แรกรักแต่ปางบรรพ์
เรื่องราวยุคก่อนสุโขทัย เป้เนนิยายจินตนาการทั้งสิ้น มิอาจนำไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆได้
Tags: จงรัก ภักดี

ตอน: เจ้านาง


ราตรีอันเงียบสงัด มีเพียงเสียงแห่งสายลมยามพัดต้องใบไม้
ชายม่านพระวิสูตรพัดเพยิบตามแรงลมโชยต้อง กลิ่นดอกไม้ยามราตรีส่งกรุ่นหอมอ่อน เสียงทุ้มนุ่มของใครคนหนึ่งดังมาจากที่ไกลแสนไกล
พ่อเจ้าสะดุ้งพระวรกายในยามดึกสงัด พระองค์จำเสียงที่ดังแต่ไกลในยามสุบินนิมิตนั้นได้ราวกับว่ายังมีบุคคลมาพูดอยู่ใกล้ริมพระโสต
“ทีฆายุเสียดายนักที่เจ้าอยู่ร่มกาสาวพัตร์จนเกือบบรรลุแห่งโมกธรรม หากกรรมเวรทำให้เจ้าติดตามสตรีด้วยรูปโฉม ผลบุญนำส่งเจ้าเป็นพ่อเจ้า หากเจ้ายังก่อกรรมทำทุกเข็ญแก่สัตว์ผู้ยาก กรรมครั้งนี้โดยที่เจ้ามิได้หนุนเนื่องด้วยผลบุญสักนิด เจ้าต้องรับกรรมหนักเสียแล้วทีฆายุเอย เวรกรรม เวรกรรมได้ตามติดเจ้าแล้ว”
ทุกถ้อยคำที่ได้ยินในสุบินราวกับมีคำกล่าวย้ำๆ เวรกรรม
พ่อเจ้าทวนคำในพระสุบินประหลาด พระองค์ครองผ้าเหลือง พระเศียรโล้นเลี่ยน เสด็จเที่ยวภิกขาจาร การกระทำนั้นแม้เกิดในความฝัน หากเมื่อทรงคิดได้ ถึงกลับละอายพระทัยด้วยไม่เข้าใจว่าทำไมพระองค์จึงไปขอทาน
หรือนั่นเป็นเหตุอันมัวหมอง หรือว่านั่นเป็นกิจอันใด โอ้ พระองค์อยากได้คำตอบเหลือเกิน อยากรู้คำตอบ
แล้วเสียงมานพรูปงามซึ่งถูกบูชายัญมีถ้อยคำฝังในพระโสตพ่อเจ้าทีฆายุเมื่อพระองค์ดำริขึ้นมาคราใด ความชัดเจนในถ้อยคำนั้นมีเสมอ
“พระสมนะโคดม พระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าคือพระบรมศาสดาของข้าน้อย ทรงตรัสว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม กรรมคือการกระทำ”
การกระทำ ทรงทำผิดหรือกับสิ่งที่ผ่านมา เบื้องหน้าเล่าจะทำสิ่งใดที่เรียกว่าผิดอีก ในเมื่อพระองค์เป็นผู้มีอำนาจเหนือแผ่นดิน อำนาจนี้เทพเจ้าประทานมาให้ ย่อมไม่ผิดมิใช่หรือ!
ในขณะที่พระองค์มีคำถาม แต่ไร้ซึ่งคำตอบ แต่พระราชอำนาจยังอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ไม่ช้านานอำนาจนั้นก็พานพาให้ลืมสุบินเสียสิ้น
วันเวลาผ่านไปอีกห้าปี
แม่ยั่วหัวอมราเทวีมีความหงุดหงิดพระทัยมาก นับแต่วันบูชายัญผ่านพ้น ทรงกวาดข้าวของทิ้งอย่างขัดพระเนตร
สองกษัตริย์มิอาจมีความสุขดังเดิม ในพระทัยมีแต่ความร้อนรุมกระวนกระวายดังใครจุดอัคคีไว้ในพระวรกายกระนั้น
รูปปั้นกุมารน้อยตั้งอย่างข้างพระแท่นที่ประทับ แม่ยั่วหัวจับขึ้นมาดูแล้วก็ให้ขัดพระทัยถึงกับขว้างใส่บานทวาร พอดีกับพ่อเจ้าเสด็จเข้ามาจึงถูกพระวรกายพดดี
“ข้าน้อยเกลียดมันข้าน้อยไม่ต้องการเห็นมัน”
“อมรา ”พ่อเจ้าตรัสดังเคืองขุ่นพระทัยยิ่ง“ตุ๊กตาพราหมณ์เฒ่า เสกมาให้เพื่อเจ้ามีลูกแล้วไยจึงขว้างทิ้ง”
“ตุ๊กตาจะช่วยอะไรได้เผาสัตว์เผาคนก็ยังช่วยไม่ได้ ห้าปีแล้วนะ”
“เจ้ามันเอาแต่ใจจนข้านึกเบื่อหน่ายเหลือที่”
“เมื่อเบื่อน้องมากจนทนไม่ไหว เชิญพี่เจ้าเสด็จกลับไป”
พ่อเจ้าเสด็จกลับทันที พระนางย่อมแปลกพระทัย เพราะทุกครั้งจะทรงเข้ามางอนง้อด้วยความเอ็นดู หากครานี้เห็นผิดที
ดึกดื่นค่อนคืนแม้ห่าฝนจะตกอย่างถล่มทะลาย แต่แม่ยั่วหัวผู้เอาแต่พระทัย ก็ยังฝ่าพายุฝนเสด็จไปวังหน้าที่ประทับของทีฆายุพ่อเจ้า
ท่านสิงห์เฝ้าอารักขาอยู่หน้าลานทวารห้องบรรทม แม่ยั่วหัวมีพระวรกายเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนจนผ้าทรงรีดแนบเนื้อ ท่านสิงห์รีบหมอบกับฟื้นมีไดบังอาจชมดูความงามแห่งเรือนร่างนั้น
แม่ยั่วหัวพาร่างอวบอิ่มผลักบานพระทวารเข้าไป ด้วยเสียงดังปลุกพ่อเจ้าให้สะดุ้งพระองค์ คว้าพระแสงดาบด้วยความเคยชิน
“ใครบังอาจรบกวนข้า” ดำรัสแล้วจึงเห็นพระเทวีจากประทีบดวงน้อย (ตะเกียง) ยืนพระพักตร์บึ้งกลางทวารประตู
“อ้อความจริงข้าต้องรู้สินะว่าในแผ่นดินนี้ไม่มีใครกล้าขัดใจข้าได้เช่นเจ้าอีกแล้ว”
“ตรัสความดังนี้เพาะเกลียดชังใช่หรือไม่ หากใช้.ข้าน้อยจะได้กลับเสียเดี๋ยวนี้หากตรัสเพราะ เคืองขุ่นในความดื้อรั้นของข้าน้อย บัดนี้ได้ฝ่าสายฝนมารับโทษต่อเบื้องพระพักตร์แล้วเพคะพี่เจ้า
“จะว่าชังหรือเคืองก็ได้ใช้ทั้งสองประการ ยิ่งเห็นเจ้าเปียกชุ่มยิ่งหวนนึกถึงวันแรกที่ได้เจ้าเป็นเทวี”
“เป็นดังนี้ใช่หรือไม่เพคะ” พระนางเปลื้องเครื่อง ทรงออกจนสิ้น ย่างพระมาทเข้าไปใกล้พระแทนที่ประทับ ทีฆายุพ่อเจ้าไขว่คว้าโลมไล้ราวต้องมนต์ของพระนางอมราเทวี
“ย่อมไม่ใช่เช่นนี้ วันนั้นเจ้าไร้เดียงสา หากวันนี้เจ้าทำให้พี่เร่าร้อนด้วยเพลิงพิษนัก”
ความเร่าร้อนและอยากลงโทษให้สาสมพระทัยต่อความดื้อรั้นของเจ้านางอมราเทวีทำให้ พ่อเจ้าก้มลงบดขยี้ริมพระโอษฐ์ลงบนพระโอษฐ์นุ่ม แดงระเรื่องด้วยเลือดฝาดอย่างรุนแรง ถึงแม้เจ็บหากเจ้านางกลับพอใจกับสิ่งที่ได้รับ พระหัตถ์มือเรียวยาวของพ่อเจ้าตะโบมโลมไล้ ปทุมทองสองข้างเคล้นคลึงรุนแรงสลับกัน อมราเทวีร้องครางด้วยความเจ็บ หากพระองค์ไม่ทรงปราณี เบามือให้ กระทั่งพระองค์เปลี่ยนบทรักด้วยการดูดดุนลิ่มรสสองปทุมทองอย่างอ่อนหวานเป็นการปลอบโยน ก่อนปล่อยไปคลึงเค้นด้วยความพึงพอใจ แรงกระตุ้นอารมณ์ทำให้เจ้านางยิ่งแอ่นอกผวาท้าทายจมูกโด่ง และริมฝีปากได้รูปสวยของอีกฝ่าย บังคับให้ลิ้มรสบนปลายยอดแดงของเต้ากลมอีกครั้งด้วยการประคองริมพระโอษฐ์หนา ของพ่อเจ้าให้ สองร่างสั่นระริกด้วยไฟเสน่หาก่อตัวขึ้น และรุนแรงกว่าครั้งแรกมากนัก
“พี่เจ้า ราตรีสำคัญนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของน้องได้ทำตามอำเภอน้ำใจได้มั้ยเพคะ”
“อมรา เจ้าจะทำการอันใดหรือน้องพี่”
พระนางเจ้ามิได้ตอบด้วยวาจา หากใช้พระวรกายเสนอและสนองด้วยการทำตามพระประสงค์
พ่อเจ้าร้องครางเมื่อถูกครอบงำในคราวเดียว ทรง กระชั้นพระวรกายรุนแรง พร่ำบอกลืมตัว เสียงสั่นพร่าลำคอแห้งผาก ความสุขสุดยอดของพ่อเจ้ามีมากกว่าทุกครั้งที่เคยมีมาเจ้านางสอดพระกรโอบรอบพระศอ และจูบเอาพระทับพระราชสวามี หวังพระทัยว่า ราตรีนี้จะทรงหายกริ้ว และพระราชทานพระหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์มายังพระครรภ์ของพระนาง
ราตรีนั้น พระนางเกิดนิมิตใกล้ฟ้าสางเพียงพระองค์เดียว ไต่ยอดภูเขา เอื้อมไปคว้าดวงอาทิตย์ร้อนระอุมากลืนกินไว้ในอุทร พระวรกายของพระองค์รุ่มร้อนแสนสาหัส บัดเดี๋ยวนี้นั้นพญาอินทรีตรงเข้ามาจิกเอาดวงใจแห่งพระนาง
“กรี๊ด .”แม่ยั่วหัวสะดุ้งจากบรรทม พ่อเจ้ากระชับอ้อมพระพาหาแน่นตรัสถามห่วงใย
“อมราเป็นอะไร สุบินนิมิตร้ายอันใดหรือเจ้า”
“น้องสุบิน น่ากลัวเหลือเกิน”
“อย่างเจ้ายังมีใดน่ากลัวกัน พี่ไม่เคยได้ยินว่าเจ้ามีเรื่องกลัวสักเรื่อง”พ่อเจ้าตรัสหยอก “พี่ไม่เคยเชื่อเรื่องความฝัน..หลับเสียเถิดอมรา”
“ในสุบินนั้นชัดแจ้งราวกับเป็นจริงนักเทียวพี่เจ้าจะทอดทิ้งข้าน้อยดั่งข้าน้อยไร้สิ้นค่าแล้ว”
“เหลวไหล พี่มิได้รักเจ้าน้อยลงสักนิด หลับเถิดอมราพี่รักเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง”
พระนางคลายวิตกแล้วก็ตาม หากในอุทรยังร้อนรุ่มนัก
ยามเมื่อประทับในอุทยานพระที่นั่งก็รุ่มร้อนนัก เสียงสนมกำนับเล่นหยอกยั่วก็ขุ่นรำคาญจนไล่ไปเสียให้พ้น
“นางพวกนี้ดีแต่เล่นไปวันๆ ในหัวของมันไม่มีความคิดเลยหรือไร”
ทีฆายุพ่อเจ้าทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เดือดดาลพระทัยเต็มที่
“เจ้าอมรา” ทรงเงื้อพระหัตถ์หมายลงโทษ ท่านสิงห์รีบกอดพระบาทห้ามปราบ
“โปรดประทานโทษก่อนพ่อจ้า ข้าน้อยไม่ดีเอง ทั้งที่รู้ว่าไม่โปรดกระต่ายก็ยังให้เล็ดลอดเข้ามา”
“เพียงเรื่องกระต่ายเท่านั้น นาง ยังอาจหายมาตบหน้าแม่ทัพผู้ภักดี และ เป็นพี่เลี้ยงของข้า มิอาจเว้นโทษได้”
“แม่ยั่วหัวอมรารู้สึกองค์ในทันที แม่ทัพเอกแห่งธารปุระ พระพี่เลี้ยงของพ่อเจ้า มีผู้คนเคารพทั้งแผ่นดิน พระนางได้รับการตามพระทัยจนขาดซึ่งความเกรงใจแห่งคน พ่อเจ้าทรงพิโรธยิ่ง
“ยังไม่ขอโทษพี่ชายแห่งข้า”
“อย่าดำรัสเช่นนั้นพ่อเจ้า อย่าต้องให้แม่เจ้าลดเกียรติลงมา ที่ถูกทำโทษหาได้ระคายผิวหนังไม่”
พ่อเจ้าทีฆายุมาเดือดดาลพระทัยครั้นจะทำประการก็ยิ่งทำให้พระทัยขุ่นยิ่งจึงสาวพระบาทกลับ ท่านสิงห์ และขุนทหารรีบติดตามอารักขาในทันที โดยทหารผู้หนึ่งอุ้มกระต่ายป่าไปด้วย
กาสารู้ชัด อมราเทวีเหลิงอำนาจแห่งตนจนสิ้นคิดแล้ว
พระตำหนักเงียบเหงาหลายวัน พ่อเจ้าไม่เสด็จมา และไม่มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า จนพระนางมิอาจจะทนได้ จึงเสด็จไปเข้าเฝ้าด้วยมิอาจทนแก่ความคิดถึงได้
“ทรงประทับ ปราสาทหินทางใต้หลายเวลาแล้วเพคะแม่เจ้า”
เจ้านางอมราประทับนิ่งมิรู้สึกองค์ กาสาขยับกายจับชายชุดฉลองนิด
“เสด็จกลับตำหนักในเถิดเพคะแม่เจ้า”
คำนั้นทำให้เจ้าอมรารู้สึกองค์จึงขยับเสด็จ
นางในมองตามด้วยความชิงชัง ซุบซิบนินทาแม่ยั่วหัวตามหลังไป
“นางหญิงต่างเมืองถึงคราวาสนาอับแล้วจะโทษใคร บังอาจกล้าตบท่านสิงห์ โทษตายยังน้อยไปนัก”
ไม่มีสักผู้ที่ไม่รู้สึกชิงชัง!!
วันเวลาผ่านพ้นล่วงเลย ไม่เคยรอท่าใคร ไม่ว่าอ้ายอี ผู้นั้นจักสุข หรือทุกข์ก็ตามที
ชาวเมืองธารปุระดำรงชีพด้วยความปกติสุข หากผู้ครองแคว้นกลับหาความสุขใส่พระทัยมิได้ พ่อเจ้าทีฆายุร้อนรุ่มพระทัยจนมิอาจประทับอยู่ในพระราชวังได้ ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จไปยังปราสาทหิน
ทรงประทับอยู่
ณ ที่แห่งนั้น ซึ่งให้เกิดเหตุการณ์ประหลาด นับแต่เสด็จมาประทับที่แห่งนี้ ฝนผิดฤดูตกต้องไม่ขาดสายแทบทุกวัน
วันนี้ยิ่งแรงกว่าที่เคยเป็น ฟ้าลั่นครืนครัน อัสนีบาศพาดเปรี้ยงเหนือปราสาทหิน
ร่างดรุณีในวัยกำดัด วิ่งฝ่าสายฝนเข้ามาพักในเทวสถาน เบื้องหลังนางนั้นมีหญิงชายติดตามสี่คนแสงไฟคบไต้จากเทวสถาน บอกพวกนางให้รู้ว่ามีคนอยู่ในเทวสถานแห่งนี้จึงพากันมาหลบฝน
เมื่อมีผู้รุกล้ำเข้ามาท่านสิงห์ซึ่งเฝ้าอารักขาไม่ห่าง โดดปราดออกมาจากมุมหนึ่งตวาดถามเสียงดัง
“ผู้ใดกัน บังอาจล่วงเข้ามายังที่ประทับไม่บอกกล่าว”
สตรีแรกรุ่นนางนั้นตกใจยิ่ง เมื่อเห็นความองอาดของท่านสิงห์ ดาบคมสะท้อนแสงไต้เป็นเงาวับทำให้นางรีบเอ่ยปากถามอีกฝ่ายว่า
“แล้วท่านคือใครกันผู้นี้ ไม่ใช่ทั้งพราหมณ์หรือโยคี มี ดาบคมกล้าอยู่ในมือราวกับจักประหารคนโดยง่าย”
เสียงตอบโต้กันดังเข้าไปถึงแท่นพระที่ประทับ พ่อเจ้าถามดังจากกลางวิหาร ดรุณีแรกสาวรีบวิ่งไปตามเสียงเรียก
“ใครล่วงล้ำเข้ามาสิงห์”
“เจ้านางช้าก่อน” หญิงวัยเบญจเพสเรียกรั้ง พร้อมกับวิ่งตามเข้าไป
ท่านสิงห์ตามเข้าไปสกัดกั้น กลุ่มคนทั้งหมดก่อนถึงองค์ทีฆายุพ่อเจ้า ท่านข่มขู่เสียงดัง
“ใครก้าวเข้าใกล้พ่อเจ้าอีกเพียงก้าวเดียว กูจะตัดหัวไม่ให้รอดสักผู้”
“ท่านผู้กล้านี้บอกข้าน้อยสักคำ ผู้ที่ท่านป้องกันนี่คือใคร”
“ก่อนเอ่ยพระนามของพระองค์ท่าน พวกเจ้าควรหมอบให้ติดพื้น”
ผู้คนที่ล่วงล้ำรีบหมอบราบตามคำ ด้วยทราบความยิ่งใหญ่ ดรุณีโฉมงามเอ่ยบอกไม่เงยหน้าว่า
“ข้าน้อยมาจากเมืองแทงอันเป็นประเทศราช ธารปุระ บัดเดี๋ยวนี้ได้ถึงเวลาส่งบรรณาการแล้ว”
“บรรณาการ” ท่านสิงห์ทวนคำ
พ่อเจ้าทีฆายุเสด็จออกมาประทับเด่นเป็นสง่า
ดรุณีแรกรุ่น ทอดตามองจากข้อพระบาทขึ้นไปจึงได้พบ ท่านที่นางจะมาเป็นข้าบาทบริจาริกา นางผุดลุกขึ้นยืนสง่า แสงไฟจากคบไต้สี่ลำสาดแสงสว่างกระทบร่างสาวงาม แม้แต่ท่านสิงห์ผู้มิข้องแวะเรื่องโลกีย์ ยังมีใจพลุ่งพล่านด้วยความเย้ายวนของอีกฝ่ายอย่างสัญชาตญาณบุรุษสัมผัสได้
ชายกลางคนที่ตามเสด็จถวายตราประจำเมืองแทงแด่ สัตบุรุษผู้มีความสง่างามวรกายสูงใหญ่เกินใครประทับหน้าแทนเทวรูป
“เจ้านางนี้พระนางว่าขวัญหล้า เป็นพระธิดาองค์ใหญ่ของเจ้าเมืองแทง ซึ่งเป็นหัวเมืองประเทศราช ปีนี้ข้าวยากหมากแพงนักจึงมิอาจส่งส่วยเป็นข้าวของได้ พ่อเจ้าแห่งเมืองแทงจึงส่งเจ้านางมาเป็นเครื่องบรรณาการ หากมิทรงพอพระทัย ทรงโปรดแต่พ่อเจ้าจะเมตตาทำประการใด พ่อเจ้าแห่งเมืองแทงยอมรับผิดทุกประการเจ้า พ่อเจ้า”
พ่อเจ้าทอดพระเนตรความงามของดรุณีแรกสาว พระทัยเงียบเหงาอ้างว้างมีความกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง พระองค์ตรัสว่า
“ข้าคงโหดร้ายเลื่องชื่อนักหนาล่ะสิ พ่อเจ้าแห่งเจ้าจึงได้กำกับมามากเพียงนี้”
“หามิได้พ่อเจ้า”เสนาผู้มาส่งตัวเจ้านางรีบกราบทูล “เพียงแต่เมืองแทงไม่ทราบจักหาสิ่งใดมาเป็นบรรณาการอย่างคู่ควร แต่เนื่องด้วยเจ้านางขวัญหล้าเป็นที่รักของพ่อเจ้า แม่เจ้า และชาวเมืองแทง พ่อเจ้าแห่งเมืองแทงจึงมีดำริจัดส่งแทนส่วยอย่างไม่เห็นสิ่งใดดีได้เสมอนี้แล้วเจ้า พ่อเจ้า”
“เอาเถอะ เมื่อเมือแทงได้ยาก จนถึงขนาดควักดวงใจมาเป็นเครื่องบรรณาการให้ข้า ข้าจะรับเลี้ยงไว้ สามปีล่วงแล้วอย่าได้คิดนำสตรีมาเป็นเครื่องบรรณาการอีก ข้ามิใช่คนหมกมุ่นแต่กามรมย์”
“เจ้า พ่อเจ้า เรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดี เพียงแต่เมืองแทงได้ขอถวายเจ้านางขวัญหล้า ณ.บัดนี้แล้ว”
ดรุณีแรกรุ่น เข้าถวายตัว พ่อเจ้าทีฆายุเชยพระหนุเจ้านางเพ่งพิศดูโฉมให้เต็มพระเนตร
ยามอ้างว้างพระทัยจึงใคร่เชยสตรีสักคน
ปลายพระหัตถ์เชยคางมล นางยิ้มเยื้อนในทีชม้ายชายเนตรเอียงอายหากยั่วยวนประหลาด
นอกจากเจ้าอมราเทวีผู้ที่ทำให้พ่อจ้าปรารถนานับแต่แรกเห็น ดรุณีนางนี้ก็นับว่าใช่!!
พ่อเจ้าเสด็จเข้าแท่นพระที่ ท่านสิงห์ปิดประตูระงับ พร้อมเฝ้าอย่างเข้มแข็ง พ่อเจ้าค่อยเปลื้องชุดทรงเจ้านางซึ่งเปียอกปอนด้วยน้ำฝน พลางตรัสถามอีกครั้ง
“ชื่อไรกันเจ้า”
“ขวัญหล้าเจ้า พ่อเจ้า”พระนางจับพระหัตถ์ซึ่งลวนลามลงมาที่แน่งน้อยเต้าปทุมทั้งสอง ก่อนทูลเอาพระทัย “นับแต่นี้ชีวิตข้าน้อยอยู่ใต้เบื้องพระบาทแล้วเพคะ”
พ่อเจ้าทีฆายุ รื่นเริงในเจ้านางขวัญหล้านานอยู่หลายราตรี ทรงพึงพอพระทัยถึงกับออกปากชม บนพระแท่นพระที่ตามลำพัง โดยมีเจ้านางอยู่ในอ้อมอุระมิได้ห่าง แม้มิคิดเปรียบ แต่อดเปรียบมิได้
เจ้านางสองพระองค์ซึ่งพ่อเจ้าเคียงพระเขนยนั้น เจ้านางอมราคือพายุร้ายรุนแรงที่พระองค์ปรารถนา ส่วนเจ้านางขวัญหล้า คือสายลมพัดเอื่อยสนต้องพระทัยยามรุ่มร้อน พระองค์ทรงตรัสขณะลูบไล้เส้นเกศาหอมของพระนาง
“เจ้าถูกฝึกมาให้เจนจัดเรื่องนี้หรือไร”
“พ่อเจ้าเข้าพระทัยผิดแล้ว ใยไม่ดำริบ้างว่า เพราะพ่อเจ้าเสนอมา ข้าน้อยจึงสนองไป”
“ขวัญหล้าเจ้านี่ช่างยั่วยวนนัก มีสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่ข้าปรารถนายิ่งคือเจ้าอมรา ไม่คิดว่าจะมีเจ้าเข้ามาอีกหนึ่ง”
ทรงตรัสพลาง
“เจ้านางอมราคือ”
“แม่ยั่วหัว ข้าจะพาเจ้าไปฝากตัวก่อน หาไม่ภัยจะมาถึงเจ้าได้”
“ภัย ภัยอันใดเจ้าพ่อเจ้า”
“เมียข้าหึงหวงร้ายกาจนัก แต่อย่าพึ่งเอ่ยถึงนางเลย เจ้ามาปรนนิบัติข้าทางนี้ก่อน มิแน่ว่าเจ้าอาจมีลูกให้ข้าสักคนก็เป็นได้”
“หากทรงประทานมา ขวัญหล้าจักรับสนองเบื้องยุคลบาทเจ้า พ่อเจ้า”
พ่อเจ้าทรงสรวลเบาๆด้วยความพอพระทัยกับน้ำคำหวานพระโสต
กาสาคอยฟังข่าวว่าพ่อเจ้าเสด็จกลับจากปราสาทหินหรือยัง แต่ไม่ว่านางถามผู้ใด นางล้วนไม่ได้รับคำตอบ กระทั่งนางเดินสวนทางกับท่านสิงห์นางจึงได้ฉุกคิดว่า ท่านสิงห์อยู่ไม่ห่างจากพ่อเจ้า เมื่อเห็นท่านสิงห์นั่นย่อมหมายความว่าพ่อเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว
แต่เมื่อนางจะถาม นางกลับไม่ทราบจะเริ่มต้นอย่างไรดี นางก้มมองแต่เบื้องต่ำกว่าเอวไม่เคยสบตาท่านสิงห์สักครั้งตามประสาสตรีบริสุทธิ์ที่ยังไม่ออกเรือน นางย่อมมีความอาย กาสาเป็นหญิงเช่นนั้น ท่านสิงห์มีความประทับใจกับกิริยาเรียบร้อยของ กาสาทุกครั้งที่พบเจอจึงเป็นฝ่ายถาม
“แม่เจ้าประทับที่ใดหรือกาสา”
“ตำหนักในเจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าจะไปที่ใด”
“แม่เจ้าให้มาเฝ้ารอว่าพ่อเจ้าว่าเสด็จกลับมาหรือยัง”
“เจ้าเล่า ไปมาแล้วหรือกาสา”
“เห็นท่านสิงห์อยู่ตำหนักแห่งนี้ ข้าน้อยพอทราบว่าพ่อเจ้าเสด็จกลับแล้ว ข้าน้อยจะไปกราบทูลแม่เจ้าบัดเดี๋ยวนี้”
“กาสา อย่าพึ่งให้ทรงทราบเลย” ท่านสิงห์เตือนด้วยสีหน้าวิตกกังวล หากนางกำนัลไม่เข้าใจ
“มีเรื่องยากอันใดหรือท่านสิงห์ ท่านจึงห้ามข้ามิให้กราบทูลแม่เจ้า”
“หากเจ้ามีความภักดีต่อแม่เจ้า เจ้าจงยั้งปากไว้ก่อน รอพ่อเจ้าเสด็จไปหาแม่เจ้า แล้วทรงมีพระบัญชา เรื่องจึงจะดีกว่าที่ให้แม่เจ้าทรงรับทราบจากผู้อื่น”
“มีเรื่องร้ายเชียวหรือ เอ่อ พ่อเจ้ายังเคืองพระทัยแม่เจ้าอยู่หนักหนาหรือเจ้าท่าน”
“เอาเถอะฟังข้าไว้เถิดกาสา แล้วจะไม่มีเรื่องร้าย ข้ารู้จักทั้งแม่เจ้า และพ่อเจ้าดี”
ท่านสิงห์สั่งพร้อมรอยยิ้มนิดในสีหน้า กาสาพึงรับทราบยอมปฏิบัติตามที่ท่านสิงห์แนะนำ



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2555, 09:38:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2555, 09:38:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1900





<< สองทาสผู้มีเบื้องหลัง   แตกหัก >>
คิมหันตุ์ 30 พ.ค. 2555, 15:29:54 น.
ท่านสิงห์นี้. รอบคอบดีจัง


tookta 30 พ.ค. 2555, 21:22:11 น.
คราวนี้คงมีลูกสมใจนะท่านทีฆายุ


Zephyr 30 พ.ค. 2555, 21:43:42 น.
ดีจัง ลูกเกิดกับขวัญหล้าเถอะ ออกมาน่าจะเป็นคนดี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account