เรือนกุหลาบ
กุหลาบแสนสวยดอกนั้น ช่างแสนดี เป็นที่รักเทิดทูนบูชาของหล่อนสุดหัวใจตั้งแต่เล็กจนโต..หญิงสาวไม่รู้เลย ว่าเบื้องหลังกุหลาบสีสวยนั้นซ่อนคมหนามไว้มิดชิด..เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของหล่อนทุกวิถีทาง!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่๑๐ แขกไม่ได้รับเชิญ ๒/๒
ประโยคแรกที่กวินทักเมื่อเห็นเพื่อนสาวคือ..
“ไม่นึกว่าแพรจะมาเร็วขนาดนี้”
มานิตายิ้มหวานชิงบอกตัดหน้าเจ้าตัว
“แหม...เมื่อคืนแพรเค้านอนไม่หลับน่ะค่ะ เลยตื่นเช้า”
มุกดาเพิ่งตักข้าวสวยใส่จานให้แขกเพิ่มอีกสองคน ได้ยินประโยคนี้พอดีก็รู้สึกแปร่งๆ หล่อนว่ามันไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลกันสักเท่าไหร่..นอนไม่หลับก็น่าจะตื่นสายนี่นา
“นี่หวานค่ะวิน..เพื่อนรัก..ตั้งแต่สมัยมัธยม” คำพูดของพี่สาวหล่อนก็เช่นกัน ฟังดูทะแม่งพิกล โดยเฉพาะคำว่า “เพื่อนรัก” เหมือนแพรวากำลังกัดฟันพูด
“ยินดีที่ได้รู้จักครับหวาน..เลยไม่ได้เตรียมจัดบ้านให้น่าดูกว่านี้..ขอโทษด้วยนะครับ”
กวินเป็นอย่างนี้เสมอ..เขาสุภาพกับทุกคนที่เพิ่งรู้จักกัน หากไม่คิดว่าคนๆนั้นมีพิษมีภัยกับเขา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่หวานได้เห็นหน้าคุณ..เอ่อ” แรงกระทุ้งด้วยศอกจากคนข้างๆ ทำให้มานิตาจำใจต้องเสพูดไปอีกอย่าง “ได้เห็นหน้าน้องไข่มุก..น้องรักของแพร หายคิดถึงกันเสียทีนะจ๊ะ”
พี่หวาน..หันไปพยักเพยิดกับน้องเล็กผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับใครเขา มุกดาทำได้เพียงยิ้มรับแบบแกนๆ เพื่อนพี่สาวคนนี้หวานสมชื่อก็จริง..แต่บางครั้งหล่อนก็รู้สึกเหมือนอยู่ในละครฉากสำคัญมากกว่าชีวิตจริง
“ขอบใจนะไข่มุก อาหารมื้อนี้น่าทานทุกอย่างเลย” กวินหันไปบอกมัณฑนากรสาวที่เพิ่งเลื่อนเก้าอี้มาเพิ่มสำหรับตัวเอง หล่อนเลือกนั่งให้ห่างเจ้านายมากที่สุด อย่างน้อยต้องห่างกว่าพี่สาวของหล่อนก็แล้วกัน
“ไข่มุกร่างแบบเสร็จแล้วนะคะ เดี๋ยวจะขึ้นไปเอามาให้ค่ะ” หล่อนเสพูดเรื่องงานแก้เขิน อีกอย่างคืออยากปลีกตัวออกจากคู่รัก ให้เขาได้สวีทหวานกันเป็นส่วนตัว ถึงแม้จะมีมานิตามาแทรกระหว่างกลาง แต่เพื่อนพี่สาวคนนี้ก็น่าจะปรับตัวได้กลมกลืนกว่าคนพูดไม่เก่งอย่างหล่อน ขืนนั่งอยู่ด้วยนานๆ หล่อนคงรู้สึกตัวเองเป็นส่วนเกิน ทำบรรยากาศดีให้เสียไปหมด
ทว่ายังไม่ทันได้ทำตามความตั้งใจ เจ้านายก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ไม่ต้องหรอก..เรื่องนั้นค่อยคุยกันตอนกลับกรุงเทพฯก็ได้ มากินข้าวกันก่อน”
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมีแวววิงวอนสะท้อนออกมา ชนิดที่คนถูกมองไม่มีทางปฏิเสธได้ลงคอ
“น้องสาวแพรคงได้เลื่อนขั้นเป็นคนโปรดแล้วซีคะ..ผลงานดีหรือยังไง กล้าเรียกชื่อเล่นแทนตัวกับเจ้านายซะละ”
ครั้งนี้แหละที่มุกดารู้สึกขัดหูกับเสียงหวานๆของมานิตามากที่สุด แต่คิดในแง่ดี..อาจเป็นวิธีเย้าแหย่ของหล่อนก็ได้
“อย่าไปถือสายายหวานเลยนะคะวิน..เค้าชอบพูดเล่นไปเรื่อยไม่ดูตาม้าตาเรืออย่างนี้แหละ” แพรวาช่วยแก้แทนเพื่อน เมื่อเห็นรอยยิ้มในตาของชายหนุ่มเริ่มเลือนหายไป
“ที่พามาด้วย ก็อยากจะฝากให้วินพิจารณาค่ะ”
กวินเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เมื่อข้องใจกับคำว่า “พิจารณา” ของเพื่อนสาว
“แพรหมายถึง พิจารณาเข้าทำงานน่ะค่ะ”
เห็นชายหนุ่มทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนเจอยาขม ขยับปากเหมือนจะปฏิเสธ มานิตาเลยรีบพูดขึ้นก่อน
“แหม..ก็รู้ว่าลำบากใจนะคะ ใครก็รู้กิตติศัพท์คุณนายแม่ของคุณวิน แต่ว่า..”
พี่หวานปรายตามามองน้องเล็กของเพื่อนสาวแวบหนึ่ง นัยน์ตาหวานซึ้งระยิบระยับเมื่อมองกวิน แต่กลับส่งกระแสบางอย่างให้รู้สึกหนาวๆร้อนๆเมื่อมองมาทางมุกดา
“ถ้าคุณวินไม่รับหวานเข้าทำงานเพิ่มสักคน ใครจะว่าดับเบิ้ลแสตนดาร์ดเอาได้นะคะ”
เห็น “คนพิเศษ” ทำหน้าฉงน แพรวาจึงต้องเป็นฝ่ายขยาย..หล่อนชักเริ่มรำคาญความพิรี้พิไรของ “เพื่อนรัก” คนนี้มากขึ้นทุกที
“คือแพรเห็นว่า ไหนๆวินก็เริ่มรับไข่มุกเข้าทำงาน ประเดิมผู้หญิงคนแรกในรอบสิบปี”
ยิ้มเก๋ๆ กับเสียงกังวานใสเปี่ยมความมั่นใจในทุกเรื่องที่หล่อนเอ่ยปาก ทำให้คนฟังคล้อยตามได้ไม่ยาก มุกดาเห็นข้อนี้ก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมความเก่งที่แสนแพรวพราวของพี่สาว
“แล้วตอนนี้คุณแม่ของคุณก็ไปพักร้อนต่างประเทศ อีกตั้งสามเดือนกว่าจะกลับ” แพรวาอธิบายไหลลื่นไม่มีติดขัด “รับยายหวานเข้าทำงานสักพัก ก็เริ่มคล่อง พอคล่องแล้วก็ทำผลงานเป็นที่น่าพอใจ คุณแม่กลับมาอีกที อย่างมากก็แค่บ่นสองสามคำ เรื่องเลยตามเลยถึงขนาดนี้แล้ว”
“หวานอยากทำงานด้านไหน”
กวินถามเข้าเรื่อง..เมื่อไม่เห็นลู่ทางจะปฏิเสธเพื่อนสาวได้ เหมือนทุกครั้งที่แพรวาเคยหว่านล้อมเขา หล่อนมักมีเหตุผลดีๆมาประกอบ หรือไม่ก็เหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกเกรงใจเกินกว่าจะปฏิเสธหล่อน
“ประชาสัมพันธ์ค่ะ” มานิตาตอบเสียงหวานตามเคย “น่าเบื่อจะตายไป คุณวินทนเห็นพวกผู้ชายในบริษัททำงานตำแหน่งนี้ได้ยังไงกัน ไม่เจริญหูเจริญตาเลยนะคะ”
“แล้วคุณจะยอมเป็นผู้หญิงคนเดียว ท่ามกลางพนักงานชายพวกนั้นไหมล่ะ” กวินย้อนทีเล่นทีจริง นัยน์ตามีแววยิ้มได้ ทำให้หญิงสาวยิ่งเคลิ้มหลงมากกว่าเก่า
“ไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ..ถ้ามีเจ้านายที่ดีอย่างวิน”
แพรวาสรุปให้เสร็จสรรพ เป็นอันว่าไม่มีข้อโต้แย้งใดๆถัดจากนั้นอีก
รถยุโรปของกวินแล่นไปตามถนนเลียบชายหาด อ้อมเขากะโหลกอยู่สามรอบด้วยความไม่ชินทาง สุดท้ายชายหนุ่มก็บังคับพวงมาลัยตามแผนที่ปากเปล่า ซึ่งแพรวาจับจองหน้าที่นั้นโดยการนั่งข้างสารถีหนุ่ม ยกมือส่งสัญญาณทิศทางกันไป หัวเราะคิกคักกันไป เมื่อดีไซเนอร์สาวหยอดมุขตลกคลายความตึงเครียดให้เข้าเป็นระยะๆ
มุกดานั่งมองคู่รักหวานหยดอยู่บนเบาะหลัง หล่อนนั่งตัวลีบลงๆเรื่อยๆ เหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินในรถคันหรู พี่หวานก็ใช่ย่อยเสียที่ไหน..สอดรับไปกับเขาได้ทุกเรื่อง ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง..คือเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง หล่อนก็เอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวได้หมดขอแค่ใจอยากจะเกี่ยว มุกดาลอบถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย หล่อนรู้สึกเบื่อจนต้องเบือนหน้าไปมองคลื่นทะเลที่ซัดสาดอยู่บนผืนทรายเหลืองระยับ หญิงสาวไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนแอบมองอาการเหล่านั้นผ่านทางกระจกหน้ารถ..ด้วยความเป็นห่วง
บ้านปราณ..ของบิดาหล่อนยังคงความรื่นรมย์ไม่ต่างจากวันเก่า ตึกสูงสองชั้น พื้นที่เน้นตามแนวยาวมากกว่าแนวกว้าง สีฟ้าครามบนผนังทั่วอาคารยังสดใส กลมกลืนกับแผ่นฟ้าและน้ำทะเล ป้ายสามเหลี่ยมที่ผนึกอยู่กลางระเบียงชั้นดาดฟ้า สลักคำว่า “บ้านปราณ”
บ้านตากอากาศที่พ่อของมุกดาแยกตัวมาอยู่อย่างสันโดษ ห่างไกลความวุ่นวายจากเมืองหลวงและภรรยา แบ่งชั้นดาดฟ้าเป็นที่อาศัยส่วนตัว อีกสองชั้นล่างที่เหลือแบ่งเป็นห้องให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาเช่าพัก บ้านปราณของ นาวาอากาศเอก ตระการ วิจิตร ผู้ปลดเกษียณตัวเองออกมาใช้ชีวิตในบั้นปลายเมื่อสิบกว่าปีก่อน อยู่ติดกับสะพานปลา และปากน้ำทะล ที่ซึ่งน้ำจืดกับน้ำเค็มไหลมารวมกันเป็นน้ำกร่อย เรือชาวประมงจอดเทียบท่า รอเวลาออกไปตกหมึกตัวโตยามค่ำคืน เลี้ยงปากท้องครอบครัวพอรอดตัวเป็นมื้อๆหนึ่ง
แรงงานต่างด้าว โดยมากเป็นชาวพม่า อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่ด้ามขวานของประเทศไทย อย่างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แม้เป็นคนต่างชนชาติ แต่คุณตระการก็คิดว่าน้ำใจเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงคนบนโลกให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข อะไรช่วยได้ก็ช่วยกันไป ค่าห้องเช่าที่เขาเปิดรับแรงงานเหล่านี้ก็ถูกเสียจนเหมือนกับให้อยู่ฟรี ที่ทำงานของคนเหล่านี้ก็อยู่ไม่ไกล โกดังตากกุ้งแห้งอยู่ติดกับอพาร์ทเมนต์เขาเพียงเดินออกไปไม่ถึงสิบก้าว
รถยนต์คันนั้นจอดสนิทอยู่บริเวณลานกว้างหน้าบ้านพัก มีเพดานเป็นเต็นท์กรองแสงสีเขียวแก่ ทำให้แดดยามเที่ยงวันไม่ลอดลงมาแผดเผาผิวเนื้อเนียนละเอียดของสาวๆมากเกินไป มุกดาผลักประตูวิ่งลงจากรถเป็นคนแรก หญิงสาวตรงเข้าไปสวมกอดบิดาด้วยความคิดถึง ไม่ทันเห็นว่าก่อนหน้านี้เจ้าของบ้านกำลังเล่นหมากรุกบนโต๊ะหินอ่อนทรงกลมกับชายชราผมสีดอกเลาคนหนึ่งอย่างออกรสออกชาติ
“เอ้อ..ไอ้ลูกคนนี้ จะคิดถึงอะไรกันมากมาย พ่อไปหาแทบทุกเดือน”
คุณตระการตบหลับลูกสาวคนเล็กเบาๆด้วยความเอ็นดู พลางยักคิ้วให้เพื่อนบ้านที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ลูกเขารักน่ะดีแล้ว..ไม่เหมือนลูกสาวฉัน หายเข้ากลีบเมฆไม่มาให้พ่อแม่เห็นหน้าเห็นตา”
เสียงสูงต่ำสำเนียงคนสุพรรณฯ เตือนให้มุกดารู้ว่ามีใครอีกคนนอกจากหล่อนและพ่อ
“อ้าว..ลุงเหิม อยู่ด้วยหรือคะ ขอโทษค่ะไข่มุกไม่ทันเห็น” หญิงสาวรีบขอโทษขอโพยยกใหญ่ ชายชรายกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่ถือสา
“ไปไงมาไงล่ะเรา พาใครมาด้วย”
ลุงเหิมทักหล่อน แล้วเผื่อแผ่ไปถึงอีกสามคนที่หอบหิ้วของพะรุงพะรังตามมาจากด้านหลัง
“นี่เจ้านายหนูค่ะ ชื่อคุณกวิน แล้วก็พี่หวาน เป็นเพื่อนสนิทพี่แพรค่ะ”
“อ้อ..นี่หนูแพรหรือ..โตเป็นสาวสวยขึ้นเยอะ ลุงจำแทบไม่ได้”
คือคำทักทายที่มุกดาเริ่มชิน ตอนเดินไปซื้อของในหมู่บ้านก็เหมือนกัน ใครๆที่เพิ่งเห็นหน้าพี่แพรตอนกลับจากอเมริกา ก็ทักแบบนี้...
“แพรเขาโทรมาบอกตั้งแต่เมื่อคืน ข้าก็ลืมบอกเอ็ง มัวแต่เล่นหมากรุกเพลิน” คุณตระการหันไปบอกด้วยสำนวนคนกันเอง
“เชิญครับคุณกวิน ได้ยินกิตติศัพท์จากหนูแพรมานาน วันนี้เห็นตัวจริงแล้ว หล่อจริงๆเสียด้วย”
มุกดาเหลือบมองกวินที พี่สาวที เห็นสองคนหันมายิ้มให้กันอย่างมีนัยลึกซึ้ง พี่แพรคงเล่าถึงเจ้านายหล่อนให้พ่อฟังบ่อยๆ อาจจะพูดถึงเรื่องแต่งงานในเร็วๆนี้ด้วยละมัง..หญิงสาวคิดเองเออเอง แล้วก็เจ็บแปลบในใจอยู่คนเดียว ไม่มีใครรับรู้
อาหารกลางวันมื้อนั้น แขกทุกคนทั้งหน้าใหม่เก่าอิ่มหนำสำราญกันด้วยฝีมือเสน่ห์ปลายจวักของ “อาแง” แรงงานชาวพม่าคนหนึ่ง หล่อนมักถูกจ้างให้มาเป็นแม่บ้านชั่วคราว เวลามีแขกคนสำคัญของบิดามาเยี่ยมเยือน ใครไม่เคยชิมฝีมือ “อาแง” ไม่มีทางเชื่อว่าคนพม่าก็ทำอาหารเก่งไม่แพ้คนไทย
หลังจากมื้อกลางวันเสร็จสิ้น แขกแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน จัดสัมภาระเก็บในห้องที่จัดไว้รับรองแขกบนชั้นดาดฟ้า ซึ่งแดดแรงแผดเผาตอนกลางวัน ทว่าลมโกรกและอากาศเย็นสบายตอนกลางคืน แพรวากับเพื่อนสนิทของหล่อนขอตัวออกไปเดินเล่นแถวชายหาดที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินอนอาบแดดกันเกลื่อน ส่วนกวินไม่มีใครทันสังเกตว่าเขาแยกตัวไปอยู่ตรงไหนของบ้าน
มีเพียงมุกดาที่ขลุกอยู่กับคุณตระการเกือบทั้งบ่าย รวมถึงลุงเหิมเพื่อนบ้านของผู้เป็นบิดา ก็ยังนอนเอนหลังบนเตียงผ้าใบฟัง เด็กสาวเล่าเรื่องราวน่าตื่นเต้นให้ฟัง ซึ่งเรื่องเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเจ้านายหล่อนทั้งสิ้น
ดึกดื่นคืนนั้น พระจันทร์เสี้ยวส่องแสงเรืองสวยจับตา ลมธรรมชาติโชยพัดมาเบาๆ กวินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด อากาศแบบนี้หาได้ยากในเมืองหลวง ชายหนุ่มรู้สึกเบากาย เบาใจ เมื่อภาระหนักอึ้งถูกทิ้งไปชั่วคราว
“ธรรมชาติเป็นเพื่อนกับมนุษย์เรามาแต่ไหนแต่ไร”
เสียงทุ้มลึก อย่างผู้ผ่านกาลเวลาและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตมาจนบั้นปลายเอ่ยขึ้น ผู้ยืนพิงระเบียงอยู่ก่อนเอี้ยวตัวมามองตามทิศทางเสียง ก็พบเจ้าของบ้านมายืนยิ้มอยู่ข้างๆ
“ความเจริญทางวัตถุ บางครั้งก็บั่นทอนความสวยงามทางธรรมชาติไปเสียหมด น่าเสียดายนะคุณว่าไหม”
คำบอกกล่าวเรื่อยๆไม่ได้ขอความเห็นจริงจังนัก
“ครับ..” กวินตอบรับสั้นๆ ก่อนเป็นฝ่ายชวนคุยบ้าง “คุณลุงคงชอบอยู่กับธรรมชาติ..เพราะอย่างนี้ใช่ไหมครับ..คุณลุงถึงแยกตัวมาอยู่ที่นี่”
คุณลุงผู้ผ่านโลกมามาก จนถึงขั้นเริ่มอิดหนาระอาใจกับหลายสิ่ง หันมามองเขา แววตาลุ่มลึกนั้นมีความหมายมากมายซ่อนอยู่ คุณตระการยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างพ่อยิ้มให้ลูกชาย
“เรื่องบางอย่าง ใครมองผิวเผินก็ไม่เข้าใจหรอก คุณวิน”
“เรื่องอะไรหรือครับ?” เขาถามเพราะไม่เข้าใจจริงๆ
“ไข่มุกบอกว่าคุณสนใจเรื่องเพาะพันธุ์กุหลาบ..”
แทนคำตอบของคำถาม คุณตระการกลับเปลี่ยนเรื่องคุย..กวินยังติดใจกับคำถามของเขา ทว่าเมื่อได้ยินชื่อมัณฑนากรสาว เขาก็ทำท่าสนใจขึ้นมาทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนบอกความดีใจอย่างปิดไม่มิด
“ไข่มุกเล่าให้คุณลุงฟังหรือครับ..”
“เกือบทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณ”
นายทหารเก่ายิ้มในหน้าเมื่อออกปาก นัยน์ตามีแววเอ็นดูเจืออยู่
“แสดงว่าไข่มุกหายโกรธผม..เรื่องที่เอ่อ..ผมจะซื้อ..” กวินรู้สึกว่าตัวเองประดิษฐ์คำพูดได้อย่างยากเย็น เพราะเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อเจ้าของบ้าน ทว่าเขาคิดผิด เมื่อคุณตระการถามต่อ
“ซื้อเรือนกุหลาบน่ะหรือ..คุณอย่ากังวลเลยว่าลุงจะไม่พอใจ” รอยยิ้มบางๆไม่เคยเลือนหายไปจากใบหน้าที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นบางส่วนตามกาลเวลา
“ไข่มุกบอกว่าคุณมีน้ำใจ..ขอซื้อที่เพียงเล็กน้อย แถมจะอุตส่าห์ฟื้นฟูสวนกุหลาบบนดินขึ้นมาอีก หายากนะคนหนุ่มสมัยนี้”
กวินยิ้มเห็นฟันขาวเรียงตัดกับริมฝีปากบ่มไอเย็นสีแดงระเรื่อ
“ผมก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องนักหรอกครับ คงต้องขอความเมตตาจากคุณลุง”
ชายหนุ่มเอ่ยจากใจจริง...ความรู้เรื่องการปลุกกุหลาบของเขามีเพียงน้อยนิดเท่านั้น
“รู้แค่ว่าเขาปลูกกุหลาบกันในฤดูหนาว..เคยเห็นปลูกในเรือนกระจก”
เสียงตบมือเปาะแปะดังขึ้นหลังคำบอกเล่านั้น
“เท่านั้นก็รู้เยอะแล้ว สำหรับคนหนุ่มๆสมัยนี้”
รอยยิ้มเปี่ยมด้วยไมตรี แววตาของคนหนักแน่นจริงจัง ทำให้กวินรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ที่เรือนกุหลาบ มีเพทายคนหนึ่งล่ะพอแนะนำคุณได้..รายนั้นเขาเก่งเอาการ”
“เอ..เห็นไข่มุกบอกว่าคุณเพทายพอรู้แบบงูๆปลาๆ”
เขาบอกตามที่ได้ฟังมาจากหญิงสาว เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น ผู้สูงวัยส่ายหน้ายิ้มขัน
“รายนั้นเขาจะสอนหมดเปลือกสำหรับคนที่อยากรู้จริง..ไม่ทำเป็นเล่น!”
คุณตระการเอื้อมมือมาแตะบ่าเขาเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ “ถ้าคุณถามจริง..ยายเพจะตอบจริง..ถ้าเหลือบ่ากว่าแรงลุงจะช่วย”
แดดเริ่มแรงขึ้นตามลำดับเมื่อตะวันลอยตัวขึ้นจากผิวน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ มุกดายกนาฬิกาข้อมือเรือนเก่งมาดูถึงได้รู้ว่าสาย ออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งริมหาดตั้งแต่เช้า แวะซื้ออาหารจากตลาดสดมาสองสามอย่าง เดินมาเจอแดดหน้าบ้านลุงเหิมเข้า ถึงได้รู้ว่าหมดเวลาสนุกของหล่อนแล้ว
เสียงบีบแตรดังมาจากด้านหลัง คนส่งไปรษณีย์คงจะนึกว่าหล่อนเป็นเจ้าของบ้านลุงเหิม ที่ป่านนี้ยังปิดประตูไม้กระดานเงียบเชียบ จึงกวักมือเรียกให้ไปเซ็นรับพัสดุกล่องใหญ่
“เอ่อ..คือหนูไม่ใช่” กำลังจะปฏิเสธว่าตัวเองไม่ใช่เจ้าของบ้าน เมื่อคุณไปรษณีย์ไทยยื่นกล่องพัสดุพร้อมกระดาษปากกาให้เซ็นรับลงทะเบียน อักษรตัวโตที่จ่าหน้ากล่องกระตุกความทรงจำเมื่อนานแสนนานให้ย้อนคืน
ส่ง คุณ พิมพลอย อสุรา..
พอดีกับที่ประตูไม้เปิดออก ลุงเหิมเดินกระย่องกระแย่งออกมามีผ้าขาวม้าพันรอบเอว
“อ้าว..หนูไข่มุก ไปวิ่งมาล่ะซี”
มุกดาไม่มีแก่ใจตอบคำถามลุงเหิม..หล่อนดึงกล่องพัสดุกล่องนั้นมาจากหนุ่มไปรษณีย์ แล้วยื่นให้ชายชรา
“ลุงรู้จักเจ้าของพัสดุนี่ไหมคะ?”
ลุงเหิมหรี่ตาพลางปรับระยะการมองเห็นให้ได้ตำแหน่งพอควร ก่อนบอก
“ของลูกสาวลุงเอง..”
คำตอบนั้นเสมือนสวรรค์ประทานพรวิเศษสุดในสามโลก
พี่เขียวจ๋า..ไข่มุกจะได้เจอพี่เสียทีนะ
“ไม่นึกว่าแพรจะมาเร็วขนาดนี้”
มานิตายิ้มหวานชิงบอกตัดหน้าเจ้าตัว
“แหม...เมื่อคืนแพรเค้านอนไม่หลับน่ะค่ะ เลยตื่นเช้า”
มุกดาเพิ่งตักข้าวสวยใส่จานให้แขกเพิ่มอีกสองคน ได้ยินประโยคนี้พอดีก็รู้สึกแปร่งๆ หล่อนว่ามันไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลกันสักเท่าไหร่..นอนไม่หลับก็น่าจะตื่นสายนี่นา
“นี่หวานค่ะวิน..เพื่อนรัก..ตั้งแต่สมัยมัธยม” คำพูดของพี่สาวหล่อนก็เช่นกัน ฟังดูทะแม่งพิกล โดยเฉพาะคำว่า “เพื่อนรัก” เหมือนแพรวากำลังกัดฟันพูด
“ยินดีที่ได้รู้จักครับหวาน..เลยไม่ได้เตรียมจัดบ้านให้น่าดูกว่านี้..ขอโทษด้วยนะครับ”
กวินเป็นอย่างนี้เสมอ..เขาสุภาพกับทุกคนที่เพิ่งรู้จักกัน หากไม่คิดว่าคนๆนั้นมีพิษมีภัยกับเขา
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่หวานได้เห็นหน้าคุณ..เอ่อ” แรงกระทุ้งด้วยศอกจากคนข้างๆ ทำให้มานิตาจำใจต้องเสพูดไปอีกอย่าง “ได้เห็นหน้าน้องไข่มุก..น้องรักของแพร หายคิดถึงกันเสียทีนะจ๊ะ”
พี่หวาน..หันไปพยักเพยิดกับน้องเล็กผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่กับใครเขา มุกดาทำได้เพียงยิ้มรับแบบแกนๆ เพื่อนพี่สาวคนนี้หวานสมชื่อก็จริง..แต่บางครั้งหล่อนก็รู้สึกเหมือนอยู่ในละครฉากสำคัญมากกว่าชีวิตจริง
“ขอบใจนะไข่มุก อาหารมื้อนี้น่าทานทุกอย่างเลย” กวินหันไปบอกมัณฑนากรสาวที่เพิ่งเลื่อนเก้าอี้มาเพิ่มสำหรับตัวเอง หล่อนเลือกนั่งให้ห่างเจ้านายมากที่สุด อย่างน้อยต้องห่างกว่าพี่สาวของหล่อนก็แล้วกัน
“ไข่มุกร่างแบบเสร็จแล้วนะคะ เดี๋ยวจะขึ้นไปเอามาให้ค่ะ” หล่อนเสพูดเรื่องงานแก้เขิน อีกอย่างคืออยากปลีกตัวออกจากคู่รัก ให้เขาได้สวีทหวานกันเป็นส่วนตัว ถึงแม้จะมีมานิตามาแทรกระหว่างกลาง แต่เพื่อนพี่สาวคนนี้ก็น่าจะปรับตัวได้กลมกลืนกว่าคนพูดไม่เก่งอย่างหล่อน ขืนนั่งอยู่ด้วยนานๆ หล่อนคงรู้สึกตัวเองเป็นส่วนเกิน ทำบรรยากาศดีให้เสียไปหมด
ทว่ายังไม่ทันได้ทำตามความตั้งใจ เจ้านายก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“ไม่ต้องหรอก..เรื่องนั้นค่อยคุยกันตอนกลับกรุงเทพฯก็ได้ มากินข้าวกันก่อน”
นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมีแวววิงวอนสะท้อนออกมา ชนิดที่คนถูกมองไม่มีทางปฏิเสธได้ลงคอ
“น้องสาวแพรคงได้เลื่อนขั้นเป็นคนโปรดแล้วซีคะ..ผลงานดีหรือยังไง กล้าเรียกชื่อเล่นแทนตัวกับเจ้านายซะละ”
ครั้งนี้แหละที่มุกดารู้สึกขัดหูกับเสียงหวานๆของมานิตามากที่สุด แต่คิดในแง่ดี..อาจเป็นวิธีเย้าแหย่ของหล่อนก็ได้
“อย่าไปถือสายายหวานเลยนะคะวิน..เค้าชอบพูดเล่นไปเรื่อยไม่ดูตาม้าตาเรืออย่างนี้แหละ” แพรวาช่วยแก้แทนเพื่อน เมื่อเห็นรอยยิ้มในตาของชายหนุ่มเริ่มเลือนหายไป
“ที่พามาด้วย ก็อยากจะฝากให้วินพิจารณาค่ะ”
กวินเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เมื่อข้องใจกับคำว่า “พิจารณา” ของเพื่อนสาว
“แพรหมายถึง พิจารณาเข้าทำงานน่ะค่ะ”
เห็นชายหนุ่มทำหน้าพะอืดพะอมเหมือนเจอยาขม ขยับปากเหมือนจะปฏิเสธ มานิตาเลยรีบพูดขึ้นก่อน
“แหม..ก็รู้ว่าลำบากใจนะคะ ใครก็รู้กิตติศัพท์คุณนายแม่ของคุณวิน แต่ว่า..”
พี่หวานปรายตามามองน้องเล็กของเพื่อนสาวแวบหนึ่ง นัยน์ตาหวานซึ้งระยิบระยับเมื่อมองกวิน แต่กลับส่งกระแสบางอย่างให้รู้สึกหนาวๆร้อนๆเมื่อมองมาทางมุกดา
“ถ้าคุณวินไม่รับหวานเข้าทำงานเพิ่มสักคน ใครจะว่าดับเบิ้ลแสตนดาร์ดเอาได้นะคะ”
เห็น “คนพิเศษ” ทำหน้าฉงน แพรวาจึงต้องเป็นฝ่ายขยาย..หล่อนชักเริ่มรำคาญความพิรี้พิไรของ “เพื่อนรัก” คนนี้มากขึ้นทุกที
“คือแพรเห็นว่า ไหนๆวินก็เริ่มรับไข่มุกเข้าทำงาน ประเดิมผู้หญิงคนแรกในรอบสิบปี”
ยิ้มเก๋ๆ กับเสียงกังวานใสเปี่ยมความมั่นใจในทุกเรื่องที่หล่อนเอ่ยปาก ทำให้คนฟังคล้อยตามได้ไม่ยาก มุกดาเห็นข้อนี้ก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมความเก่งที่แสนแพรวพราวของพี่สาว
“แล้วตอนนี้คุณแม่ของคุณก็ไปพักร้อนต่างประเทศ อีกตั้งสามเดือนกว่าจะกลับ” แพรวาอธิบายไหลลื่นไม่มีติดขัด “รับยายหวานเข้าทำงานสักพัก ก็เริ่มคล่อง พอคล่องแล้วก็ทำผลงานเป็นที่น่าพอใจ คุณแม่กลับมาอีกที อย่างมากก็แค่บ่นสองสามคำ เรื่องเลยตามเลยถึงขนาดนี้แล้ว”
“หวานอยากทำงานด้านไหน”
กวินถามเข้าเรื่อง..เมื่อไม่เห็นลู่ทางจะปฏิเสธเพื่อนสาวได้ เหมือนทุกครั้งที่แพรวาเคยหว่านล้อมเขา หล่อนมักมีเหตุผลดีๆมาประกอบ หรือไม่ก็เหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกเกรงใจเกินกว่าจะปฏิเสธหล่อน
“ประชาสัมพันธ์ค่ะ” มานิตาตอบเสียงหวานตามเคย “น่าเบื่อจะตายไป คุณวินทนเห็นพวกผู้ชายในบริษัททำงานตำแหน่งนี้ได้ยังไงกัน ไม่เจริญหูเจริญตาเลยนะคะ”
“แล้วคุณจะยอมเป็นผู้หญิงคนเดียว ท่ามกลางพนักงานชายพวกนั้นไหมล่ะ” กวินย้อนทีเล่นทีจริง นัยน์ตามีแววยิ้มได้ ทำให้หญิงสาวยิ่งเคลิ้มหลงมากกว่าเก่า
“ไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ..ถ้ามีเจ้านายที่ดีอย่างวิน”
แพรวาสรุปให้เสร็จสรรพ เป็นอันว่าไม่มีข้อโต้แย้งใดๆถัดจากนั้นอีก
รถยุโรปของกวินแล่นไปตามถนนเลียบชายหาด อ้อมเขากะโหลกอยู่สามรอบด้วยความไม่ชินทาง สุดท้ายชายหนุ่มก็บังคับพวงมาลัยตามแผนที่ปากเปล่า ซึ่งแพรวาจับจองหน้าที่นั้นโดยการนั่งข้างสารถีหนุ่ม ยกมือส่งสัญญาณทิศทางกันไป หัวเราะคิกคักกันไป เมื่อดีไซเนอร์สาวหยอดมุขตลกคลายความตึงเครียดให้เข้าเป็นระยะๆ
มุกดานั่งมองคู่รักหวานหยดอยู่บนเบาะหลัง หล่อนนั่งตัวลีบลงๆเรื่อยๆ เหมือนตัวเองเป็นส่วนเกินในรถคันหรู พี่หวานก็ใช่ย่อยเสียที่ไหน..สอดรับไปกับเขาได้ทุกเรื่อง ผู้หญิงคนนี้มีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง..คือเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง หล่อนก็เอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวได้หมดขอแค่ใจอยากจะเกี่ยว มุกดาลอบถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย หล่อนรู้สึกเบื่อจนต้องเบือนหน้าไปมองคลื่นทะเลที่ซัดสาดอยู่บนผืนทรายเหลืองระยับ หญิงสาวไม่รู้เลยว่ามีใครบางคนแอบมองอาการเหล่านั้นผ่านทางกระจกหน้ารถ..ด้วยความเป็นห่วง
บ้านปราณ..ของบิดาหล่อนยังคงความรื่นรมย์ไม่ต่างจากวันเก่า ตึกสูงสองชั้น พื้นที่เน้นตามแนวยาวมากกว่าแนวกว้าง สีฟ้าครามบนผนังทั่วอาคารยังสดใส กลมกลืนกับแผ่นฟ้าและน้ำทะเล ป้ายสามเหลี่ยมที่ผนึกอยู่กลางระเบียงชั้นดาดฟ้า สลักคำว่า “บ้านปราณ”
บ้านตากอากาศที่พ่อของมุกดาแยกตัวมาอยู่อย่างสันโดษ ห่างไกลความวุ่นวายจากเมืองหลวงและภรรยา แบ่งชั้นดาดฟ้าเป็นที่อาศัยส่วนตัว อีกสองชั้นล่างที่เหลือแบ่งเป็นห้องให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาเช่าพัก บ้านปราณของ นาวาอากาศเอก ตระการ วิจิตร ผู้ปลดเกษียณตัวเองออกมาใช้ชีวิตในบั้นปลายเมื่อสิบกว่าปีก่อน อยู่ติดกับสะพานปลา และปากน้ำทะล ที่ซึ่งน้ำจืดกับน้ำเค็มไหลมารวมกันเป็นน้ำกร่อย เรือชาวประมงจอดเทียบท่า รอเวลาออกไปตกหมึกตัวโตยามค่ำคืน เลี้ยงปากท้องครอบครัวพอรอดตัวเป็นมื้อๆหนึ่ง
แรงงานต่างด้าว โดยมากเป็นชาวพม่า อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่ด้ามขวานของประเทศไทย อย่างจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แม้เป็นคนต่างชนชาติ แต่คุณตระการก็คิดว่าน้ำใจเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงคนบนโลกให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข อะไรช่วยได้ก็ช่วยกันไป ค่าห้องเช่าที่เขาเปิดรับแรงงานเหล่านี้ก็ถูกเสียจนเหมือนกับให้อยู่ฟรี ที่ทำงานของคนเหล่านี้ก็อยู่ไม่ไกล โกดังตากกุ้งแห้งอยู่ติดกับอพาร์ทเมนต์เขาเพียงเดินออกไปไม่ถึงสิบก้าว
รถยนต์คันนั้นจอดสนิทอยู่บริเวณลานกว้างหน้าบ้านพัก มีเพดานเป็นเต็นท์กรองแสงสีเขียวแก่ ทำให้แดดยามเที่ยงวันไม่ลอดลงมาแผดเผาผิวเนื้อเนียนละเอียดของสาวๆมากเกินไป มุกดาผลักประตูวิ่งลงจากรถเป็นคนแรก หญิงสาวตรงเข้าไปสวมกอดบิดาด้วยความคิดถึง ไม่ทันเห็นว่าก่อนหน้านี้เจ้าของบ้านกำลังเล่นหมากรุกบนโต๊ะหินอ่อนทรงกลมกับชายชราผมสีดอกเลาคนหนึ่งอย่างออกรสออกชาติ
“เอ้อ..ไอ้ลูกคนนี้ จะคิดถึงอะไรกันมากมาย พ่อไปหาแทบทุกเดือน”
คุณตระการตบหลับลูกสาวคนเล็กเบาๆด้วยความเอ็นดู พลางยักคิ้วให้เพื่อนบ้านที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ลูกเขารักน่ะดีแล้ว..ไม่เหมือนลูกสาวฉัน หายเข้ากลีบเมฆไม่มาให้พ่อแม่เห็นหน้าเห็นตา”
เสียงสูงต่ำสำเนียงคนสุพรรณฯ เตือนให้มุกดารู้ว่ามีใครอีกคนนอกจากหล่อนและพ่อ
“อ้าว..ลุงเหิม อยู่ด้วยหรือคะ ขอโทษค่ะไข่มุกไม่ทันเห็น” หญิงสาวรีบขอโทษขอโพยยกใหญ่ ชายชรายกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่ถือสา
“ไปไงมาไงล่ะเรา พาใครมาด้วย”
ลุงเหิมทักหล่อน แล้วเผื่อแผ่ไปถึงอีกสามคนที่หอบหิ้วของพะรุงพะรังตามมาจากด้านหลัง
“นี่เจ้านายหนูค่ะ ชื่อคุณกวิน แล้วก็พี่หวาน เป็นเพื่อนสนิทพี่แพรค่ะ”
“อ้อ..นี่หนูแพรหรือ..โตเป็นสาวสวยขึ้นเยอะ ลุงจำแทบไม่ได้”
คือคำทักทายที่มุกดาเริ่มชิน ตอนเดินไปซื้อของในหมู่บ้านก็เหมือนกัน ใครๆที่เพิ่งเห็นหน้าพี่แพรตอนกลับจากอเมริกา ก็ทักแบบนี้...
“แพรเขาโทรมาบอกตั้งแต่เมื่อคืน ข้าก็ลืมบอกเอ็ง มัวแต่เล่นหมากรุกเพลิน” คุณตระการหันไปบอกด้วยสำนวนคนกันเอง
“เชิญครับคุณกวิน ได้ยินกิตติศัพท์จากหนูแพรมานาน วันนี้เห็นตัวจริงแล้ว หล่อจริงๆเสียด้วย”
มุกดาเหลือบมองกวินที พี่สาวที เห็นสองคนหันมายิ้มให้กันอย่างมีนัยลึกซึ้ง พี่แพรคงเล่าถึงเจ้านายหล่อนให้พ่อฟังบ่อยๆ อาจจะพูดถึงเรื่องแต่งงานในเร็วๆนี้ด้วยละมัง..หญิงสาวคิดเองเออเอง แล้วก็เจ็บแปลบในใจอยู่คนเดียว ไม่มีใครรับรู้
อาหารกลางวันมื้อนั้น แขกทุกคนทั้งหน้าใหม่เก่าอิ่มหนำสำราญกันด้วยฝีมือเสน่ห์ปลายจวักของ “อาแง” แรงงานชาวพม่าคนหนึ่ง หล่อนมักถูกจ้างให้มาเป็นแม่บ้านชั่วคราว เวลามีแขกคนสำคัญของบิดามาเยี่ยมเยือน ใครไม่เคยชิมฝีมือ “อาแง” ไม่มีทางเชื่อว่าคนพม่าก็ทำอาหารเก่งไม่แพ้คนไทย
หลังจากมื้อกลางวันเสร็จสิ้น แขกแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน จัดสัมภาระเก็บในห้องที่จัดไว้รับรองแขกบนชั้นดาดฟ้า ซึ่งแดดแรงแผดเผาตอนกลางวัน ทว่าลมโกรกและอากาศเย็นสบายตอนกลางคืน แพรวากับเพื่อนสนิทของหล่อนขอตัวออกไปเดินเล่นแถวชายหาดที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินอนอาบแดดกันเกลื่อน ส่วนกวินไม่มีใครทันสังเกตว่าเขาแยกตัวไปอยู่ตรงไหนของบ้าน
มีเพียงมุกดาที่ขลุกอยู่กับคุณตระการเกือบทั้งบ่าย รวมถึงลุงเหิมเพื่อนบ้านของผู้เป็นบิดา ก็ยังนอนเอนหลังบนเตียงผ้าใบฟัง เด็กสาวเล่าเรื่องราวน่าตื่นเต้นให้ฟัง ซึ่งเรื่องเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเจ้านายหล่อนทั้งสิ้น
ดึกดื่นคืนนั้น พระจันทร์เสี้ยวส่องแสงเรืองสวยจับตา ลมธรรมชาติโชยพัดมาเบาๆ กวินสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด อากาศแบบนี้หาได้ยากในเมืองหลวง ชายหนุ่มรู้สึกเบากาย เบาใจ เมื่อภาระหนักอึ้งถูกทิ้งไปชั่วคราว
“ธรรมชาติเป็นเพื่อนกับมนุษย์เรามาแต่ไหนแต่ไร”
เสียงทุ้มลึก อย่างผู้ผ่านกาลเวลาและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตมาจนบั้นปลายเอ่ยขึ้น ผู้ยืนพิงระเบียงอยู่ก่อนเอี้ยวตัวมามองตามทิศทางเสียง ก็พบเจ้าของบ้านมายืนยิ้มอยู่ข้างๆ
“ความเจริญทางวัตถุ บางครั้งก็บั่นทอนความสวยงามทางธรรมชาติไปเสียหมด น่าเสียดายนะคุณว่าไหม”
คำบอกกล่าวเรื่อยๆไม่ได้ขอความเห็นจริงจังนัก
“ครับ..” กวินตอบรับสั้นๆ ก่อนเป็นฝ่ายชวนคุยบ้าง “คุณลุงคงชอบอยู่กับธรรมชาติ..เพราะอย่างนี้ใช่ไหมครับ..คุณลุงถึงแยกตัวมาอยู่ที่นี่”
คุณลุงผู้ผ่านโลกมามาก จนถึงขั้นเริ่มอิดหนาระอาใจกับหลายสิ่ง หันมามองเขา แววตาลุ่มลึกนั้นมีความหมายมากมายซ่อนอยู่ คุณตระการยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างพ่อยิ้มให้ลูกชาย
“เรื่องบางอย่าง ใครมองผิวเผินก็ไม่เข้าใจหรอก คุณวิน”
“เรื่องอะไรหรือครับ?” เขาถามเพราะไม่เข้าใจจริงๆ
“ไข่มุกบอกว่าคุณสนใจเรื่องเพาะพันธุ์กุหลาบ..”
แทนคำตอบของคำถาม คุณตระการกลับเปลี่ยนเรื่องคุย..กวินยังติดใจกับคำถามของเขา ทว่าเมื่อได้ยินชื่อมัณฑนากรสาว เขาก็ทำท่าสนใจขึ้นมาทันที นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนบอกความดีใจอย่างปิดไม่มิด
“ไข่มุกเล่าให้คุณลุงฟังหรือครับ..”
“เกือบทุกเรื่องที่เกี่ยวกับคุณ”
นายทหารเก่ายิ้มในหน้าเมื่อออกปาก นัยน์ตามีแววเอ็นดูเจืออยู่
“แสดงว่าไข่มุกหายโกรธผม..เรื่องที่เอ่อ..ผมจะซื้อ..” กวินรู้สึกว่าตัวเองประดิษฐ์คำพูดได้อย่างยากเย็น เพราะเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต่อเจ้าของบ้าน ทว่าเขาคิดผิด เมื่อคุณตระการถามต่อ
“ซื้อเรือนกุหลาบน่ะหรือ..คุณอย่ากังวลเลยว่าลุงจะไม่พอใจ” รอยยิ้มบางๆไม่เคยเลือนหายไปจากใบหน้าที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นบางส่วนตามกาลเวลา
“ไข่มุกบอกว่าคุณมีน้ำใจ..ขอซื้อที่เพียงเล็กน้อย แถมจะอุตส่าห์ฟื้นฟูสวนกุหลาบบนดินขึ้นมาอีก หายากนะคนหนุ่มสมัยนี้”
กวินยิ้มเห็นฟันขาวเรียงตัดกับริมฝีปากบ่มไอเย็นสีแดงระเรื่อ
“ผมก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องนักหรอกครับ คงต้องขอความเมตตาจากคุณลุง”
ชายหนุ่มเอ่ยจากใจจริง...ความรู้เรื่องการปลุกกุหลาบของเขามีเพียงน้อยนิดเท่านั้น
“รู้แค่ว่าเขาปลูกกุหลาบกันในฤดูหนาว..เคยเห็นปลูกในเรือนกระจก”
เสียงตบมือเปาะแปะดังขึ้นหลังคำบอกเล่านั้น
“เท่านั้นก็รู้เยอะแล้ว สำหรับคนหนุ่มๆสมัยนี้”
รอยยิ้มเปี่ยมด้วยไมตรี แววตาของคนหนักแน่นจริงจัง ทำให้กวินรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ที่เรือนกุหลาบ มีเพทายคนหนึ่งล่ะพอแนะนำคุณได้..รายนั้นเขาเก่งเอาการ”
“เอ..เห็นไข่มุกบอกว่าคุณเพทายพอรู้แบบงูๆปลาๆ”
เขาบอกตามที่ได้ฟังมาจากหญิงสาว เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น ผู้สูงวัยส่ายหน้ายิ้มขัน
“รายนั้นเขาจะสอนหมดเปลือกสำหรับคนที่อยากรู้จริง..ไม่ทำเป็นเล่น!”
คุณตระการเอื้อมมือมาแตะบ่าเขาเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจ “ถ้าคุณถามจริง..ยายเพจะตอบจริง..ถ้าเหลือบ่ากว่าแรงลุงจะช่วย”
แดดเริ่มแรงขึ้นตามลำดับเมื่อตะวันลอยตัวขึ้นจากผิวน้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ มุกดายกนาฬิกาข้อมือเรือนเก่งมาดูถึงได้รู้ว่าสาย ออกไปวิ่งจ๊อกกิ้งริมหาดตั้งแต่เช้า แวะซื้ออาหารจากตลาดสดมาสองสามอย่าง เดินมาเจอแดดหน้าบ้านลุงเหิมเข้า ถึงได้รู้ว่าหมดเวลาสนุกของหล่อนแล้ว
เสียงบีบแตรดังมาจากด้านหลัง คนส่งไปรษณีย์คงจะนึกว่าหล่อนเป็นเจ้าของบ้านลุงเหิม ที่ป่านนี้ยังปิดประตูไม้กระดานเงียบเชียบ จึงกวักมือเรียกให้ไปเซ็นรับพัสดุกล่องใหญ่
“เอ่อ..คือหนูไม่ใช่” กำลังจะปฏิเสธว่าตัวเองไม่ใช่เจ้าของบ้าน เมื่อคุณไปรษณีย์ไทยยื่นกล่องพัสดุพร้อมกระดาษปากกาให้เซ็นรับลงทะเบียน อักษรตัวโตที่จ่าหน้ากล่องกระตุกความทรงจำเมื่อนานแสนนานให้ย้อนคืน
ส่ง คุณ พิมพลอย อสุรา..
พอดีกับที่ประตูไม้เปิดออก ลุงเหิมเดินกระย่องกระแย่งออกมามีผ้าขาวม้าพันรอบเอว
“อ้าว..หนูไข่มุก ไปวิ่งมาล่ะซี”
มุกดาไม่มีแก่ใจตอบคำถามลุงเหิม..หล่อนดึงกล่องพัสดุกล่องนั้นมาจากหนุ่มไปรษณีย์ แล้วยื่นให้ชายชรา
“ลุงรู้จักเจ้าของพัสดุนี่ไหมคะ?”
ลุงเหิมหรี่ตาพลางปรับระยะการมองเห็นให้ได้ตำแหน่งพอควร ก่อนบอก
“ของลูกสาวลุงเอง..”
คำตอบนั้นเสมือนสวรรค์ประทานพรวิเศษสุดในสามโลก
พี่เขียวจ๋า..ไข่มุกจะได้เจอพี่เสียทีนะ
ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2555, 00:27:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2555, 00:27:43 น.
จำนวนการเข้าชม : 1738
<< บทที่๑๐ แขกไม่ได้รับเชิญ ๑/๒ | บทที่๑๑ กุหลาบสีเขียว(กำลังจะ)ผลิบาน ๑/๒ >> |
Edelweiss 29 พ.ค. 2555, 07:01:49 น.
จะได้เจอพี่เขียวสักที แล้วทำไมตาคุณวินต้องฟังแพรวาตลอดเนี่ยยย
จะได้เจอพี่เขียวสักที แล้วทำไมตาคุณวินต้องฟังแพรวาตลอดเนี่ยยย
ศิลาริน 29 พ.ค. 2555, 07:26:59 น.
แพรวาเขามีความสามารถพิเศษ อิอิ^^
แพรวาเขามีความสามารถพิเศษ อิอิ^^
Okuriumi 29 พ.ค. 2555, 09:47:58 น.
เดิมเดิม 29 พ.ค. 2555, 10:20:07 น.
พี่เขียวมาแล้วช่วยจัดยัยแพรหน่อยค่ะ
พี่เขียวมาแล้วช่วยจัดยัยแพรหน่อยค่ะ
แล่นแต๊ 29 พ.ค. 2555, 17:28:14 น.
ได้พี่เขียวมาเสริมทัพ ไข่มุกจะได้สูสีกับยายแพรหน่อย
ได้พี่เขียวมาเสริมทัพ ไข่มุกจะได้สูสีกับยายแพรหน่อย
ศิลาริน 29 พ.ค. 2555, 17:44:22 น.
ทำไมมีแต่คนฝากความหวังไว้กับพี่เขียว ฮี่ๆ
ทำไมมีแต่คนฝากความหวังไว้กับพี่เขียว ฮี่ๆ