เรือนกุหลาบ
กุหลาบแสนสวยดอกนั้น ช่างแสนดี เป็นที่รักเทิดทูนบูชาของหล่อนสุดหัวใจตั้งแต่เล็กจนโต..หญิงสาวไม่รู้เลย ว่าเบื้องหลังกุหลาบสีสวยนั้นซ่อนคมหนามไว้มิดชิด..เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของหล่อนทุกวิถีทาง!

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่๑๑ กุหลาบสีเขียว(กำลังจะ)ผลิบาน ๑/๒

มุกดาวางมือจากการตกแต่งแบบร่างด้วยสีสันของโปรแกรมกราฟฟิก กดเซฟงานแล้วปิดหน้าต่างโน้ตบุ๊กพักไว้ชั่วคราว หล่อนหมุนเก้าอี้ออกมาอีกทาง เอื้อมมือหยิบกระดาษสี่เหลี่ยมแผ่นจิ๋วซึ่งถูกพวงกุญแจหนาหนักวางทับไว้บนหัวเตียงขึ้นมาทบทวนอีกครั้ง หญิงสาวเคาะปากกากับขอบโต๊ะ ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นึกหงุดหงิดเพื่อนซี้ที่ไม่รู้จักมาให้ตรงเวลาที่นัดกันไว้

รายละเอียดพอสังเขปเกี่ยวกับ พิมพลอย อสุรา อยู่ในมือของหล่อนแล้ว แค่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้อยู่ที่ไหนของประเทศไทย..เรื่องยุ่งยากก็เหมือนจะถูกคลี่ปมออกจนหมด

มุกดาไม่น่าพลาดเลยจริงๆ ไปเยี่ยมบิดาปีละสองสามครั้ง ทุกครั้งก็มีเรื่องให้คุยเล่นกับลุงเหิมไม่ขาด เพื่อนบ้านของพ่อหล่อนคนนี้ กลายมาเป็นผู้ใหญ่ใจดีคนที่หญิงสาวรักเคารพนานแล้ว ลุงเหิมมักจะบ่นถึงลูกสาวของแกให้หล่อนฟังเสมอ ว่าอุตส่าห์ส่งเสียให้เรียนหนังสือสูงๆ พอเรียนจบแล้วก็ตั้งรกรากหางานทำอยู่ในกรุงเทพฯ กลับมาเยี่ยมพ่อแม่แค่ปีละครั้ง

ถึงแม้ลุงเหิมจะแสดงว่าแกไม่พอใจลูกสาว แต่การเอ่ยถึงบ่อยๆ ก็ทำให้มุกดารู้ว่าลุงเหิมรักลูกมากพอๆกับที่บิดาของหล่อนรักหล่อน และจากการเล่าเรื่องราวของลูกสาวตัวเองให้หล่อนฟังบ่อยๆ ก็ทำให้รู้ว่าไข่ในหินใบเดียวของแก ดิ้นรนมากนักเพื่อจะเข้าเมืองหลวง ขวนขวายวิชาความรู้ จนสามารถหาเลี้ยงตัวเอง และส่งเงินมาให้พ่อแม่ได้ไม่ขาด...เรื่องราวสู้ชีวิตของผู้หญิงคนนี้ ทำให้มุกดานึกถึงนิสัยที่ละม้ายคล้ายพี่สาวคนโตของหล่อนทุกครั้ง ที่ได้ยินได้ฟังคำเล่าขานจากปากของลุงเหิม

ไม่นึกเลย..ว่า ใกล้เกลือกินด่าง แท้ๆ

ทำไมหล่อนไม่เคยถาม..อย่างน้อยก็น่าจะสนใจอยากรู้จักลูกสาวลุงข้างบ้านให้ดีกว่านี้ หากรู้เพียงชื่อ นามสกุล ตั้งแต่ห้าปีก่อนที่รู้จักกับลุงเหิม..หล่อนคงได้เจอพี่เขียวตั้งนานแล้ว

โชคร้ายหรือเปล่าไม่รู้...ที่ลุงเหิมไม่ได้ใช้นามสกุล..อสุรา นามสกุลนี้ เป็นนามสกุลของสามี พิมพลอย อสุรา ซึ่งแต่งงานกันไปเมื่อหกปีก่อนนี่เอง

“ไม่เห็นแปลกตรงไหน..ใครจะบังเอิญนึกถามชื่อ ประสาทสิไม่ว่า”

ลลิตพรรณเหน็บเข้าให้ เมื่อ “คนประสาท” เอาแต่พร่ำเพ้อถึงสิ่งที่กลับไปแก้ไขไม่ได้ ดวงตาเล็กหยีฉบับลูกคนจีน หรี่ตาลงอีกอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“เรื่องอะไรมาหาว่าฉันประสาท..มาช้าแล้วยังพูดไม่เข้าหูอีกนะยายจอย”
“ไปกันได้รึยัง มัวแต่บ่นอยู่นั่นแหละ”

เพื่อนซี้หล่อนเป็นอย่างนี้เสมอ เมื่อไม่รู้จะเถียงยังไง หล่อนมักรีบเปลี่ยนเรื่อง

“รถฉันเข้าอู่นะจะบอกให้ ประตูน้ำรถติดเป็นโขยง ไปสายถึงนั่นบ่ายเลยนะยะ”

มุกดาอ้าปากเหวอ ข้อนี้หล่อนเพิ่งมารู้สดๆร้อนๆ

“แล้วไม่บอกแต่แรก”

“บอกแต่แรกแล้วเธอจะทำไง ไปอ้อนแม่ให้เอารถออกงั้นซี” ลลิตพรรณเบะปาก เมื่อนึกถึง “คุณหญิงแม่” จอมบงการของเพื่อนรัก “จะโกหกว่าไปเที่ยวห้าง หรือซื้อเสื้อผ้ามาขายปลีกดีล่ะ เอ..หรือจะบอกตรงๆว่าไปตามหาลูกสาวสุดรักสุดหวงของคุณแม่ ที่หายหน้าหายตาทำตัวเป็นทอมลึกลับอยู่ตั้งนาน”

“อย่ามาว่าพี่เขียวของเค้านะ”

มุกดาทำปากยู่ กอดอกพร้อมส่งสายตาค้อนขวับให้สาวตาตี่

“ฉันเชื่อว่าเธอไม่โง่พอจะทำแบบนั้นหรอกนะ..” ลลิตพรรณหมายถึงข้ออ้างสุดท้ายที่หล่อนเสนอ
มุกดาส่ายหัวดิก

“ฉันไม่โง่พอจะทำทุกข้อที่เธอบอกนั่นแหละ ฉันจะไม่โกหกเด็ดขาดเพราะมันบาป แล้วก็จะไม่พูดให้คุณแม่ระแคะระคายเรื่องพี่เขียวแม้แต่ปลายเล็บ เพราะฉันสัญญากับพี่เขียวไว้แล้ว”

สาวหน้าหมวยยักไหล่

“ฉันก็ว่างั้นแหละ..”
“แล้วนี่เราจะไปไงกัน..แท็กซี่หรือ?”

คนกลัวบาปถามเข้าเรื่อง ลลิตพรรณห่อปากโบกมือปฏิเสธรัวเร็ว

“เปลืองตัง แถมรถติดตายเลย..ไปรถไฟฟ้าซี”


เป็นอันว่าได้ข้อสรุปตามนั้น เรื่องการเดินทางมุกดาต้องยกให้ลลิตพรรณตัดสินใจแทนเกือบทุกครั้ง เพราะรายนี้เชี่ยวชาญทุกรูปแบบ ท้องถนนรถราไปไหนเมื่อไหร่ ไถ่ถามกันได้ สาวออฟฟิศอย่างเพื่อนหล่อนข้อมูลแน่นปึ้ก


ท่ามกลางความศิวิไลซ์ ตึกสูงเสียดฟ้าปรากฏเด่นอยู่ทั่วเมือง ศูนย์การค้ามีระดับแข่งขันกันดึงดูดลูกค้าทาสทุนนิยม ยังมีหลืบมุมหนึ่งที่ขัดแย้งเป็นขั้วตรงข้ามกับความเจริญดังกล่าว มุกดาผิดคาดที่เห็นร้านขายของชำซอมซ่อตั้งอยู่ตรงสุดซอยละแวกเดียวกับตึกใบหยก

“จดมาผิดรึเปล่า ยายไข่มุก”

ลลิตพรรณยื่นหน้ามามองกระดาษยับยู่ยี่ในมือเพื่อนสาว พยายามเพ่งทบทวนเลขที่บ้านของคนชื่อ พิมพลอย อสุรา

“ไม่ผิดหรอก ลุงเหิมจดให้เองกับมือ”

สาวหางเปียม้วนขอดยืนยัน วันนี้มุกดาแต่งตัวย้อนวัยกลับไปอีกสิบปีโดยไม่ได้ตั้งใจ หล่อนใส่เสื้อแขนพองสีชมพูอ่อนไว้ด้านใน ส่วนด้านนอกสวมกางเกงเอี๊ยมขาสี่ส่วนสีขาวทับเสื้อตัวใน ผมเผ้าถักเป็นเปียเดี่ยวหลวมๆทิ้งชายขอดดำสีไม้มะเกลือไว้ด้านหลัง ผิวขาวจัดตัดริมฝีปากบางสีแดงบ่มไอแดด ทำให้คนแปลกหน้าที่เดินสวนกันไปมา ต้องหันมามองเหลียวหลัง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่นางเอกการ์ตูนวอลท์ดิสนีย์หลุดออกมาจากจอยักษ์

“โถ..พี่เขียวของเธอช่างน่าสงสาร ท่าทางจะอยู่ลำบากนะเนี่ย”
ลลิตพรรณออกปาก เมื่อเห็นสภาพร้านค้าตึกแถวสีออกเทาขุ่นเหมือนทนแดดทนฝนมานานหลายสิบปี สภาพผนังเริ่มมีรอยแตกร้าวทำท่าจะถล่มพังลงมาเมื่อไหร่ก็ได้ ประตูเหล็กซี่เลื่อนพับได้ตามแบบฉบับร้านอาม่าค่อยๆถูกแหวกออกจนสุดมุม ใครคนหนึ่งเดินเสยผมออกมา

“พี่เขียวอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ก็ได้ แค่บอกว่าให้ตามหาคนชื่อ พิมพลอย” มุกดาพยายามปลอบใจตัวเอง หล่อนทนเห็นพี่สาวมีความเป็นอยู่ลำบากแบบนี้ไม่ได้จริงๆ “พี่เขียวอาจจะอยู่ที่อื่นก็ได้นะ..จอย”

เห็นเพื่อนรักเงียบเสียงไปนานผิดปกติ หันมาอีกทีลลิตพรรณก็ไม่ได้ยืนตรงตำแหน่งเดิมแล้ว

“หายไปไหนของเค้านะ..”
มุกดาบ่นงึมงำ เหลียวซ้ายแลขวา สองสามที ก่อนจะเจอเพื่อนตัวดียืนคุยฉอเลาะอยู่กับคนแปลกหน้าตรงมุมเสาร้านขายของชำ

“อยู่นี่เอง..ทิ้งฉันไว้คนเดียวดะ..” หญิงสาวกลืนคำพูดลงคอแค่นั้น เมื่อจู่ๆลลิตพรรณก็กรี๊ดกร๊าดเสียงแหลมก่อนจะหันมาคว้าตัวหล่อนไปกอดเหมือนเจอเรื่องที่ทำให้เขินอายสุดขีด สาวหน้าหมวยกระซิบกระซาบที่ข้างหูมุกดา

“คนอะไรไม่รู้น่ารักเป็นบ้าเลย..ยังกะหนุ่มเกาหลีผสมแขก”

ลลิตพรรณก็เหมือนผู้หญิงเพ้อฝันอีกหลายคนที่คลั่งไคล้ซีรี่ย์เกาหลี ดาราเกาหลี โดยเฉพาะหนุ่มหน้าใสจำพวกวงบอยแบนด์

คำอธิบายนั้นมุกดายอมรับ..เพื่อนหล่อนไม่ได้พูดเกินจริง ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่ง หน้าขาวใสแทบมองไม่เห็นรูขุมขน จมูกโด่งสันตรงปลายงุ้มเล็กน้อย รับกับริมฝีปากรูปกระจับบางสีเนื้อแตงโม ร่างผอมบางตามแบบฉบับหนุ่มเกาหลีที่ไม่นิยมเล่นกล้าม มีจุดเด่นอยู่ที่ดวงตากลมโต เป็นผู้ชายที่มีคนตางอนหนาเป็นแพจนผู้หญิงอาย นั่นแหละนิยามของคำว่า “หนุ่มเกาหลีผสมแขก” อย่างที่เพื่อนหล่อนบอก

เส้นผมละเอียดสีน้ำตาลเข้มตัดซอยแนบลำคอปลิวกระจายตามแรงลมที่พัดมาวูบหนึ่ง สองสาวแทบผงะหงาย หน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยเฉพาะลลิตพรรณที่เดินเข้าไปทักทาย แนะนำตัว แถมยังเรียกหนุ่มรายนั้นว่าพี่ชายเสร็จสรรพ เมื่อเสียงใสทักกลับมาอย่างเป็นมิตรว่า..

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะน้อง..”
“อะ..เอ่ออ” ลลิตพรรณพูดติดอ่างขึ้นมากะทันหัน

“พี่เป็นผู้หญิง?” มุกดาได้ยินเสียงตัวเองถามออกไปอย่างนั้น

“ค่ะ..พี่ชื่อเขียว เป็นลูกจ้างเจ้าของร้านนี้”

“ชะชื่อ..อะไรนะคะ” มุกดาอึ้งหนักกว่าเดิม หันไปมองหน้าเพื่อนซี้สลับกับ หนุ่มเกาหลีผสมแขก
“อย่าบอกนะว่าพี่คือพี่มรกต พี่สาวของไข่มุก”

ลลิตพรรณรีบถามย้ำโดยไม่รีรอ ขณะที่มุกดายังยืนอึ้งอยู่ในท่าเดิม และเหมือน “พี่สาวหน้าเกาหลี” จะอึ้งยิ่งกว่าใครทั้งหมด

“น้องว่าไงนะ..คนไหนไข่มุก?”
ไม่พูดพร่ำทำเพลงคนคลั่งดาราเกาหลีรีบชี้นิ้วไปยังสาวข้างกาย
“พี่เขียว..ไข่มุกเอง”

มุกดายกมือขึ้นแนบหู หัวเราะแหะๆ นัยน์ตากลมใสบอกอารมณ์หลากหลาย ทั้งขัน ทั้งอาย ทั้งดีใจจนบรรยายเป็นคำพูดไม่ถูก

บ่ายวันนั้นพี่น้องที่ไม่ได้เจอหน้ากันเป็นสิบปีก็เปิดโต๊ะ ตั้งวงคุยกันยาวให้หายคิดถึง เรื่องราวมากมายพรั่งพรูออกมาไม่หยุดหย่อน มุกดาเป็นฝ่ายพูดเสียงเจื้อยแจ้วโดยมาก ส่วนมรกตเป็นฝ่ายผู้ฟังที่ดีตลอดการสนทนา

“พี่เขียวลำบากมากไหม อยู่ยังงี้”
สายตาที่มองคนฟังบอกแววเวทนาจับใจ

“กลับบ้านเถอะนะพี่..จอยไม่เห็นว่าบ้านเก่าๆแบบนี้จะทำให้ชีวิตพี่ดีขึ้นตรงไหน”
ลลิตพรรณเป็นคนพูดตรง ในเรื่องที่หล่อนคิดว่าไม่ควรอ้อมค้อมให้เสียเวลา

“กลับไปอยู่เป็นเด็กอมมือให้คุณแม่กำหนดชะตาชีวิตน่ะหรือ..ไม่เอาหรอก!”
มรกตบอกเสียงเด็ดขาด

“แต่อยู่บ้านเราสบายกว่านะจ๊ะ เชื่อไข่มุกเถอะ”

ไข่มุกก็ยังเป็น “หนูไข่มุก” น้องเล็กคนเก่าในสายตาของมรกตไม่เปลี่ยนแปลง เคยยืนกรานด้วยเหตุผลง่ายๆ ยังไง วันนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น..ไม่มีใครเข้าใจเหตุผลตามแบบฉบับคนมองการณ์ไกลเกินวัยอย่างหล่อนเลย

“พี่จะบอกให้นะ ไข่มุก กะจอยไม่รู้อะไร เห็นบ้านเก่าๆยังงี้ เจ้าของมีเงินเก็บเป็นพันล้าน”
“หา!!”

ไข่มุก กะ จอย มองหน้ากันที มองหน้าลูกจ้างเจ้าของเงินพันล้านที อย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“ล้อเล่นรึเปล่าพี่เขียว”

“ลุงกวง แกทำตัวเป็นผ้าขี้ริ้วห่อทองแบบนี้แหละ นี่พี่ก็ผิดสัญญากับแกนะเนี่ย ว่าจะไม่บอกใครแล้วเชียว แต่ทำไงได้ ไม่งั้นพวกเธอก็ไม่มีวันเข้าใจว่าพี่จะอยู่ที่นี่หาอะไร”

มรกตลดระดับเสียงลงพลางย่นคอป้องปาก เกรงว่าเรื่องที่พูดจะหลุดลอดไปเข้าหูคนนอกที่บังเอิญเดินผ่านไปมาหน้าร้าน หล่อนทำเสียงเบาจนแทบกระซิบเมื่อเล่าต่อ


“พี่อยู่กับแกมาเกือบสิบปี ใจดีสอนงานให้เยอะแยะ แกมีโรงงานอาหารกระป๋องส่งออกนอกแถวสมุทรสาคร พี่เก็บวิชาสร้างเนื้อสร้างตัวจากแกมาได้เป็นกอบเป็นกำ”

ไข่มุก กะ จอย หันมามองหน้ากันอีกครั้ง สายตาของน้องสาวและเพื่อนสนิทที่มองกลับมาบอกชัด...ไม่มีใครเชื่อเรื่องที่หล่อนพูด มรกตทำเป็นไม่สนใจ แถมยังทิ้งประโยคเด็ดส่งท้าย

“ตอนนี้มีเงินทุนพอแล้ว...พี่จะสร้างธุรกิจแฟรนไชน์ให้คุณแม่อึ้งไปเลย!”



ศิลาริน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2555, 22:07:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2555, 22:07:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1672





<< บทที่๑๐ แขกไม่ได้รับเชิญ ๒/๒   บทที่๑๑ กุหลาบสีเขียว(กำลังจะ)ผลิบาน ๒/๒ >>
เดิมเดิม 29 พ.ค. 2555, 22:18:25 น.
แจ่มอ่ะพี่เขียวน่ารักจริงๆ


ศิลาริน 29 พ.ค. 2555, 22:26:13 น.
ใครเป็นแฟนคลับพี่เขียวชูมือขึ้น อิอิ


แล่นแต๊ 30 พ.ค. 2555, 01:39:23 น.
พี่เขียวสุดยอด


ศิลาริน 30 พ.ค. 2555, 06:47:07 น.
^__^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account