและวิลเลียมวิ่งเข้ามาสมทบดูอาการ มีสมาชิกคนอื่นยืนมุงด้วยความตระหนก แม้แต่ไอซิสที่ไม่สู้ลงรอยก็ยืนนิ่ง มองดูหญิงสาวด้วยความหวาดหวั่น
เสียงฆ้องยักษ์กระหึ่มอีกหน เหมือน ‘ใคร’ จงใจแกล้งตี เสียงพูดตามคำจารึกก็ยิ่งดังเป็นเท่าตัว เสียงคำวิงวอนต่อเทวีมาอัตนั่นอีก มันกำลังจะ ‘ฆ่า’ อารีส
“หยุดที! ฉันบอกให้หยุดมันที!” อารีสกรีดเสียงร้อง ดิ้นทุรนทุรายอยู่ในอ้อมแขนของหลุยส์ น้ำตาไหลพรากจากหางตาอาบสองแก้ม สองมือปิดหูไว้แน่น แต่เพราะอะไรกัน...เสียงจากหีบและผ้าลินินในนั้นถึงดังเหลือเกิน ดังจนแก้วหูหล่อนจะฉีกหมดแล้ว
“อารีสทำใจดีๆ ไว้ ใครก็ได้ไปตามพยาบาลมาที” วิลเลียมร้องบอกเหล่าสมาชิกที่ยืนมุง คนหนึ่งพยักพเยิดรับคำ ตั้งใจจะเปิดประตูออกไปแจ้งพยาบาลประจำโรงแรม ทว่าบานประตูกลับเหวี่ยงตัวเปิดออกเสียก่อน
ผู้มาใหม่กลับกลายเป็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่อารีสไม่เคยเห็น และประหลาดเหลือเกิน...เพียงการปรากฏตัวของหนุ่มใหญ่ผู้ประดับเข็มกลัดทองคำบนปกเสื้อสูทสีดำ เสียงรบกวนทั้งหมดก็มลายหายในพริบตา
+++++++++++++++++++++++
เขาชื่อ อีริค เค เกียน เป็นเศรษฐีชาวอเมริกัน มีหน้าที่สำคัญในโครงการการขุดสำรวจที่ตั้งเดิมของวิหารอาบูซิมเบลซึ่งจมอยู่ใต้ทะเลสาบนัสเซอร์
เขาเป็น ‘นายหน้า’ ผู้ประสานงานติดต่อระหว่างคณะสำรวจกับบริษัทเนบที เป็นหนุ่มใหญ่รูปร่างบึกบึน อกผายไหล่ผึ่ง ผิวขาวซีดนั้นประปรายด้วยกระบางๆ ตามมือและใบหน้า กระนั้นก็ไม่อาจลบเลือนความมีเสน่ห์และความหล่อเหลาที่เขามีแต่เดิม
โครงหน้าคนสันได้รูปรับจมูกโด่งเชิด มีนัยน์ตาสีเทากับผมสีบรอนซ์ทองตัดสั้นประกอบให้โดดเด่น ริมฝีปากสีชมพูธรรมชาติยิ่งเพิ่มเสน่ห์ความน่าดึงดูด หากนั่นไม่ได้ทำให้อารีสสนใจเขามากไปกว่าเข็มกลัดบนปกเสื้อสูทด้านซ้าย
“คุณสนใจมันเหรอ” อนัตตาที่นั่งข้างๆ หล่อนกระซิบ หญิงสาวจึงพยักพเยิด
“ฉันอยากรู้ว่ามันคืออะไร”
“อีกิส” ชายหนุ่มตอบ แอบชำเลืองมองอีริค ขณะที่เขากำลังรับฟังรายงานการสำรวจจากวิลเลียมอย่างมีสมาธิ ข้างๆ มีเลขาหนุ่มในชุดสูทคอยจดบันทึกรายงานลงคอมพิวเตอร์พกพาอย่างขมีขมัน “มันคือเข็มกลัดแห่งอีกิส”
“อีกิสเหรอ?!” หญิงสาวขมวดคิ้ว แอบชำเลืองเข็มกลัดรูปโล่บนปกเสื้ออีกครั้ง
“เป็นเครื่องรางหายากครับ เรียกได้ว่าหายากมาก ดูจากรูปพรรณสัณฐาน เดาว่าน่าจะเป็นของโบราณ เครื่องรางรูปโล่ ครึ่งวงกลม ไม่ใหญ่มากหรอกครับ ส่วนใหญ่ทำด้วยทองคำ” ชายหนุ่มอธิบายให้หล่อนฟัง “ด้านบนมีรูปเทวีมัต เทวีแห่งท้องฟ้า ฝั่งซ้ายและขวาเป็นงูเห่าแผ่พังพานกับนกแร้งสัญลักษญ์แห่งอียิปต์บนและอียิปต์ล่าง เขาเชื่อว่าอีกิสเป็นเครื่องรางที่ช่วยปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากวิญญาณชั่วร้าย”
“แสดงว่าเขาคงกระเป๋าหนักพอดู” อารีสแสดงความคิดเห็น หากใจจริงกำลังคิดว่าสิ่งที่ทำให้หล่อนแทบตายเมื่อครู่คือสิ่งชั่วร้ายหรอกหรือ ครั้นหล่อนเห็นเครื่องรางอีกิส อาการทั้งปวงจึงอันตรธานหายชั่วพริบตา
“ครับ” อนัตตาเห็นด้วย “อีกิสเป็นเครื่องรางหายาก แค่ดูก็พอจะรู้ว่าเป็นของโบราณ เก่าแก่ อาจจะได้มาจากตลาดมืดในไคโร อีกอย่าง...ผมว่าเขาทำงานให้เนบที จะมั่งมีก็คงไม่แปลก”
คราวนี้อารีสหันไปหาชายหนุ่ม เอียงหน้ามอง สงสัยในน้ำเสียงเมื่อครู่ เหมือนเขาไม่สู้จะชอบเนบทีนัก ทีท่าขมวดคิ้วเป็นปม จดจ้องเครื่องรางบนปกเสื้อของอีริคแทบไม่วางตานั่นอีก
“ดูคุณไม่ชอบเนบที มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มสบนัยน์ตาหล่อนแล้วยิ้ม มองแวบเดียวอารีสก็ดูออกว่าเป็นการกลบเกลื่อน
“เอ่อ...เปล่าหรอกครับ ผมก็พูดไปตามที่เห็น” พูดจบก็เกาหัวแก้เก้อ หลบสายตาหล่อนเสีย ครั้นหญิงสาวจะคุยต่อ ก็ประจวบเหมาะพอดีที่วิลเลียมรายงานจบ อีริคจึงหันมาหาสมาชิกทุกคน กวาดตามองก่อนมาหยุดลงที่อารีส
“สบายดีแล้วนะ...ดอกเตอร์ เห็นว่าจะเป็นลม คงเพราะเดินทางไกล” น้ำเสียงฟังดูแล้วทรงอำนาจ หากก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ในเวลาเดียวกัน ไม่อย่างนั้นไอซิสก็คงไม่จดจ้องเป็นหมุดตรึงกระดาน ยิ่งกว่า...ประกายระยิบระยับในดวงตายังเด่นชัดจนอารีสรู้สึกได้
“ดีขึ้นแล้วค่ะ” น้ำเสียงของหญิงสาวสดชื่น พยายามพูดพลางยิ้มพลาง ส่งสายตาอ่อนหวานให้อีริค ครั้นชำเลืองเห็นการค้อนปะหลับปะเหลือกจากคู่อริของหล่อน จึงเข้าใจ
ชัดเจนที่สุด...ไร้ข้อกังขา
กับอีริค อารีสไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าผู้ร่วมโครงการ เป็นนายหน้าให้แก่บริษัทเนบที ภาคเอกชนยักษ์ใหญ่ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในโครงการ นอกจากนั้นหนุ่มใหญ่ก็ไม่ได้อยู่ในความคิด การส่งสายตาแล้วยิ้มหวานก็เพื่อจะดูปฏิกิริยาของไอซิสเท่านั้น
“อย่างนั้นก็ดีเลยครับ จะได้มาช่วยทีมสำรวจอีกแรง” เขายิ้ม จากนั้นจึงขอตัวกลับเพื่อนำผลที่ได้เตรียมรายงานให้ทางบริษัทเนบทีได้ทราบ พร้อมกันนั้นก็ระบุกำหนดการณ์คราวหน้าที่อัสวาน สถานที่ซึ่งเป็นจุดขุดสำรวจ
วิลเลียมสั่งเลิกประชุมและขอตัวออกไปส่งอีริค โดยมีไอซิสอาสาไปด้วยอีกคน ส่วนหลุยส์จัดการให้คนช่วยขนของทั้งหมดกลับไปยังห้องของเขาเพื่อนำไปจัดการตรวจสอบต่อ เว้นเสียแต่ผ้าลินินผืนโบราณที่ทิ้งให้แก่อารีส
อารีสพยายามเพ่งมองม้วนผ้าอีกครั้ง หากคราวนี้ไม่ได้ยินเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก ผ้ายังคงเป็นผ้า ไม่มีการตอบสนองหรือเคลื่อนไหวใดๆ ให้เห็น ท้ายที่สุดหล่อนจึงจัดการคลี่ม้วนผ้าลินินออกไปตามความยาวของโต๊ะ แล้วนำมวนกระดาษที่เตรียมไว้ เป็นแกนสำหรับการม้วนเก็บผ้าลินินผืนดังกล่าวให้เข้าที่
“ผมตกใจแทบแย่ตอนเห็นคุณล้ม คิดว่าเป็นลมไปแล้ว” อนัตตาที่อยู่คอยช่วยเหลือหลุยส์และอารีสชวนคุย ขณะหญิงสาวกำลังม้วนผ้าลินินเข้าตามแกนกระบอก
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ ก็คงอย่างที่มิสเตอร์อีริคบอก ฉันคงเดินทางไกลแล้วก็พักผ่อนน้อยด้วย”
อารีสไม่ได้บอกความจริงเรื่องการได้ยินเสียงกับใคร หล่อนบอกทุกคนเพียงรู้สึกจะเป็นลม และที่กรีดเสียงร้องออกไปก็เพราะเกิดหูอื้อกะทันหัน ทุกคนเองก็เชื่อ ทั้งยังลงความเห็นว่าคงเพราะการเดินทางอันแสนยาวไกล ร่างกายยังปรับสภาพไม่ได้เมื่ออยู่ต่างแดน
เว้นเสียแต่ไอซิสที่กระซิบข้างหูตอนช่วยกันพยุงหล่อนขึ้นนั่งเก้าอี้
‘พวกฮีสทีเรีย ชอบเรียกร้องความสนใจ’
อันที่จริงหล่อนก็โกรธอยู่ ถ้าไม่เกรงจะถูกวิลเลียมคาดโทษ อารีสว่าจะกระโดดจิกหัวตบแล้วกัดหูอีกฝ่ายให้ขาดสักข้าง แต่เพราะทำไม่ได้นี่ล่ะ หล่อนจึงได้แต่ส่งค้อนวงใหญ่ไปให้แทน
“ว่าแต่ทำไมต้องม้วนผ้าเก็บอย่างนี้เหรอครับ” เขาชวนคุยไปเรื่อยๆ หล่อนเองก็ไม่เกี่ยงงอนที่จะอธิบายให้ฟัง
“ผ้าทั้งหลายต่างก็ทอจากเส้นใยค่ะ เส้นใยเองก็มีหลายชนิด ทั้งเส้นใยที่ทำจากพืช จากสัตว์ จากแร่ธาตุหรือกระทั่งเส้นใยสังเคราะห์” หญิงสาวว่าพลางบรรจงม้วนผ้าลินินจนหมดผืน จากนั้นจึงหันไปหยิบถุงผ้าขนาดยาวเท่าแกนกระดาษขึ้นมา “บางอย่างหักงอได้ง่าย อย่างเส้นใยที่ทำมาจากทองคำ เขาจึงมีวิธีเก็บเพื่อรักษาเส้นใยผ้าด้วยวิธีการม้วนกับแกนแทนวิธีการพับ ทำให้ผ้าคงทนมากขึ้น ไม่ชำรุดเอาง่ายๆ”
“ทองเหรอครับ” น้ำเสียงของชายหนุ่มสงสัยยิ่งยวด “ทองก็เอามาทำเป็นใยผ้าได้ด้วยเหรอ”
“ค่ะ” อารีสยิ้ม สองมือค่อยๆ หย่อนม้วนผ้าลินินลงถุงผ้าอย่างเบามือ “ใยผ้าที่ทำจากทองจริงๆ มีนะคะ อย่างของไทยเราก็เช่นพวกผ้าตาดทอง เขาเอาทองมาตีเป็นเส้นเล็กๆ หุ้มไหม เรียกทองแล่ง ใช้ทอเป็นผ้าสำหรับเจ้านาย แต่ถ้าใช้แร่เงินตีเป็นเส้นหุ้มไหม ก็เรียกเงินแล่ง ทอเป็นผ้าจะเรียกผ้าตาดเงิน ส่วนพวกผ้าที่ใช้ทองแล่งหรือเงินแล่งทอกับเส้นไหมสีที่มีเนื้อไหมปริมาณมากๆ เขาเรียกว่าตาดระกำไหมค่ะ”
ตอนนี้ในห้องประชุมว่างเปล่า หลุยส์จัดการข้าวของเรียบร้อย เหลือเพียงอารีสและอนัตตาที่เพิ่งเก็บผ้าเสร็จเมื่อครู่
ทั้งสองเดินออกจากห้องประชุมไปตามโถงทางเดินของโรงแรม อารีสยังคงเล่าเรื่องราวของผ้าต่อไปอย่างออกรส อนัตตาที่ยืนมองหล่อนรู้สึกได้ถึงความเบิกบานและความสุขระยิบระยับในดวงตาคู่งามขณะเล่าเรื่อง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอิ่มเอม และเนื้อหาสาระดังกล่าวก็ยืนยันว่าหล่อนเองไม่ได้ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลทุกครั้งไป
“คุณอารีสนี่เก่งจังนะครับ” เขาชม ก่อนจะวกกลับมาเรื่องผ้าลินินที่อยู่ในมือ “ว่าแต่ผ้าอียิปต์ล่ะครับ มีการผสมทองคำด้วยหรือเปล่า”
คำถามดังกล่าวทำให้อารีสนิ่ง หล่อนหันซ้ายแลขวาราวกับเกรงใครจะมาได้ยิน กระทั่งพบว่าโดยรอบปลอดคน จึงฉุดแขนชายหนุ่มพาเดินไปหลบมุมของโถงทางเดิน
“ก็ผ้าลินิน ผืนที่อยู่ในมือของฉันนี่ยังไง” หล่อนกระซิบ
“จริงเหรอครับ” อนัตตาหันมองถุงผ้าในมืออารีส ตาโตคาดไม่ถึง
แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เพราะครั้งแรกที่เขาได้เห็นผ้าลินินผืนดังกล่าว ดูอย่างไรก็ไม่เห็นว่าจะมีทองคำผสมอยู่ ไม่เห็นความสำคัญอื่นนอกจากโบราณวัตถุจำพวกผ้า ทว่าสำหรับอารีส หล่อนมองปราดเดียวก็บอกได้แล้วว่าผ้าลินินผืนดังกล่าวมีทองคำผสมอยู่
"แสดงว่าโบราณวัตถุดังกล่าวก็ถือเป็นของล้ำค่า มีราคามากทีเดียว"
จากความตื่นเต้นเรื่องผ้าลินินทองคำ แปรเปลี่ยนเป็นความประทับใจที่มีให้แก่หญิงสาว เห็นทีที่วิลเลียมเคยพูดกับเขาจะเป็นจริงเสียแล้ว
‘ถ้าเรื่องของโบราณจำพวกผ้า ไม่มีใครเกินอารีสกับอำไพหรอก สองคนนี้มองครั้งเดียวก็บอกได้ว่ามันใช้อะไรทอ โดยเฉพาะอารีส เห็นบ้าๆ บอๆ แต่ที่จริงเก่งชนิดหาตัวจับได้ยาก’
อนัตตายิ้มให้หล่อน มองดูหญิงสาวกอดถุงผ้าบรรจุสิ่งล้ำค่าด้วยท่าทางหวงแหน สายตาคู่งามระแวดระวังซ้ายขวาขณะเดินไปรอลิฟต์
หล่อนมีเสน่ห์ ทั้งจากพฤติกรรมล้นๆ เกินๆ ทั้งจากความคิดความอ่าน แม้กระทั่งความงามที่เจือความทระนง ความประทับใจดังกล่าวนี้เอง อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรู้สึกดีๆ ที่เขามีให้หล่อนอย่างเงียบๆ นับตั้งแต่ได้ยินกิตติศัพท์ความสามารถ พร้อมทั้งนิสัยอันโลดโผนโจนทะยาน จากคำบอกเล่าของวิลเลียม
++++++++++++++++++
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2555, 08:30:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2555, 08:30:42 น.
จำนวนการเข้าชม : 1376
<< ไคโร (๔) | ไคโร (๖) >> |