แรกรักแต่ปางบรรพ์
เรื่องราวยุคก่อนสุโขทัย เป้เนนิยายจินตนาการทั้งสิ้น มิอาจนำไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆได้
Tags: จงรัก ภักดี

ตอน: สองทาสผู้มีเบื้องหลัง



ไกลจากหมู่บ้านทาสในที่อันเร้นลับ ยากนักที่ใครจะได้พบเห็น

บนเนินกว้างของตฤณชาติอ่อนนุ่มเขียวขจีบ้างมีบุบผาหลากสี เบ่งบาน ห่างออกไปอีกนิด หมู่

แมกไม้น้อยใหญ่ให้ความร่มรื่น ต้นไทรใหญ่ ยืนต้นคู่เคียงราวกับเป็นสิ่งสรรสร้างมาจากสิ่งหมัสจรรย์ก็ไม่
ปาน

หนึ่งบุรุษแรกรุ่น และอีกหนึ่งแรกสาว ผู้มีใบหน้าเปื้อนดำไปคนละแถบ อาภรณ์ที่สวมใส่เป็นผ้าเนื้อหยาบสี

ทึบ ชายสวมเพียงผ้าพันเอวยาวเหนือเข่าไม่สวมเสื้อผมยาวเลยบ่า หญิงสวมผ้ารัดเอวยาวถึงแข็ง ผ้าแถบ

พันรอบอก แต่งกายเช่นทาสในหมู่บ้าน ทั้งสองพึ่งแรกรุ่นหนุ่มสาวมาไม่ช้านาน

หากใบหน้าเริงร่าด้วยความสุขสมหวังด้วยมีรักแรกแก่กัน

นิ้วมือเรียวยาวแม้หยาบกร้านเมื่อกุมมือหญิงรุ่นมิได้มีความรังเกียจสักน้อย จับจูงกันเดินไปในที่ลับตาคน ใต้

ต้นไทรใหญ่คู่เดิมอายุนับร้อยปี มีรากไทรห้อยย้อยระโยงรางระเรี่ยพื้นดิน ดังม่านบังตา

เด็กหนุ่มหาใบไม้ปูโคนไทรด้วยแทนพรมผ้าผืนนุ่ม หนุ่มน้อยนั้นทอดขายาวข้างหนึ่งอีกข้างตั้งชันขึ้น หน้า

อกอุ่นปล่อยให้ดรุณีแรกรุ่นใช้ต่างหมอนให้หนุนนอน

รอบศีรษะของนาง บัดเดี๋ยวนี้มีมงกุฎดอกไม้ครอบไว้ นิ้วมือเรียวยางของภีมเสนลูบไล้นวลแก้มบางอย่าง

แหนหวง เพราะคิดว่าตนเองนั้นเป็นเจ้าของนางทุกอณูเนื้อ

วาจาอ่อนหวานลอดออกจากริมฝีปากหยักย้อยได้รูปสวย

“ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ แม้เป็นจริงแต่พี่มิเสียดายที่ได้รักเจ้า พี่ยอมทุกข์ แม้ทุกข์นั้นจะแสนสาหัสก็ตาม”

“น้องสังหรณ์ใจ ความสุขแห่งเราจะสั้นเพียงวันนี้ พี่ข้า สามีของข้า”

“อะไรกันเจ้า พวกเราย่อมพ้นทาสในอีกสองราตรีเท่านั้น เราจะได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนกัน
เสียที”

“น้องจำได้ลางเลือนเหลือเกินพี่ข้า อย่าว่าแต่บ้านเมืองที่น้องจำไม่ได้เลย แม้ผู้ให้กำเนิดของ

น้อง น้องยังมิอาจนึกรูปเค้าได้ออก น้องจดจำได้แต่เพียงเติบโตขึ้นมาพร้อมกับพี่ น้องมีเพียงพี่เท่านั้น เห็น

ทีเรือนตายของน้องก็คงจะอยู่ในอ้อมแขนพี่เพียงคนเดียว”

“พี่สัญญาจักให้สัญญาแก่เจ้าน้ำทอง ทั้งชีวิต แลหัวใจรักเดียวของพี่ ที่ใดมีเจ้าย่อมมีพี่ และที่

นั้นมีพี่ เจ้าจะแนบเคียงข้างเช่นนี้ มิว่าจะมีการเวียนว่ายตายเกิดสักกี่ครั้ง พี่ขอตั้งสัจจาอธิษฐาน บุพเพนั้นจะ

มีเราสองเคียงคู่ผัวเดียวเมียเดียวตลอดทุกชาติไป” หญิงผู้มีมงกุฎดอกไม้ยันกายขึ้นนั่ง

“พวกเราจะมีสิ่งใดเป็นสัญญาต่อกันเล่านอกจากดวงใจสามีของข้า หากเกิดมาแล้วจักมีความ

ทรงจำใดตามติดให้รู้ว่า ชายผู้ที่น้องจะยอมมอบกายและชีวิตรับใช้นั้นคือพี่”

บุรุษรุ่นหนุ่ม หยิบเหล็กแหลมอันเล็กๆ ติดปลายไม้ขนาดนิ้วก้อยพันเชือกแน่น เรียวไม้นั้นยาว

คืบหนึ่ง สตรีแรกดรุณีมองด้วยความฉงนใจ บุรุษหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มปลอบใจ รอยยิ้มของเขาช่างสวยงาม

และเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดูในหญิงแรกดรุณนั้นนักหนา

“พี่ได้ถือติดมือไว้แล้วด้วยคิดว่า วันที่เจ้าเป็นของพี่พวกเราจะมีสัญญาดังพี่จำได้ ผู้เฒ่าผู้แก่

แห่งบ้านเมืองเราเอ่ยอ้าง สักยันต์ไว้ก่อนตายจักเป็นปานเมื่อมีวิญญาณใหม่ พี่จะสักยันต์เจ้าที่ต้นแขนส่วนพี่

จะสักไว้ที่ข้อเท้า”

“ทำไมจึงไม่สักไว้ในที่เดียวกันเล่าสามีข้า”

“น้องเรา อันธรรมดาอิสตรีย่อมมองบุรุษในที่ต่ำก่อนใช่หรือไม่ และบุรุษย่อมมองสตรีนั้นจากที่

สูงลงไป ครั้นพี่จะสักหน้าของเจ้า ก็ให้เสียดายความงามของเจ้านัก”

“ความงาม ” นางแตะต้องดวงหน้าตัวเองบางเบา บุรุษนั่นพึงมีรอยยิ้มพึงใจ

“หากไม่พรางหน้าให้มัวหมองด้วยคราบสกปรก ที่ไหนเลยเจ้าจะพ้นการประมูลจากพวกค้าทาส

ไปขายกามาให้ชาวชาวธารปุระเชยชม แต่เพราะอำพรางใบหน้างดงามของเจ้า จึงได้รอดพ้น”

“พี่กล่าวว่าแต่ข้า ตัวพี่ก็เช่นกัน แม้พี่เสแสร้งแกล้งทำเป็นบ้าใบ้ และป้ายยางไม้อำพรางความ

คมคายจนหาที่งามสักส่วนยากนัก แต่พี่ของข้ายังเป็นที่ต้องการของนางท้าวพญามิใช่น้อย”

“แต่พี่ก็แสร้งบ้าจนพ้นมาได้นี่เจ้า เห็นหรือไม่ว่าเจ้าและพี่เกิดมาเพื่อกันและกันอย่างแท้จริง น้องเรา อีกสอง

ราตรีเท่านั้นเราจักมีชีวิตเป็นของเราเอง”

“สองราตรี เราจักเป็นอิสระแก่ตัว”

ทั้งสองยิ้มหัวแก่กันด้วยความสุข ก่อนชายหนุ่มประคองเมียสาวแรกรุ่นลงนอนบนตฤณชาติ ซึ่ง

พริ้มไสวตามสายลม มือกร้านด้วยงานค่อยลูบไล้เรือนร่างนางด้วยความบรรจงนุ่มนวล ท่ามกลางความสุข

สมของคนทั้งสอง หารู้ไม่ว่าได้มี..ดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องด้วยความริษยานัก

เสียงบุรุษหนุ่มกระซิบแผ่วที่ริมหู ยามนางพริ้มดวงตาแน่นสนิท ปล่อยวิญญาณล่องลอยเต็มสุข

“เราจะกลับไปสร้างบ้านเมืองและราชวงศ์ของเราขึ้นมาใหม่ เจ้านางของพี่ พี่จะทำเพื่อเจ้าให้

จงได้”

“สามีข้า เพียงสุขแค่นี้น้องพอใจมากแล้ว มิอยากได้สิ่งใดมากไปกว่าเคียงข้างด้วยพี่เท่านั้น”

“อืมม์”ชายหนุ่มครางลงคอลึกเสียงสั่นเทาขณะที่ร่างเกร็งกระสันบนร่างของภรรยา ความสุข

แห่งมนุษย์ชายหญิงคู่หนึ่งผ่านไปอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวล มิแผกดอกไม้งามดอมดมชมเกสรด้วยแมลงภู่

อ่อนโยน

เวลาแห่งความสุขเคลื่อนคล้อย ดังเมฆซึ่งเคลื่อนตัวแตกแยกจากกัน สองหนุ่มสาวแรกรุ่นแยก

ย้ายกันกลับหมู่บ้านด้วยการปิดบังความสุขอย่างมิดเม้นเช่นเคย

ที่หมู่บ้านทาส

ชายวัยกลางคนทาส เป็นหัวหน้าผู้คุมทาส แต่งกายด้วยผ้าทอพื้นดำ โพกศีรษะด้วยผ้าสีขาว

กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม้กลางลานหมู่บ้าน กำลังฟังคำร้องจากบุตรีของตน นามจิตตรีซึ่งเป็นคนพิการหลัง

ค่อมทั้งใบหน้าอัปลักษณ์ยิ่งนัก นางฟ้องร้องว่า

“อ้ายอีสองคนที่เป็นทาส เป็นหัวหน้าผู้คุมทาส บังอาจตบตาท่านด้วยการทำกิริยาใบ้ และทำ

เนื้อตัวสกปรก บัดเดี๋ยวนี้ปรากฏโฉมชัดว่ามิได้บ้าใบ้ ทั้งยังลักลอบร่วมสังวาส ณ ริมธารเชิงเขานั้น ท่านพ่อ

ต้องนำตัวพวกมันมาประจาน แลลงโทษเพื่อมิให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่างให้จงได้นะท่านพ่อ”

“เจ้าเห็นด้วยตาจริงรึลูกข้า”

“ข้าได้เห็นชัดด้วยตาแลได้ยินเสียงพูดของมันด้วยสองหูของข้า พวกมันตบตาท่านพ่อมานานปี

แต่ไม่อาจตบตาผีสางนางไม้ที่ดลใจให้ข้าได้พบได้เห็นความจริง หากมิเชื่อน้ำคำของข้าแล้วท่านพ่อจงไป

ลากพวกมันมาเอาความให้กระจ่างต่อหน้าฝูงคน ท่านพ่อจักได้เห็นชัดว่าคำของลูกนี้มิได้แกล้งใส่ไคล้พวก

มันสักนิดเดียว”

ผู้คุมทาสกระทืบเท้าด้วยความโกรธ สะบัดผ้าพาดไหล่ ตะคอกสั่งทาสชายที่นั่งล้อมรอบอยู่กลางลาน

“ข้าจักเอาความมันให้จงได้ อ้ายทาสชายห้าคนนั้น เอาเชือกไปล่ามพวกมันมาบัดเดี๋ยวนี้”

ทาสชายทั้งห้ารับคำ รีบไปตามหาภีมเสน และน้ำทองยังสถานที่ที่จิตตรีได้บอก พวกเขาไปถึง

เป็นเวลาเดียวกับที่สองหนุ่มสาวแรกดรุณกำลังหยอกเย้ากันอย่างมีความสุข

เมื่อเห็นกลุ่มคนตรงเข้ามาหา พวกเขาจึงได้คิดว่าบัดเดี๋ยวนี้ลางสังหรณ์ที่เกิดกับสตรีนั้นจริงแท้ ชายหญิงผู้

มีรักแท้ถูกชายผู้มีฐานะทาสเช่นเดียวกันตามจับ และถูกพันธนาการด้วยเชือกรัดแน่นรอบกายจนมิ

อาจกระดิกหนี ชายวัยกลางคนใช้ปลายแส้เชยคางสตรีแรกรุ่น

“ฉลาดในการปกปิดโฉมแท้จริงนัก จริงอย่างลูกข้าว่าเสียด้วย ปานดำที่เจ้าแสรงป้ายหน้านี้เกิดจากการ

กระทำด้วยน้ำมือเจ้า เจ้าทำให้ข้าดูเหมือนคนโง่เขลานัก นางทาสเชลยบัดซบ” ขาดคำมันตบใบหน้างามจน

เต็มฝ่ามือ

น้ำทองถูกแรงตบล้มกลิ้งกับพื้น ภีมเสนผู้เป็นคนรักขยับเข้ามาใกล้หวังได้ช่วยเหลือหรือปลอบโยน หากเขา

เองกลับถูกหัวหน้าทาสใช้เท้าถีบเต็มแรงจนกระเด็นไป

มันผู้นั้นตวาดซ้ำวางอำนาจ

“ดูรึแทนที่จะขายเจ้าให้เป็นนางกลางเมืองได้ทองเข้าหลวงได้ กลับกลายเป็นว่าส่งเสริมให้พวกเจ้าสมสู่

ลับหูลับตาข้ามาเสียนาน โทษของมึงจักถึงตาย อ้ายอีทาสเหล่านั้นอย่าได้สงสารมันให้เป็นภัยแก่ตัวพวก

เจ้า เอาพวกมันไปขัดถูให้สะอาด ข้าจะส่งเข้าพิธีบูชายัญ ของแม่ยั่วหัวบัดเดี๋ยวนี้”

“ท่านพ่อ ” นางผู้เป็นบุตรีตกใจยิ่งนัก “อย่าได้ฆ่าอ้ายผู้นั้น จงลง ทัณฑ์แก่หญิงไร้ยางอายนี้ผู้

เดียวเถิดท่านพ่อ”

“เจ้าห้ามแต่เพียงชายเพราะเหตุใดจิตตรี”

คนเป็นพ่อถามออกมาตามตรง ทำให้จิตตรีหญิงค่อมพิการรู้สึกละอายใจต่อสายตาทุกคู่ที่จ้อง

มองด้วยสายตาดูแคลนและรู้เท่าทัน

เพราะถึงแม้นางจะมีฐานะเป็นลูกสาวหัวหน้าทาสแต่หน้าตาก็อัปลักษณ์ การขอร้องให้ไว้แต่ชีวิตผู้ชายย่อม

เป็นที่ครหาว่านางอยากแต่งงานกับทาสเสียเอง ดังนั้นนางจึงต้องเจ็บใจกว่าเดิม ที่กำจัดศัตรูหัวใจแล้ว

พลอยทำให้คนที่นางหลงรักต้องมีอันเป็นไปเสียด้วย

…เก็บหญิงไว้ก็เจ็บใจ นางนี้เองที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก สุดท้ายได้แต่ร้องไห้คร่ำครวญไม่ให้ใครรู้เห็น

ภีมเสน และน้ำทองสองสามีภรรยาผู้เคราะห์ร้าย ถูกนำไปขัดเนื้อตัวที่ริมลำธาร แม้ยามเคราะห์ร้ายถึงแก่

ชีวิต พวกเขาทั้งสองผู้มีรักต่อกันอย่างมั่นคง ส่งสายตายังสานสบปลอบโยนซึ่งกันและกันไม่คลาย

“ไอ้ใบ้นางใบ้ แท้ที่จริงมิใช่คนบ้าใบ้ เจ้ามันไม่เก่งจริง จึงถูกเขาจับได้เช่นนี้ เสียดายอีกเพียง

สองวันจะพ้นทาส ข้าอยากช่วยพวกเจ้า แต่ข้าช่วย ข้าก็โดนจับไปบูชายัญเสียเอง ข้าจนใจนัก เจ้าคงไม่

ตำหนิข้าที่รักตัวกลัวตายนะเจ้าทาส”

ทั้งสองปิดปากเงียบ

เมื่อชำระล้างคราบยางคราบดำด้วยดินหม้อป้ายทาออกไปจนหมดแล้ว เผยให้เห็นผิวพรรณ

แห่งชนชั้นระดับสูง ผิวขาวนวลสวยงามดั่งผิวมะปรางสุก ทำให้พวกทาสตกใจ

“พวกเอ็งเป็นทาสมาจากเมืองใดกันแน่ รูปร่างจึงคมสัน พวกเจ้าดั่งมีชาติเชื้อผู้มีวรรณะสูงเสีย

ยิ่งกว่าพราหมณ์แตกต่างจากชาวทาสต่างเมือง เจ้ามาจากไหนกัน”

ไม่มีเสียตอบใดๆหลุดจากปากคนทั้งสองตามเคย

“จนจะตายอยู่ยังแกล้งบ้าใบ้อยู่อีก จักบอกกูสักคำมิได้เชียวหรือ”

เงียบอีก ดังนั้นทาสผู้นำทั้งสองมาชำระกายจึงได้แต่เวทนาในความงดงามของทั้งสองเท่านั้นช่วยเหลืออัน

ใดไม่ได้เลย

ทั้งสองสามีภรรยาผู้เคราะห์ร้ายถูกนำตัวกลับมาที่ลานกลางหมู่บ้านอีกครั้ง

หัวหน้าทาสถึงกับตกตะลึงในรูปโฉมอันแท้จริงของทั้งสอง ยิ่งเมื่อสวมขุดขาวดังพราหมณ์ ยิ่ง

ทำให้มีความงามนัก ความเสียดายและความสงสารเกิดขึ้นอย่างจับใจนายบ้านหัวหน้าทาส หากว่า กว่าจะ

ได้คิดก็สายเกินการณ์เสียแล้ว


บัดนี้ทหารจากวังหลวงได้นำเกวียนเทียมควายมาถึงแล้ว เกวียนนี้มีเครื่องจองจำห้าประการครบ มารับตัว

ทาส-ทาสี ผู้จะถูกนำไปบูชายัญเพื่อสร้างความพอใจแก่เทพเจ้าที่เมืองธารปุระนับถือ ทั้งนี้เพื่อก่อกำเนิดให้

แม่ยั่วเมืองมีพระโอรสตามคำทำนายของโหรหลวง

แม่ยั่วเมืองเป็นคนมีน้ำพระทัยหึงหวง เด็ดขาด ไม่ยินยอมให้มีนางสนมคนใดถวายงาน ดังนั้นพระนางจึง

ต้องมีรัชทายาทถวายให้จงได้ ทรงสรรหาทุกวิธีแล้วแต่ไม่เป็นผล มีครั้งนี้ต้องบูชายัญ แม้พ่อเจ้าไม่เห็น

ด้วย หากแม่ยั่วหัวกลับมีพระเสาวนีย์ให้ทำให้จงได้

เมื่อต้องถูกไปบูชายัญแน่แล้วทาสหนุ่มน้อยทำใจให้ปล่อยว่าง หากทาสหญิงเต็มไปด้วยไฟ

แค้นนางแค้นใจต่อนางจิตตรีนางจึงได้แต่คิด จักขอจองเวรทุกชาติไป

พิธีการบูชายัญได้เริ่มขึ้น

มีเฒ่าชายแต่งกายเป็นเช่นพราหมณ์สี่คน ยืน สีมุม กึ่งกลางเป็นกองไฟขนาดใหญ่ร้อนแรงจน

หลอมเหล็กได้ สัตว์เพศผู้เพศเมีย ถูกนำเซ่นสังเวยแด่เทพเจ้าที่บ้านเมืองแห่งตนเคารพบูชา รวมทั้งมนุษย์

ชายหญิงคู่หนึ่งก็ถูกนำมาร่วมพิธีกรรมครั้งนี้ มนุษย์จักถูกเผาทั้งเป็นเพื่อให้เกิดมนุษย์ตามความเชื่อที่โหด

ร้ายทารุณ แม่ยั่วหัวมิใส่ใจ เพียงแค่พระนางสมความปรารถนาเป็นพอ


“เจ้าสองคน มาจากที่ใด” ทีฆายุพ่อเจ้าดำรัสถาม

“หมู่บ้านทาสเจ้าพ่อเจ้า” ทหารตอบ

“หน้าแปลก งามกันถึงเพียงนี้ไม่มีคนประมูล”

“พวกมันปกปิดหน้าตาที่แท้จริงด้วยยางไม้ และเถ้าถ่านเจ้าพ่อเจ้า เห็นทีจะเพราะบารมีพ่อเจ้า

ความจริงจึงถูกเปิดเผย ก่อนพ้นทาสเจ้าจึงจับความจริงได้พ่อเจ้า” หัวหน้าหมู่บ้านทาสตอบ

“เอามาที่นี่ก่อน”

ทั้งสองถูกนำไปหน้าเบื้องพระพักตร์ พ่อเจ้าทีฆายุ และ พระนางเจ้าอมรา แม่ยั่วหัวมองคนทั้ง

สองด้วยความสมพระทัย ทรงตรัสว่า

“งามหมดจดทั้งสองเยี่ยงนี้แล้วเทพเจ้าคงพอใจประทานโอรสจากสรวงสวรรค์มาให้ข้าเป็นแน่”

“ข้าทำผิดสิ่งไร ”สตรีผู้นั้นมิอาจสะกดปากให้นิ่งเฉยได้อีกด้วยความหวดกลัวต่อความตายอัน

โหดร้อย และทารุณ

“ข้าเป็นทาส แล้วมีสิ่งใดที่บ่งบอกว่าข้าไม่ใช่คน”

“น้องเรา ” บุรุษเรียกเตือน

“ อย่าได้เครียดแค้นจองเวร เมื่อเราถึงเวลาแล้วจึงมิอาจพ้นตายได้ เจ้าอย่าหวาดกลัว ถึงแม้ว่าเราสองจะ
ต้องตายในชาตินี้ ชาติหน้าเรายังมาผูกพันกันได้ตามบุพเพสันนิวาสจงมุ่นมั่นต่อจิตให้มั่นคง เพื่อให้เกิด

ความผูกพัน”

“สามีข้า ธารปุระนี้โหดร้ายนักไม่เห็นแก่ชีวิตคนที่ต่ำต้อยกว่า จึงนำชีวิตคนเช่นกันมาเป็นเครื่อง

เซ่นสังเวยนี่เพื่อชีวิตตัวเอง โดยเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นเห็นดีแล้วหรือ ทางเมืองเราหาได้มีจารีตต่ำช้าเยี่ยงนี้ไม่”
“อุทิศให้กับเขาน้องเรา นี่เพราะเวรกรรมเราผูกพันกันมา น้ำทองเอยเจ้าอย่าได้พยาบาท”

“สามีข้า มิให้น้ำทองพยาบาทคนที่นำตัวมาฆ่าแล้วไซร้น้ำทองอาจทำได้ แต่จะให้ละเว้นนาง

จิตตรีน้ำทองมิอาจละเว้นได้ จิตใจมันชั่วร้ายและริษยาต่อรักอันมั่นคงของเรา มันจึงนำความตายมาสู่เราเยี่ยงนี้”

“ถึงไม่มีจิตตรี เราก็ต้องตายเพราะเวลาตายเราได้มาถึงแล้ว สงบใจเถิดน้ำทองเมียพี่”

“สามีข้า ความสุขของเราสองสิ้นสุดลงแล้วหรือ”

“สุขชั่ววันดีแล้วที่ยังได้ร่วมสุขกันมิใช่หรือ ระงับความเศร้าที่จะไม่ได้เห็นพี่เสียเถิดน้ำทอง”

สตรีนั้นเชื่อฟังคำบุรุษอย่างจำยอม จึงมิได้ร่ำพิไรอีก หากทีฆายุพ่อเจ้าแปลกพระกรรณในถ้อย

คำของหนุ่มน้อยนั้นจึงตรัสถามว่า

“คำพูดพวกเจ้าฟังแปลกหูของข้านัก พวกเจ้าพูดราวกับว่าเจ้ามีเทพเจ้าอยู่ประจำใจ จึงได้ดูถูก

เทพเจ้าของข้าว่าโหดร้ายทารุณ เจ้านับถือเทพเจ้าองค์ใดกัน”

“ข้าน้อยเป็นคนนอกรีต มิได้นับถือเช่นชาวธารปุระ ศาสดาของข้าน้อยมีพระนามพระสมณะโค

ดมพระพุทธเจ้า ทรงดำรัสว่า กัมมุนา วัตตะตีโลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ”

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม พ่อเจ้าทวนน้ำคำด้วยความหลากพระทัย กรรม

“ศาสดาของเจ้าอยู่ที่ใด”

“ท่านเสด็จดับขันธ์ปรินิพานไปหลายร้อยปีแล้วเจ้าค่า พระองค์เป็นกษัตริย์ผู้ไม่ทำลายชีวิต แม้

แต่ชีวิตเล็กน้อยก็ทรงมีเมตตา ทรงเป็นนักบวชที่ตรัสรู้สิ้นทั้งโลก มนุษย์เกิดจากกรรม กรรมคือการกระทำที่

ทำให้มนุษย์มีอันเป็นไป”

พราหมณ์เฒ่าสี่คนมิอาจจะให้หนุ่มน้อยนั้นพูดเรื่องศาสนาอื่นอยู่ได้ พวกเขาจึงรีบ เคาะฆ้อง

ทองเหลืองอันเป็นสัญญาณให้บูชายัญได้แล้ว

ภีมเสน เงยขึ้นสานสบแววพระเนตรคมดุของพ่อเจ้า แววตาอันอ่อนโยนทำให้พระทัยแกร่งปาน

เหล็กของพ่อเจ้า ถูกแววตาของมานพน้อยนั้นเผาผลาญให้หลอมละลาย ถ้อยคำของเขาอึงอนในพระโสต

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

“กรรมคืออะไรกัน” พ่อเจ้าหลุดพระโอษฐ์ถามด้วยสุรเสียงอันดัง

“กรรม คือการกระทำเจ้าพ่อเจ้า ”

พ่อเจ้าทีฆายุทรงเกิดน้ำพระทัยปีติในตัวมานพหนุ่มคนนั้นอย่างจับพระทัย พระองค์ดำรัสสั่งกึกก้อง

“เป็นลูกข้าชายผู้กล้าหาญข้าอยากให้เจ้ามาเป็นลูกของข้า จงมากำเนิดในครรภ์สนมเอกของ

ข้า”

หัวหน้าพราหมณ์ผู้นับถือในเวทย์แห่งความโหดร้าย ไม่อาจทนรับฟังการลบล้างความเชื่อของ

พวกตนได้จึงออกคำสั่งดังลั่นว่า

“ผลักมันลงหลุมบูชา ยัญ”

สิ้นคำของ นายทหารสองคนเข้ามาฉุดลากชายหญิงทั้งคู่ไปยังหลุมไฟโชนแสงอย่างน่าสะพรึงกลัว เสียง

หวีดร้องของสตรีกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างมานพหนุ่มในกองเพลิงโผเข้าไปกอดนางแนบแน่น เสียง

นั้นจึงได้เงียบลง ไม่มีใครได้เห็น ท่ามกลางกองเพลิง หญิงชายที่กำลังถูกเผาไหม้ได้กอดกันแน่น ใบหน้า

เต็มไปด้วยน้ำตา

“สามีข้าโปรดจำน้องให้ได้ จำน้องให้ได้นะพี่ข้า สามีของข้ารอข้าด้วย รอข้าด้วยพี่ข้า” เสียงนั้นมิได้ลอด

ออกมาให้ใครได้ยิน ขณะที่ยังไม่ถึงแก่ชีวิตนางเพ่งจิตอธิษฐาน

ขอเป็นข้ารองบาททุกชาติไป

สัตว์ชะตาขาดที่นำมาบูชายัญถูกโยนลงไปทีละคู่จนหมดสิ้น

จบพิธี พราหมณ์เป่าสังข์เสียงกังวานราวกับว่าจะเปล่งไปให้ถึงสวรรค์ ถึงเทพเจ้าที่ตนนับถือ การบรวงสรวง

หฤโหดจบสิ้นลงแล้ว







นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2555, 10:05:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2555, 10:05:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1725





<< ขึ้นที่ แม่ยั่วเมือง   เจ้านาง >>
Zephyr 30 พ.ค. 2555, 21:29:52 น.

แง โหดที่สุดเลย ไมอยากให้ไปเกิดในท้องยายอมราเลยอ่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account