เพรงนาง
หนึ่ง...ให้ความตายปลดปล่อยพันธนาการที่เจ็บปวด
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
อีกหนึ่ง...ให้ความตายพันธนาการตนเอง
...เพื่อที่จะกลับมา เป็นตัวเชื่อมให้เธอและเขา กลับมา "รัก" กันอีกครั้ง
Tags: พีเรียด
ตอน: ตอนที่ ๑๔ นางในฝัน
ตอนที่ ๑๔
“โอ๊ย...”
จันทร์เจ้าร้องลั่น ยกมือขึ้นกุมตรงตำแหน่งของหัวใจ ปานว่าความรวดร้าวเหล่านั้นจะกระหน่ำสาดซัดให้เธอเจ็บปวดเหลือแสน หยาดน้ำตาหลั่งริน เสียงสะอื้นไห้ร่ำร้องคร่ำครวญยังดังต่อเนื่อง ก่อนร่างบางนั้นจะซุกซบลงไปกับพื้นโต๊ะ
“หนูจันทร์...หนูจันทร์เป็นอะไร”
หญิงชราตกใจต่อการที่ต้องเห็นสภาพของหญิงสาว นางเอื้อมมือไปเขย่าปลุกเรียกหญิงสาวด้วยหน้าตาตื่น
“หนูจันทร์...หนูจันทร์ เกิดอะไรขึ้น”
เขย่าเรียกอยู่ตั้งนาน หากก็ยังไม่เป็นผล นางบัวคำล้วงเอายาดมมาจ่อที่จมูกของหญิงสาว ตั้งใจว่าหากวิธีนี้ไม่ได้ผล จะโทรเรียกนางเพ็ญและรถพยาบาลเพื่อจะพาหญิงสาวไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล
มันเกิดอะไรขึ้น พอนางเล่าเรื่องนี้จบลงจันทร์เจ้าก็ร้องลั่นและซบหน้าลงกับพื้น ยังเห็นชัดๆ ว่ากรอบหน้าสวยมีหยาดน้ำตาคลอรื้น บางส่วนไหลลงอาบสองแก้ม
สายลมเย็นพัดวูบเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง กลิ่นหอมของดอกไม้หอมลอยโชยเข้ามา เสียงทอดถอนใจของจันทร์เจ้าดังให้ได้ยินอย่างเด่นชัด ก่อนร่างนั้นจะขยับ แล้วเงยหน้าขึ้นมาในที่สุด
“หนูจันทร์...ย่าตกใจหมด นึกว่าหนูเป็นอะไรไปเสียแล้ว”
“เอ่อ...หนูเป็นอะไรคะ”
หญิงสาวคลี่ยิ้มบางเรียวปากซีดเซียว นึกงง ที่จู่ๆ ตนเองก็ร้องลั่นและวูบไป หยาดเหงื่อเกาะพราวบนหน้าผากมน ซึ่งนางบัวคำค่อยๆ เอามืออันเหี่ยวย่นนั้นไปลูบอย่างอ่อนโยน
“หนูจันทร์ร้องลั่นแล้วก็ซบหน้าลงกับพื้น ย่าตกอกตกใจหมดเลย ดีที่หนูฟื้นมาเสียก่อน ย่าว่าจะโทรเรียกแม่เพ็ญและรถพยาบาลแล้ว”
หญิงสาวยกมือขึ้นลูบที่กรอบหน้าของตนเองซึ่งเย็นวูบ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ เธอก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอก แล้วจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีก กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ย่าบัวคำเอายาดมมาจ่อจมูกนั่นแหละ
“จันทร์ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็วูบไป”
“เฮ้อ...เด็กสมัยนี้นับวันจะมีโรคแทรกซ้อน ย่าว่าหนูไปตรวจสุขภาพบ้างก็ดีนะ เกิดเป็นอะไรปุบปับมาแบบนี้ จะได้รู้และช่วยกันแก้ไขได้ทัน”
“จันทร์ไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะ” เธอยกแก้วน้ำเย็นขึ้นดื่ม
“อาจจะเพราะเรายังไม่ได้กินข้าวก็ได้นะคะ ถึงได้วูบไป”
“อืม...จริงๆ ด้วยเล่าตั้งแต่เช้า ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน ย่าว่าเรามากินข้าวกันเถอะ”
หญิงชราเอ่ยชวน จันทร์เจ้าจึงอาสาเข้าไปในครัวเพื่อจะเอาพวกจานชามมาถ่ายเปลี่ยนแกงและน้ำพริกในปิ่นโต โดยมีข้าวเหนียวเป็นตัวช่วยจิ้มกินอย่างเอร็ดอร่อย
หลังทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว สีหน้าของจันทร์เจ้าจึงค่อยดีขึ้น เธอมองหน้าหญิงชราก่อนจะเอ่ยถามขึ้นในที่สุด
“น่าสงสารชีวิตของเจ้าจันทร์งามจริงๆ นะคะ ทำไมฟ้าท่านถึงได้ทำร้ายกันแบบนี้นะ”
รู้สึกเจ็บปวดไปจนถึงหัวใจในยามที่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นางบัวคำคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด
“มันอยู่ที่บุญพาวาสนาสร้างน่ะหนู ฟ้าท่านได้ลิขิตให้ชีวิตของแต่ละคนเป็นแบบไหน ชีวิตของคนนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้น เจ้าจันทร์งามชีวิตท่านถูกกำหนดให้มาเจ็บปวด ผลท้ายที่สุดก็สิ้นสุดลงที่ความตาย นั่นล่ะสัจจะธรรมแห่งชีวิตมนุษย์เราน่ะ”
“เจ้าจันทร์งามตาย แล้วเจ้าน้อยภูมินทร์ล่ะคะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ยังจะเจ้าแสนเมืองอีกล่ะคะ ตอนนั้นเขาเป็นอย่างไรบ้าง แล้วนางมะปิงและนางคำแปงล่ะคะทั้งสองได้กลับวรนครหรือเปล่าคะ”
“นางมะปิงและนางคำแปงก็เดินทางกลับวรนคร โดยมีแต่เพียงผ้าโพกหัวและดอกไม้ไหวของเจ้านางจันทร์งามกลับไปให้เจ้าพ่อกับเจ้าแม่ดูต่างหน้าเท่านั้น…ส่วนเจ้าน้อยภูมินทร์น่ะหรือ ภายหลังจากนั้นท่านได้กลับมาบวชที่วัดเชียงหมิ่นในวรนครนะ หลังจากที่ได้ทราบข่าวการตายจากของเจ้าจันทร์งาม เจ้าเปิ้นก็บวชให้กับเจ้านางเพื่อเป็นอานิสงส์ให้กับเจ้านาง ส่วนเจ้าแสนเมืองนั้นคนเฒ่าคนแก่ท่านไม่ได้บอกเอาไว้ว่าตั้งแต่นั้นเจ้าเปิ้นเป็นอย่างไรบ้าง”
จันทร์เจ้าทอดถอนใจ นึกถึงสัจจะธรรมแห่งความเป็นจริง สุดท้ายต่างคนก็ต้องจากกัน ชีวิตคนเราเวียนว่ายอยู่กับสิ่งนี้ไม่รู้จักจบสิ้นกันเสียจริงๆ
“คุณย่าคะ ตอนนี้วัดเชียงหมิ่นยังอยู่ที่วรนครหรือที่ปัวอยู่ใช่ไหมคะ”
“อยู่น่ะยังอยู่ เพราะวัดน่ะอยู่ที่นั่นตั้งแต่นานนมแล้ว เพียงแต่ว่าเวลาที่ผ่านไปย่อมจะทำให้สิ่งนั้นคงกลับสภาพคงเดิมน่ะแหละ”
“หมายความว่า...”
“ใช่แล้วล่ะหนูจันทร์ บัดนี้วัดเชียงหมิ่นได้กลับกลายเป็นวัดร้างไปเสียแล้วล่ะ”
ความเศร้าที่จุกแน่นอยู่ในอก พลันแล่นปราดไปทั่วร่างกายอีกครั้งหนึ่ง ด้วยระยะเวลาที่ผ่านไป จะทำให้สภาพวัดกลับกลายเป็นวัดร้างไปจริงๆ หรือ
คิดแล้วก็เศร้าใจนัก วัดที่ซึ่งเจ้าจันทร์งามอุปถัมภ์กลับต้องร้างราไปกับระยะเวลาเสียกระนั้น
“ว้าว...นางในฝัน”
สิชลอุทานขึ้นในเย็นของวันนั้น หลังจากได้เห็นภาพวาดของภูริตซึ่งเสมือนจริงที่เพื่อนของเขาอุตส่าห์เบี้ยวงานไปหนึ่งวัน เพื่อที่จะวาดนางผู้นี้ออกมา
“ดูๆ แล้วเหมือนคนโบราณเลยนะแก คิดยังไงถึงได้วาดเธอให้อยู่ในชุดแบบนี้นี่”
“ไม่รู้ว่ะ ฉันฝันเห็นแบบนี้ ก็วาดแบบนี้”
เขาบอกไปตามความรู้สึก สิ่งหนึ่งบอกเช่นนั้นและเขาก็วาดออกมาเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“แต่ก็สวยดีนะเว้ยเพื่อน...สวยมากๆ ด้วย เสียอยู่อย่างเดียวนัยตาเธอเศร้าไปหน่อย” สิชลอดจะพูดประโยคนั้นตามความเข้าใจไม่ได้
“แล้วนายตั้งชื่อหรือยังว่าเธอชื่ออะไร หมายถึงในฝันของนายน่ะเธอผู้นี้ชื่ออะไรหรือ”
“เจ้าจันทร์งาม ตามความคิดและความรู้สึกบอกฉันแบบนั้นนะ”
“อย่าบอกนะว่านางในฝันของนายคือเจ้าจันทร์งาม เจ้านางผู้นิราศร้างจากเวียงวรนครไปชั่วนิจนิรันดร์”
สิชลเอ่ยขึ้นอย่างนึกทึ่งต่อสิ่งที่เพื่อนหนุ่มของเขาบอก ก่อนจะมาที่นี่ ภูริตได้เคยเล่าถึงนิทานพื้นบ้านเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับประวัติวัดเชียงหมิ่น ว่าผู้ที่อุปถัมภ์ค้ำชูวัดแห่งนี้คือเจ้านางจันทร์งาม ราชธิดาองค์สุดท้องของเจ้าคำผาเมือง พ่อเมืองวรนคร ผู้ที่ต้องนิราศร้างจากบ้านเมืองไปยังเมืองม่านรามัญ
“และก็อย่าบอกนะว่าเจ้านางผู้นี้คือเจ้านางคนเดียวกับที่นายเคยบอกว่าเคยไปเสี่ยงทายลูบผาลั่นจันทร์เสี้ยวที่เชียงรายซึ่งเราเคยไปเมื่อปีก่อน”
“ใช่...” ภูริตพยักหน้าและตอบเสียงเรียบ
“โอ...แม่เจ้าเว้ย ไปเที่ยวสองที่ พ่อคุณเล่นผนวชเอานางที่ปรากฏในสถานที่เหล่านั้นมาเป็นนางในฝันของตนเอง” สิชลเอ่ยอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่เพื่อนหนุ่มบอกสักเท่าไร
“แต่จริงๆ นะชล ในความรู้สึกของฉันบอกว่าแม่หญิงนางนี้คือเจ้าจันทร์งาม”
ภาพนั้นยังเด่นชัด ดวงตาอมเศร้า กับกรอบหน้ากลมมนน่ารัก รองรับกับผ้าโพกศีรษะสีชมพูงามระเรื่อ ระบายให้กรอบหน้าสวยนั้นเด่นชัดมากยิ่งขึ้นทั้งยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจของเขาตลอดเวลา
“เออๆ เชื่อก็ได้...แต่เอ้ ถ้าหากว่าเธอผู้นี้มีชีวิตจริงๆ แล้วนายไปเจอกับเขา นายจะจำได้ไหมวะ”
“ฉันจะต้องจำได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น ความรู้สึกอาจจะบอกว่าคนนี้แหละใช่เลย”
“อะ...พูดอย่างกับนิยาย ขอให้เจอก่อนเถอะเพื่อน”
สิชลเอ่ยแซว ก่อนจะเดินออกจากห้องแห่งนั้นไปในที่สุด ปล่อยให้เจ้าเพื่อนนักจินตนาการมองดูภาพวาดผลงานของตนเองต่อไป
หลายวันผ่านไป งานวิจัยของภูริตและสิชลก็เริ่มจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ทั้งสองได้ข้อมูลของวัดเชียงหมิ่นจากวัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ในประวัติบอกว่าวัดเชียงหมิ่นกับวัดพญาพรหม เป็นวัดที่สร้างขึ้นพร้อมกัน เป็นวัดแฝดที่เจ้าผู้ครองวรนครโปรดสั่งให้สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา มีพระมหาสมณะเจ้า ครูบาบุญเลิศผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดพญาพรหมองค์ปัจจุบันให้ข้อมูลกับทั้งสองหนุ่ม
“วัดพญาพรหมเปรียบดั่งวัดพี่ ส่วนวัดเชียงหมิ่นเป็นวัดน้อง” ท่านครูบาวัยชราเอ่ยเสริมในตอนท้าย
“ผมรู้มาว่าสืบต่อมาจากนั้น ผู้ที่อุปภัมถ์วัดเชียงหมิ่นคือเจ้านางจันทร์งามใช่ไหมครับ” ภูริตยกมือขึ้นพนมขณะที่ถาม
“ใช่แล้วล่ะโยม...วัดพญาพรหม ในสมัยนั้นมีเจ้านางเกี๋ยงคำเป็นผู้อุปถัมภ์ ส่วนวัดเชียงหมิ่นที่ร้างไปนั้น มีเจ้าจันทร์งามเป็นผู้อุปถัมภ์ ส่วนวัดวังต๋าว ที่อยู่ห่างออกไปนอกเมือง มีเจ้าอ้ายของเจ้านางทั้งสองเป็นโยมอุปถัมภ์ ทั้งสามวัดเป็นวัดหลวงของวรนครในเวลาต่อมา”
ท่านเล่าประวัติให้อย่างคร่าวๆ ก่อนจะส่งยื่นสมุดบันทึกเล่มเล็กเล่มหนึ่งให้กับชายหนุ่ม แล้วพูด
“นี่คือประวัติของวัดพญาพรหมทั้งหมด ซึ่งข้อมูลบางส่วนก็มีข้อมูลของวัดเชียงหมิ่นร่วมอยู่ด้วย อาตมาได้คัดลอกมาจากคัมภีร์ใบลาน โยมคัดลอกเอาไปศึกษาสิ อาตมาไม่หวงหรอกเพราะนับวันมีผู้สืบทอดสืบสานน้อยเหลือเกิน โยมทำงานวิจัยเรื่องนี้ก็ดีเหมือนกัน หากว่าคนรุ่นต่อไปสนใจ เขาจะได้ไม่ต้องลำบากในการหาข้อมูลอีก”
“ขอบพระคุณมากๆ ครับ”
ชายหนุ่มรับสมุดเล่มนั้นมาถือไว้ ก่อนจะขออนุญาตนำไปถ่ายเอกสาร แล้วกลับเอามาคืนพระครูอีกครั้ง ก่อนจะพากันออกมาจากวัดแห่งนั้น
“ได้ข้อมูลมาเพียบเลยเพื่อน อย่างนี้ฉันว่าน่าจะเพียงพอแล้วนะ”
“ใช่...เดี๋ยวเอาไปเรียบเรียงใหม่ทั้งหมด หาข้อผิดพลาดและแก้ไขให้สมบูรณ์ เท่านี้แหละงานของเราก็เสร็จสิ้น”
ภูริตคลี่ยิ้มอย่างยินดี ทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างเปี่ยมสุขกับการที่ได้ทำงานชิ้นนี้
“เธอคิดยังไงถึงได้พาฉันมาเที่ยวที่ปัวเนี่ย” แวววรรณบ่นอุบกับการที่ถูกเพื่อนสาวลากมาเที่ยวยังอำเภอปัวแห่งนี้
“เถอะน่า ถือว่ามาเปิดหูเปิดตา”
จันทร์เจ้าต้องหูชากับคำบ่นของเหล่าเพื่อนๆ ตลอดทางของการเดินทางมาที่นี่ หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนโยนในยามที่เอ่ยบอกแก้ตัว
“แล้วทำไมจะต้องมาที่วัดด้วย” ตาลแก้วทำหน้ายู่กับวัด เธอไม่ค่อยชอบเสียเท่าไรนัก
“น่านะ...มาเที่ยวทั้งทีก็มาทำบุญสิพวกเธอ จะบ่นไปทำไม” จักจั่นช่วยเสริม กับการมาวัด เธอชอบนัก
“มันก็สมกับเธอแล้วนี่จั่น แม่นักบุญ”
“ยะ...”
หลังถูกแม่เพื่อนสาวกระหน่ำมาที่ตน จักจั่นจึงทำหน้าทะเล้น แล้วหันมาจูงแขนเพื่อนสาวให้เดินนำเข้าไปในวัดแทน
“เธอมาตามหาวัดเชียงหมิ่น แล้วทำไมจะต้องมาที่วัดพญาพรหมด้วยหึ...จันทร์เจ้า” เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ตาลแก้วเอ่ยถามเพื่อน
เมื่อหลายวันก่อนจันทร์เจ้ามาปรึกษากับพวกเธอ ว่าอยากจะตามรอยของเจ้าจันทร์งามและตามหาวัดเชียงหมิ่น แต่ผลปรากฏว่าพวกเธอไม่รู้จักสถานที่แห่งนั้น ที่รู้ๆ ก็แค่ว่าวัดแห่งนั้นร้างไปนานแล้วเท่านั้น
“ไม่รู้จะมาหาทำไม วัดร้าง” แวววรรณมิวายบ่นอีกครั้ง
“ก็ฉันได้ข้อมูลมาว่าวัดเชียงหมิ่นเป็นวัดพี่วัดน้องกับวัดพญาพรหมนี่ มาหาข้อมูลที่นี่บางทีอาจจะได้ที่ตั้งของวัดก็ได้”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ มาเที่ยวแค่วันเดียวกะว่าจะให้คุ้มเลยหรือยังไงแม่คู้น” ตาลแก้วทำหน้ายู่ เอ่ยแซวเพื่อนสาวไม่หยุด
“ต้องได้แน่ ฉันมั่นใจนานะพวกเธอ ถือว่ามาเที่ยวพักผ่อน”
“พักผ่อนที่ไหนเล่า ถูกเธอลากมาแบบนี้เค้าถือว่าทารุณกันต่างหาก”
พูดไปก็บ่นไป จันทร์เจ้าคลี่ยิ้มแม้ว่าแม่พวกนี้จะบ่นมากเท่าไร แต่ก็บ่นเพียงแต่ปากนั่นแหละ แท้จริงแล้วน้ำใจของเหล่าเพื่อนๆ นั้นมีมากอยู่แล้ว
“พอเถอะๆ เราเข้าไปในวัดกันเถอะนะ” จันทร์เจ้าเอ่ยชวน ก่อนจะเดินนำเหล่าเพื่อนสาวเข้าไปในวัด
ทว่าในเวลานั้น....
สายลมพัดวูบเข้าปะทะหน้า ลมเย็นที่พัดเข้ามานั้นได้หอบเอาอะไรบางอย่างให้ลงมาตกอยู่ตรงหน้าของจันทร์เจ้า หญิงสาวก้มลงมองสิ่งนั้นก็เห็นว่าเป็นแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่ง เธอค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู ก่อนจะรู้สึกชาวาบไปทั่วร่างกาย กรอบหน้าสวยร้อนผ่าว
“อะ...”
พูดได้แค่นั้นจริงๆ หัวสมองก็หมุนติ้ว พลันได้ยินเสียงหนึ่งที่ดังขอโทษมาแต่ไกล
“ขอโทษนะครับ นั่นกระดาษของผมเอง”
เสียงทุ้มคุ้นหูดังตามมาจันทร์เจ้าได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน หากแต่ก็ยังไม่ตะลึงเท่ากับภาพในมือที่เธอเห็น
นี่มันเธอนี่...อะ ไม่ใช่สิ นี่มันภาพวาดของเจ้าจันทร์งามนี่ เป็นไปได้อย่างไรกัน
“เกิดอะไรขึ้นจันทร์เจ้า”
ตาลแก้วเข้ามาสะกิด แล้วชะโงกหน้าเข้ามาดูแผ่นกระดาษในมือของเพื่อนสาวแล้วต้องตะลึงไปอีกคน
“อ่ะ นี่มันภาพเธอนี่เธอไปให้ใครวาดภาพตอนใส่ชุดโบราณนี่ตั้งแต่ตอนไหน”
เสียงพูดของตาลแก้ว ในเวลานั้นจึงทำให้เหล่าเพื่อนๆ อีกสองคนตามเข้ามาดู แล้วก็ต้องตะลึงไป ตามๆ กัน
“ขอโทษครับ นั่นมันเป็นภาพวาดของผมเอง ขอคืนด้วยครับ”
ภูริตวิ่งมาถึงตรงกลุ่มของหญิงสาวที่ช่วยเก็บกระดาษแผ่นนั้นของเขาขึ้นมาดู มันหลุดแล้วปลิวมาตาม ลมพัดตอนที่เขากำลังจะเอาเอกสารซึ่งเพิ่งได้มาสอดลงไปในแฟ้ม ส่วนภาพนี้ก็ได้หลุดตกลงพื้นไป
“เจ้าน้อยภูมินทร์” จันทร์เจ้าจำได้ว่าตนเองได้เอ่ยคำนั้นออกไป ในยามที่เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของภาพที่วิ่งมาถึง
“จะ...เจ้านาง”
ภูริตก็ตะลึงไม่แพ้กัน ในยามที่หญิงสาวตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมามองเขา ความรู้สึกอุ่นซ่านและคุ้นเคยแผ่กระทบหัวใจของทั้งสองหนุ่มสาว ไม่คิดว่าตนจะได้เจอกับอีกฝ่ายในเวลานี้
จันทร์เจ้าหลบตาของชายหนุ่มวูบ เมื่อรับรู้สึกความคุ้นเคยบางอย่างซึ่งแล่นเข้ามา เธอเห็นมาตลอดว่าเจ้าน้อยภูมินทร์นั้นมีใบหน้าอย่างไรและชายผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับใบหน้าที่เธอหลงรักอย่างกับแกะมาในพิมพ์เดียวกัน
“เอ่อ...ขอภาพของผมคืนด้วยครับ”
ภูริตเอ่ยขึ้น หลังจากที่พอจะทุเลาอาการตะลึงตะลานไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยคิดว่าตนจะได้เจอกับผู้ที่มีใบหน้าที่เหมือนกับนางในฝันในเวลานี้เช่นกัน
“ขะ...ขอโทษค่ะ” จันทร์เจ้าเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
“ของคุณหรือคะ” ตาลแก้วคลี่ยิ้ม แล้วถามชายหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงมนตรงหน้าที่จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกชะตาอย่างไรชอบกล
“เอ่อ...ครับ ผมเป็นคนวาดเอง”
“วาดได้เหมือนเพื่อนของฉันจริงๆ นะคะ วาดอย่างกับคนเคยพบกันมาก่อน”
“เอ่อ ขอบคุณครับ”
“แต่ฉันยืนยันว่าไม่ได้เจอคุณมาก่อน ขอบคุณนะคะที่วาดภาพนี้ได้สวย”
“มันก็ไม่แน่นักหรอกครับ บางทีเราอาจจะเคยเจอกันมาก่อนก็ได้...อาจจะในฝัน หรือว่าชาติที่แล้ว”
จันทร์เจ้ารู้สึกขนลุกซู่ ในยามที่ได้ยินประโยคนั้นจากเขา แม้จะนึกโกรธหากความรู้สึกบางอย่างบอกว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“เกิดอะไรขึ้นวะ ภู”
สิชลซึ่งยืนรออยู่ที่รถ เห็นว่าเพื่อนออกมานานผิดปกติจึงรีบตามมา ก่อนจะตะลึงกับกลุ่มผู้หญิงตรงหน้า ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับภาพวาดของภูริตอย่างกับเป็นต้นแบบอย่างไรอย่างนั้น
“อุแม่เจ้า...นางในฝันของนายภู”
“เอ่อ...”
ภูริตพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าหล่อคมเข้มขึ้นมาในทันทีที่ถูกแซวเช่นนั้นและนั่นก็คงจะไม่ต่างไปจากผู้หญิงอีกคนซึ่งเป็นประเด็นในตอนนี้มากนัก
“นางในฝัน...” จันทร์เจ้าเบิกตาขึ้น เช่นเดียวกับเหล่าสาวๆ อีกหลายคนที่มีสีหน้าไม่ต่างกัน
“หมายความว่าอย่างไรคะ” ตาลแก้วเอ่ยแทรกขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอกครับ...ว่าแต่พวกคุณสาวๆ มาเที่ยวกันหรือครับ เจ้าเพื่อนผมไปทำอะไรพวกคุณหรือเปล่า เอาเป็นว่าเพื่อเป็นการไถ่โทษผมและเพื่อนของผมยินดีพาพวกคุณๆ ไปทานข้าวเที่ยงกันสักมื้อจะได้ไหมครับ นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว”
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขอบคุณค่ะ”
แวววรรณเอ่ยแทรกขึ้นมาในที่สุด กรอบหน้าสวยเริ่มเข้มขึ้นกับการจ้องมองหน้าแบบสื่อสัมพันธ์บางอย่างของชายหนุ่มที่เพิ่งเดินทางมาถึง
“นี่ค่ะ ภาพของคุณ”
จันทร์เจ้าส่งภาพนั้นคืนให้กับชายหนุ่ม...ผู้ที่ซึ่งหัวใจของเธอปรารถนาจะพบเจอกันอีกสักครั้ง
“ครับ...ขอบคุณนะครับที่เก็บมันเอาไว้เสียก่อนที่มันจะปลิวไปที่อื่น”
ภูริตเอ่ยเสียงอ่อนโยน รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งไปให้กับหญิงสาวซึ่งเขาก็ปรารถนาจะได้พบเจอกันเช่นกัน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันปลิวมาที่ฉัน ฉันก็ต้องเก็บเอาไว้”
“เอ่อ...เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าอะไรนะครับ ผมเหมือนคนที่คุณรู้จักจริงๆ หรือครับ”
“ปละ...เปล่าค่ะ ฉันแค่เรียก เอ่อ...คุณก็เหมือนกัน เมื่อกี้เรียกใครกันคะ”
“ผมเรียกคนที่เคยรู้จักกันเป็นอย่างดีครับ เธอชื่อเจ้าจันทร์งาม ราชธิดาองค์เล็กแห่งวรนคร”
ดูเขาจะรู้เรื่องนี้มากเสียด้วยสิ จันทร์เจ้าหน้าเข้มขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากจะมีใบหน้าที่เหมือนเจ้าน้อยภูมินทร์แล้ว เขายังรู้เรื่องนี้มากอย่างกับเป็นคนที่สนใจเรื่องนี้อย่างกับเธอเสียด้วยสิ
“พูดจีบกันอย่างลิเกเลยนะคะ”
จักจั่นเอ่ยแทรกเห็นนัยน์ตาหวานฉ่ำของชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งกำลังมองเพื่อนสาวของเธอก็นึกรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรกับจันทร์เจ้าอย่างแน่นอน
“เอ่อ...ครับ” ภูริตยกมือขึ้นเกาหัวอย่างเก้อเขิน ตาลแก้วได้ทีจึงเอ่ยแซวอีก
“ครับนี่...หมายถึงใช่ ใช่ไหมคะ”
“ผมว่ายืนพูดกันตรงนี้มันอาจจะเมื่อยได้ ขอเชิญคุณผู้หญิงสุดสวยทั้งสี่ ไปทานอาหารกันที่ร้านด้านนั้นกันดีกว่าครับ เผื่อจะได้คุยกันได้รู้เรื่องมากกว่านี้”
เห็นว่าเรื่องจะยืดเยื้อไปจนคนที่ยืนฟังจะเมื่อยไปตามๆ กัน สิชลจึงผายมือเชื้อเชิญให้คนทั้งหมดตามกันไปยังร้านอาหารริมทางที่อยู่เยื้องๆ กับวัดแห่งนั้นในทันที
“ฉันยังงงไม่หาย คุณไปวาดภาพของยายจันทร์เพื่อนของฉันได้อย่างไรคะ”
ตาลแก้วเอ่ยแทรกขึ้นในช่วงหนึ่ง ความงงงวยของเธอยังไม่หายไปจากหัวใจมากนักและนั่นก็เหมือนจะรื้อความเขินอายให้กับบุคคลทั้งสองอีกครั้ง จันทร์เจ้าก้มหน้างุดด้วยความอาย ส่วนภูริตก็ยิ้มแบบเก้อๆ จนสิชลเอ่ยแทรกขึ้นในที่สุด
“เพื่อนของผมบอกว่าเธอผู้นี้คือนางในฝันของเขาน่ะครับ”
“นางในฝัน!”
ทั้งหมดอุทานออกมาพร้อมกัน ยกเว้นจันทร์เจ้าและภูริตที่ยังนั่งเงียบอยู่ด้วยกรอบหน้าซึ่งยังมีระดับความแดงซ่านมากขึ้น
“ใช่ครับ...เจ้าภูมันฝันเห็นแต่ผู้หญิงคนนี้ จึงได้วาดออกมาครับ”
“โรแมนติกจริงๆ นะคะ สงสัยยายจันทร์จะเป็นเนื้อคู่ของคุณภูริตนะคะ” แวววรรณเอ่ยแทรกขึ้นมาในที่สุด ต่างพากันคลี่ยิ้มยินดีไปตามๆ กัน
“น่าจะใช่นะครับ ใช่ไหมวะภู” หันมาทางเจ้าเพื่อนหนุ่มที่นั่งนิ่งและยิ้มแบบเขินๆ ไม่พูดอะไรมากนัก
“เอ่อ...”
“คิดจะจีบเพื่อนฉันหรือคะ คุณภูริต”
ตาลแก้วเอ่ยแซว เพื่อนสาวของเธอ ตั้งแต่คบกันมาไม่เคยเห็นว่าจะยอมเปิดใจให้คบกับใครมาก่อน หากในเวลานี้ ตาลแก้วกลับเริ่มแน่ใจว่าพรหมลิขิตมันไม่ได้มีแต่เพียงในนิยายเท่านั้นเสียแล้ว
เพราะจากภาพที่เห็นและสิ่งที่เป็นไปก็บอกอยู่กรายๆ แล้วว่า จันทร์เจ้าก็สนใจชายหนุ่มที่เพิ่งพบกันครั้งแรกเหมือนกัน
ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะรู้สึกไม่ต่างกันมากนัก
“ผมว่าต้องใช่แน่ๆ เลยครับ ใช่ไหมเพื่อน” สิชลยังทำตัวเป็นพ่อสื่อไม่หยุด หันมาตบบ่าของเพื่อนเบาๆ เป็นเชิงถาม
“จั่นว่าอย่าเพิ่งแซวทั้งสองในตอนนี้กันเถอะค่ะ เราเพิ่งรู้จักกันควรจะทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ไม่ใช่หรือคะ”
เป็นจักจั่นที่พอจะห้ามทัพคำแซวของเหล่าเพื่อนๆ ไม่ให้ผู้ที่กำลังเป็นประเด็นต้องรู้สึกเขินไปมากกว่านี้ ดูสิ จันทร์เจ้าเพื่อนของเธออายม้วนจนแทบจะหาที่มุดหนีแล้ว ส่วนนายภูริตชายหนุ่มที่พวกเธอเพิ่งจะรู้จักกัน ก็อายไม่แพ้กัน
เมื่อเสียงแซวสิ้นลง การพูดคุยเป็นเชิงทักทายแลกเปลี่ยนคำถามกันก็เกิดขึ้น ภูริตและสิชลได้รู้ว่าพวกสาวๆ กลุ่มนี้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่านและที่มาเที่ยวที่นี่ก็เพื่อจะมาตาม รอยของเจ้าจันทร์งามทั้งตามหาวัดเชียงหมิ่นด้วย
นั่นได้สร้างความดีใจให้กับจันทร์เจ้าได้ไม่แพ้กัน เมื่อพวกเธอรู้ว่าชายหนุ่มทั้งสองตรงหน้า เป็นนักศึกษาที่มาศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ของวรนครและประเด็นสำคัญของพวกเขาในครั้งนี้ก็มีเรื่องที่พวกเธอสนใจอยู่ไม่น้อย
“พวกคุณบอกว่ารู้จักวัดเชียงหมิ่นหรือคะ”
เป็นจันทร์เจ้าที่สนใจในเรื่องนี้มากที่สุด หญิงสาวกระตือรือร้นจะถามเอาความจากชายหนุ่มทั้งสองในทันทีที่พวกเขาเล่าเรื่องราวของตนจบลง
“ใช่ครับ...ก็เจ้าภูนี่แหละที่เมื่อคราวก่อนได้มาศึกษาวัดเชียงหมิ่นกับคณะอาจารย์จากกรมศิลป์และพอได้ทำงานวิจัย ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเลือกเอาวัดแห่งนี้เป็นหัวข้อการทำงานได้”
“ก็ฉันสนใจวัดนี้นี่ อีกอย่างข้อมูลที่หาเมื่อคราวก่อนยังไม่แน่ชัดเท่ากับที่เราได้ในคราวนี้เลย” ภูริตเอ่ยบอกเจ้าเพื่อนหนุ่ม ที่ยิ่งนานจะขายกันไปซะงั้น
“เออ...ข้าน้อยเข้าใจแล้วครับ”
“คุณภูคะ จันทร์ขอถามหน่อยจะได้ไหมคะ วัดเชียงหมิ่นเป็นวัดที่เจ้าจันทร์งามเป็นผู้อุปถัมภ์ใช่ไหมคะ”
ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้น ในยามที่ถามประโยคนั้นจากเขา เช่นเดียวกับกรอบหน้าสวยที่เริ่มจะเข้มขึ้นทุกขณะแล้ว
“ใช่แล้วครับ เจ้าจันทร์งามหรือเจ้างามนางเป็นโยมอุปถัมภ์วัดเชียงหมิ่นครับ เธอมักจะหนีออกมาเที่ยวที่วัดแห่งนั้นอยู่บ่อยๆ”
“และที่แห่งนั้นเจ้านางได้เจอกับเจ้าน้อยภูมินทร์ ใช่ไหมคะ” เธอต่อคำนั้นให้กับชายหนุ่ม จนทำให้เขาอดที่จะมองกรอบหน้าที่คุ้นเคยนั้นเป็นเชิงถามไม่ได้
“คุณรู้...”
“ค่ะ...ฉันพอจะรู้มาบ้าง แต่ก็รู้ไม่มากหรอกค่ะ เห็นทีคงจะต้องพึ่งคุณอีกแรงแล้วล่ะคะ”
เธอส่งยิ้มให้กับเขาอย่างอ่อนโยน ภูริตยืนยันรอยยิ้มนี้ เป็นรอยยิ้มที่มันตรึงอยู่ในหัวใจของเขานับทั้งแต่ที่เห็นเธอเป็นครั้งสุดท้ายยังท้ายวัดเชียงหมิ่นแห่งนั้น
เวลานี้ เหมือนฟ้าจะเป็นใจให้กับเขาได้กลับมาพบเจอกับเธออีกครั้ง ผู้หญิงที่เขาใฝ่หาและติดตามมานานแสนนาน
หลังจากได้พูดคุยทักทายกันจนคุ้นเคยแล้ว เหล่าหญิงสาวทั้งหมดซึ่งนำทีมด้วยจันทร์เจ้าก็ตกลงพร้อมใจกันจะตามคณะของภูริตยังยังวัดเป้าหมายแห่งนั้น
วัดเชียงหมิ่น...
รถเลี้ยวตามกันผ่านสวนลำไยเข้าไปไม่มากนัก ก่อนจะไปสิ้นสุดลงยังริมแม่น้ำน่าน ทั้งหมดลงจากรถและตามกันเดินเข้าไปยังสถานที่อันเป็นที่ตั้งของวัดเป้าหมาย สิ่งที่บ่งบอกว่าที่แห่งนั้นคือขอบเขตคันฑสีมาก็คือ กำแพงอิฐซึ่งเหลืออยู่เป็นบางส่วนกับกองอิฐซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์ ส่วนอุโบสถนั้นก็เหลือแต่เสาบางต้นที่หักโค่นตั้งโด่เด่อยู่ไม่มากนัก
“เป็นวัดร้างจริงๆ ด้วย”
ตาลแก้วเอ่ยขึ้น ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ อย่างค้นหา สถานที่ซึ่งร้างมานานแสนนานจะทำให้จันทร์เจ้ารู้ได้ยังไงว่าที่นี่คือวัดที่ตามหากันจริงๆ
“เป็นวัดร้างน่ะครับ...มาครับ ผมจะอาสาเป็นไกด์แนะนำและเอ่ยบอกประวัติคร่าวๆ ของวัดให้พวกคุณดูเอง ตามมาเลยครับ”
สิชลอาสา ก่อนจะเดินนำเข้าไปในวัด พร้อมกับตาลแก้ว จักจั่นและแวววรรณที่เดินตามเขาไปอย่างสนใจ ส่วนจันทร์เจ้าและภูริตยังยืนตรงจุดเดิม หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่ม ปานว่าเธอกำลังจะมีคำถามบางอย่างถามเขา
“คุณภูคะ คุณเชื่อในเรื่องของชาติภพไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเขาขึ้นในที่สุด ดวงตาคู่สวยกราดมองเข้าไปยังบริเวณของวัดแห่งนั้นอย่างรู้สึกคุ้นเคย
เป็นที่นี่จริงๆ แม้จะร้างราไปนานแล้ว แต่เธอก็ยังจำได้ว่าที่แห่งนี้คือวัดเชียงหมิ่น
สถานที่อันเป็นบันทึกแห่งความรักระหว่างเจ้าน้อยภูมินทร์กับเจ้าจันทร์งาม...
“ส่วนฉันเมื่อก่อนไม่ค่อยเชื่อหรอกค่ะ ตราบจนไม่กี่วันมานี้ มันมีบางอย่างทำให้ฉันเชื่อว่าในอดีตชาติของฉันนั้นคือเจ้าจันทร์งาม ผู้ที่ต้องพบเจอกับความเจ็บปวดจนวันตายและสิ่งที่ทำให้ฉันต้องตามหาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้”
ยังไม่ทันที่ภูริตจะตอบอะไร หญิงสาวก็ตอบออกมาเสียก่อน ภูริตหันมาทางหญิงสาวอีกครั้ง เขาไม่พูดอะไรก่อนจะจูงมือเธอ พาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก
“สถานที่ตรงนี้ใช่ไหมครับ ที่คุณเห็นเจ้าน้อยภูมินทร์บอกรักเจ้านางและสถานที่แห่งนี้ที่ทั้งสองเคยพบเจอกันเป็นครั้งสุดท้าย”
“คุณ...”
หญิงสาวถึงกับพูดไม่ออก ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นเธอมองดูต้นไทรใหญ่ซึ่งยังคงแผ่ร่มเงาปกคลุมอาณาพื้นที่ไม่ต่างจากเดิม ก่อนจะหันมาทางชายหนุ่มผู้ที่เพิ่งพบเจอกันครั้งแรก หากแต่ก็คุ้นเคยอีกครั้ง
“บางสิ่งบางอย่างวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ เมื่อก่อนนั้นผมก็ไม่เคยเชื่อเหมือนกับคุณนั่นแหละครับ ตราบจนผมได้พบเห็นสิ่งนั้น...และนั่นมันก็คงจะไม่ต่างจากคุณมากนัก”
“พบเห็น...คุณพบเห็นอะไรล่ะคะ”
“ผมเห็นคุณ พบเห็นตัวเองเคยมายังสถานที่แห่งนี้และที่สำคัญ ผมคือเจ้าน้อยภูมินทร์และเห็นว่าคุณคือเจ้าจันทร์งาม”
“คุณภูริต”
จันทร์เจ้าอุทานชื่อนั้นอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้น เธอจ้องมองเข้าไปยังดวงตาคู่คมนั้น ก็ได้เจอกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อยากจะเชื่อ หากสำหรับเธอกลับเชื่อ
เขาคือเจ้าน้อยภูมินทร์...ชายผู้ซึ่งเธอปรารถนาจะพบเจอมาตลอด
ในตอนนี้เธอก็ได้พบเจอกับเขาอีกครั้งแล้ว...
“ผมก็เชื่อว่า คุณก็คงจะเจอกับสิ่งที่ผมพบเห็นอยู่นี่เหมือนกัน...ใช่ไหมครับ”
“เอ่อ...ค่ะ ฉันก็พบเหมือนอย่างกับคุณ ฉันถึงได้ออกมาตามหาวัดแห่งนี้ เพื่อหวังว่าจะได้เจอกับเขาอีกครั้งและสุดท้าย ฉันก็ได้พบกับเขาจริงๆ”
“เจ้าน้อยภูมินทร์ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ...คุณย่าบัวคำบอกว่าหลังจากที่เจ้าจันทร์งามกระโดดหน้าผาตายในครั้งที่เธอเดินทางไปเมืองอังวะ เจ้าน้อยภูมินทร์จึงกลับมาบวชให้กับเจ้านางที่วัดแห่งนี้”
“เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณย่าบัวคำ...”
“ใช่แล้วค่ะ คุณย่าบัวคำ คุณย่าเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังเองค่ะ”
ภูริตอยากจะเปิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน แม้ว่าจะเผื่อใจเอาไว้ว่าคนที่ตนคิดจะไม่ใช่คนๆ เดียวกับในความหมายที่หญิงสาวว่าก็ตาม
“คุณย่าบัวคำของคุณ ใช่คนที่ใช้นามสกุลนี้หรือเปล่าครับ” ภูริตคลี่ยิ้ม ล้วงเอาบัตรประชาชนของตนเองมาให้กับหญิงสาวได้ดู
นั่นก็ยิ่งทำให้จันทร์เจ้าเบิกตาโพลง เมื่อนามสกุลของเขาเหมือนกันทุกตัวอักษร หรือว่า...
“ถ้าใช่คนนี้ คุณย่าบัวคำก็คือคุณย่าของผมเองล่ะครับ”
“บังเอิญจริงๆ นะคะ”
จันทร์เจ้ายิ้มเก้อเขิน ไม่คิดว่าตนจะได้พบเจอกับหลานชายของคุณย่าบัวคำที่เคยเล่าให้เธอฟังตอนที่เธอบอกกับหญิงชราว่าเธอจะไปตามหาวัดเชียงหมิ่นและก็คุณย่าบัวคำน่ะแหละที่แนะนำให้เธอไปหาชายหนุ่ม
หากแต่หญิงสาวที่ยิ้มเก้อเขินก็เพราะเธอไม่รู้จักเขานี่ จะไปตามหาเขาได้ที่ไหน...สุดท้ายจึงได้พึ่งเหล่าเพื่อนๆ ให้พามากันเอง
“ผมก็ดีใจครับที่ได้รู้จักกับคุณ คุณจันทร์เจ้า”
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับที่หัวไหล่มนของหญิงสาว ส่งมอบสายตาอันอบอุ่นให้กับเธอ แม้จะเจอกับเธอเพียงครั้งแรก หากเขาก็ยืนยันความรู้สึกคุ้นเคยบอกกับเขาและเธอได้เป็นอย่างดีว่ามันมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
เขาและเธอรู้จักกันมาก่อน
และก็เป็นคนซึ่งปรารถนาที่จะตามหากันมาตั้งนานแล้วต่างหาก
วันนี้ได้พบเจอกัน ความปลาบปลื้มปีติจึงมากล้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
สายลมพัดวูบหนึ่ง พลันในเวลานั้นห่างจากตรงที่ทั้งสองยืนไม่มากนัก ปรากฏร่างๆ หนึ่งที่เป็นเพียงแค่เงาวูบไหวอ่อนแรงเต็มที หากแววตาในยามที่มองมายังทั้งสองหนุ่มสาวนี่สิกลับเปี่ยมไปด้วยความยินดีเป็นยิ่งนัก
‘ในที่สุดเจ้าก็ได้พบเขา เจ้านางน้อย’
เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น ร่างนั้นก็ค่อยๆ จางหายไปอีกครั้งหนึ่ง
วันนี้จันทร์เจ้ากลับมายังบ้านด้วยความสุขสมหวัง จากหลายๆ ด้าน สมหวังที่ได้เจอกับวัดเชียงหมิ่นและสมใจที่ได้เจอกับเขาคนนั้น...ชายคนที่เธอปรารถนาจะได้พบเจอมากที่สุด
ในเมื่อเธอกลับชาติมาเกิดได้ เขา...เจ้าน้อยภูมินทร์ก็กลับชาติมาเกิดได้เหมือนกัน
แล้ววันนี้เธอก็ได้สมหวัง ได้พบเจอกับเขาอีกครั้งแถมยังได้รู้มาว่า เขาเป็นหลานชายของคุณย่าบัวคำญาติผู้ใหญ่ที่เธอเคารพรักอีก
การเดินทางแม้ว่าจะไม่ยาวไกลสักเท่าไร แต่มันก็ทำให้หญิงสาวเหนื่อยอ่อนได้เหมือนกัน หลังจากที่ได้แยกกับเหล่าเพื่อนๆ แล้ว จันทร์เจ้าก็เดินทางกลับบ้านในทันที
ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามและทักทายว่าได้อะไรบ้าง หญิงสาวจึงได้แต่คลี่ยิ้มแล้วบอกแต่เพียงว่า เธอพบเจอกับสิ่งที่สมหวังเยอะเลย
นางเพ็ญไม่สนใจที่จะสอบถามอะไรอีก จึงปล่อยให้บุตรสาวขึ้นห้องไปในที่สุด
จันทร์เจ้าเดินขึ้นห้องมา ก่อนจะอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ ก่อนจะลงมาทานอาหารเย็นกับมารดาเช่นทุกครั้ง
“คุณแม่คะ ไปปัวคราวนี้จันทร์ได้เจอกับหลานชายของคุณย่าบัวคำด้วยค่ะ”
หญิงสาวเปิดประเด็นการสนทนาขึ้น หลังจากวางช้อนส้อมลงเมื่อทั้งเธอและแม่ทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“หลานชาย...คนไหนน่ะ แม่ไม่รู้จัก”
“เขาชื่อภูริตค่ะ...เห็นว่ามาสำรวจซากเมืองโบราณที่นั่นเพื่อทำงานวิจัย จันทร์ไปเจอเขาโดยบังเอิญ ก็ได้เขานี่แหละค่ะที่พาไปที่วัดเชียงหมิ่น”
“อ้อ...พ่อภูริตลูกของท่านนายพลกฤษณ์น่ะหรือ ยังเด็กอยู่นี่เห็นว่าน่าจะอายุอานามเท่าๆ กับหนูนะ”
“หรือคะ...เขาบอกว่ามาทำงานวิจัยของภาคเรียนสุดท้าย ก่อนหน้าเคยมากับคณะอาจารย์จากกรมศิลป์ค่ะ”
“เป็นถึงคนกรุงเทพฯ กรุงไทย สนใจเรื่องแบบนี้แสดงว่าเขาจะต้องเก่งพอดูน่ะแหละเนอะ ไม่เหมือนคนบ้านเราที่เอาแต่จะเข้ากรุงไปหาแสงสี ไม่เคยคิดที่จะสืบทอดสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น”
“เหมือนแม่จะว่าประชดหนูเลยนะคะ” จันทร์เจ้าคลี่ยิ้มเอ่ยแซว รู้ว่าแม่ไม่ได้ว่าเธอแต่ก็เอ่ยไปแบบนั้นเอง
“จันทร์น่ะ แม่รู้ว่าเราสนใจวัฒนธรรมท้องถิ่นและพยายามที่จะสืบทอด ลูกของแม่เก่งอยู่แล้ว”
“ใช่ค่ะ จันทร์เจ้าลูกสาวของคุณแม่เพ็ญจันทร์เสียอย่าง” หญิงสาวทำเสียงล้อเลียนแล้วเข้าไปโอบกอดร่างของมารดาเอาไว้แน่น
ภายนอกบ้าน ความมืดโรยตัวลงมามากแล้วเหล่าหมู่ไม้โอนไหวตามแรงลมอยู่ภายในอ้อมกอดของรัตติกาลที่มาเยือนอีกครั้ง
“คุณพ่อยังไม่กลับอีกหรือคะคุณแม่” หญิงสาวเปิดประเด็นขึ้นอีกครั้ง นี่ก็มืดมากแล้วทำไมวันนี้บิดาถึงยังไม่กลับอีก
“ยังหรอก...เมื่อกี้ก็โทรมาบอกว่ามีท่านนายพลจากกรุงเทพฯ มาเยี่ยมที่ค่าย เลยอาสาพาท่านออกไปทานข้าวเย็น นู้นแน่ะห้าหกทุ่มนู้นแหละถึงจะกลับ”
นางเพ็ญเอ่ยด้วยระดับเสียงปกติ นางชินไปเสียแล้วล่ะกับการกลับบ้านแบบดึกๆ แบบนี้ของบิดาจันทร์เจ้า แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งที่เมื่อจะไปที่ไหน คุณจรัสพงษ์ก็มักจะโทรมาบอกภรรยาทุกครั้ง ไม่ให้นึกคลางแคลงใจต่อความสัมพันธ์อีกอย่างนางเพ็ญก็เชื่อ คุณจรัสพงษ์จะไม่มีวันทำให้นางเสียใจแน่
แม้จะเป็นคนใหญ่คนโตและไม่ค่อยจะมีเวลาให้กับครอบครัว แต่นางเพ็ญและจันทร์เจ้าก็รู้ว่าคุณจรัสพงษ์ไม่ใช่คนที่ชอบจะไปหาเศษหาเลยนอกบ้านอย่างคนอื่น
เขาซื่อสัตย์ต่อครอบครัวและรักครอบครัวมากขนาดไหน...ทุกคนก็รู้ทั้งหมด เพียงแต่คำว่าเวลางานกับเวลาครอบครัวมันต่างกันมากมายเท่านั้น
จันทร์เจ้าไม่พูดอะไรอีก หญิงสาวหยัดกายลุกขึ้นอีกครั้ง พรางนึกถึงเรื่องบางเรื่องที่มันแอบซ่อนอยู่ในหัวใจของเธอมานาน
วันนี้เธอได้เจอกับเขา...ผู้ที่เคยเป็นเจ้าน้อยภูมินทร์ ความกังวลของเธอก็พอจะลดลงไปบ้าง
แล้ววิญญาณที่เธอเห็นล่ะ เขาคนนั้นคือใครกัน
และเขามาขอความช่วยเหลือจากเธอเพื่ออะไร....
ร่างบางเดินมานั่งที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้าน แสงไฟสลัวจากไฟกิ่งเสาไฟฟ้านอกบ้าน พอจะส่องให้บริเวณแห่งนั้นสว่างได้บ้างโดยไม่ต้องพึ่งกระแสไฟจากบ้านของเธออีก
เธอทอดถอนใจ สิ่งที่เธออยากจะรู้ บางส่วนก็ได้รู้แล้วหากก็ยังมีอีกหลายอย่างที่มันยังค้างคาใจ
เขาคนนั้นคือใคร...เขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่
สายลมพัดวูบมาอีกครั้ง จันทร์เจ้ารู้สึกเหมือนว่าขนตามแขนของเธอจะพากันพร้อมเพียงที่จะลุกพรึบขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมาย กลิ่นหอมของมวลดอกไม้ลอยมาตามสายลมซึ่งพัดเข้ามา
‘เจ้านางน้อย...เจ้างาม’
เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลมากนัก จันทร์เจ้ารู้สึกเสียววูบไปทั่วร่างกาย อะไรกันแค่คิดเขาก็มาให้หล่อนนึกหวั่นไหวแล้วหรือเนี่ย
อานุภาพช่างร้ายแรงจริงๆ พ่อคุณเอ้ย
‘น้องอยากจะปะอ้ายบ่ไจ้กา’
เหมือนอย่างกับจะล่วงรู้ซึ่งความคิดของเธอ จันทร์เจ้าเหลียวมองไปโดยรอบอย่างหวาดๆ มีแต่เสียง ไม่เห็นตัว เธอก็ย่อมจะกลัวเป็นธรรมดา
“คุณ...คุณเป็นใคร ต้องการให้ฉันช่วยอะไรก็บอกมาสิ”
แม้จะนึกกลัว ทว่าความอยากรู้กลับมีมากกว่า หญิงสาวหยัดกายลุกขึ้น มือบางจับขอบพนักม้าหินตัวนั้นแน่น เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ หวังเพื่อจะได้พบเจอหรือเห็นเจ้าของเสียงที่ดังขึ้น...อย่างชัดเจน
‘เจ้าน้อง...ช่วยอ้ายด้วย ช่วยด้วย’
“ช่วย...ให้ช่วยอะไรก็บอกมาสิ แล้วก็เลิกเล่นซ่อนหากับฉันแบบนี้ได้แล้วจะปรากฏตัวให้กันเห็นสักนิดไม่มีหรือยังไง จะให้ช่วยเหลือแล้วจะยังมาแต่เสียงอีก...ว่ายังไงล่ะ”
ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดเธอจะต้องถามไปเช่นนั้น ไม่สิ...เธอกำลังกลัวอยู่นี่ พูดท้าเช่นนั้นไป เกิดเขาปรากฏตัวออกมาจะไม่เผ่นกันป่าราบหรือยังไง
‘น้องบ่ต้องกลั๋วอ้ายเน้อ...อ้ายมาดี จ้วยอ้ายตวยเต๊อะเจ้านางน้อย’
“ช่วยอะไรล่ะ ก็บอกฉันมาสิ”
สายลมพัดปะทะกรอบหน้าสวยวูบ จันทร์เจ้ายกมือขึ้นเพื่อจะบังสิ่งนั้นและเมื่อมือบางลดลง ก็ปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
ภาพนั้นเด่นชัด แต่แปลก ทั้งๆ ที่นึกกลัวในคราวแรก หากบัดนี้จันทร์เจ้าเหมือนกับจะยืนมองคนที่คุ้นเคยคนหนึ่งเท่านั้น
ความกลัวที่กลัดกลุ้มอยู่ในหัวใจกลับไม่มีอีกต่อไป
แล้วความทรงจำบางอย่างก็เริ่มที่จะเด่นชัด...เธอจำได้แล้ว
เขา...เจ้าแสนเมือง
ชาวม่านรามัญ...ผู้ที่นางเกลียดนักเกลียดหนา
มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงได้เป็นผีเช่นนี้ แล้วทำไมเขาถึงยังไม่ไปผุดไปเกิดสักที
“จะ...เจ้า เจ้าแสนเมือง”
“ไจ้แล้วเจ้านาง...ขอบใจ๋ที่น้องยังจำอ้ายได้”
กรอบหน้าคมสะอาดนั้นคลี่ยิ้ม แล้วส่งยิ้มอ่อนโยนมายังหญิงสาว จนจันทร์เจ้ารู้สึกขนลุกซู่ เสียววูบไปทั่วร่างกายและรับรู้เหมือนว่าโลกโดยรอบจะหมุนคว้างอีกครั้งจนน่าเวียนหัว หากแต่สุดท้ายเธอก็สามารถจะครองสติได้อีกครั้งหนึ่ง
“เจ้า...ทำไมยังไม่ไปเกิดล่ะคะ ในเมื่อฉัน...”
“มันแตกต่างกันเน้อเจ้านางน้อย น้องถูกความต๋ายปลดปล่อยพันธนาการ ส่วนอ้าย...อ้ายยินดีที่จะหื้อความต๋ายพันธนาการอ้ายเอาไว้ เพื่อ...เพื่อที่จักช่วยเหลือน้องหื้อสุขสมหวัง”
“หมายความว่า” จันทร์เจ้าใบหน้าซีดเผือด หากสิ่งที่เธอกำลังคิดเป็นจริงนั่นแสดงว่าเธอเห็นแก่ตัวมากล่ะสิ
“ไจ้แล้วน้อง...อ้ายต๋ายหลังจากนั้น เพื่อที่จะรอคอยและช่วยเหลือน้องหื้อได้พบเจอกับเจ้าน้อยอีกครั้ง”
“เอ่อ...”
หยาดน้ำตานั้นเริ่มเอ่อคลอที่หน่วยตาคู่สวย ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้ากระทบเยื่อเกาะบางๆ ของหัวใจ หากเจ้าแสนเมืองยินดีตายและทนต่อความเจ็บปวดของความตายเพื่อที่จะตามมาช่วยเหลือเธอให้ได้พบเจอกับความรักแท้ เช่นนี้ทุกชาติทุกภพไป ในขณะที่เธอและเจ้าน้อยภูมินทร์สมหวัง แล้วเขาล่ะจะรู้สึกเช่นใด
“นี่เป็นเพียงจาดแรกของน้องเท่านั้น เพราะว่าที่ผ่านมาน้องได้ไปชดใช้กรรมของน้องที่ฆ่าตั๋วต๋าย มันแตกต่างกับเจ้าน้อยเปิ้นที่เกิดมาแล้วสองจาด เปิ้นรอน้องอยู่เน้อ...เปิ้นรอน้องเหมือนกับที่อ้ายรอน้องหื้อได้ฮักแลสุขสมหวังกับเปิ้น”
“โธ่...เจ้าแสนเมือง ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ นะคะ”
จันทร์เจ้ายกมือขึ้นพนม ความรู้สึกผิดพุ่งวูบเข้ากระทบหัวใจของเธออีกระลอกให้ต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ทว่ามันก็ยังน้อยกว่าชายที่ยืนตรงหน้าเป็นยิ่งนัก
เขาเสียสละ...โดยไม่คิดถึงตัวเองสักน้อยนิด
ที่ต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่เช่นนี้ ไม่ใช่เพราะเธออย่างนั้นหรือ
“เจ้าแสนเมือง...ฉันอยากจะช่วยท่าน มีวิธีไหนที่ฉันจะช่วยท่านได้ล่ะคะ”
ภาพเงาวูบวาบนั้นไม่ตอบ หากแต่คลี่ยิ้มบาง
“บ่มีอะหยังจ้วยเหลืออ้ายได้ดอกเจ้านาง เพราะมันเป็นความปรารถนาของอ้ายแล้ว...”
“แต่เจ้าแสนเมืองคะ ฉันอยากจะช่วยเหลือท่านจริงๆ นะคะ ให้จันทร์ช่วยท่านเพื่อจะได้ไถ่โทษที่จันทร์เคยเห็นแก่ตัวในชาติของเจ้าจันทร์งามอย่างไรนะคะ” จันทร์เจ้ายกมือขึ้นพนมขอความเห็นใจ เพราะจริงๆ แล้วเธออยากจะช่วยบุคคลตรงหน้าจากใจจริง
“เจ้านางน้อยบ่ผิดดอก อ้ายต่างหากที่ยินดีจะจ้วยเหลือน้องและในจาดนี้ เมื่อน้องปิ๊กมาอีกครั้ง แลได้พบปะกับเจ้าน้อยเปิ้นแล้ว อ้ายจะขอร้องหื้อน้องได้ทำต๋ามหัวใจของตัวเองจะได้ก่...ปิ๊กไปฮักกับเปิ้น เจ้าทั้งสองคนจงปิ๊กไปฮักกั๋น”
“แต่...ฉันกับเขาเพิ่งจะได้รู้จักกันนี่คะ”
“เรื่องนั้นมันบ่ไจ้ปัญหาใหญ่หลวง อ้ายเห็นน้องมีความสุขอ้ายก่ย่อมมีความสุขไปตวย”
“แล้วมันมีทางไหนบ้างคะ ที่จะทำให้ท่านหลุดพ้น จันทร์อยากจะช่วยท่านจริงๆ นะคะ” หญิงสาวยังยืนยันเจตนาเดิม
“แค่ความฮักของเจ้านางกับเจ้าน้อยภูมินทร์ มันก่ทำหื้ออ้ายมีความสุขได้ละ”
“ความรัก...เอ่อ มันจะเป็นไปได้หรือคะ แล้วยังพอจะมีวิธีอื่นอีกไหมคะ”
จันทร์เจ้าร้องอุธรณ์ถึงสิ่งที่เริ่มจะทำให้เธอลำบากใจ เธอกับภูริตเพิ่งรู้จักกัน ความรักมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากแต่เงาร่างตรงหน้ากลับส่ายหน้าทั้งรอยยิ้มจางก่อนจะบอก
“มันมีวิธีเดียวเต้าอั้นเจ้างาม...ก่อนที่อ้ายจะต๋ายตกต๋ามน้องมา อ้ายได้ผาทะนาต่อผาลั่นจันทร์เสี้ยวว่าขอหื้ออ้ายได้ปิ๊กมาชดใช้ความผิดที่ทำหื้อน้องได้พลัดพรากจากเจ้าน้อยภูมินทร์ ขอหื้ออ้ายได้ช่วยหื้อเจ้าทั้งสองได้ฮักกั๋น แลเมื่อนั้นมันจักได้ช่วยปลดปล่อยพันธนาการแห่งความเจ็บปวดของอ้ายได้”
“ให้จันทร์รักกับเขาหรือคะ เอ่อ...”
กรอบหน้าสวยเข้มขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดถึงได้เป็นเช่นนั้นไปได้ เรื่องความรักมันพูดกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหนล่ะ
“น้องอยากจะช่วยอ้ายบ่ไจ้กา” วิญญาณต่างภพคลี่ยิ้มคล้ายล้อเลียนกับอาการลังเลของแม่หญิงตรงหน้า
“มันน่าจะมีวิธีอื่นนะคะ” เธอยังอึดอัดใจต่อสิ่งที่ชายตรงหน้าให้ทำมากที่สุด
“บ่ได้...มีวิธีนี้เพียงวิธีเดียวเต้าอั้น เจ้านาง...น้องต๋ายจากเพราะความฮัก ส่วนอ้ายต๋ายเพราะยินดีที่จักปิ๊กมาช่วยน้องหื้อสมกับความฮัก...มีแต่เพียงวิธีนี้วิธีเดียวเต้าอั้นที่จะปลดปล่อยอ้ายได้”
“เจ้าแสนเมืองคะ...มันยากนะคะ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะต้องใช้เวลานี่คะ กว่าคนสองคนจะรักกันได้”
“อ้ายรอน้องมาหลายร้อยปี๋แล้ว จักรอไปแห๋มน่อยก่คงบ่เป๋นอะหยัง...จำไว้เจ้านาง คนที่จักปลดปล่อยอ้ายได้ มีเพียงน้องเต้าอั้น มีน้องเพียงคนเดียวเต้าอั้น...”
เสียงนั้นวูบหายไป พร้อมกับสายลมระลอกใหม่พัดปะทะกรอบหน้าสวยอย่างแรง จนจันทร์เจ้าต้องเบือนหน้าหนี หากแต่เมื่อหันมาอีกครั้ง ร่างนั้นกลับหายไปเสียแล้ว ปานว่าเขาไม่เคยยืนอยู่ตรงนั้นมาก่อน
“เจ้าคะ อย่าเพิ่งไป...เจ้าคะ”
เธอเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ หวังเพื่อจะเห็นชายผู้นั้นอีกครั้ง ทว่า...ทุกสิ่งยังคงเดิม
‘จำไว้...มีเพียงเจ้านางเพียงคนเดียวเต้าอั้นที่จักปลดปล่อยพันธนาการนี้หื้อกับอ้าย เจ้านางน้อย...’
สองหูได้ยินสิ่งนั้นเด่นชัด จันทร์เจ้าทรุดกายลงนั่งยังม้าหินอ่อนอีกครั้ง พร้อมกับความว้าวุ่นที่มันสุมแน่นอยู่ในหัวใจ
เธอจะทำอย่างไรดีกับเรื่องเหล่านี้...
“โอ๊ย...”
จันทร์เจ้าร้องลั่น ยกมือขึ้นกุมตรงตำแหน่งของหัวใจ ปานว่าความรวดร้าวเหล่านั้นจะกระหน่ำสาดซัดให้เธอเจ็บปวดเหลือแสน หยาดน้ำตาหลั่งริน เสียงสะอื้นไห้ร่ำร้องคร่ำครวญยังดังต่อเนื่อง ก่อนร่างบางนั้นจะซุกซบลงไปกับพื้นโต๊ะ
“หนูจันทร์...หนูจันทร์เป็นอะไร”
หญิงชราตกใจต่อการที่ต้องเห็นสภาพของหญิงสาว นางเอื้อมมือไปเขย่าปลุกเรียกหญิงสาวด้วยหน้าตาตื่น
“หนูจันทร์...หนูจันทร์ เกิดอะไรขึ้น”
เขย่าเรียกอยู่ตั้งนาน หากก็ยังไม่เป็นผล นางบัวคำล้วงเอายาดมมาจ่อที่จมูกของหญิงสาว ตั้งใจว่าหากวิธีนี้ไม่ได้ผล จะโทรเรียกนางเพ็ญและรถพยาบาลเพื่อจะพาหญิงสาวไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล
มันเกิดอะไรขึ้น พอนางเล่าเรื่องนี้จบลงจันทร์เจ้าก็ร้องลั่นและซบหน้าลงกับพื้น ยังเห็นชัดๆ ว่ากรอบหน้าสวยมีหยาดน้ำตาคลอรื้น บางส่วนไหลลงอาบสองแก้ม
สายลมเย็นพัดวูบเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง กลิ่นหอมของดอกไม้หอมลอยโชยเข้ามา เสียงทอดถอนใจของจันทร์เจ้าดังให้ได้ยินอย่างเด่นชัด ก่อนร่างนั้นจะขยับ แล้วเงยหน้าขึ้นมาในที่สุด
“หนูจันทร์...ย่าตกใจหมด นึกว่าหนูเป็นอะไรไปเสียแล้ว”
“เอ่อ...หนูเป็นอะไรคะ”
หญิงสาวคลี่ยิ้มบางเรียวปากซีดเซียว นึกงง ที่จู่ๆ ตนเองก็ร้องลั่นและวูบไป หยาดเหงื่อเกาะพราวบนหน้าผากมน ซึ่งนางบัวคำค่อยๆ เอามืออันเหี่ยวย่นนั้นไปลูบอย่างอ่อนโยน
“หนูจันทร์ร้องลั่นแล้วก็ซบหน้าลงกับพื้น ย่าตกอกตกใจหมดเลย ดีที่หนูฟื้นมาเสียก่อน ย่าว่าจะโทรเรียกแม่เพ็ญและรถพยาบาลแล้ว”
หญิงสาวยกมือขึ้นลูบที่กรอบหน้าของตนเองซึ่งเย็นวูบ ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ เธอก็รู้สึกเจ็บที่หน้าอก แล้วจากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีก กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่ย่าบัวคำเอายาดมมาจ่อจมูกนั่นแหละ
“จันทร์ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็วูบไป”
“เฮ้อ...เด็กสมัยนี้นับวันจะมีโรคแทรกซ้อน ย่าว่าหนูไปตรวจสุขภาพบ้างก็ดีนะ เกิดเป็นอะไรปุบปับมาแบบนี้ จะได้รู้และช่วยกันแก้ไขได้ทัน”
“จันทร์ไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะ” เธอยกแก้วน้ำเย็นขึ้นดื่ม
“อาจจะเพราะเรายังไม่ได้กินข้าวก็ได้นะคะ ถึงได้วูบไป”
“อืม...จริงๆ ด้วยเล่าตั้งแต่เช้า ข้าวปลาก็ไม่ได้กิน ย่าว่าเรามากินข้าวกันเถอะ”
หญิงชราเอ่ยชวน จันทร์เจ้าจึงอาสาเข้าไปในครัวเพื่อจะเอาพวกจานชามมาถ่ายเปลี่ยนแกงและน้ำพริกในปิ่นโต โดยมีข้าวเหนียวเป็นตัวช่วยจิ้มกินอย่างเอร็ดอร่อย
หลังทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว สีหน้าของจันทร์เจ้าจึงค่อยดีขึ้น เธอมองหน้าหญิงชราก่อนจะเอ่ยถามขึ้นในที่สุด
“น่าสงสารชีวิตของเจ้าจันทร์งามจริงๆ นะคะ ทำไมฟ้าท่านถึงได้ทำร้ายกันแบบนี้นะ”
รู้สึกเจ็บปวดไปจนถึงหัวใจในยามที่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา นางบัวคำคลี่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นในที่สุด
“มันอยู่ที่บุญพาวาสนาสร้างน่ะหนู ฟ้าท่านได้ลิขิตให้ชีวิตของแต่ละคนเป็นแบบไหน ชีวิตของคนนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้น เจ้าจันทร์งามชีวิตท่านถูกกำหนดให้มาเจ็บปวด ผลท้ายที่สุดก็สิ้นสุดลงที่ความตาย นั่นล่ะสัจจะธรรมแห่งชีวิตมนุษย์เราน่ะ”
“เจ้าจันทร์งามตาย แล้วเจ้าน้อยภูมินทร์ล่ะคะ ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ยังจะเจ้าแสนเมืองอีกล่ะคะ ตอนนั้นเขาเป็นอย่างไรบ้าง แล้วนางมะปิงและนางคำแปงล่ะคะทั้งสองได้กลับวรนครหรือเปล่าคะ”
“นางมะปิงและนางคำแปงก็เดินทางกลับวรนคร โดยมีแต่เพียงผ้าโพกหัวและดอกไม้ไหวของเจ้านางจันทร์งามกลับไปให้เจ้าพ่อกับเจ้าแม่ดูต่างหน้าเท่านั้น…ส่วนเจ้าน้อยภูมินทร์น่ะหรือ ภายหลังจากนั้นท่านได้กลับมาบวชที่วัดเชียงหมิ่นในวรนครนะ หลังจากที่ได้ทราบข่าวการตายจากของเจ้าจันทร์งาม เจ้าเปิ้นก็บวชให้กับเจ้านางเพื่อเป็นอานิสงส์ให้กับเจ้านาง ส่วนเจ้าแสนเมืองนั้นคนเฒ่าคนแก่ท่านไม่ได้บอกเอาไว้ว่าตั้งแต่นั้นเจ้าเปิ้นเป็นอย่างไรบ้าง”
จันทร์เจ้าทอดถอนใจ นึกถึงสัจจะธรรมแห่งความเป็นจริง สุดท้ายต่างคนก็ต้องจากกัน ชีวิตคนเราเวียนว่ายอยู่กับสิ่งนี้ไม่รู้จักจบสิ้นกันเสียจริงๆ
“คุณย่าคะ ตอนนี้วัดเชียงหมิ่นยังอยู่ที่วรนครหรือที่ปัวอยู่ใช่ไหมคะ”
“อยู่น่ะยังอยู่ เพราะวัดน่ะอยู่ที่นั่นตั้งแต่นานนมแล้ว เพียงแต่ว่าเวลาที่ผ่านไปย่อมจะทำให้สิ่งนั้นคงกลับสภาพคงเดิมน่ะแหละ”
“หมายความว่า...”
“ใช่แล้วล่ะหนูจันทร์ บัดนี้วัดเชียงหมิ่นได้กลับกลายเป็นวัดร้างไปเสียแล้วล่ะ”
ความเศร้าที่จุกแน่นอยู่ในอก พลันแล่นปราดไปทั่วร่างกายอีกครั้งหนึ่ง ด้วยระยะเวลาที่ผ่านไป จะทำให้สภาพวัดกลับกลายเป็นวัดร้างไปจริงๆ หรือ
คิดแล้วก็เศร้าใจนัก วัดที่ซึ่งเจ้าจันทร์งามอุปถัมภ์กลับต้องร้างราไปกับระยะเวลาเสียกระนั้น
“ว้าว...นางในฝัน”
สิชลอุทานขึ้นในเย็นของวันนั้น หลังจากได้เห็นภาพวาดของภูริตซึ่งเสมือนจริงที่เพื่อนของเขาอุตส่าห์เบี้ยวงานไปหนึ่งวัน เพื่อที่จะวาดนางผู้นี้ออกมา
“ดูๆ แล้วเหมือนคนโบราณเลยนะแก คิดยังไงถึงได้วาดเธอให้อยู่ในชุดแบบนี้นี่”
“ไม่รู้ว่ะ ฉันฝันเห็นแบบนี้ ก็วาดแบบนี้”
เขาบอกไปตามความรู้สึก สิ่งหนึ่งบอกเช่นนั้นและเขาก็วาดออกมาเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“แต่ก็สวยดีนะเว้ยเพื่อน...สวยมากๆ ด้วย เสียอยู่อย่างเดียวนัยตาเธอเศร้าไปหน่อย” สิชลอดจะพูดประโยคนั้นตามความเข้าใจไม่ได้
“แล้วนายตั้งชื่อหรือยังว่าเธอชื่ออะไร หมายถึงในฝันของนายน่ะเธอผู้นี้ชื่ออะไรหรือ”
“เจ้าจันทร์งาม ตามความคิดและความรู้สึกบอกฉันแบบนั้นนะ”
“อย่าบอกนะว่านางในฝันของนายคือเจ้าจันทร์งาม เจ้านางผู้นิราศร้างจากเวียงวรนครไปชั่วนิจนิรันดร์”
สิชลเอ่ยขึ้นอย่างนึกทึ่งต่อสิ่งที่เพื่อนหนุ่มของเขาบอก ก่อนจะมาที่นี่ ภูริตได้เคยเล่าถึงนิทานพื้นบ้านเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับประวัติวัดเชียงหมิ่น ว่าผู้ที่อุปถัมภ์ค้ำชูวัดแห่งนี้คือเจ้านางจันทร์งาม ราชธิดาองค์สุดท้องของเจ้าคำผาเมือง พ่อเมืองวรนคร ผู้ที่ต้องนิราศร้างจากบ้านเมืองไปยังเมืองม่านรามัญ
“และก็อย่าบอกนะว่าเจ้านางผู้นี้คือเจ้านางคนเดียวกับที่นายเคยบอกว่าเคยไปเสี่ยงทายลูบผาลั่นจันทร์เสี้ยวที่เชียงรายซึ่งเราเคยไปเมื่อปีก่อน”
“ใช่...” ภูริตพยักหน้าและตอบเสียงเรียบ
“โอ...แม่เจ้าเว้ย ไปเที่ยวสองที่ พ่อคุณเล่นผนวชเอานางที่ปรากฏในสถานที่เหล่านั้นมาเป็นนางในฝันของตนเอง” สิชลเอ่ยอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่เพื่อนหนุ่มบอกสักเท่าไร
“แต่จริงๆ นะชล ในความรู้สึกของฉันบอกว่าแม่หญิงนางนี้คือเจ้าจันทร์งาม”
ภาพนั้นยังเด่นชัด ดวงตาอมเศร้า กับกรอบหน้ากลมมนน่ารัก รองรับกับผ้าโพกศีรษะสีชมพูงามระเรื่อ ระบายให้กรอบหน้าสวยนั้นเด่นชัดมากยิ่งขึ้นทั้งยังคงติดตรึงอยู่ในหัวใจของเขาตลอดเวลา
“เออๆ เชื่อก็ได้...แต่เอ้ ถ้าหากว่าเธอผู้นี้มีชีวิตจริงๆ แล้วนายไปเจอกับเขา นายจะจำได้ไหมวะ”
“ฉันจะต้องจำได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น ความรู้สึกอาจจะบอกว่าคนนี้แหละใช่เลย”
“อะ...พูดอย่างกับนิยาย ขอให้เจอก่อนเถอะเพื่อน”
สิชลเอ่ยแซว ก่อนจะเดินออกจากห้องแห่งนั้นไปในที่สุด ปล่อยให้เจ้าเพื่อนนักจินตนาการมองดูภาพวาดผลงานของตนเองต่อไป
หลายวันผ่านไป งานวิจัยของภูริตและสิชลก็เริ่มจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น ทั้งสองได้ข้อมูลของวัดเชียงหมิ่นจากวัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ในประวัติบอกว่าวัดเชียงหมิ่นกับวัดพญาพรหม เป็นวัดที่สร้างขึ้นพร้อมกัน เป็นวัดแฝดที่เจ้าผู้ครองวรนครโปรดสั่งให้สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา มีพระมหาสมณะเจ้า ครูบาบุญเลิศผู้เป็นเจ้าอาวาสวัดพญาพรหมองค์ปัจจุบันให้ข้อมูลกับทั้งสองหนุ่ม
“วัดพญาพรหมเปรียบดั่งวัดพี่ ส่วนวัดเชียงหมิ่นเป็นวัดน้อง” ท่านครูบาวัยชราเอ่ยเสริมในตอนท้าย
“ผมรู้มาว่าสืบต่อมาจากนั้น ผู้ที่อุปภัมถ์วัดเชียงหมิ่นคือเจ้านางจันทร์งามใช่ไหมครับ” ภูริตยกมือขึ้นพนมขณะที่ถาม
“ใช่แล้วล่ะโยม...วัดพญาพรหม ในสมัยนั้นมีเจ้านางเกี๋ยงคำเป็นผู้อุปถัมภ์ ส่วนวัดเชียงหมิ่นที่ร้างไปนั้น มีเจ้าจันทร์งามเป็นผู้อุปถัมภ์ ส่วนวัดวังต๋าว ที่อยู่ห่างออกไปนอกเมือง มีเจ้าอ้ายของเจ้านางทั้งสองเป็นโยมอุปถัมภ์ ทั้งสามวัดเป็นวัดหลวงของวรนครในเวลาต่อมา”
ท่านเล่าประวัติให้อย่างคร่าวๆ ก่อนจะส่งยื่นสมุดบันทึกเล่มเล็กเล่มหนึ่งให้กับชายหนุ่ม แล้วพูด
“นี่คือประวัติของวัดพญาพรหมทั้งหมด ซึ่งข้อมูลบางส่วนก็มีข้อมูลของวัดเชียงหมิ่นร่วมอยู่ด้วย อาตมาได้คัดลอกมาจากคัมภีร์ใบลาน โยมคัดลอกเอาไปศึกษาสิ อาตมาไม่หวงหรอกเพราะนับวันมีผู้สืบทอดสืบสานน้อยเหลือเกิน โยมทำงานวิจัยเรื่องนี้ก็ดีเหมือนกัน หากว่าคนรุ่นต่อไปสนใจ เขาจะได้ไม่ต้องลำบากในการหาข้อมูลอีก”
“ขอบพระคุณมากๆ ครับ”
ชายหนุ่มรับสมุดเล่มนั้นมาถือไว้ ก่อนจะขออนุญาตนำไปถ่ายเอกสาร แล้วกลับเอามาคืนพระครูอีกครั้ง ก่อนจะพากันออกมาจากวัดแห่งนั้น
“ได้ข้อมูลมาเพียบเลยเพื่อน อย่างนี้ฉันว่าน่าจะเพียงพอแล้วนะ”
“ใช่...เดี๋ยวเอาไปเรียบเรียงใหม่ทั้งหมด หาข้อผิดพลาดและแก้ไขให้สมบูรณ์ เท่านี้แหละงานของเราก็เสร็จสิ้น”
ภูริตคลี่ยิ้มอย่างยินดี ทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างเปี่ยมสุขกับการที่ได้ทำงานชิ้นนี้
“เธอคิดยังไงถึงได้พาฉันมาเที่ยวที่ปัวเนี่ย” แวววรรณบ่นอุบกับการที่ถูกเพื่อนสาวลากมาเที่ยวยังอำเภอปัวแห่งนี้
“เถอะน่า ถือว่ามาเปิดหูเปิดตา”
จันทร์เจ้าต้องหูชากับคำบ่นของเหล่าเพื่อนๆ ตลอดทางของการเดินทางมาที่นี่ หญิงสาวคลี่ยิ้มอ่อนโยนในยามที่เอ่ยบอกแก้ตัว
“แล้วทำไมจะต้องมาที่วัดด้วย” ตาลแก้วทำหน้ายู่กับวัด เธอไม่ค่อยชอบเสียเท่าไรนัก
“น่านะ...มาเที่ยวทั้งทีก็มาทำบุญสิพวกเธอ จะบ่นไปทำไม” จักจั่นช่วยเสริม กับการมาวัด เธอชอบนัก
“มันก็สมกับเธอแล้วนี่จั่น แม่นักบุญ”
“ยะ...”
หลังถูกแม่เพื่อนสาวกระหน่ำมาที่ตน จักจั่นจึงทำหน้าทะเล้น แล้วหันมาจูงแขนเพื่อนสาวให้เดินนำเข้าไปในวัดแทน
“เธอมาตามหาวัดเชียงหมิ่น แล้วทำไมจะต้องมาที่วัดพญาพรหมด้วยหึ...จันทร์เจ้า” เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ตาลแก้วเอ่ยถามเพื่อน
เมื่อหลายวันก่อนจันทร์เจ้ามาปรึกษากับพวกเธอ ว่าอยากจะตามรอยของเจ้าจันทร์งามและตามหาวัดเชียงหมิ่น แต่ผลปรากฏว่าพวกเธอไม่รู้จักสถานที่แห่งนั้น ที่รู้ๆ ก็แค่ว่าวัดแห่งนั้นร้างไปนานแล้วเท่านั้น
“ไม่รู้จะมาหาทำไม วัดร้าง” แวววรรณมิวายบ่นอีกครั้ง
“ก็ฉันได้ข้อมูลมาว่าวัดเชียงหมิ่นเป็นวัดพี่วัดน้องกับวัดพญาพรหมนี่ มาหาข้อมูลที่นี่บางทีอาจจะได้ที่ตั้งของวัดก็ได้”
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ มาเที่ยวแค่วันเดียวกะว่าจะให้คุ้มเลยหรือยังไงแม่คู้น” ตาลแก้วทำหน้ายู่ เอ่ยแซวเพื่อนสาวไม่หยุด
“ต้องได้แน่ ฉันมั่นใจนานะพวกเธอ ถือว่ามาเที่ยวพักผ่อน”
“พักผ่อนที่ไหนเล่า ถูกเธอลากมาแบบนี้เค้าถือว่าทารุณกันต่างหาก”
พูดไปก็บ่นไป จันทร์เจ้าคลี่ยิ้มแม้ว่าแม่พวกนี้จะบ่นมากเท่าไร แต่ก็บ่นเพียงแต่ปากนั่นแหละ แท้จริงแล้วน้ำใจของเหล่าเพื่อนๆ นั้นมีมากอยู่แล้ว
“พอเถอะๆ เราเข้าไปในวัดกันเถอะนะ” จันทร์เจ้าเอ่ยชวน ก่อนจะเดินนำเหล่าเพื่อนสาวเข้าไปในวัด
ทว่าในเวลานั้น....
สายลมพัดวูบเข้าปะทะหน้า ลมเย็นที่พัดเข้ามานั้นได้หอบเอาอะไรบางอย่างให้ลงมาตกอยู่ตรงหน้าของจันทร์เจ้า หญิงสาวก้มลงมองสิ่งนั้นก็เห็นว่าเป็นแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่ง เธอค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู ก่อนจะรู้สึกชาวาบไปทั่วร่างกาย กรอบหน้าสวยร้อนผ่าว
“อะ...”
พูดได้แค่นั้นจริงๆ หัวสมองก็หมุนติ้ว พลันได้ยินเสียงหนึ่งที่ดังขอโทษมาแต่ไกล
“ขอโทษนะครับ นั่นกระดาษของผมเอง”
เสียงทุ้มคุ้นหูดังตามมาจันทร์เจ้าได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน หากแต่ก็ยังไม่ตะลึงเท่ากับภาพในมือที่เธอเห็น
นี่มันเธอนี่...อะ ไม่ใช่สิ นี่มันภาพวาดของเจ้าจันทร์งามนี่ เป็นไปได้อย่างไรกัน
“เกิดอะไรขึ้นจันทร์เจ้า”
ตาลแก้วเข้ามาสะกิด แล้วชะโงกหน้าเข้ามาดูแผ่นกระดาษในมือของเพื่อนสาวแล้วต้องตะลึงไปอีกคน
“อ่ะ นี่มันภาพเธอนี่เธอไปให้ใครวาดภาพตอนใส่ชุดโบราณนี่ตั้งแต่ตอนไหน”
เสียงพูดของตาลแก้ว ในเวลานั้นจึงทำให้เหล่าเพื่อนๆ อีกสองคนตามเข้ามาดู แล้วก็ต้องตะลึงไป ตามๆ กัน
“ขอโทษครับ นั่นมันเป็นภาพวาดของผมเอง ขอคืนด้วยครับ”
ภูริตวิ่งมาถึงตรงกลุ่มของหญิงสาวที่ช่วยเก็บกระดาษแผ่นนั้นของเขาขึ้นมาดู มันหลุดแล้วปลิวมาตาม ลมพัดตอนที่เขากำลังจะเอาเอกสารซึ่งเพิ่งได้มาสอดลงไปในแฟ้ม ส่วนภาพนี้ก็ได้หลุดตกลงพื้นไป
“เจ้าน้อยภูมินทร์” จันทร์เจ้าจำได้ว่าตนเองได้เอ่ยคำนั้นออกไป ในยามที่เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของภาพที่วิ่งมาถึง
“จะ...เจ้านาง”
ภูริตก็ตะลึงไม่แพ้กัน ในยามที่หญิงสาวตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมามองเขา ความรู้สึกอุ่นซ่านและคุ้นเคยแผ่กระทบหัวใจของทั้งสองหนุ่มสาว ไม่คิดว่าตนจะได้เจอกับอีกฝ่ายในเวลานี้
จันทร์เจ้าหลบตาของชายหนุ่มวูบ เมื่อรับรู้สึกความคุ้นเคยบางอย่างซึ่งแล่นเข้ามา เธอเห็นมาตลอดว่าเจ้าน้อยภูมินทร์นั้นมีใบหน้าอย่างไรและชายผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับใบหน้าที่เธอหลงรักอย่างกับแกะมาในพิมพ์เดียวกัน
“เอ่อ...ขอภาพของผมคืนด้วยครับ”
ภูริตเอ่ยขึ้น หลังจากที่พอจะทุเลาอาการตะลึงตะลานไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่เคยคิดว่าตนจะได้เจอกับผู้ที่มีใบหน้าที่เหมือนกับนางในฝันในเวลานี้เช่นกัน
“ขะ...ขอโทษค่ะ” จันทร์เจ้าเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
“ของคุณหรือคะ” ตาลแก้วคลี่ยิ้ม แล้วถามชายหนุ่มใบหน้าเกลี้ยงมนตรงหน้าที่จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนถูกชะตาอย่างไรชอบกล
“เอ่อ...ครับ ผมเป็นคนวาดเอง”
“วาดได้เหมือนเพื่อนของฉันจริงๆ นะคะ วาดอย่างกับคนเคยพบกันมาก่อน”
“เอ่อ ขอบคุณครับ”
“แต่ฉันยืนยันว่าไม่ได้เจอคุณมาก่อน ขอบคุณนะคะที่วาดภาพนี้ได้สวย”
“มันก็ไม่แน่นักหรอกครับ บางทีเราอาจจะเคยเจอกันมาก่อนก็ได้...อาจจะในฝัน หรือว่าชาติที่แล้ว”
จันทร์เจ้ารู้สึกขนลุกซู่ ในยามที่ได้ยินประโยคนั้นจากเขา แม้จะนึกโกรธหากความรู้สึกบางอย่างบอกว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น
“เกิดอะไรขึ้นวะ ภู”
สิชลซึ่งยืนรออยู่ที่รถ เห็นว่าเพื่อนออกมานานผิดปกติจึงรีบตามมา ก่อนจะตะลึงกับกลุ่มผู้หญิงตรงหน้า ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับภาพวาดของภูริตอย่างกับเป็นต้นแบบอย่างไรอย่างนั้น
“อุแม่เจ้า...นางในฝันของนายภู”
“เอ่อ...”
ภูริตพูดอะไรไม่ออก ใบหน้าหล่อคมเข้มขึ้นมาในทันทีที่ถูกแซวเช่นนั้นและนั่นก็คงจะไม่ต่างไปจากผู้หญิงอีกคนซึ่งเป็นประเด็นในตอนนี้มากนัก
“นางในฝัน...” จันทร์เจ้าเบิกตาขึ้น เช่นเดียวกับเหล่าสาวๆ อีกหลายคนที่มีสีหน้าไม่ต่างกัน
“หมายความว่าอย่างไรคะ” ตาลแก้วเอ่ยแทรกขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอกครับ...ว่าแต่พวกคุณสาวๆ มาเที่ยวกันหรือครับ เจ้าเพื่อนผมไปทำอะไรพวกคุณหรือเปล่า เอาเป็นว่าเพื่อเป็นการไถ่โทษผมและเพื่อนของผมยินดีพาพวกคุณๆ ไปทานข้าวเที่ยงกันสักมื้อจะได้ไหมครับ นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว”
“เอ่อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขอบคุณค่ะ”
แวววรรณเอ่ยแทรกขึ้นมาในที่สุด กรอบหน้าสวยเริ่มเข้มขึ้นกับการจ้องมองหน้าแบบสื่อสัมพันธ์บางอย่างของชายหนุ่มที่เพิ่งเดินทางมาถึง
“นี่ค่ะ ภาพของคุณ”
จันทร์เจ้าส่งภาพนั้นคืนให้กับชายหนุ่ม...ผู้ที่ซึ่งหัวใจของเธอปรารถนาจะพบเจอกันอีกสักครั้ง
“ครับ...ขอบคุณนะครับที่เก็บมันเอาไว้เสียก่อนที่มันจะปลิวไปที่อื่น”
ภูริตเอ่ยเสียงอ่อนโยน รอยยิ้มอ่อนโยนถูกส่งไปให้กับหญิงสาวซึ่งเขาก็ปรารถนาจะได้พบเจอกันเช่นกัน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันปลิวมาที่ฉัน ฉันก็ต้องเก็บเอาไว้”
“เอ่อ...เมื่อกี้คุณเรียกผมว่าอะไรนะครับ ผมเหมือนคนที่คุณรู้จักจริงๆ หรือครับ”
“ปละ...เปล่าค่ะ ฉันแค่เรียก เอ่อ...คุณก็เหมือนกัน เมื่อกี้เรียกใครกันคะ”
“ผมเรียกคนที่เคยรู้จักกันเป็นอย่างดีครับ เธอชื่อเจ้าจันทร์งาม ราชธิดาองค์เล็กแห่งวรนคร”
ดูเขาจะรู้เรื่องนี้มากเสียด้วยสิ จันทร์เจ้าหน้าเข้มขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากจะมีใบหน้าที่เหมือนเจ้าน้อยภูมินทร์แล้ว เขายังรู้เรื่องนี้มากอย่างกับเป็นคนที่สนใจเรื่องนี้อย่างกับเธอเสียด้วยสิ
“พูดจีบกันอย่างลิเกเลยนะคะ”
จักจั่นเอ่ยแทรกเห็นนัยน์ตาหวานฉ่ำของชายหนุ่มตรงหน้าซึ่งกำลังมองเพื่อนสาวของเธอก็นึกรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรกับจันทร์เจ้าอย่างแน่นอน
“เอ่อ...ครับ” ภูริตยกมือขึ้นเกาหัวอย่างเก้อเขิน ตาลแก้วได้ทีจึงเอ่ยแซวอีก
“ครับนี่...หมายถึงใช่ ใช่ไหมคะ”
“ผมว่ายืนพูดกันตรงนี้มันอาจจะเมื่อยได้ ขอเชิญคุณผู้หญิงสุดสวยทั้งสี่ ไปทานอาหารกันที่ร้านด้านนั้นกันดีกว่าครับ เผื่อจะได้คุยกันได้รู้เรื่องมากกว่านี้”
เห็นว่าเรื่องจะยืดเยื้อไปจนคนที่ยืนฟังจะเมื่อยไปตามๆ กัน สิชลจึงผายมือเชื้อเชิญให้คนทั้งหมดตามกันไปยังร้านอาหารริมทางที่อยู่เยื้องๆ กับวัดแห่งนั้นในทันที
“ฉันยังงงไม่หาย คุณไปวาดภาพของยายจันทร์เพื่อนของฉันได้อย่างไรคะ”
ตาลแก้วเอ่ยแทรกขึ้นในช่วงหนึ่ง ความงงงวยของเธอยังไม่หายไปจากหัวใจมากนักและนั่นก็เหมือนจะรื้อความเขินอายให้กับบุคคลทั้งสองอีกครั้ง จันทร์เจ้าก้มหน้างุดด้วยความอาย ส่วนภูริตก็ยิ้มแบบเก้อๆ จนสิชลเอ่ยแทรกขึ้นในที่สุด
“เพื่อนของผมบอกว่าเธอผู้นี้คือนางในฝันของเขาน่ะครับ”
“นางในฝัน!”
ทั้งหมดอุทานออกมาพร้อมกัน ยกเว้นจันทร์เจ้าและภูริตที่ยังนั่งเงียบอยู่ด้วยกรอบหน้าซึ่งยังมีระดับความแดงซ่านมากขึ้น
“ใช่ครับ...เจ้าภูมันฝันเห็นแต่ผู้หญิงคนนี้ จึงได้วาดออกมาครับ”
“โรแมนติกจริงๆ นะคะ สงสัยยายจันทร์จะเป็นเนื้อคู่ของคุณภูริตนะคะ” แวววรรณเอ่ยแทรกขึ้นมาในที่สุด ต่างพากันคลี่ยิ้มยินดีไปตามๆ กัน
“น่าจะใช่นะครับ ใช่ไหมวะภู” หันมาทางเจ้าเพื่อนหนุ่มที่นั่งนิ่งและยิ้มแบบเขินๆ ไม่พูดอะไรมากนัก
“เอ่อ...”
“คิดจะจีบเพื่อนฉันหรือคะ คุณภูริต”
ตาลแก้วเอ่ยแซว เพื่อนสาวของเธอ ตั้งแต่คบกันมาไม่เคยเห็นว่าจะยอมเปิดใจให้คบกับใครมาก่อน หากในเวลานี้ ตาลแก้วกลับเริ่มแน่ใจว่าพรหมลิขิตมันไม่ได้มีแต่เพียงในนิยายเท่านั้นเสียแล้ว
เพราะจากภาพที่เห็นและสิ่งที่เป็นไปก็บอกอยู่กรายๆ แล้วว่า จันทร์เจ้าก็สนใจชายหนุ่มที่เพิ่งพบกันครั้งแรกเหมือนกัน
ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะรู้สึกไม่ต่างกันมากนัก
“ผมว่าต้องใช่แน่ๆ เลยครับ ใช่ไหมเพื่อน” สิชลยังทำตัวเป็นพ่อสื่อไม่หยุด หันมาตบบ่าของเพื่อนเบาๆ เป็นเชิงถาม
“จั่นว่าอย่าเพิ่งแซวทั้งสองในตอนนี้กันเถอะค่ะ เราเพิ่งรู้จักกันควรจะทำความรู้จักกันให้มากกว่านี้ไม่ใช่หรือคะ”
เป็นจักจั่นที่พอจะห้ามทัพคำแซวของเหล่าเพื่อนๆ ไม่ให้ผู้ที่กำลังเป็นประเด็นต้องรู้สึกเขินไปมากกว่านี้ ดูสิ จันทร์เจ้าเพื่อนของเธออายม้วนจนแทบจะหาที่มุดหนีแล้ว ส่วนนายภูริตชายหนุ่มที่พวกเธอเพิ่งจะรู้จักกัน ก็อายไม่แพ้กัน
เมื่อเสียงแซวสิ้นลง การพูดคุยเป็นเชิงทักทายแลกเปลี่ยนคำถามกันก็เกิดขึ้น ภูริตและสิชลได้รู้ว่าพวกสาวๆ กลุ่มนี้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา น่านและที่มาเที่ยวที่นี่ก็เพื่อจะมาตาม รอยของเจ้าจันทร์งามทั้งตามหาวัดเชียงหมิ่นด้วย
นั่นได้สร้างความดีใจให้กับจันทร์เจ้าได้ไม่แพ้กัน เมื่อพวกเธอรู้ว่าชายหนุ่มทั้งสองตรงหน้า เป็นนักศึกษาที่มาศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์ของวรนครและประเด็นสำคัญของพวกเขาในครั้งนี้ก็มีเรื่องที่พวกเธอสนใจอยู่ไม่น้อย
“พวกคุณบอกว่ารู้จักวัดเชียงหมิ่นหรือคะ”
เป็นจันทร์เจ้าที่สนใจในเรื่องนี้มากที่สุด หญิงสาวกระตือรือร้นจะถามเอาความจากชายหนุ่มทั้งสองในทันทีที่พวกเขาเล่าเรื่องราวของตนจบลง
“ใช่ครับ...ก็เจ้าภูนี่แหละที่เมื่อคราวก่อนได้มาศึกษาวัดเชียงหมิ่นกับคณะอาจารย์จากกรมศิลป์และพอได้ทำงานวิจัย ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเลือกเอาวัดแห่งนี้เป็นหัวข้อการทำงานได้”
“ก็ฉันสนใจวัดนี้นี่ อีกอย่างข้อมูลที่หาเมื่อคราวก่อนยังไม่แน่ชัดเท่ากับที่เราได้ในคราวนี้เลย” ภูริตเอ่ยบอกเจ้าเพื่อนหนุ่ม ที่ยิ่งนานจะขายกันไปซะงั้น
“เออ...ข้าน้อยเข้าใจแล้วครับ”
“คุณภูคะ จันทร์ขอถามหน่อยจะได้ไหมคะ วัดเชียงหมิ่นเป็นวัดที่เจ้าจันทร์งามเป็นผู้อุปถัมภ์ใช่ไหมคะ”
ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้น ในยามที่ถามประโยคนั้นจากเขา เช่นเดียวกับกรอบหน้าสวยที่เริ่มจะเข้มขึ้นทุกขณะแล้ว
“ใช่แล้วครับ เจ้าจันทร์งามหรือเจ้างามนางเป็นโยมอุปถัมภ์วัดเชียงหมิ่นครับ เธอมักจะหนีออกมาเที่ยวที่วัดแห่งนั้นอยู่บ่อยๆ”
“และที่แห่งนั้นเจ้านางได้เจอกับเจ้าน้อยภูมินทร์ ใช่ไหมคะ” เธอต่อคำนั้นให้กับชายหนุ่ม จนทำให้เขาอดที่จะมองกรอบหน้าที่คุ้นเคยนั้นเป็นเชิงถามไม่ได้
“คุณรู้...”
“ค่ะ...ฉันพอจะรู้มาบ้าง แต่ก็รู้ไม่มากหรอกค่ะ เห็นทีคงจะต้องพึ่งคุณอีกแรงแล้วล่ะคะ”
เธอส่งยิ้มให้กับเขาอย่างอ่อนโยน ภูริตยืนยันรอยยิ้มนี้ เป็นรอยยิ้มที่มันตรึงอยู่ในหัวใจของเขานับทั้งแต่ที่เห็นเธอเป็นครั้งสุดท้ายยังท้ายวัดเชียงหมิ่นแห่งนั้น
เวลานี้ เหมือนฟ้าจะเป็นใจให้กับเขาได้กลับมาพบเจอกับเธออีกครั้ง ผู้หญิงที่เขาใฝ่หาและติดตามมานานแสนนาน
หลังจากได้พูดคุยทักทายกันจนคุ้นเคยแล้ว เหล่าหญิงสาวทั้งหมดซึ่งนำทีมด้วยจันทร์เจ้าก็ตกลงพร้อมใจกันจะตามคณะของภูริตยังยังวัดเป้าหมายแห่งนั้น
วัดเชียงหมิ่น...
รถเลี้ยวตามกันผ่านสวนลำไยเข้าไปไม่มากนัก ก่อนจะไปสิ้นสุดลงยังริมแม่น้ำน่าน ทั้งหมดลงจากรถและตามกันเดินเข้าไปยังสถานที่อันเป็นที่ตั้งของวัดเป้าหมาย สิ่งที่บ่งบอกว่าที่แห่งนั้นคือขอบเขตคันฑสีมาก็คือ กำแพงอิฐซึ่งเหลืออยู่เป็นบางส่วนกับกองอิฐซึ่งเป็นที่ตั้งของเจดีย์ ส่วนอุโบสถนั้นก็เหลือแต่เสาบางต้นที่หักโค่นตั้งโด่เด่อยู่ไม่มากนัก
“เป็นวัดร้างจริงๆ ด้วย”
ตาลแก้วเอ่ยขึ้น ดวงตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ อย่างค้นหา สถานที่ซึ่งร้างมานานแสนนานจะทำให้จันทร์เจ้ารู้ได้ยังไงว่าที่นี่คือวัดที่ตามหากันจริงๆ
“เป็นวัดร้างน่ะครับ...มาครับ ผมจะอาสาเป็นไกด์แนะนำและเอ่ยบอกประวัติคร่าวๆ ของวัดให้พวกคุณดูเอง ตามมาเลยครับ”
สิชลอาสา ก่อนจะเดินนำเข้าไปในวัด พร้อมกับตาลแก้ว จักจั่นและแวววรรณที่เดินตามเขาไปอย่างสนใจ ส่วนจันทร์เจ้าและภูริตยังยืนตรงจุดเดิม หญิงสาวมองหน้าชายหนุ่ม ปานว่าเธอกำลังจะมีคำถามบางอย่างถามเขา
“คุณภูคะ คุณเชื่อในเรื่องของชาติภพไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามเขาขึ้นในที่สุด ดวงตาคู่สวยกราดมองเข้าไปยังบริเวณของวัดแห่งนั้นอย่างรู้สึกคุ้นเคย
เป็นที่นี่จริงๆ แม้จะร้างราไปนานแล้ว แต่เธอก็ยังจำได้ว่าที่แห่งนี้คือวัดเชียงหมิ่น
สถานที่อันเป็นบันทึกแห่งความรักระหว่างเจ้าน้อยภูมินทร์กับเจ้าจันทร์งาม...
“ส่วนฉันเมื่อก่อนไม่ค่อยเชื่อหรอกค่ะ ตราบจนไม่กี่วันมานี้ มันมีบางอย่างทำให้ฉันเชื่อว่าในอดีตชาติของฉันนั้นคือเจ้าจันทร์งาม ผู้ที่ต้องพบเจอกับความเจ็บปวดจนวันตายและสิ่งที่ทำให้ฉันต้องตามหาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้”
ยังไม่ทันที่ภูริตจะตอบอะไร หญิงสาวก็ตอบออกมาเสียก่อน ภูริตหันมาทางหญิงสาวอีกครั้ง เขาไม่พูดอะไรก่อนจะจูงมือเธอ พาไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก
“สถานที่ตรงนี้ใช่ไหมครับ ที่คุณเห็นเจ้าน้อยภูมินทร์บอกรักเจ้านางและสถานที่แห่งนี้ที่ทั้งสองเคยพบเจอกันเป็นครั้งสุดท้าย”
“คุณ...”
หญิงสาวถึงกับพูดไม่ออก ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้นเธอมองดูต้นไทรใหญ่ซึ่งยังคงแผ่ร่มเงาปกคลุมอาณาพื้นที่ไม่ต่างจากเดิม ก่อนจะหันมาทางชายหนุ่มผู้ที่เพิ่งพบเจอกันครั้งแรก หากแต่ก็คุ้นเคยอีกครั้ง
“บางสิ่งบางอย่างวิทยาศาสตร์ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ เมื่อก่อนนั้นผมก็ไม่เคยเชื่อเหมือนกับคุณนั่นแหละครับ ตราบจนผมได้พบเห็นสิ่งนั้น...และนั่นมันก็คงจะไม่ต่างจากคุณมากนัก”
“พบเห็น...คุณพบเห็นอะไรล่ะคะ”
“ผมเห็นคุณ พบเห็นตัวเองเคยมายังสถานที่แห่งนี้และที่สำคัญ ผมคือเจ้าน้อยภูมินทร์และเห็นว่าคุณคือเจ้าจันทร์งาม”
“คุณภูริต”
จันทร์เจ้าอุทานชื่อนั้นอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยเบิกขึ้น เธอจ้องมองเข้าไปยังดวงตาคู่คมนั้น ก็ได้เจอกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่อยากจะเชื่อ หากสำหรับเธอกลับเชื่อ
เขาคือเจ้าน้อยภูมินทร์...ชายผู้ซึ่งเธอปรารถนาจะพบเจอมาตลอด
ในตอนนี้เธอก็ได้พบเจอกับเขาอีกครั้งแล้ว...
“ผมก็เชื่อว่า คุณก็คงจะเจอกับสิ่งที่ผมพบเห็นอยู่นี่เหมือนกัน...ใช่ไหมครับ”
“เอ่อ...ค่ะ ฉันก็พบเหมือนอย่างกับคุณ ฉันถึงได้ออกมาตามหาวัดแห่งนี้ เพื่อหวังว่าจะได้เจอกับเขาอีกครั้งและสุดท้าย ฉันก็ได้พบกับเขาจริงๆ”
“เจ้าน้อยภูมินทร์ใช่ไหมครับ”
“ค่ะ...คุณย่าบัวคำบอกว่าหลังจากที่เจ้าจันทร์งามกระโดดหน้าผาตายในครั้งที่เธอเดินทางไปเมืองอังวะ เจ้าน้อยภูมินทร์จึงกลับมาบวชให้กับเจ้านางที่วัดแห่งนี้”
“เมื่อกี้คุณบอกว่าคุณย่าบัวคำ...”
“ใช่แล้วค่ะ คุณย่าบัวคำ คุณย่าเป็นคนเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังเองค่ะ”
ภูริตอยากจะเปิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขัน แม้ว่าจะเผื่อใจเอาไว้ว่าคนที่ตนคิดจะไม่ใช่คนๆ เดียวกับในความหมายที่หญิงสาวว่าก็ตาม
“คุณย่าบัวคำของคุณ ใช่คนที่ใช้นามสกุลนี้หรือเปล่าครับ” ภูริตคลี่ยิ้ม ล้วงเอาบัตรประชาชนของตนเองมาให้กับหญิงสาวได้ดู
นั่นก็ยิ่งทำให้จันทร์เจ้าเบิกตาโพลง เมื่อนามสกุลของเขาเหมือนกันทุกตัวอักษร หรือว่า...
“ถ้าใช่คนนี้ คุณย่าบัวคำก็คือคุณย่าของผมเองล่ะครับ”
“บังเอิญจริงๆ นะคะ”
จันทร์เจ้ายิ้มเก้อเขิน ไม่คิดว่าตนจะได้พบเจอกับหลานชายของคุณย่าบัวคำที่เคยเล่าให้เธอฟังตอนที่เธอบอกกับหญิงชราว่าเธอจะไปตามหาวัดเชียงหมิ่นและก็คุณย่าบัวคำน่ะแหละที่แนะนำให้เธอไปหาชายหนุ่ม
หากแต่หญิงสาวที่ยิ้มเก้อเขินก็เพราะเธอไม่รู้จักเขานี่ จะไปตามหาเขาได้ที่ไหน...สุดท้ายจึงได้พึ่งเหล่าเพื่อนๆ ให้พามากันเอง
“ผมก็ดีใจครับที่ได้รู้จักกับคุณ คุณจันทร์เจ้า”
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปจับที่หัวไหล่มนของหญิงสาว ส่งมอบสายตาอันอบอุ่นให้กับเธอ แม้จะเจอกับเธอเพียงครั้งแรก หากเขาก็ยืนยันความรู้สึกคุ้นเคยบอกกับเขาและเธอได้เป็นอย่างดีว่ามันมากกว่านั้นด้วยซ้ำ
เขาและเธอรู้จักกันมาก่อน
และก็เป็นคนซึ่งปรารถนาที่จะตามหากันมาตั้งนานแล้วต่างหาก
วันนี้ได้พบเจอกัน ความปลาบปลื้มปีติจึงมากล้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
สายลมพัดวูบหนึ่ง พลันในเวลานั้นห่างจากตรงที่ทั้งสองยืนไม่มากนัก ปรากฏร่างๆ หนึ่งที่เป็นเพียงแค่เงาวูบไหวอ่อนแรงเต็มที หากแววตาในยามที่มองมายังทั้งสองหนุ่มสาวนี่สิกลับเปี่ยมไปด้วยความยินดีเป็นยิ่งนัก
‘ในที่สุดเจ้าก็ได้พบเขา เจ้านางน้อย’
เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น ร่างนั้นก็ค่อยๆ จางหายไปอีกครั้งหนึ่ง
วันนี้จันทร์เจ้ากลับมายังบ้านด้วยความสุขสมหวัง จากหลายๆ ด้าน สมหวังที่ได้เจอกับวัดเชียงหมิ่นและสมใจที่ได้เจอกับเขาคนนั้น...ชายคนที่เธอปรารถนาจะได้พบเจอมากที่สุด
ในเมื่อเธอกลับชาติมาเกิดได้ เขา...เจ้าน้อยภูมินทร์ก็กลับชาติมาเกิดได้เหมือนกัน
แล้ววันนี้เธอก็ได้สมหวัง ได้พบเจอกับเขาอีกครั้งแถมยังได้รู้มาว่า เขาเป็นหลานชายของคุณย่าบัวคำญาติผู้ใหญ่ที่เธอเคารพรักอีก
การเดินทางแม้ว่าจะไม่ยาวไกลสักเท่าไร แต่มันก็ทำให้หญิงสาวเหนื่อยอ่อนได้เหมือนกัน หลังจากที่ได้แยกกับเหล่าเพื่อนๆ แล้ว จันทร์เจ้าก็เดินทางกลับบ้านในทันที
ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามและทักทายว่าได้อะไรบ้าง หญิงสาวจึงได้แต่คลี่ยิ้มแล้วบอกแต่เพียงว่า เธอพบเจอกับสิ่งที่สมหวังเยอะเลย
นางเพ็ญไม่สนใจที่จะสอบถามอะไรอีก จึงปล่อยให้บุตรสาวขึ้นห้องไปในที่สุด
จันทร์เจ้าเดินขึ้นห้องมา ก่อนจะอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ ก่อนจะลงมาทานอาหารเย็นกับมารดาเช่นทุกครั้ง
“คุณแม่คะ ไปปัวคราวนี้จันทร์ได้เจอกับหลานชายของคุณย่าบัวคำด้วยค่ะ”
หญิงสาวเปิดประเด็นการสนทนาขึ้น หลังจากวางช้อนส้อมลงเมื่อทั้งเธอและแม่ทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“หลานชาย...คนไหนน่ะ แม่ไม่รู้จัก”
“เขาชื่อภูริตค่ะ...เห็นว่ามาสำรวจซากเมืองโบราณที่นั่นเพื่อทำงานวิจัย จันทร์ไปเจอเขาโดยบังเอิญ ก็ได้เขานี่แหละค่ะที่พาไปที่วัดเชียงหมิ่น”
“อ้อ...พ่อภูริตลูกของท่านนายพลกฤษณ์น่ะหรือ ยังเด็กอยู่นี่เห็นว่าน่าจะอายุอานามเท่าๆ กับหนูนะ”
“หรือคะ...เขาบอกว่ามาทำงานวิจัยของภาคเรียนสุดท้าย ก่อนหน้าเคยมากับคณะอาจารย์จากกรมศิลป์ค่ะ”
“เป็นถึงคนกรุงเทพฯ กรุงไทย สนใจเรื่องแบบนี้แสดงว่าเขาจะต้องเก่งพอดูน่ะแหละเนอะ ไม่เหมือนคนบ้านเราที่เอาแต่จะเข้ากรุงไปหาแสงสี ไม่เคยคิดที่จะสืบทอดสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น”
“เหมือนแม่จะว่าประชดหนูเลยนะคะ” จันทร์เจ้าคลี่ยิ้มเอ่ยแซว รู้ว่าแม่ไม่ได้ว่าเธอแต่ก็เอ่ยไปแบบนั้นเอง
“จันทร์น่ะ แม่รู้ว่าเราสนใจวัฒนธรรมท้องถิ่นและพยายามที่จะสืบทอด ลูกของแม่เก่งอยู่แล้ว”
“ใช่ค่ะ จันทร์เจ้าลูกสาวของคุณแม่เพ็ญจันทร์เสียอย่าง” หญิงสาวทำเสียงล้อเลียนแล้วเข้าไปโอบกอดร่างของมารดาเอาไว้แน่น
ภายนอกบ้าน ความมืดโรยตัวลงมามากแล้วเหล่าหมู่ไม้โอนไหวตามแรงลมอยู่ภายในอ้อมกอดของรัตติกาลที่มาเยือนอีกครั้ง
“คุณพ่อยังไม่กลับอีกหรือคะคุณแม่” หญิงสาวเปิดประเด็นขึ้นอีกครั้ง นี่ก็มืดมากแล้วทำไมวันนี้บิดาถึงยังไม่กลับอีก
“ยังหรอก...เมื่อกี้ก็โทรมาบอกว่ามีท่านนายพลจากกรุงเทพฯ มาเยี่ยมที่ค่าย เลยอาสาพาท่านออกไปทานข้าวเย็น นู้นแน่ะห้าหกทุ่มนู้นแหละถึงจะกลับ”
นางเพ็ญเอ่ยด้วยระดับเสียงปกติ นางชินไปเสียแล้วล่ะกับการกลับบ้านแบบดึกๆ แบบนี้ของบิดาจันทร์เจ้า แต่ก็ดีอยู่อย่างหนึ่งที่เมื่อจะไปที่ไหน คุณจรัสพงษ์ก็มักจะโทรมาบอกภรรยาทุกครั้ง ไม่ให้นึกคลางแคลงใจต่อความสัมพันธ์อีกอย่างนางเพ็ญก็เชื่อ คุณจรัสพงษ์จะไม่มีวันทำให้นางเสียใจแน่
แม้จะเป็นคนใหญ่คนโตและไม่ค่อยจะมีเวลาให้กับครอบครัว แต่นางเพ็ญและจันทร์เจ้าก็รู้ว่าคุณจรัสพงษ์ไม่ใช่คนที่ชอบจะไปหาเศษหาเลยนอกบ้านอย่างคนอื่น
เขาซื่อสัตย์ต่อครอบครัวและรักครอบครัวมากขนาดไหน...ทุกคนก็รู้ทั้งหมด เพียงแต่คำว่าเวลางานกับเวลาครอบครัวมันต่างกันมากมายเท่านั้น
จันทร์เจ้าไม่พูดอะไรอีก หญิงสาวหยัดกายลุกขึ้นอีกครั้ง พรางนึกถึงเรื่องบางเรื่องที่มันแอบซ่อนอยู่ในหัวใจของเธอมานาน
วันนี้เธอได้เจอกับเขา...ผู้ที่เคยเป็นเจ้าน้อยภูมินทร์ ความกังวลของเธอก็พอจะลดลงไปบ้าง
แล้ววิญญาณที่เธอเห็นล่ะ เขาคนนั้นคือใครกัน
และเขามาขอความช่วยเหลือจากเธอเพื่ออะไร....
ร่างบางเดินมานั่งที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้าน แสงไฟสลัวจากไฟกิ่งเสาไฟฟ้านอกบ้าน พอจะส่องให้บริเวณแห่งนั้นสว่างได้บ้างโดยไม่ต้องพึ่งกระแสไฟจากบ้านของเธออีก
เธอทอดถอนใจ สิ่งที่เธออยากจะรู้ บางส่วนก็ได้รู้แล้วหากก็ยังมีอีกหลายอย่างที่มันยังค้างคาใจ
เขาคนนั้นคือใคร...เขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่
สายลมพัดวูบมาอีกครั้ง จันทร์เจ้ารู้สึกเหมือนว่าขนตามแขนของเธอจะพากันพร้อมเพียงที่จะลุกพรึบขึ้นอย่างไม่ได้นัดหมาย กลิ่นหอมของมวลดอกไม้ลอยมาตามสายลมซึ่งพัดเข้ามา
‘เจ้านางน้อย...เจ้างาม’
เสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกลมากนัก จันทร์เจ้ารู้สึกเสียววูบไปทั่วร่างกาย อะไรกันแค่คิดเขาก็มาให้หล่อนนึกหวั่นไหวแล้วหรือเนี่ย
อานุภาพช่างร้ายแรงจริงๆ พ่อคุณเอ้ย
‘น้องอยากจะปะอ้ายบ่ไจ้กา’
เหมือนอย่างกับจะล่วงรู้ซึ่งความคิดของเธอ จันทร์เจ้าเหลียวมองไปโดยรอบอย่างหวาดๆ มีแต่เสียง ไม่เห็นตัว เธอก็ย่อมจะกลัวเป็นธรรมดา
“คุณ...คุณเป็นใคร ต้องการให้ฉันช่วยอะไรก็บอกมาสิ”
แม้จะนึกกลัว ทว่าความอยากรู้กลับมีมากกว่า หญิงสาวหยัดกายลุกขึ้น มือบางจับขอบพนักม้าหินตัวนั้นแน่น เธอกวาดสายตามองไปรอบๆ หวังเพื่อจะได้พบเจอหรือเห็นเจ้าของเสียงที่ดังขึ้น...อย่างชัดเจน
‘เจ้าน้อง...ช่วยอ้ายด้วย ช่วยด้วย’
“ช่วย...ให้ช่วยอะไรก็บอกมาสิ แล้วก็เลิกเล่นซ่อนหากับฉันแบบนี้ได้แล้วจะปรากฏตัวให้กันเห็นสักนิดไม่มีหรือยังไง จะให้ช่วยเหลือแล้วจะยังมาแต่เสียงอีก...ว่ายังไงล่ะ”
ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดเธอจะต้องถามไปเช่นนั้น ไม่สิ...เธอกำลังกลัวอยู่นี่ พูดท้าเช่นนั้นไป เกิดเขาปรากฏตัวออกมาจะไม่เผ่นกันป่าราบหรือยังไง
‘น้องบ่ต้องกลั๋วอ้ายเน้อ...อ้ายมาดี จ้วยอ้ายตวยเต๊อะเจ้านางน้อย’
“ช่วยอะไรล่ะ ก็บอกฉันมาสิ”
สายลมพัดปะทะกรอบหน้าสวยวูบ จันทร์เจ้ายกมือขึ้นเพื่อจะบังสิ่งนั้นและเมื่อมือบางลดลง ก็ปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
ภาพนั้นเด่นชัด แต่แปลก ทั้งๆ ที่นึกกลัวในคราวแรก หากบัดนี้จันทร์เจ้าเหมือนกับจะยืนมองคนที่คุ้นเคยคนหนึ่งเท่านั้น
ความกลัวที่กลัดกลุ้มอยู่ในหัวใจกลับไม่มีอีกต่อไป
แล้วความทรงจำบางอย่างก็เริ่มที่จะเด่นชัด...เธอจำได้แล้ว
เขา...เจ้าแสนเมือง
ชาวม่านรามัญ...ผู้ที่นางเกลียดนักเกลียดหนา
มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงได้เป็นผีเช่นนี้ แล้วทำไมเขาถึงยังไม่ไปผุดไปเกิดสักที
“จะ...เจ้า เจ้าแสนเมือง”
“ไจ้แล้วเจ้านาง...ขอบใจ๋ที่น้องยังจำอ้ายได้”
กรอบหน้าคมสะอาดนั้นคลี่ยิ้ม แล้วส่งยิ้มอ่อนโยนมายังหญิงสาว จนจันทร์เจ้ารู้สึกขนลุกซู่ เสียววูบไปทั่วร่างกายและรับรู้เหมือนว่าโลกโดยรอบจะหมุนคว้างอีกครั้งจนน่าเวียนหัว หากแต่สุดท้ายเธอก็สามารถจะครองสติได้อีกครั้งหนึ่ง
“เจ้า...ทำไมยังไม่ไปเกิดล่ะคะ ในเมื่อฉัน...”
“มันแตกต่างกันเน้อเจ้านางน้อย น้องถูกความต๋ายปลดปล่อยพันธนาการ ส่วนอ้าย...อ้ายยินดีที่จะหื้อความต๋ายพันธนาการอ้ายเอาไว้ เพื่อ...เพื่อที่จักช่วยเหลือน้องหื้อสุขสมหวัง”
“หมายความว่า” จันทร์เจ้าใบหน้าซีดเผือด หากสิ่งที่เธอกำลังคิดเป็นจริงนั่นแสดงว่าเธอเห็นแก่ตัวมากล่ะสิ
“ไจ้แล้วน้อง...อ้ายต๋ายหลังจากนั้น เพื่อที่จะรอคอยและช่วยเหลือน้องหื้อได้พบเจอกับเจ้าน้อยอีกครั้ง”
“เอ่อ...”
หยาดน้ำตานั้นเริ่มเอ่อคลอที่หน่วยตาคู่สวย ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้ากระทบเยื่อเกาะบางๆ ของหัวใจ หากเจ้าแสนเมืองยินดีตายและทนต่อความเจ็บปวดของความตายเพื่อที่จะตามมาช่วยเหลือเธอให้ได้พบเจอกับความรักแท้ เช่นนี้ทุกชาติทุกภพไป ในขณะที่เธอและเจ้าน้อยภูมินทร์สมหวัง แล้วเขาล่ะจะรู้สึกเช่นใด
“นี่เป็นเพียงจาดแรกของน้องเท่านั้น เพราะว่าที่ผ่านมาน้องได้ไปชดใช้กรรมของน้องที่ฆ่าตั๋วต๋าย มันแตกต่างกับเจ้าน้อยเปิ้นที่เกิดมาแล้วสองจาด เปิ้นรอน้องอยู่เน้อ...เปิ้นรอน้องเหมือนกับที่อ้ายรอน้องหื้อได้ฮักแลสุขสมหวังกับเปิ้น”
“โธ่...เจ้าแสนเมือง ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ นะคะ”
จันทร์เจ้ายกมือขึ้นพนม ความรู้สึกผิดพุ่งวูบเข้ากระทบหัวใจของเธออีกระลอกให้ต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ทว่ามันก็ยังน้อยกว่าชายที่ยืนตรงหน้าเป็นยิ่งนัก
เขาเสียสละ...โดยไม่คิดถึงตัวเองสักน้อยนิด
ที่ต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่เช่นนี้ ไม่ใช่เพราะเธออย่างนั้นหรือ
“เจ้าแสนเมือง...ฉันอยากจะช่วยท่าน มีวิธีไหนที่ฉันจะช่วยท่านได้ล่ะคะ”
ภาพเงาวูบวาบนั้นไม่ตอบ หากแต่คลี่ยิ้มบาง
“บ่มีอะหยังจ้วยเหลืออ้ายได้ดอกเจ้านาง เพราะมันเป็นความปรารถนาของอ้ายแล้ว...”
“แต่เจ้าแสนเมืองคะ ฉันอยากจะช่วยเหลือท่านจริงๆ นะคะ ให้จันทร์ช่วยท่านเพื่อจะได้ไถ่โทษที่จันทร์เคยเห็นแก่ตัวในชาติของเจ้าจันทร์งามอย่างไรนะคะ” จันทร์เจ้ายกมือขึ้นพนมขอความเห็นใจ เพราะจริงๆ แล้วเธออยากจะช่วยบุคคลตรงหน้าจากใจจริง
“เจ้านางน้อยบ่ผิดดอก อ้ายต่างหากที่ยินดีจะจ้วยเหลือน้องและในจาดนี้ เมื่อน้องปิ๊กมาอีกครั้ง แลได้พบปะกับเจ้าน้อยเปิ้นแล้ว อ้ายจะขอร้องหื้อน้องได้ทำต๋ามหัวใจของตัวเองจะได้ก่...ปิ๊กไปฮักกับเปิ้น เจ้าทั้งสองคนจงปิ๊กไปฮักกั๋น”
“แต่...ฉันกับเขาเพิ่งจะได้รู้จักกันนี่คะ”
“เรื่องนั้นมันบ่ไจ้ปัญหาใหญ่หลวง อ้ายเห็นน้องมีความสุขอ้ายก่ย่อมมีความสุขไปตวย”
“แล้วมันมีทางไหนบ้างคะ ที่จะทำให้ท่านหลุดพ้น จันทร์อยากจะช่วยท่านจริงๆ นะคะ” หญิงสาวยังยืนยันเจตนาเดิม
“แค่ความฮักของเจ้านางกับเจ้าน้อยภูมินทร์ มันก่ทำหื้ออ้ายมีความสุขได้ละ”
“ความรัก...เอ่อ มันจะเป็นไปได้หรือคะ แล้วยังพอจะมีวิธีอื่นอีกไหมคะ”
จันทร์เจ้าร้องอุธรณ์ถึงสิ่งที่เริ่มจะทำให้เธอลำบากใจ เธอกับภูริตเพิ่งรู้จักกัน ความรักมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากแต่เงาร่างตรงหน้ากลับส่ายหน้าทั้งรอยยิ้มจางก่อนจะบอก
“มันมีวิธีเดียวเต้าอั้นเจ้างาม...ก่อนที่อ้ายจะต๋ายตกต๋ามน้องมา อ้ายได้ผาทะนาต่อผาลั่นจันทร์เสี้ยวว่าขอหื้ออ้ายได้ปิ๊กมาชดใช้ความผิดที่ทำหื้อน้องได้พลัดพรากจากเจ้าน้อยภูมินทร์ ขอหื้ออ้ายได้ช่วยหื้อเจ้าทั้งสองได้ฮักกั๋น แลเมื่อนั้นมันจักได้ช่วยปลดปล่อยพันธนาการแห่งความเจ็บปวดของอ้ายได้”
“ให้จันทร์รักกับเขาหรือคะ เอ่อ...”
กรอบหน้าสวยเข้มขึ้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดถึงได้เป็นเช่นนั้นไปได้ เรื่องความรักมันพูดกันได้ง่ายๆ เสียที่ไหนล่ะ
“น้องอยากจะช่วยอ้ายบ่ไจ้กา” วิญญาณต่างภพคลี่ยิ้มคล้ายล้อเลียนกับอาการลังเลของแม่หญิงตรงหน้า
“มันน่าจะมีวิธีอื่นนะคะ” เธอยังอึดอัดใจต่อสิ่งที่ชายตรงหน้าให้ทำมากที่สุด
“บ่ได้...มีวิธีนี้เพียงวิธีเดียวเต้าอั้น เจ้านาง...น้องต๋ายจากเพราะความฮัก ส่วนอ้ายต๋ายเพราะยินดีที่จักปิ๊กมาช่วยน้องหื้อสมกับความฮัก...มีแต่เพียงวิธีนี้วิธีเดียวเต้าอั้นที่จะปลดปล่อยอ้ายได้”
“เจ้าแสนเมืองคะ...มันยากนะคะ ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะต้องใช้เวลานี่คะ กว่าคนสองคนจะรักกันได้”
“อ้ายรอน้องมาหลายร้อยปี๋แล้ว จักรอไปแห๋มน่อยก่คงบ่เป๋นอะหยัง...จำไว้เจ้านาง คนที่จักปลดปล่อยอ้ายได้ มีเพียงน้องเต้าอั้น มีน้องเพียงคนเดียวเต้าอั้น...”
เสียงนั้นวูบหายไป พร้อมกับสายลมระลอกใหม่พัดปะทะกรอบหน้าสวยอย่างแรง จนจันทร์เจ้าต้องเบือนหน้าหนี หากแต่เมื่อหันมาอีกครั้ง ร่างนั้นกลับหายไปเสียแล้ว ปานว่าเขาไม่เคยยืนอยู่ตรงนั้นมาก่อน
“เจ้าคะ อย่าเพิ่งไป...เจ้าคะ”
เธอเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆ หวังเพื่อจะเห็นชายผู้นั้นอีกครั้ง ทว่า...ทุกสิ่งยังคงเดิม
‘จำไว้...มีเพียงเจ้านางเพียงคนเดียวเต้าอั้นที่จักปลดปล่อยพันธนาการนี้หื้อกับอ้าย เจ้านางน้อย...’
สองหูได้ยินสิ่งนั้นเด่นชัด จันทร์เจ้าทรุดกายลงนั่งยังม้าหินอ่อนอีกครั้ง พร้อมกับความว้าวุ่นที่มันสุมแน่นอยู่ในหัวใจ
เธอจะทำอย่างไรดีกับเรื่องเหล่านี้...
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2555, 23:04:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2555, 23:04:08 น.
จำนวนการเข้าชม : 1640
<< ตอนที่ ๑๓ คำอธิฐาน | ตอนที่ ๑๕ อวสาน >> |
Edelweiss 1 มิ.ย. 2555, 00:48:36 น.
สงสารเจ้าแสนเมืองมากที่่สุดในเรื่องเลยค่ะ เสียสละขนาด
สงสารเจ้าแสนเมืองมากที่่สุดในเรื่องเลยค่ะ เสียสละขนาด