เพลงมาร
'เพลงมาร' จุดเริ่มต้นของเรื่องราวการตายอย่างมีเงื่อนงำ หลายชีวิตที่จากไป ล้วนเกี่ยวโยงกับมัน

ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
Tags: เพลง ความตาย อาถรรพ์ อุปรากร ลี้ลับ

ตอน: องก์ที่ ๗

++++++++++++++

ทองธารนั่งหน้ากระจก บรรจงกดหวีเงินสางเส้นผมเบามือ ครั้นผมดำดัดเป็นลอนริ้วเข้าทรงตามต้องการ หวีเงินก็ถูกวางลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง

อันที่จริงหญิงสาวไม่เคยคิดอยากกลับมาภูเก็ตหลังจากเกิดเรื่องกับแม่เลี้ยง ปฏิเสธไม่ได้ว่าในใจรู้สึกหวาดกลัวและหวั่นเกรง ความลับบางอย่างที่ถูกเก็บงำไว้ทำให้หญิงสาวอึดอัด คับข้องและทรมาน

หล่อนเชื่อว่า 'กรรม' มีจริง และเวลานี้มันกำลังตามล่าหล่อนจากสิ่งที่เคยกระทำ แม้ไม่เกี่ยวโยงโดยตรง หากก็โดยทางอ้อม

"น้ำทำให้นางคนนั้นต้องตาย..." ราวจะไถ่ถามใครบางคนที่อยู่ภายในห้อง "ใช่ไหมคะ?"

ในห้องชุดทึมสลัวมีทองธารอยู่เพียงผู้เดียว เพียงแสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมที่หัวเตียงเท่านั้นที่ให้ความสว่าง กระนั้นนักร้องสาวกลับหันซ้ายแลขวาราวจะมองหาผู้อยู่ร่วมห้อง

"มายัน" ทองธารกระซิบเรียกไปทางมุมมืด นัยน์ตาคลอรื่นด้วยม่านน้ำจับจ้องมุมห้องมืดสนิทด้วยความหวั่นกลัว "มายันหรือเปล่า?"

"น้ำ..." เสียงดังแว่วออกมาจากมุมห้อง มืดมิดจนยากจะคาดเดาได้ว่าใครกำลังยืนอยู่ หรือเป็นเพียงแต่ความว่างเปล่าที่มีเสียงสะท้อนก้องออกมา "อย่าโทษด้วยเองเลยนะจ๊ะ"

เสียงนั้นราวพูดจากต่ำใต้ในบ่อลึก "เชื่อฉันสิ ทั้งหมดที่น้ำทำไปนั้นถูกแล้ว ตอนนี้แม่ของน้ำคิดถึงน้ำมากเลยรู้ไหม"

หญิงสาวพยายามเพ่งมองในเงามืด คลับคล้ายว่าจะเห็นสตรีในชุดดำยืนก้มหน้า ทว่าเมื่อลองหรี่ตามองอีกที ทุกอย่างกลับเป็นเพียงภาพลวงจากแสงสลัว

"แม่หรือคะมายัน?" ทองธารถามย้ำไปที่เงามืด

"ใช่แล้วจ้ะ...แม่ของน้ำ" เสียงอ่อนหวานดังจากมุมห้อง "คุณน้ำทิพย์ยังไงล่ะ"

แล้วฉับพลัน เสียงถอนใจอ่อนระโหยราวอยู่ในห้วงน้ำลึกก็ดังขึ้นจากมุมห้องอีกฟาก มันมืดมิดไม่ต่างจากมุมห้องที่หล่อนคาดว่ามายันยืนอยู่ ครั้นหันไปมองอีกฟากที่ได้ยินเสียงทอดถอนใจ ทองธารก็เห็นใครบางคนยืนมองหล่อนอยู่ในเงาดำ แต่เมื่อพินิจดูให้ดี หญิงสาวกลับค่อยเบาใจ

นั่นมันชุดนอนที่หล่อนแขวนไว้ต่างหาก

"แม่หรือคะ?" หญิงสาวร้องถาม คาดว่าจะได้ยินเสียงตอบรับไม่ต่างจากเสียงของมายัน "แม่อยู่ที่นี่หรือเปล่าคะ?"

"อยู่สิจ๊ะลูกรัก" น้ำเสียงเศร้าปนสุขก้องสะท้อนเหมือนผู้พูดกำลังพูดจากก้นบ่อที่ลึกเกินหยั่ง "แม่อยู่กับหนูตลอดเวลา ได้ยินเพลงที่หนูร้องมาตลอด มันเพราะเหลือเกินลูก"

ทองธารยิ้ม หากครู่หนึ่งสีหน้ากลับสลด

"แต่พ่อบอกว่าเพลงนั้นมันทำให้คนตาย" นักร้องสาวลังเล หันพูดกับเงามืดในมุมที่คิดว่ามีมารดายืนอยู่ "พ่อว่ามันเป็นเพลงอัปมงคล"

"มันเป็นเพลงที่แม่รักต่างหาก!" เสียงของมารดาดังขึ้นอย่างขัดใจ ในเนื้อเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจยิ่งยวด "แม่รักเพลงนี้! แม่ชอบเพลงนี้! แต่เพราะพ่อหมดรักแม่แล้วต่างหาก...ถึงได้เกลียดเพลงนี้!"

สิ้นเสียงตวาด เสียงสะอื้นไห้ก็ดังระงม จากเงามืด...ที่ตรงนั้นเหมือนทองธารเห็นใครบางคนทรุดตัวลงนั่งร่ำไห้ ทว่าเมื่อลองกะพริบตาถี่ มันกลับกลายเป็นเพียงมายาจากแสงสลัว

"พ่อเกลียดแม่! พ่อไม่อยากให้น้ำร้องเพลงที่แม่รัก!" เสียงจากเงามืดฟังแล้วเจ็บปวดรวดร้าวไปถึงข้างใน แม้นักร้องสาวที่นั่งฟังอยู่หน้ากระจกก็รับรู้ได้ถึงความรันทดนั้น มันทำให้หล่อนเจ็บปวดไม่ต่างจากมารดา น้ำตาที่เคยเอ่อคลอ บัดนี้ไหลพรากอาบสองแก้มนวล

"แม่อย่าร้องนะคะ" ทองธารหันไปพูดกับความมืดที่มุมห้อง "น้ำขอโทษ น้ำไม่เชื่อใครแล้ว น้ำเชื่อแต่แม่ เชื่อแต่มายัน น้ำจะไม่เชื่อที่พ่อหรือที่ใครพูดทั้งนั้น! ขออย่างเดียว...แม่อย่าร้องไห้อีกเลยค่ะ!"

"แม่เสียใจลูก" เสียงนั้นดังออกมาอีกหน ระคนด้วยเสียงสะอื้นไห้ "มันเป็นเพลงที่แม่รักที่สุด แม่ใช้ร้องกล่อมให้หนูนอนหลับ แต่พ่อก็ใส่ร้ายป้ายสีแม่! พ่อเขาเกลียดแม่! พ่อต่างหากที่ทำให้แม่เจ็บปวดจนแม่ไม่อาจทนอยู่ต่อไปได้!"

เสียงมารดาครวญต่ำจนเหมือนกำลังจะสิ้นใจ "แม่ขอโทษ...แม่ไม่น่าทิ้งลูกให้อยู่กับคนพวกนั้นเลย"

"แม่อย่าร้อง!" ทองธารลุกถลาเข้ามุมมืด หวังจะได้กอดร่างของมารดาเพื่อปลอบประโลม ทว่าเปล่าเลย ที่ตรงนั้นมีเพียงชุดนอนแพรที่หล่อนแขวนเอาไว้เท่านั้นเอง แล้วจากนั้น...ไม่ว่าหญิงสาวจะร้องเรียกไปทางใด จากมารดาหรือมายัน ทุกอย่างก็เงียบงัน ยืนยันการมีตัวตนของหล่อนแต่เพียงผู้เดียว

ไม่มีแม่...และ...มายัน

ทองธารน้ำตาร่วง เดินกลับไปนั่งหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งเหมือนอย่างเคย ครั้นได้สติเห็นว่าใบหน้าเลอะคราบน้ำตาเป็นลายทาง จึงหันไปฉวยกระเป๋าถือขึ้นมาควานหาผ้าเช็ดหน้า ทว่าที่พบเห็นกลับกลายเป็นภาพถ่ายยับเยิน

"แม่..." หญิงสาวจับจ้องภาพถ่ายด้วยความเจ็บปวด มือที่ถือสั่นเทาราวกระดาษอัดภาพนั้นหนักเหลือแสน

ในภาพนั้น หญิงสาวคนหนึ่งกำลังยิ้มแย้มเคียงข้างชายหนุ่มในร้านอาหารใหญ่ กลางกั้นมีเด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มวัยไม่เกิน ๓ ขวบปีกำลังยิ้มแป้น อวดฟันขาวเรียงตัวราวสร้อยมุก มือข้างหนึ่งจับไมโครโฟนทำท่าร้องเพลง

แม้สีของภาพจะซีดลงไปบ้าง เนื้อกระดาษจะยับย่นจากการถูกขยำ หากทองธารยังจำได้ทุกฉากเกี่ยวกับภาพใบนี้ อุตส่าห์เก็บรักษามันไว้อย่างดี ให้เสมือนเป็นตัวแทนของมารดาผู้จากไป

'ร้องเพลงให้แม่ฟังหน่อยสิจ๊ะ' เสียงแว่วหวานของมารดายังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท แม้เวลาจะล่วงผ่านมานานยี่สิบกว่าปี หากก็เหมือนอีกฝ่ายไม่เคยจากไปไหน 'เพลงอะไรนะ...ที่แม่ชอบที่สุด'

'เสียงกระซิบจากเกลียวคลื่นค่ะ' เด็กหญิงทองธารวัย ๙ ขวบตอบฉาดฉาน แล้วยิ้มแป้นให้หญิงสาวซึ่งดูอ่อนระโหย สองแก้มซูบตอบรอบตาบอบช้ำ รอยยิ้มที่เด็กหญิงทองธารเห็นเวลานั้น เหมือนมารดาพยายามฝืนเต็มทน

'แม่ต้องชอบฟังเพลงเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่นแน่ๆ ค่ะ เพราะแม่ชอบร้องเพลงนี้ให้น้ำฟังก่อนนอนตลอด'

'ถูกต้องแล้วค่ะ' ผู้เป็นมารดายิ้ม นัยน์ตาคลอรื่นด้วยม่านน้ำ 'หนูช่วยร้องให้แม่ฟังหน่อยนะคะ แม่จะได้นอนหลับบ้าง แม่นอนไม่ค่อยหลับมาหลายคืน คืนนี้ถ้าหนูร้องเพลงให้แม่ฟัง แม่คงหลับได้สนิท '

เด็กหญิงทองธารพยายามกลั้นน้ำตา มองผู้เป็นมารดาเดินไปเปิดแผ่นเพลงบรรเลงดนตรีเสียงกระซิบจากเกลียวคลื่น จากนั้นจึงนั่งลงบนเตียงนอนหนานุ่ม เฝ้ามองหล่อนขับขานบทเพลงที่รักแสนรักจนหลับไปพร้อมกับเด็กหญิง

ทว่าใครจะล่วงรู้ บทเพลงนั้นกลับกลายเป็นบทเพลงสุดท้ายที่ทองธารได้ร้องให้มารดาฟัง ก่อนอีกฝ่ายจะจากไป และไม่เคยกลับมาหาหล่อนอีกเลย

แล้วหลังจากนั้น ในชีวิตของทองธารก็มีแต่เสียงเพลงบรรเลงเศร้า บาดลึกลงในหัวใจอยู่ทุกวัน...ทุกคืน

"แม่..." ทองธารกรีดนิ้วปาดหยาดน้ำตาออกจากดวงหน้า จับจ้องหมึกสีน้ำเงินซึมเยิ้มซึ่งถูกเขียนไว้ข้างหลังภาพถ่ายด้วยความเจ็บปวด

'เสียง...กระซิบ ว่ารัก ตลอดกาล'

หญิงสาวนั่งเหม่อหน้ากระจก ในมือยังถือรูปถ่ายยับเยิน ได้สติอีกครั้งก็ตอนที่ไฟทั่วห้องสว่างวาบ

"น้องน้ำคะ!" เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมแสงสว่างทำให้ทองธารสะดุ้งโหยง ครั้นหันไปเห็นผู้จัดการสาวยืนกดสวิตช์ไฟที่หน้าประตู สองมือก็รีบเก็บภาพถ่ายลงกระเป๋าอย่างรวดเร็ว "ทำไมอยู่ในห้องมืดๆ ล่ะคะ ฟืนไฟไม่ยอมเปิด"

"พี่สาลี่มาตั้งแต่เมื่อไรคะ...น้ำไม่เห็นรู้" หญิงสาวหันรีหันขวาง ไม่รู้ว่าควรจะกลบเกลื่อนกิริยาดังกล่าวอย่างไรดี กระทั่งหันไปมองกระจก เห็นคราบน้ำตาทำให้เครื่องสำอางบนดวงหน้าเลอะเป็นคราบ จึงฉวยตลับแป้งมาจัดการเสียใหม่

"พี่เคาะประตูแล้วค่ะ แต่น้องน้ำไม่ขานรับ พอเข้ามาถึงก็เห็นนั่งเหม่อในห้องมืด ตอนแรกเราก็นึกว่าผี"

ขณะแต่งหน้า สายตาก็ชำเลืองมองสาลี่เป็นระยะ ฝ่ายนั้นแต่งตัวด้วยชุดราตรีเกาะอกเปลือยไหล่ไม่ต่างจากหล่อน ผิดกันแต่สีสันและลวดลาย

ชุดของทองธารตัดจากผ้าซับสีขาวซ้อนกันหลายชั้น ชายกระโปรงยาวลากพื้นฉีกเป็นริ้วกรุยกรายคล้ายทั้งชุดประดับด้วยขนนก มีสร้อย ตุ้มหู กำไล เหล่านั้นเป็นชุดเครื่องเพชรกระจิริดเข้ากับเสื้อผ้า

ฝ่ายสาลี่สวมชุดตัดจากผ้าลายดอกพื้นชมพูประลายเขียว ตัวชุดจับจีบรูดพองตรงส่วนอกและใต้ฐาน ชายที่เหลือทิ้งยาวลงระพื้น เครื่องประดับเป็นสร้อยมุกยาวรุงรัง ดูไม่ต่างจากชาวบุปผาชน อีกวิกผมทรงอัฟโฟรสีแสดที่ทั้งหยิก ทั้งฟู ทั้งใหญ่ยักษ์ เห็นเข้าทองธารก็ชักไม่แน่ใจว่าควรแล้วหรือที่จะให้สาลี่ไปเป็นเพื่อนร่วมงานเลี้ยงครบรอบวันเกษียณอายุปีที่ ๕ ของผู้เป็นลุง

"แหม...วิกผมพี่สาลี่สีแสดดีจริงนะคะ ใหญ่ด้วย" ว่าพลางชำเลืองมองพลาง เห็นอีกฝ่ายจัดแจงวิกผมแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ก็เป็นอันรู้โดยนัย

คงนึกว่าหล่อน 'ชม'

แต่จะว่าไปก็เป็นโชคดีของหญิงสาว กลับมาภูเก็ตคราวนี้ นอกจากหนีบรรดานักข่าว ยังถือโอกาสมาเยี่ยมลุงอินทร์ไปในตัว ลุงของหล่อนเกษียณอายุมาตั้งหลายปี หล่อนเองก็เคยเป็นลูกศิษย์ ได้รับจดหมายเชิญอยู่ทุกครั้ง ทว่าก็ไม่มีโอกาสได้แวะเวียนมาด้วยหน้าที่การงานรัดตัวเหลือเกิน

ครั้นตอนนี้ว่างงานลง แม้จะเกิดจากคดีบ้าๆ ที่ตามรังควาญ แต่มันก็ทำให้หล่อนมีโอกาสพบปะสังสรรค์กับญาติผู้ใหญ่ ทั้งยังนึกชมสาลี่ที่มาอยู่เป็นเพื่อน ไม่ทิ้งให้ต้องเคว้งคว้าง เรื่องจะไปขัดรสนิยมอีกฝ่าย นักร้องสาวจึงไม่คิดอยากทำ

อย่างไรเสีย...งานนี้ก็เป็นงานรื่นเริง ผู้จัดการสาวแต่งตัวอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นสีสันของงาน

++++++++++++++++

ตลอดการเดินทาง ผู้จัดการสาวที่นั่งข้างๆ มักพูดถึงเรื่องราวข่าววงในของละครเพลงอภินิหารขลุ่ยวิเศษ ล่าสุดก็มีข่าวออกมาว่า เสาวรสซึ่งแต่เดิมรับบทเป็นหนึ่งในสามนางพระกำนัลของราชินีรัตติกาล ได้รับเลือกให้มารับบทราชินีแห่งรัตติกาลแทนทองธาร

"ไม่ใช่ว่าพี่ไม่ชอบน้องรสนะคะ" สาลี่ออกตัว น้ำเสียงละห้อย "น้องรสนิสัยดี แต่พี่ว่าน้องรสเขายังมีความสามารถไม่ถึงขั้นจะร้องบทรำพันของราชินีรัตติกาลได้หรอก คุณบายนะคุณบาย คอยดูเถอะ แสดงไปสองสามรอบ ละครเพลงมันจะร่วง"

"พี่สาลี่ล่ะก็...ไปแช่งเขาทำไมกัน" ทองธารหันมาเอ็ด หากอีกฝ่ายกระเง้ากระงอดแก้ตัว

"ไม่ได้แช่งค่ะ แต่มันคือเรื่องจริง บทรำพันของราชินีรัตติกาล ในเรื่องเมจิกฟลุทของโมสาร์ทน่ะ ต้องใช้นักร้องเสียงโซปราโนโน้ตซี โน้ตซีเลยนะคะ!" สาลี่เน้นย้ำ "โดยเฉพาะบทรำพันที่สอง แถมยังต้องไล่ระดับเสียงขึ้นลงอีก อย่าว่าพี่จะสรรเสริญเยินยอเลยนะคะน้องน้ำ แต่น้องรสทำได้ไม่ดีเท่าน้องน้ำหรอก"

นักร้องสาวถอนใจ ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ด้วยเห็นว่าเหตุผลที่สาลี่ยกมาอ้างนั้นถูกต้องทุกประการ แต่จะให้บอกว่านักร้องสาวเสียงโซปราโนนิสัยดีอย่างเสาวรสจะด้อยกว่าหล่อน ทองธารทำไม่ได้จริงๆ

"ก็ลองให้โอกาสรสเขาดู น้ำว่ารสเขาทำได้อยู่แล้วล่ะ"

ครั้นพูดถึงเสาวรส หญิงสาวก็นึกขึ้นได้ หล่อนเคยบอกให้สาลี่ไปจองตั๋วชมละครเพลงเรื่องอภินิหารขลุ่ยวิเศษมาสองใบ เพื่อหวังจะไปให้กำลังใจและชมการแสดงของเสาวรส

"ว่าแต่ตั๋วที่น้ำให้พี่สาลี่ไปจองได้หรือเปล่าคะ"

"ได้อยู่แล้วค่ะ" ผู้จัดสาวตอบพลางเชิดหน้า "สองใบตามคำขอ"

เรียบร้อยตามที่คิดไว้ ก็เป็นอันจบประเด็นข่าววงในของละครเพลง ครั้นทองธารขับรถมาถึงทางเข้าบ้านของครูอินทร์ แสงไฟจากบ้านหลังงามในพื้นที่กว้างขวางก็ปรากฏ หญิงสาวยิ้มรับพลางชี้ชวนให้สาลี่ที่นั่งข้างๆ ได้ชมบ้านของลุงหล่อน ซึ่งเวลานี้ประดับประดาตกแต่งหรูหรางดงาม

++++++++++++++++++++

บ้านของครูอินทร์เป็นบ้านสองชั้นตั้งอยู่กลางสวน รายรอบตัวบ้านหลังใหญ่สีขาวเป็นหมู่แมกไม้ ทั้งยืนต้นและไม้ประดับ เหล่านั้นล้วนเขียวขจี บ้างออกดอกสะพรั่ง บ้างเป็นเถาทอดระทวย

น้ำพุในสวนทำงานทุกแห่งหน พุ่งขึ้นแล้วร่วงลงเป็นฝอยละอองฉ่ำชื่น โคมไฟเหล็กดัดประดับไว้บนหลักสูงเพียงเข่า เป็นแนวแถวริมทางเดินที่ปูด้วยหิน ครั้นทองธารพาสาลี่เดินลึกเข้าไปพ้นหมู่แมกไม้ ก็พบสระว่ายน้ำสว่างสุก ริมสระมีโต๊ะอาหารปูผ้าลูกไม้ขาว บนนั้นย่อมหนาแน่นละลานตาด้วยสารพัดของคาวหวาน เหล่าบริกรชายหญิงในชุดเครื่องแบบ ๔ -๕ คนเดินไปมา คอยอำนวยความสะดวกแก่บรรดาแขกในงาน

สถานที่งดงาม อาหารเพียบพร้อม มีนักดนตรีในชุดสูทหางยาวกำลังบรรเลงคณะเครื่องสายในเพลง 'โฟร์ ซีซันส์' บทเพลงสุดคลาสสิกของ 'อันโตนิโอ วิวัลดี' คีตกวีชาวอิตาลีท่ามกลางสนามหญ้ากว้างขวาง ขนาบข้างด้วยโคมไฟและช่อดอกไม้ระย้า

แต่น่าแปลกใจ...

งานหรูหราเช่นนี้ ทองธารกลับเห็นพื้นที่ว่างภายในงานมากเหลือเกิน มีแขกเหรื่อจำนวนเพียงหยิบมือ เหล่านั้นจับกลุ่มพูดคุยเป็นหย่อมเล็กๆ นอกนั้นก็เป็นเพียงบริกร นักดนตรี แทบไม่ต้องพูดถึงอาหารบนโต๊ะ แทบไม่พร่องแม้แต่นิด

ครั้นก้มลงมองหน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือ ก็เป็นเวลาอันเหมาะสมที่งานควรจะคลาคล่ำด้วยผู้คน หากที่นักร้องสาวได้เห็น แขกเหรื่อไม่น่าจะถึง ๒๐ คนด้วยซ้ำ

"น้องน้ำคะ" สาลี่พยายามพูดแข่งกับเสียงดนตรีที่บรรเลงอยู่อย่างต่อเนื่อง "งานเลี้ยงหรูหรานะคะ แต่ทำไมคนน้อยจัง คุณลุงน้องน้ำนี่คัดสรรคนเข้างานหรือคะ?"

ได้ฟังผู้จัดการสาวพูด ทองธารก็อมยิ้ม

"นั่นซีคะ คงต้องคัดคนหน้าตาดีเข้างานแน่ๆ" พูดจบก็ไม่ได้สนใจสาลี่ที่กำลังลูบหน้าลูบตาพลางยิ้มแย้ม

นักร้องสาวเดินเข้าไปในงาน กวาดสายตามองหาเจ้าของงานผู้เป็นลุง ตั้งใจว่าจะไปทำความเคารพเสียหน่อย กระทั่งเห็นบุรุษสูงวัยในชุดสูทสีเข้มกำลังทักทายแขกสองคนที่ยืนหันหลัง หญิงสาวจึงรีบเดินไปหา ทว่าขาทั้งสองกลับต้องชะงัก เมื่อแขกสองคนที่เคยสนทนากับลุงได้หันหลังกลับมา

ผู้ชายคนนั้น...

สายตาของหญิงสาวสบประสานแน่วนิ่งกับบุรุษวัยกลางคนในชุดสูทสีเข้ม ในแววตาคู่นั้นมีแต่ความเย็นชาและเมินเฉย ระริกวูบไหวเป็นบางช่วงก็คงเพราะความชิงชังรังเกียจ ทว่าทองธารกลับสามารถสยบมันลงด้วยความเยียบเย็นที่หล่อนมีไม่ต่างกัน

รอบกายของชายวัยกลางคนและหญิงสาว ราวมีภูเขาน้ำแข็งโอบล้อม ทั้งคู่ต่างจับจ้องแล้วเมินหน้าไปเสียทางอื่น ราวศักดิ์และสิทธิ์นั้นยิ่งใหญ่ค้ำคอ เกินกว่าใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมก้มหัว

นักร้องสาวเสมองไปข้างกายบุรุษวัยกลางคนผู้นั้น ปรากฏชายหนุ่มในชุดสุภาพไม่ต่างกัน เขากำลังยืนส่งยิ้มให้หล่อนจนเห็นไรฟันขาวเรียงตัวเป็นเม็ด ทว่าอึดใจเดียวเท่านั้น เมื่อชายวัยกลางคนหันไปจ้องด้วยสายตาตำหนิ ชายหนุ่มก็ต้องก้มหน้าหลบ แล้วหุบรอยยิ้มลงอย่างรวดเร็ว

ทองธารตั้งสติได้ก็ถอนใจแรงเป็นเชิงไม่พอใจ จากนั้นจึงนวยนาดไปยังบุรุษทั้งสองที่ยืนข้างผู้เป็นลุง ชุดขาวฉีกเป็นริ้วกรุยกรายไหวพะเยิบราวนางฟ้า เหล่านั้นทำให้หล่อนงามสง่าจนทุกคนเหลียวมองอย่างชื่นชม

เว้นเสียแต่บุรุษวัยกลางคนในชุดสูทสีเข้มคนนั้น!

นักร้องสาวยกมือเตรียมพนมไหว้ ทว่าชายคนดังกล่าวกลับถมึงทึงแล้วเหลียวหลังบอกลาครูอินทร์ จากนั้นจึงเดินเบี่ยงทองธารที่กำลังก้มลงไหว้ราวเกรงจะติดเสนียดจัญไรตามเนื้อตัว

สายลมพาดพัดเมื่อร่างนั้นเคลื่อนผ่าน แม้จะแผ่วเบา หากหญิงสาวกลับรู้สึกเยือกเย็นและเดียวดาย สายลมนั้นคมกริบราวใบมีดที่สามารถเฉือนลึกลงในหัวใจของหล่อนได้อย่างเลือดเย็น

สองมือที่เคยพนมไหว้ลดลงแนบลำตัว ดวงหน้าที่เคยน้อมต่ำกลับเชิดขึ้น เผยเครื่องหน้าสวยสง่า หากฉาบด้วยน้ำแข็งเย็นเฉียบ ในโสตประสาทได้ยินเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไปเรื่อยๆ จนลับหาย

พ่อ...ของหล่อนเอง

"พี่น้ำเป็นยังไงบ้าง ผมคิดถึงจะแย่" เสียงชายหนุ่มที่ยืนเยื้องกันปลุกหญิงสาวจากภวังค์ความคิด หล่อนหันมองก็ค่อยยิ้มละไมตอบ ในอกพองฟูเต็มสุข ผิดจากเมื่อครู่ที่มีแต่ความหนักอึ้ง

"สวัสดีค่ะลุง" ทองธารหันไปไหว้บุรุษสูงวัยร่างท้วมในชุดสูทสีเข้มตามมารยาท "น้ำต้องขอโทษด้วยนะคะ ช่วงก่อนหน้างานรัดตัวเหลือเกิน"

"ไม่เป็นไรหรอก" ครูอินทร์ยิ้มละไม หากครู่หนึ่งสีหน้ากลับสลด "ว่าแต่เรื่องข่าว น้ำไม่ต้องไปใส่ใจหรอกนะ คนไม่รู้มันเขียนข่าวก็คงหวังขายข่าว"

นักร้องสาวก้มหน้ารับคำแนะนำพลางถอนใจ พักใหญ่จึงหันไปมองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในชุดสุภาพที่ยืนเยื้องกัน

ใครจะนึก...น้องชายร่วมบิดาของหล่อน โตขึ้นจะรูปหล่อและน่าเอ็นดูถึงเพียงนี้ หน้าตาสะอาดหมดจด ผมหยักศกดำขลับหวีเป็นทรง นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มใต้คิ้วพาดเฉียงทำให้มีเสน่ห์ เขาโตขึ้นทั้งยังเป็นหนุ่มหล่อทีเดียว

"พี่สบายดี เราล่ะตาเล็ก...เป็นยังไงบ้าง" นักร้องสาวเดินเข้าไปลูบหน้าลูบตาอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู ทันทีที่มือเรียวงามสัมผัส ก็หวนนึกถึงเมื่อครั้งที่หล่อนเคยจับแก้มของเด็กชายเวหาสมัยที่ยังใส่กางเกงนักเรียนสีกากี แต่ตอนนี้ช่างต่างกันเหลือเกิน "ใกล้จะจบแล้วซีนะ"

"ครับ" อีกฝ่ายตอบพลางยิ้ม เสยผมหยักศกปรกใบหน้าออก "ตอนนี้ผมเพิ่งสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่สเปนครับ เป็นทุนที่ทางมหาวิทยาลัยได้มา สอบแข่งขันกันเยอะมาก ยังไม่รู้จะออกหัวหรือออกก้อย ตั้งกลางเดือนหน้า กว่าจะประกาศผล"

"ว้า! อย่างนี้ถ้าเกิดสอบติด พี่ก็คงไม่ได้เจอเราอีกนานเลยสิ" ทองธารว่าพลางยิ้ม หากต้องสะดุ้ง เมื่อมีเสียงตะโกนดังมาจากข้างหลัง

"ไอ้เล็ก! พ่อจะกลับบ้านแล้ว!"

ไม่ใช่แค่ทองธารเท่านั้นที่หน้าสลด หากเวหาและครูอินทร์ก็พลอยปั้นหน้าไม่ถูก ท้ายที่สุดหญิงสาวจึงพยักหน้าอนุญาต กอดอำลาแล้วปล่อยให้เวหาเดินออกจากงานตามบิดาไป

ลับน้องชาย สาลี่ที่เดินสวนทางก็รีบปรี่มายังหญิงสาว ขณะวิ่งก็ต้องดึงชายกระโปรงระพื้น มืออีกข้างคอยประคองวิกผมทรงอัฟโฟรไม่ให้ร่วงหลุด ครั้นมาถึงก็รีบตำหนินักร้องสาวยกใหญ่ พลางจัดแจงแต่งตัวเสียใหม่ให้เข้าที่

"น้องน้ำนะน้องน้ำ ไม่รอพี่เลย" ว่าพลางกระเง้ากระงอด

ทองธารเห็นเข้าก็อมยิ้ม

"แล้วพี่สาลี่ไม่ตามมาเล่าคะ ไม่ไกลกันเลย"

"แหม..." ผู้จัดการสาวบิดม้วนด้วยความเขินอาย "ก็เมื่อกี้นี้พี่เห็นน้องน้ำกำลังคุยกับหนุ่มหล่อที่พี่เพิ่งเดินสวนไป เลยไม่กล้าเข้ามา กลัวว่าเป็นแขกคนสำคัญ"

ดวงหน้าที่แต้มแต่งด้วยสีสันซับสีเลือด ทองธารเหลียวมองตามก็เห็นแผ่นหลังของเวหาหายลับเข้าม่านไม้ ขมวดคิ้วนิ่งคิดก็ยิ้มได้ แต่ฝ่ายลุงของหล่อนนี่สิ จับจ้องผู้จัดการสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางทำหน้าเหยเก

"ออ...ขอโทษด้วยค่ะลุง" ได้สติก็รีบหันไปแนะนำครูอินทร์ให้ผู้จัดการสาวรู้จัก "นี่ครูอินทร์ ลุงของน้ำค่ะพี่สาลี่"

"สวัสดีค่ะคุณครู" สาลี่ย่อตัวก้มลงไหว้ราวนางสาวไทย ทำเอาครูอินทร์ที่รับไหว้ได้แต่นิ่งอั้น

"เอ่อ...นี่พี่สาลี่ค่ะ ผู้จัดการส่วนตัวของน้ำเอง" หญิงสาวยิ้มแห้ง "วันนี้น้ำขอให้พี่เขามาเป็นเพื่อน หวังว่าลุงคงอนุญาตนะคะ"

ผู้เป็นลุงพยักพเยิดเข้าใจ ก่อนจะหันไปกวักมือเรียกบริกรที่เดินถือเครื่องดื่มมาบริการ

"น้องน้ำคะ" สาลี่ใช้จังหวะที่ครูอินทร์ไม่ได้ให้ความสนใจ หันไปถามนักร้องสาวเกี่ยวกับชายหนุ่มที่เพิ่งเดินสวนทางเมื่อครู่ "ชายหนุ่มที่น้องน้ำคุยด้วยเมื่อกี้นี้เป็นใครคะ?"

"น้องชายของน้ำเองค่ะ ชื่อเล็ก" ทองธารพรายยิ้ม

สาลี่ดูมีปฏิกิริยาในเรื่องนี้รวดเร็วฉับไว ใบหน้าซับสีเลือดแดงจัดราวลูกตำลึงสุก นัยน์ตาเบิกโตเป็นประกายราวพบขุมทรัพย์ล้ำค่า แต่เมื่อเห็นว่าครูอินทร์หันกลับมาหรี่ตาจับจ้องพร้อมบริกรหนุ่มถือถาดเครื่องดื่ม ผู้จัดการสาวก็รีบหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะชวนคุยถึงเรื่องอื่นแทน

"งานคุณครูหรูมากเลยค่ะ แซลลี่ช้อบชอบ" จีบปากจีบคอพูดสักพักก็ขมวดคิ้ว "แต่เสียอย่างเดียว คนน่าจะเยอะกว่านี้นะคะ งานใหญ่แต่คนน้อย มันเลยดูพร่องๆ พิกล"

ทองธารตาโต รีบฉวยเครื่องดื่มจากถาดยัดใส่มือสาลี่รวดเร็ว นึกอยากตำหนิเรื่องปากไม่มีหูรูดของอีกฝ่ายนัก ทว่าก็ต้องเมินเสียเมื่อจับประกายสลดนัยน์ตาของลุงได้ หากแวบเดียวเท่านั้น เพราะวินาทีถัดมา มันก็ถูกแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มพร้อมการเชื้อเชิญให้ทั้งหล่อนและสาลี่ได้ไปรู้จักมักจี่กับแขกคนอื่นภายในงาน

+++++++++++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 พ.ค. 2555, 08:00:19 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 พ.ค. 2555, 08:00:19 น.

จำนวนการเข้าชม : 1232





<< องก์ที่ ๖   องก์ที่ ๘ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account