รถด่วนขบวนสุดรัก
ชีวิตนี้เคยต้องรออะไรนานๆ มั้ยคะ โดยเฉพาะรอดูว่าเมื่อไหร่พ่อเนื้อคู่ตุนาหงัน โซลเม็ทของฉันจะโผล่มาเซอร์ไพรส์ในชีวิตจริงเสียที เพราะนั่งรอ นอนรอ ตบยุงรอมาก็หลายปีดีดักแล้ว รอไปก็กังวลไป สงสัยว่าชาตินี้ฉันคงจะได้ขึ้นคานแหงๆ
การรอคอยบางทีทรมานกว่าผลลัพธ์ แต่ถ้าผลลัพธ์ออกมาดีเหมือนรถด่วนขบวนสุดรักขบวนนี้ บางที...การ (อดทน) รอก็อาจจะให้ดอกผลที่น่าชื่นใจกว่าก็ได้
อย่าไปกังวลเลยค่ะว่าเราจะไปไม่ทันรถด่วนขบวนสุดท้ายหรือเปล่า ขอให้พากันสมัครใจไปกับ รถด่วนขบวนสุดรัก กันดีกว่า


Dear someone,

If love (still) kept you standing at the station when the last train's gone by…, then I thought maybe walking was better ‘coz we were the master of our choices.

So, do you wanna walk…?


Tags: เนื้อคู่ รถด่วนขบวนสุดท้าย ณนวล มัชฌิชา ภาณุวัฒน์

ตอน: ♥ บทที่ 11

มัชฌิมาหยิบสมุดบันทึกเล่มเล็กที่ซ่อนตัวอย่างปลอดภัยอยู่ในลิ้นชักด้านลึกพร้อมปิดล็อกอย่างแน่นหนาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาขึ้นมาเปิดดูช้าๆ ก่อนจะหยุดสายตาลงที่กระดาษหน้าหนึ่ง

กฎข้อแรก มัชฌิมาเกลียดคนไม่รักษาสัญญา ไม่รักษาคำพูด !
กฎข้อสอง มัชฌิมาเกลียดคนรักความสะอาดจนเกินเหตุ !
กฎข้อสาม มัชฌิมาเกลียดคนที่เห็นว่าหมาสำคัญกว่าหล่อน !
กฎข้อสี่ มัชฌิมาเกลียดดอกกุหลาบ !
กฎข้อห้า มัชฌิมาเกลียดผู้ชายที่บอกว่าอดทนหล่อนต่อไปไม่ไหวแล้ว !

หญิงสาวอ่านกฎแต่ละข้อที่ได้มาจากผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่รักของหล่อนแต่ละคนตลอดระยะเวลาห้าหกปีที่ผ่านมาแล้วก็ต้องยอมรับกับตัวเองว่าในบรรดากฎบ้าบอทั้งหมดของหล่อน กฎข้อแรกสุดสร้างรอยแปลบปวดในใจแก่หล่อนได้มากที่สุด มากยิ่งกว่ากฎที่เหลืออีกสี่ข้อรวมกันเสียอีก เพราะมันเป็นผลมาจากการที่ทั้งถูกเลิกรักและหักหลัง เป็นรอยแผลที่เจ็บปวดเสียจนทำให้มัชฌิมาไม่เคยมองหน้าคนในครอบครัวได้เต็มตาอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น

เดิมทีคุณอำนาจ บิดาของหล่อนรับราชการอยู่ที่กรุงเทพฯ ก่อนจะย้ายไปประจำที่เชียงใหม่ด้วยตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น ยศก็สูงขึ้น มารดาของหล่อนดีอกดีใจมากมายแต่ยังไม่ได้เตรียมใจที่จะย้ายจากบ้านเกิดจึงปล่อยให้บิดาล่วงหน้าไปรับตำแหน่งที่นั่นก่อน

สองเดือนพอดีที่หล่อนเห็นมารดาเตรียมตัวเตรียมใจจะหอบข้าวของตามบิดาไป ยังไม่ทันจะได้ย้ายก็มีผู้หวังดีมาแจ้งข่าวเสียก่อนว่าบิดาของหล่อนมีภรรยาใหม่ เป็นลูกสาวคนใหญ่คนโตที่เชียงใหม่และกำลังจะจัดพิธีแต่งงานกันเร็วๆ นี้ ถึงมารดาหล่อนจะตกใจกับ ‘ข่าว’ ที่ได้ฟังแต่ก็ยังมีสติและยืนกรานจะไม่เชื่อคำใครจนกว่าจะได้เห็นเองกับตา

มารดาหล่อนจัดกระเป๋าเตรียมขึ้นเชียงใหม่ไปเงียบๆ โดยที่ไม่ได้บอกใคร ตอนนั้นหล่อนยังเด็กจึงไม่ค่อยจะเข้าใจเรื่องของผู้ใหญ่เท่าไหร่นัก รู้แต่เพียงว่าหลังจากที่กลับมาเพียงสองสามอาทิตย์มารดาก็ล้มป่วยก่อนจะทิ้งหล่อนไปในที่สุด

ใครๆ ก็พูดกันว่ามารดาของหล่อนตรอมใจ ถึงหล่อนจะยังไม่เข้าใจความหมายแต่ก็รู้สึกเจ็บปวดกับชะตาชีวิตมากเหลือเกิน ตลอดระยะเวลานั้นหล่อนไม่เคยได้เห็นหน้าบิดาเลย จนกระทั่งงานศพวันสุดท้ายท่านมารับหล่อนไปอยู่ด้วยท่ามกลางเสียงขัดค้านของญาติข้างแม่หลายๆ คน

ตอนนั้นมัชฌิมายังเด็กและหล่อนก็รักบิดามาก หล่อนจึงพยายามปรับตัวให้เข้ากับครอบครัวใหม่ให้ได้ ทั้งที่หล่อนก็ไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมบิดาจะต้องทิ้งหล่อน ทิ้งมารดามาหาครอบครัวใหม่ที่นี่ด้วย ถึงกระนั้นหล่อนก็ไม่เคยเอ่ยปากถาม

หลังจากที่รับเด็กหญิงไปอยู่ด้วยไม่นาน คุณอรพิณ ภรรยาคนใหม่ของบิดาก็มีลูกสาวคนใหม่ให้อีกหนึ่งคน ใครๆ ก็พร่ำสอนหล่อนเสมอว่าให้รักน้อง ดูแลน้อง เสียสละเพื่อน้อง หล่อนจดจำถ้อยคำเหล่านั้นได้ขึ้นใจเสียยิ่งกว่าอะไรในโลก และหล่อนก็พยายามทำตามอย่างไม่เกี่ยงงอนเลยสักนิด โชคดีที่โสภิตาเองก็เป็นเด็กน่ารัก ช่างอ้อน ช่างฉอเลาะเสียจนหล่อนใจอ่อน มัชฌิมากล้าพูดได้เต็มปากเลยว่าหล่อนรักน้องสาวต่างมารดาด้วยใจจริงเลยแท้ๆ

แม้กระทั่งตอนที่ยอมยกแฟนตัวเองให้น้องไป หล่อนก็ยังรักน้องอยู่ !

หล่อนกับอรรณพรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่หล่อนเรียนชั้นปริญญาอยู่ในมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ อันที่จริงมัชฌิมากับอรรณพเรียนอยู่คนละมหาวิทยาลัย แต่มารู้จักกันได้เพราะการแนะนำของปาจารีย์ เพื่อนซี้ของหล่อน หลังจากนั้นทั้งคู่ก็คบหากันฉันเพื่อนเรื่อยมาจนกระทั่งมาตกลงเป็นแฟนกันตอนเรียนปีสุดท้าย
ถึงก่อนหน้ามัชฌิมาจะเคยได้ยินมาหนาหูว่าอรรณพเป็นคนเจ้าชู้ แต่หล่อนก็ไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจเลยสักนิดเพราะคิดว่าเขาคงจะกลับตัวกลับใจได้แล้ว หลายปีที่คบกันมาอรรณพไม่เคยมีอาการอย่างที่ว่าให้หล่อนเห็นเลยสักนิด มีแต่จะคอยดูแล เอาอกเอาใจหล่อนทุกอย่างไปเสียสารพัด

“อย่าไปฟังคนอื่นเลยนะมัช ผมรักมัชคนเดียว มีมัชคนเดียว”

“มัชเป็นคนพิเศษสำหรับผม ผมจะรักมัชตลอดไปนะผมสัญญา... ผมจะไม่มีวันเปลี่ยนใจไปจากมัชเลยจริงๆ ”

แล้วหลังจากนั้นเรื่องราวก็เหมือนหนังน้ำเน่าไม่มีผิด อรรณพเริ่มพาหล่อนไปแนะนำให้ที่บ้านรู้จัก ทีแรกคุณดาราราย มารดาของเขาท่าทางจะไม่ค่อยปลื้มหล่อนเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้ออกโรงขัดขวางแต่อย่างใด เข้าทำนองว่าไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ แต่พอมารู้ตอนหลังว่าหล่อนเป็นลูกสาวของคุณอำนาจและคุณอรพิณ แม่เลี้ยงคนดังแห่งเมืองเชียงใหม่ ทีท่าปั้นปึ่งก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

คุณดารารายเริ่มยินดีต้อนรับหล่อนในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้ คะยั้นคะยอให้หล่อนพาลูกชายไปให้ที่บ้านรู้จัก ซึ่งหล่อนก็ทำตามแต่โดยดี เพราะเห็นว่าคบหากันมานาน ดูใจกันมานานพอสมควรแล้ว หล่อนจึงพาอรรณพไปให้รู้จักกับที่บ้าน ซึ่งทุกคนก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับน้องสาวของหล่อน !

มัชฌิมารู้มาตั้งนานแล้วว่าอรรณพ คู่รักของหล่อนเป็นผู้ชายหน้าตาดี บุคลิกดี แถมยังเป็นคนมีเสน่ห์เพราะช่างเอาใจผู้คนรอบตัวอยู่เสมอ หน้าที่การงานหรือฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาณาจักรของแม่เลี้ยงอรพิณเลย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมารดาเลี้ยงของหล่อนจึงยินดีรับเขาเป็นลูกเขยนัก
ตอนนั้นโสภิตาที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้ายเคยมาพูดเปรยๆ กับหล่อนว่าแฟนของหล่อนน่ารักอย่างนั้น ดีอย่างนี้จนหล่อนได้แต่นึกขำเพราะคิดว่าน้องสาวกำลังปลื้มอรรณพเหมือนอย่างที่ปลื้มดารานักร้องตามประสาวัยรุ่น จนได้มาเห็นทั้งคู่นอนร่วมเตียงเดียวกันนั่นแหละหล่อนถึงรู้ว่าไม่ใช่

คุณอรพิณร้องไห้ฟูมฟายใหญ่โตว่าลูกสาวหล่อนต้องมีคนรับผิดชอบ อรรณพได้แต่นั่งนิ่งยอมรับผิดและไม่พูดอะไรกับหล่อนสักคำ เขาไม่ทำแม้แต่จะยอมสบสายตาเจ็บร้าวของหล่อนเสียด้วยซ้ำ น้องสาวหล่อนก็เอาแต่ร้องไห้ ส่วนบิดาแม้จะวางเฉยแต่ก็เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธ เพียงแต่หล่อนไม่แน่ใจว่าบิดาโกรธใครบ้างเท่านั้น มัชฌิมาเองก็พูดอะไรไม่ออกเลยสักคำ

ถึงแม้ตอนหลังโสภิตาจะมาสารภาพกับบิดามารดาเสียงอ่อยว่าทั้งหมดเป็นแผนของหล่อนเองที่มอมเหล้าชายหนุ่มแล้วแกล้งจัดฉากขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้มีอะไรดีขึ้น มีแต่จะยิ่งทำให้อะไรๆ มันเลวร้ายลงไปเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะความรู้สึกของหล่อน

“ภิตาขอโทษจริงๆ นะ พี่มัช ที่ภิตาทำอย่างนี้ ...แต่ภิตารักเขา”

“ผมขอโทษจริงๆ นะมัช ผมเป็นผู้ชาย ผมต้องรับผิดชอบ”

หลังจากเรื่องวุ่นวายคราวนั้นหล่อนก็เดินออกจากบ้านมาด้วยอาการของคนที่หัวใจแตกสลายเพราะหล่อนเพิ่งได้ตระหนักถึงความจริงว่าที่แท้ก็ไม่มีใครรักหล่อนจริงเลยสักคนเดียว ทุกคนรักแต่น้องสาวของหล่อนเท่านั้น แม้แต่อรรณพเองก็เหมือนกัน ถึงเขาจะอ้างเหตุผลว่าต้องรับผิดชอบ แต่หล่อนก็ไม่โง่ขนาดว่าจะหูหนวกตาบอดว่าเป็นเพราะหัวใจของเขาไม่ได้อยู่ที่หล่อนแล้วต่างหาก ชายหนุ่มถึงได้ยอมจำนนต่อภาระผูกพันนั้นอย่างว่าง่าย

มัชฌิมาใช้เวลาทำใจอยู่นานกว่าจะคิดได้ว่าหล่อนไม่จำเป็นต้องมานั่งเสียน้ำตาเพื่อผู้ชายไร้ค่าคนนั้นเสียหน่อย สู้เอาเวลามาพัฒนาตัวเอง มาดูแลตัวเองเสียยังดีกว่า ช่วงนั้นมัชฌิมาแทบจะได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแม่บทความฮาว ทูมือทองไปเลยด้วยซ้ำ ประมาณว่าสิบวิธีลืมคน (เคย) รัก, อกหักยังไงให้ยิ่งสวย, ทำยังไงให้เขานึกเสียดายคุณแทบขาดใจ หรือเก้าสิบเก้าวิธีทำเพื่อเยาะเย้ยแฟนเก่า หล่อนเคยเขียนลงนิตยสารคอลัมน์ประจำมาหมดแล้ว แล้วก็ได้ผลตอบรับดีเสียด้วย อย่างน้อยๆ ก็ช่วยให้ภาวะจิตตกของหล่อนกลับกระเตื้องขึ้นมาทันตาเห็น

อันที่จริงมัชฌิมาไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่ว่าหน้าตาสะสวยตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ หล่อนเป็นแค่หญิงสาวหน้าตาหมดจดคนหนึ่งเพียงเท่านั้น เสน่ห์ของหล่อนอยู่ที่รอยยิ้มพิมพ์ใจและนิสัยอันโอบอ้อมอารีเสียมากกว่า แต่หลังจากที่อกหักจากอรรณพคราวนั้นแล้วหล่อนก็เปลี่ยนไป

มัชฌิมาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าถ้าผู้ชายยอมยกให้ความสวยของผู้หญิงมีอำนาจ หล่อนก็จะพยายามดึงอำนาจนั้นให้มาตกอยู่ในมือหล่อนให้ได้ ต่อไปไม่ใช่หล่อนแล้วที่จะเป็นฝ่ายถูกเลือก แต่หล่อนจะเป็นคนเลือกแล้วก็เป็นฝ่ายทิ้งผู้ชายที่ไม่ควรค่าแก่หล่อนไปเสียเอง จากหญิงสาวหัวอ่อนที่มีแต่รอยยิ้มจริงใจก็กลายเป็นมัชฌิมาคนใหม่ที่เข้มแข็งขึ้น สวยขึ้น ทำตามใจตน ยึดความต้องการของตนเป็นที่ตั้งมากยิ่งขึ้น ใครจะว่ายังไง คิดยังไงหล่อนไม่สน ถ้าหากสิ่งที่เลือกมันไม่ไปหนักกบาลใครและทำให้หล่อนมีความสุขได้ ทุกวันนี้มัชฌิมาเป็นอย่างนี้จริงๆ

ฝ่ายปาจารีย์ก็เพียรมาขอโทษขอโพยหล่อนซ้ำแล้วซ้ำแล้ว โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่แนะนำหล่อนกับอรรณพให้ได้รู้จักกัน ซึ่งมัชฌิมายังมองไม่เห็นว่าจะเป็นความผิดของเพื่อนหล่อนตรงไหน อาจจะเป็นเพราะความรู้สึกว่าตัวเองผิดมาตั้งแต่หนนั้นด้วยกระมัง ปาจารีย์ถึงได้พยายามแนะนำใครต่อใครมาให้หล่อนเลือกแทนอรรณพเสียอีกหลายต่อหลายราย และคงจะทำอย่างนี้ต่อไปจนกว่ามัชฌิมาจะตัดสินใจเลือกใครสักคนเป็นสามีเข้าจนได้ ทั้งที่หล่อนปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีกว่าไม่เป็นไร เจ้าหล่อนก็ไม่เคยจะเชื่อ

...รักและคิดถึงมัชเสมอ

ดอกไม้ที่อรรณพส่งมาให้หล่อนพร้อมข้อความหวานซึ้งไม่ได้ชวนให้หญิงสาวรู้สึกซาบซึ้งวาบหวามใจขึ้นมาเลยสักนิด มีแต่จะรังเกียจกันเพิ่มขึ้นเสียมากกว่า หล่อนตอกตะปูปิดฝาโลงกับผู้ชายที่ชื่ออรรณพไปนานแล้ว ตอนนี้จึงมีแต่ความสงสัยใคร่รู้เท่านั้นแหละว่าเขาจะมาไม้ไหนกับหล่อนอีก เพราะตั้งแต่ที่ทั้งคู่แต่งงานกันไปเมื่อสามปีก่อนหล่อนก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวอันใดกับครอบครัวของเขาอีก แม้ว่าบางหนบางคราวหล่อนจะเกิดคิดถึงน้องสาวขึ้นมาบ้างก็ตามเถอะ

มัชฌิมาอยากรู้จริงๆ ว่าที่อรรณพทำอย่างนี้ เขาต้องการอะไรจากหล่อน แล้วมัชฌิมาก็ไม่ต้องรอนานเลยสักนิดสำหรับคำตอบของคำถามนี้ !

♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥♥

สิบเอ็ดโมงพอดีตอนที่มัชฌิมาลงมาหากาแฟแก้วโตกินแก้ง่วงที่คอฟฟี่ ช้อปด้านล่าง ระหว่างที่หล่อนกำลังละเลียดฟองครีมของกาแฟสดที่ปั่นจนละเอียดราดด้วยไซรัปและวิปปิ้ง ครีมหนานุ่มด้วยความเพลิดเพลินใจอยู่นั้น พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังก้าวยาวๆ เข้ามาภายในตัวอาคารสำนักงานแห่งนี้ หัวใจหล่อนกระตุกเหมือนรถที่เข้าเกียร์ผิดจังหวะก่อนจะกลับเป็นปกติ

หล่อนยังจำผู้ชายคนนั้นได้ดีแม้ว่าจะไม่อยากใส่ใจจดจำเลยสักนิด ไม่ปรากฏร่องรอยความดีใจใดๆ ทั้งสิ้นที่หล่อนบังเอิญได้เจอเพื่อนเก่าของตัวเองอีกครั้ง มัชฌิมามีเพียงคำถามในใจว่าอรรณพมาทำอะไรที่นี่ !
อาจเป็นไปได้ว่าในขณะที่หล่อนกำลังครุ่นคิดถึงเหตุจูงใจที่ชักพาให้อรรณพมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ เป็นตัวการที่ทำให้กระแสจิตของหล่อนรุนแรงมากเสียจนไปดึงความสนใจของคนถูกมองให้รู้ตัวและหันมาเห็นหล่อนเข้าจนได้ ทำเอามัชฌิมาหันหน้าหลบตาหนีแทบไม่ทันเลยทีเดียว

มัชฌิมาช้าไปเสียแล้ว ทันทีที่อรรณพเห็นหล่อนเข้าเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความยินดีอย่างที่สุดที่ตัวเองสามารถหาหล่อนเจอได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะนี่คือชะตาลิขิตของเขากับหล่อนก็ได้ ใครจะไปรู้... ชายหนุ่มบอกกับตัวเองก่อนจะเดินตรงรี่เข้าไปหาหญิงสาวที่เขาตั้งใจจะมาพบในวันนี้

“สวัสดี มัช ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอมัชง่ายขนาดนี้ โชคดีของผมจริงๆ เลย” อรรณพเริ่มต้นทักทายหญิงสาวอย่างไม่เคอะเขิน เขาทำตัวสนิทสนมคุ้นเคยราวกับว่าเวลาสามปีที่ผ่านมาทั้งคู่รักกันดีอยู่ก็ปานนั้น

“สวัสดีค่ะ อรรณพ” เจ้าหล่อนทักเขากลับอย่างเสียไม่ได้ ทั้งน้ำเสียงและแววตาบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าหล่อนไม่ได้อยากร่วมเสวนาด้วย

“ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยฮะ” ชายหนุ่มถามพลางเลื่อนเก้าอี้ออกนั่งโดยไม่รอคำตอบ มัชฌิมาเงยหน้ามองด้วยความขุ่นใจนิดหนึ่ง

“ตามสบายเถอะ เดี๋ยวฉันก็จะไปแล้ว”

“ทำไมถึงรีบร้อนนักล่ะฮะ เราไม่ได้คุยกันมาตั้งนานแล้วนะมัช อยู่คุยกับผมก่อนนะฮะ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับมัชเยอะแยะเลย”

มัชฌิมามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาประเมินค้นคว้า หล่อนไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมอรรณพจึงยังสามารถนั่งลงพูดจาออดอ้อนอ่อนหวานเช่นนี้กับหล่อนได้อีก เขาทำราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อสามปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ หรือไม่อีกทีก็คงเป็นเพราะอรรณพไม่เคยรับรู้เลยกระมังว่าความโลเล ไม่หนักแน่นของเขาทำให้หล่อนเจ็บปวดใจมามากเท่าใดแล้ว

“คงไม่ได้หรอกค่ะ ฉันมีงานต้องทำ ไม่ได้อยู่ว่างๆ เชิญคุณตามสบายก็แล้วกัน” หญิงสาวบอกพร้อมกับจะลุกออกจากที่นั่ง

“เดี๋ยวเพิ่งไปสิฮะ มัช” อรรณพเหนี่ยวรั้งข้อมือบางไว้ก่อนจะบอก มัชฌิมามองมือหนาที่ยึดข้อมือของหล่อนไว้โดยอัตโนมัติก่อนจะใช้สายตาแทนคำบังคับให้เขาปล่อย

“ผมอุตส่าห์ลงจากเชียงใหม่มาหามัชโดยเฉพาะเลยนะฮะ มัชจะสละเวลาคุยกับผมสักนิดไม่ได้เลยเชียวเหรอ” ชายหนุ่มทั้งตัดพ้อและออดอ้อนอยู่ในที มัชฌิมาหยุดชั่งใจอยู่ชั่วขณะก่อนจะทรุดตัวนั่งลงตามเดิม ซึ่งช่วยเรียกรอยยิ้มยินดีจากคนตรงหน้าได้ชะงัดนัก

“คุณพูดธุระของคุณมาเลยค่ะ ฉันมีเวลารับฟังได้แค่ห้านาทีเท่านั้น”

หล่อนบอกพร้อมกอดอกเตรียมตัวฟังอย่างตั้งใจเต็มที่ ที่หล่อนยอมเสียเวลาให้กับอรรณพอีกครั้งก็เป็นเพราะหล่อนอยากรู้ว่าอรรณพจะมาไม้ไหนกับหล่อนอีกเท่านั้นล่ะ

“มัช... ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี แต่ผมอยากจะขอโทษมัชจริงๆ นะฮะสำหรับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ผมอยากจะบอกกับมัชเหลือเกินว่าตลอดเวลาสามปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยลืมมัชได้เลย”

“ผมเสียใจมาตลอดสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เสียใจที่คิดรับผิดชอบอะไรโง่ๆ ในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำจนทำให้ผมต้องสูญเสียมัชไป...”

“ผมรู้ตัวว่าผมผิดต่อมัช ผิดที่ทำให้มัชเสียใจ แต่มัชเชื่อมั้ยฮะว่าผมเองก็เสียใจมาตลอดเลยเหมือนกัน ผมเสียใจไม่น้อยกว่าที่มัชรู้สึกเลยนะฮะ”

“...มัชพอจะยกโทษให้ผมได้มั้ยฮะ ยกโทษให้กับความผิดพลาดที่ผ่านมาที่ผมตัดสินใจอะไรโง่ๆ อย่างนั้น”

มัชฌิมานั่งนิ่งฟังน้ำคำที่พรั่งพรูอันอาบด้วยแววตาหวานเชื่อมปนหม่นเศร้าในบางครั้งของชายหนุ่มตรงหน้าด้วยอาการที่เรียกว่าแทบจะไม่อยากเชื่อหู หล่อนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอรรณพจะหน้าด้านมากขนาดที่จะกล่าวถ้อยคำทั้งหมดต่อหล่อนได้ลื่นไหลขนาดนี้ ชายหนุ่มพูดอย่างกับว่าที่ผ่านมาเขาคือฝ่ายที่แบกความทุกข์ระทมใจหนักหนามาตลอดอย่างนั้นแหละ แล้วนี่เขาเอาโสภิตา น้องสาวหล่อนไปเก็บไว้ตรงไหนกันแน่

โอย...หล่อนไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าไม่ได้เจอกันมาแค่สามปี อรรณพจะเป็นผู้ชายหน้าด้านไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้ ! เป็นบุญของหล่อนแล้วที่รอดพ้นมาได้

“แล้วภิตาล่ะคะ ไม่เห็นคุณพูดถึง ฉันนึกว่ามาด้วยกันเสียอีก” มัชฌิมาอุตส่าห์ข่มความโกรธถามออกไป ทั้งที่ใจจริงคันปากอยากจะด่าเรียกสติให้เขาได้สำนึกจนเต็มแก่

“ภิตาเขาก็อยู่ส่วนของเขาสิฮะ ผมกับเขาคงจะหย่าขาดกันเร็วๆ นี้”

“ทำไมคะ” มัชฌิมาถามออกไปทันควัน ยอมรับว่าหล่อนตกใจจริงๆ กับข่าวที่เพิ่งได้รับรู้ หล่อนคาดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าเรื่องราวมันจะมาถึงขั้นนี้ ชายหนุ่มแค่นยิ้มออกมาก่อนจะตอบ

“ผมกับเขาเพิ่งค้นพบตัวเองครับว่าเราไปด้วยกันไม่ได้เลยสักนิด ตลอดเวลาที่อดทนอยู่ด้วยกันมาเราต่างก็ฝืนใจทนกันมาตลอด จนมาถึงวันนี้นี่แหละฮะที่ผมบอกกับตัวเองว่าคงจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว... เราเข้ากันไม่ได้เลยจริงๆ ”

มัชฌิมายอมรับว่าตัวเองถึงกับอึ้งไปพักใหญ่ หล่อนไม่คิดมาก่อนว่าสถานการณ์ครอบครัวของน้องสาวหล่อนจะสั่นคลอนจนถึงจุดแตกหัก อันที่จริงหล่อนก็ไม่เคยทราบความเคลื่อนไหวหรือสารทุกข์สุขดิบใดๆ จากครอบครัวที่เชียงใหม่มานานแล้ว นานประมาณสามปีเลยทีเดียวล่ะ ที่ผ่านมาหล่อนได้แต่คิดเอาว่าครอบครัวของหล่อนทางนั้นคงจะอยู่สุขสบายดีเสียจนหล่อนไม่จำเป็นต้องกลับไปใส่ใจอีกก็ได้ แค่ขาดหล่อนไปเสียคนพวกเขาก็อยู่กันได้สบายอยู่แล้ว แต่นี่อรรณพ ผู้มีศักดิ์เป็นน้องเขยของหล่อนกำลังมาบอก
ว่าจะหย่าจากน้องสาวหล่อนแล้วเนี่ยนะ !

“แล้วยัยภิตาก็จะหย่ากับคุณ อย่างนั้นเหรอคะ” ด้วยความตกใจหล่อนจึงยอมญาติดีกับชายหนุ่มไปชั่วคราวก่อน ยังไงเรื่องของน้องสาวหล่อนก็ย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้ว

“ใช่ฮะ ...เดี๋ยวเขาก็คงส่งหนังสือหย่ามาให้ผมแล้ว” อรรณพบอกพลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหน้าราวกับว่านี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาเหนื่อยล้านัก

“เป็นไปได้ยังไงคะ มัชนึกไม่ถึงเลยจริงๆ ” หล่อนครางออกมาด้วยความลืมตัวก่อนจะนึกขึ้นได้

“เอาเถอะค่ะ ถึงยังไงฉันก็คงต้องขอตัวก่อน ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์บอกให้ทราบ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไปจากร้านกาแฟแห่งนั้นแล้ว

“เดี๋ยวก่อนสิฮะ มัชยังไม่บอกผมเลยว่าจะยอมยกโทษให้ผม...สักครั้งได้หรือเปล่า” อรรณพเหนี่ยวรั้งหล่อนไว้ด้วยวาจาก่อนจะทวงถาม

“ฉันไม่มีโทษมีบาปอะไรจะยกให้คุณหรอกค่ะอรรณพ เราต่างหมดภาระต่อกันนานแล้ว”

“โชคดีนะคะ”

บอกเพียงเท่านี้ มัชฌิมาก็หันหลังเดินจากมาโดยไม่คิดจะเหลียวหลังกลับไปมองผู้ชายคนหนึ่งซึ่งหล่อนเคยรักเสียนักหนาอีกเลยแม้เพียงชั่ววินาทีเดียว หล่อนจึงไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่าอรรณพมองตามแผ่นหลังของหล่อนมาด้วยสายตาเจ็บร้าวและอาลัยอาวรณ์มากแค่ไหน



ณนวล
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2555, 22:39:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2555, 22:39:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1257





<< ♥ บทที่ 10    ♥ บทที่ 12 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account