รอยรักเหมันต์
...เพราะสายลมหนาวหรือเพราะมนต์เสน่ห์แห่งทุ่งดอกไม้ จึงนำพาให้สองหัวใจมาพบกัน
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
เมื่อเขาคือนักธุรกิจหนุ่มรูปหล่อกับเธอเจ้าของสวนดอกไม้สาวผู้พราวเสน่ห์...
เพียงแรกพบสบตา เขาและเธอก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าใช่เลย
จอมทัพจะสามารถนำดอกไม้งามดอกนี้
Tags: ฤดูหนาว
ตอน: ตอนที่ ๒๑ เข้าใจ
ตอนที่ ๒๑
เป็นครั้งที่สิบได้แล้วกระมังที่วัสนางค์ออกมายืนนอกรถของรักษ์ราช ก่อนจะกลับเข้าไปนั่งกระสับกระส่ายอยู่ในรถเช่นเดิม ไม่รู้ว่าทางเพื่อนสาวของเธอจะเป็นอย่างไร เพราะจากที่ได้ทราบข่าวมาล่าสุดนั้น ความคืบหน้าของตำรวจซึ่งลงพื้นที่ค้นหา เจอแค่รอยเท้าของทั้งสองเท่านั้น
ก่อนความอดทนที่มีอยู่จะสิ้นสุด หญิงสาวจึงลงจากรถและเดินไปข้างหน้า เพื่อจะออกไปตามหาเพื่อนสาวอีกแรงหนึ่ง
“นั่นคุณจะไปไหน คุณฝน”
รักษ์ราชซึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่แถวนั้นมาเห็นทันก่อนที่หญิงสาวจะเดินจากไปเขาจึงเรียกเธอ ขณะวัสนางค์หันกลับมาทำตาขวางและแหวใส่เขาในทันที
“ใครอนุญาตให้นายเรียกชื่อเล่นฉันมิทราบ”
“ก็ผมอยากจะเรียกนี่ อีกอย่างชื่อจริงของคุณก็เรียกยากจะตายไป” นายตำรวจหนุ่มบ่นก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาเธอ
“แล้วนี่คุณจะไปไหน”
“ฉันจะเข้าป่า ไปตามหาเพื่อนของฉัน”
“คุณประชาชนคนสวยครับ คุณบ้าไปแล้วหรือยังไง เดี๋ยวก็หลงป่ากันพอดี ผมไม่ให้คุณเข้าไปหรอก”
“แต่ฉันจะไปและมันก็เป็นเรื่องของฉันด้วย พึ่งตำรวจอย่างคุณไม่ได้เรื่อง ตั้งแต่เช้าแล้วยังหาเพื่อนของฉันไม่เจอสักที”
“คุณก็รู้ว่าในป่ามันทึบ อีกอย่างเราก็ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าคุณจอมทัพและคุณเมยาวีไปทางไหน” รักษ์ราชเสียงเข้ม มองกรอบหน้าขาวสวยของหญิงสาวไม่วาง
“แต่มันก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี เพื่อนของฉันทั้งคนนะ อีกอย่างคุณจอมทัพก็ไปด้วย รวมเป็นสอง หากันตั้งแต่เมื่อคืน ยันจะค่ำอีกแล้ว ยังไม่เจอทั้งสองเลย ซึ่งมันก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“ผมต้องทำตามขั้นตอน คุณก็รู้”
“ใช่...ฉันรู้ แต่มันก็ไม่น่าจะนานขนาดนี้ พวกคุณค้นหาคนกันประสาอะไร”
วัสนางค์เริ่มเสียงดัง กรอบหน้าสวยก็ยิ่งเข้มขึ้นด้วยความโกรธจัดกับการทำงานของรักษ์ราชที่อ้างว่าต้องทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่เห็นว่าจะหาทั้งสองคนนั่นเจอสักที
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะต่อปากต่อคำกับหญิงสาวไปมากกว่านั้น นายตำรวจชั้นประทวนนายหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานความคืบหน้าอีกครั้ง
“หมวดครับหมวด...”
“มีอะไร”
“ตอนนี้เราพบคุณจอมทัพและคุณเมยาวีแล้วครับ ทั้งสองคนปลอดภัยดี ตอนนี้อยู่ที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านบ้านผานางครับ”
คำรายงานนั้นชัดเจน วัสนางค์ดูจะดีใจมากกว่าใครอื่น “เจอพวกเขาแล้วหรือ...คุณตำรวจคะ รีบๆ ไปสิ เร็ว...” เธอเร่งเร้าก่อนจะรีบวิ่งกลับไปยังรถของเขาอย่างหน้าตาเฉย โดยไม่สนต่อกิริยาของตนที่เป็นอยู่เมื่อครู่
เช่นเดียวกับรักษ์ราชที่ได้แต่โคลงศีรษะไปมา ก่อนจะหันไปสั่งงานกับลูกน้องและตามแม่สาวจอมโก๊ะ แถมยังปากจัดไปที่รถในที่สุด
ใช้เวลาไม่นานนัก บ้านผานาง หมู่บ้านซึ่งเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมากอีกที่หนึ่ง ก็ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซุกตัวอยู่ท่ามกลางป่าเขา ตามโครงการพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่และหมู่บ้านแห่งนี้ ก็คือหนึ่งในจำนวนหมู่บ้านในโครงการเหล่านั้น
ใช้เวลาสอบถามไม่นานรักษ์ราชก็เดินทางมาถึงยังบ้านของนายต่วนผู้ใหญ่บ้านผานาง รถของนายตำรวจหนุ่มเคลื่อนเข้ามาจอดที่ลานหน้าบ้าน ซึ่งบัดนี้จอมทัพและเมยาวี พร้อมกับนายต่วน ภรรยาและลูกบ้านอีกสองคนยืนรออยู่ ด้วยรอยยิ้มยินดี
ทันทีที่รถจอดสนิท วัสนางค์ก็รีบลงจากรถและตรงเข้าไปหาเพื่อนสาวในทันที
“เหมย...”
“ฝน” ทั้งสองสาวโผเข้าโอบกอดกันด้วยความยินดี ก่อนวัสนางค์จะดึงร่างของเพื่อนสาวออกมาเพื่อสำรวจหาร่องรอยการบาดเจ็บ
“เธอเป็นอะไรมากไหมเหมย ดูซิหน้าเซียวหมดเลยนะ”
“ไม่เป็นอะไรหรอกฝน ฉันปลอดภัยดี จะมีแต่ที่ข้อเท้าเท่านั้นแหละที่แพลงนิดหน่อย แต่ตอนนี้ผู้ใหญ่ต่วนได้ให้ยามาทาแล้วล่ะ”
“โอ...คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองจริงๆ ขอบคุณมากนะคะคุณจอมทัพ ที่ดูแลเพื่อนของฉัน เป็นยังไงบ้างคะ” หันไปทางจอมทัพซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างมากนักและเขาก็มีสภาพไม่ต่างกับเพื่อนสาวของเธอ นั่นก็คือเสื้อผ้าชุดเดิมของเมื่อวานที่สกปรกจนคิดว่าไม่น่าจะนำมาใส่ได้อีกต่อไป
“ผมไม่เป็นไรมากหรอกครับ คุณเหมยต่างหากน่าเป็นห่วงกว่า เห็นทีคราวนี้คงจะต้องให้หมอดูอาการที่ข้อเท้าแล้วล่ะ”
“แต่เหมยไม่ได้เป็นอะไรมากนี่คะ ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้ว”
“ไหนดูซิ...”
วัสนางค์ก้มลงมองไปที่ข้อเท้าของเพื่อนสาว แม้จะได้ยาหม่องทาแล้ว แต่อาการก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี เพราะตรงนั้นบัดนี้เขียวช้ำอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างเมยาวีก็เป็นคนขาว แค่รอยจ้ำเล็กๆ ก็ชัดเจนมากแล้ว
เธอรู้ว่าเพื่อนสาวของเธอเป็นคนปากแข็งมากแค่ไหน ปากที่ว่าดีขึ้นแล้วทว่าในความเป็นจริงอาจจะกำลังเจ็บปวดแบบสุดๆ อยู่ก็ได้
“โอ...สงสัยคราวนี้จะต้องให้หมอเช็คจริงๆ แล้วล่ะเหมย ดูมันจะช้ำมากเลยนะเธอ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่าฝน เอ้อ...แล้วคีนล่ะ ทราบเรื่องหรือเปล่า”
อดที่จะถามหาเพื่อนสาวอีกคนไม่ได้ จากที่แยกกันเมื่อตอนบ่ายของเมื่อวาน ดูมณีกานดาจะหายไปเลย ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างและบัดนี้จะรู้หรือไม่ว่าเธอถูกจับตัวมาแล้วถ้ารู้เช่นนั้น มณีกานดาจะเป็นเช่นไร
“รู้...แต่ฉันไม่ให้มาด้วยหรอก เพราะแค่รู้ครั้งแรกจากปากของน้ำบุษย์ รายนั้นก็เป็นลมไปเลย”
มณีกานดาเป็นแบบนี้เอง เธอมีสภาพจิตใจที่อ่อนแอมาก เมื่อเจอเรื่องอะไรที่ร้ายแรงย่อมจะเป็นลมในระดับแรกและก็จะร้องไห้ฟูมฟายในทันทีที่ฟื้นขึ้นมา วัสนางค์เชื่อว่า เวลานี้เพื่อนสาวของเธอคงจะกำลังร้องไห้อยู่เป็นแน่
“อืม...เดี๋ยวกลับไป ฉันเห็นทีคงจะต้องไปปลอบสักหน่อยแล้วล่ะ”
เมยาวีคลี่ยิ้มสดใส พยายามจะกลบเกลื่อนความกังวนที่มีอยู่ในหัวใจซึ่งตนเป็นต้นเหตุให้เพื่อนสาวต้องเป็นห่วงและทุกๆ คนที่ทราบเรื่อง ไม่รู้ว่าบัดนี้คุณพ่อและคุณแม่จะทราบเรื่องกันหรือยัง
“เอ่อ...แล้วนั่นใครล่ะ เธอมากับใคร”
อดที่จะมองเลยไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามาพูดคุยอยู่กับผู้ใหญ่ต่วนอีกด้านหนึ่ง โดยมีจอมทัพเข้าไปคุยด้วย ดูท่าทีแล้วเขาจะเป็นการเป็นงานกับเรื่องนี้มาก นอกจากนั้นสีหน้าของเขายังจะดูเคร่งเครียดด้วยในยามที่พูดกับบุคคลอีกสองคน
“เป็นตำรวจน่ะ อีตานี่ ขอบอกเลยนะ โคตรขี้เก๊กเลย” ได้ที วัสนางค์เริ่มใส่ความคู่กรณีในทันที
“คุณรักษ์ราชหรือ”
หญิงสาวได้รับการเล่าเรื่องราวจากปากของจอมทัพและเหตุการณ์ที่พาให้เขามาหาเธอเมื่อวันวาน ก่อนจะเลิกคิ้วมองเพื่อนสาวเป็นเชิงล้อเลียน
“แต่เขาก็หล่อดีนะฝน...เธอไม่สนหรอ”
“ยี๋...ไม่เอาหรอกย่ะ ขอบอกคนแบบนี้ไม่ใช่สเปกของฉัน หมดสิทธิย่ะ”
หลังทุกอย่างเรียบร้อย ทุกคนก็ขอตัวกลับ ผู้ใหญ่ต่วนส่งยิ้มให้กับคนทั้งหมดอย่างยินดีที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและยิ่งได้รับคำขอบคุณจากหนุ่มสาวทั้งสี่แล้ว ชายชราก็ยิ่งดีใจอย่างสุดๆ เมื่อรถจากไปแล้วจึงได้พาภรรยาที่มายืนส่งด้วยกันขึ้นบ้านไป
เช่นเดียวกับคนบนรถ หลังจากที่ขึ้นรถมาได้ วัสนางค์ก็เปิดฉากพูดคุยกับเพื่อนสาวในทันทีทันใด สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เป็นไปหลังการแยกกันของเธอและเมยาวีตั้งแต่เมื่อคืน จวบจนทั้งเพื่อนสาวและจอมทัพหลงอยู่ป่าไปด้วยกันสองคน
“ดีนะ ที่ทั้งสองคนไม่เป็นอะไร”
หลังทราบเหตุการณ์ที่เมยาวีและจอมทัพพากันกระโดดหน้าผา วัสนางค์ก็ถึงยกมือขึ้นทาบอก ดีนะที่ทั้งสองรอดมาได้ คุณพระคุณเจ้าช่วยเหลือแท้ๆ
“ใช่ ตอนแรกฉันคิดว่าจะตายไปแล้วนะ แต่ยังดีที่รอดมาได้”
“รอดมาได้ก็ดีแล้วล่ะเหมย หลังจากนี้เห็นทีฉันคงจะต้องพาเธอและคุณจอมไปทำบุญเก้าวัดเสียแล้วล่ะ”
วัสนางค์พูดอย่างมีหลักการมากขึ้น เรื่องบาปบุญคุณโทษนี่ ถ้าไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่เชียวล่ะ แถมสิ่งที่เป็นไปนั้นก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่า ที่เมยาวีรอดมาได้อาจจะเพราะเพื่อนสาวของเธอเป็นคนใจบุญ การทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทน มักจะมาช่วยเหลือเราในยามที่ทุกข์ยากทุกครั้ง แม้จะไม่ปรารถนา แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างช่วยเหลือให้พ้นภัยได้ในที่สุด
เพียงไม่นาน รักษ์ราชก็พาคนทั้งหมดมาถึงยังโรงพยาบาลประจำอำเภอ เมยาวีถูกเพื่อนสาวลากไปให้คุณหมอตรวจดูอาการที่ข้อเท้า แม้ว่าจะถูกปฏิเสธ แต่ไหนเลยเมยาวีจะขัดใจเพื่อนสาวได้
ส่วนจอมทัพได้แยกไปเยี่ยมปุณชิกาและชัย ซึ่งก็ได้รักษ์ราชที่รู้จักห้องพาไปในที่สุด
“พี่จอม...” ปุณชิกาเอ่ยขึ้นอย่างดีใจเมื่อเห็นหน้าของจอมทัพ ก่อนจะวิ่งเข้ามากอดชายหนุ่มอย่างความเคยชิน “พี่จอมรู้ไหมคะว่าปูเป้เป็นห่วงพี่มากแค่ไหน เจ็บตรงไหนบ้างคะ ไหนดูซิ”
ว่าพร้อมกับออกจากอ้อมกอดของเขา แล้วมองสำรวจไปทั่วทั้งร่างกายของชายหนุ่มที่คลี่ยิ้มอย่างเพลียๆ อยู่ตรงหน้า
“พี่ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกปูเป้ แล้วเธอล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“ปูเป้ก็ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แต่ชัย” พูดเสียงเศร้าพร้อมกับหันไปมองร่างบนเตียงซึ่งยังนอนนิ่งอยู่เป็นฉากประกอบ ขณะจอมทัพมองตามญาติผู้น้อง ก่อนจะทอดถอนใจออกมา เรื่องของชัยเขาทราบตั้งแต่บนรถที่มีรักษ์ราชและวัสนางค์เล่าให้ฟัง เช่นเดียวกับเมยาวีถึงกับน้ำตาอาบคลอเมื่อทราบเรื่องของญาติผู้น้อง เธอจะมาเยี่ยมเขาพร้อมกับจอมทัพทว่ากลับถูกวัสนางค์ดึงไปให้หมอดูอาการเสียก่อน
“ไม่เป็นอะไรหรอกปูเป้ เดี๋ยวชัยก็ฟื้นขึ้นมาแล้วล่ะ”
เขาให้กำลังใจ พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบที่เส้นผมสลวยของหญิงสาว คนนอกอย่างรักษ์ราชก็ได้แต่ส่งยิ้มให้อย่างเป็นกำลังใจให้อยู่เงียบๆ
“ค่ะ...ปูเป้เชื่อเช่นนั้นนะคะ เอ่อ แล้วพี่เหมยล่ะคะ”
คิ้วบางสวยขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยอีกครั้ง เวลานี้มีแต่เพียงจอมทัพที่เข้ามาแล้วเมยาวีที่หายไปด้วยกันล่ะ กับวัสนางค์อีกคนหนึ่ง ทั้งสองคนหายไปไหนกัน
แล้วคนที่หญิงสาวพูดถึงก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับวัสนางค์ที่ช่วยพยุงอยู่ข้างๆ
“พี่อยู่นี่ค่ะ ปูเป้” เสียงจากหญิงสาว ทำให้ปุณชิกาต้องรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงเลยทีเดียว
“พี่เหมย...เป็นยังไงบ้างคะ”
“พี่เจ็บที่ข้อเท้า ที่เดียวเองค่ะ ตอนที่วิ่งหนีคนร้ายเมื่อคืน แล้วปูเป้ล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง”
“ปูเป้ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แต่น้องพี่เหมยน่ะสิคะ ไม่ยอมฟื้นขึ้นมาสักที” หญิงสาวผู้มีอายุอ่อนกว่าทุกคนในที่นั่นทำแก้มป๋องอย่างแสนงอน ที่คนบนเตียงไม่ยอมฟื้นขึ้นมาคุยกับเธอสักที ทั้งๆ ในความฝันเขาบอกและสัญญาแล้วว่าจะกลับมาหาเธอ
“ชัย...”
เมยาวีพยักหน้ารับทราบต่อคำที่ปุณชิกาบอกด้วยใบหน้าเศร้าก่อนจะรีบถลาไปยังเตียง เอื้อมมือกุมมือของน้องชายตนเองด้วยความเป็นห่วง
“นายจะต้องเข้มแข็งนะชัย นายจะต้องไม่เป็นอะไรเข้าใจไหม”
“ปูเป้ก็หวังเช่นนั้นเหมือนกันค่ะ คุณหมอบอกว่า รอให้เขาฟื้นมาอย่างเดียวเท่านั้น แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น แต่ปูเป้ก็ยังนึกหวั่นอยู่เลยค่ะ ว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมา ปูเป้กลัว”
ได้ยินเสียงเศร้าของสาวรุ่นน้องแล้ว วัสนางค์ที่ทนไม่ได้กับความอ่อนไหวเหล่านั้นจึงขยับเข้ามาให้กำลังใจสาวรุ่นน้องอีกครั้ง
“พี่บอกคุณปูเป้แล้วล่ะคะ ว่ายังไงแล้วชัยจะต้องฟื้นขึ้นมา ที่ยังไม่ฟื้นก็เพราะว่าตอนนี้เขาต้องการพักผ่อน เชื่อพี่เถอะค่ะ น้องชายของยายเหมยเข้มแข็งอยู่แล้ว”
“ใช่จ้ะ...ยังไงชัยก็จะต้องฟื้นขึ้นมา ยิ่งรู้ว่ามีคนเป็นห่วงแบบนี้ เขาก็ยิ่งจะต้องฟื้นขึ้นมาเร็วๆ” เมยาวีช่วยเสริม เธอเอื้อมมืออีกข้างไปลูบบนเส้นผมสลวยของสาวรุ่นน้อง แค่รู้ว่าปุณชิกาเป็นห่วงชัย เธอก็ดีใจแทนน้องชายของตนเองแล้วและเธอก็เชื่อ ว่ายังไงแล้วชัยก็ต้องฟื้นขึ้นมาในที่สุด
“ค่ะ...ปูเป้จะรอชัยให้ฟื้นขึ้นมาค่ะ”
ปุณชิกาพยักหน้ารับทราบ กรอบหน้าสวยที่มีแต่คราบน้ำตากลับมามีความสดใสอีกครั้ง หลังเห็นว่าสาวรุ่นน้องมีอาการดีขึ้นแล้ว เมยาวีจึงชวนทุกคนกลับ อีกอย่างเพื่อตนจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและที่สำคัญจะได้กินอาหารดีๆ หลังจากที่อดมาหลายมื้อตั้งแต่เมื่อวาน
แต่กระนั้นคนที่กลับไปก็ยังคงมีเพียงสามคนเท่านั้น เพราะปุณชิกายืนยันว่าจะขออยู่เฝ้าชัยที่โรงพยาบาล และเมื่อไม่อาจจะขัดอะไรได้ ทั้งจอมทัพ เมยาวี และวัสนางค์จึงได้อาศัยรถของรักษ์ราชกลับไปที่ไร่ศีตกรรณในที่สุด
หลังจากได้ส่งคนทั้งสามกลับบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว ร้อยตำรวจโทรักษ์ราช จึงได้กลับเข้าไปยังสถานีตำรวจที่ตนประจำการอีกครั้ง เพื่อจะจัดการคลี่คลายคดีเหล่านั้น ตลอดจนสืบสวนไปยังต้นตอซึ่งอยู่นอกประเทศก่อนจะร่วมมือกับตำรวจสากลจัดการกับแก๊งกลุ่มนี้ต่อไป
“เหมย...เป็นยังไงบ้าง”
แทบจะทันทีที่เมยาวีและจอมทัพเดินทางมาถึงบ้าน มณีกานดาซึ่งรอฟังข่าวของเพื่อนสาวอยู่ที่ไร่ศีตกรรณก็ถลาเข้าไปหาเพื่อนสาวทันทีที่เห็นเมยาวีเดินเข้ามาในที่นั้น
โอบกอดเพื่อนสาวจนหายความเป็นห่วงได้แล้ว มณีกานดาก็สำรวจไปจนทั่วร่างกายของเมยาวีเพื่อหาจุดบกพร่องที่ได้รับตอนหายตัวไป
“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก เจ็บแค่ที่ข้อเท้านิดหน่อยเอง ตอนนี้คุณหมอให้ยามาทาแล้วล่ะ” เจ้าของไร่สาวคลี่ยิ้มสดใส พยายามจะไม่แสดงสีหน้าอ่อนเพลียออกมาให้เพื่อนสาวได้เห็น เพราะมันจะทำให้มณีกานดาเศร้าไปด้วย
“ใจเธอจะห่วงแต่ยายเหมยคนเดียวหรือคีน แล้วฉันล่ะ” วัสนางค์ซึ่งตามมาทีหลัง อดจะค่อนเพื่อนสาวอย่างนึกหมั่นไส้ไม่ได้
“เธอก็เหมือนกันฝน ไหนมาดูซิ ว่าเป็นยังไงบ้าง” กลัวว่าอีกคนจะน้อยใจ มณีกานดาจึงรีบตรงเข้าไปหาวัสนางค์ ก่อนจะชวนกันเข้าไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก
“พวกเธอรู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงพวกเธอมาก” มณีกานดาทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้ออกมาจริงๆ เหมือนอย่างกับตอนที่เธอทราบเรื่องว่าเพื่อนสาวของเธอถูกจับตัวไป
“แต่ตอนนี้พวกฉันก็กลับมาแล้วนี่ เธอไม่ต้องเป็นห่วงแล้วล่ะคีน”
“ใช่จ้ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้วนะคีน” เมยาวีเสริมก่อนจะหันไปสั่งความกับน้ำบุษย์และคนรับใช้ ให้หาน้ำมาเสิร์ฟให้กับทุกคน ขณะจอมทัพได้ขอตัวแยกไปอาบน้ำอาบท่า ในสถานที่แห่งนั้นจึงเหลือกันเพียงสามเพื่อนสาวอีกครั้ง
“เป็นยังไงบ้างเหมย” วัสนางค์เอ่ยแทรกขึ้น จากที่ลับหลังจอมทัพไปแล้ว ประกายตาของแม่เพื่อนสาววาววับในยามที่มองเมยาวีด้วยสายตาคำถามแกมอยากรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนของเธอหายไปกับจอมทัพหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวัน
“เป็นยังไงฝน ฉันไม่เข้าใจ” สาวเจ้าของไร่ยังทำหน้างงกับสิ่งที่เพื่อนสาวพูดขึ้นมากะทันหันโดยเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวัสนางค์ต้องการสื่อถึงอะไร
“ก็เธอกับคุณจอมทัพอย่างไรล่ะ หายไปด้วยกันหนึ่งคืน กับอีกหนึ่งวัน...” วัสนางค์หยุดคำเอาไว้แค่นั้น เมยาวีก็เข้าใจ พร้อมกับกรอบหน้าสวยเริ่มจะเข้มขึ้นเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เพื่อนสาวกำลังถามนั้นมันคือเรื่องราวระหว่างเธอกับจอมทัพซึ่งได้เพิ่มความสัมพันธ์มากยิ่งกว่าเดิม
“อืม...ก็ดี” เมยาวีตอบได้แค่นั้นก็ก้มหน้างุดลงเช่นเดิม ขณะวัสนางค์แต่มองเพื่อนสาวอย่างสงสัยเพราะคำตอบจากเมยาวียังไม่ชัดเจนเท่าไรนักกับคำตอบที่เธออยากจะให้เป็น
“ก็ดี ยังไง”
“นี่มันอะไรกันเหมย ฝน พวกเธอพูดถึงอะไรกัน” มณีกานดาซึ่งนั่งเงียบมองกิริยาของเหล่าเพื่อนสาว จึงอดสอบถามไม่ได้
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกคีน ฉันแค่จะถามยายเหมยว่า ในช่วงหนึ่งคืนกับหนึ่งวันที่ยายเหมยหายไปกับคุณจอมทัพน่ะ เป็นยังไงบ้างมีความคืบหน้าอะไรหรือเปล่า”
“ก็...”
“บอกมาเถอะน่า ดูซิ ยายคีนอยากรู้จะตายแล้วนะ” โยนกลองไปให้มณีกานดา ขณะสาวเรียบได้แต่ทำหน้างงหนักเข้าไปอีก ก่อนจะหันมาขว้างค้อนใส่วัสนางค์ ที่โยนมุกให้กับเธอทั้งไม่รู้ว่าจะต่อไปอย่างไร
“ที่ว่า เธอต่างหากนะ ดูยายคีนสิ ยังทำหน้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย” เมยาวีรู้ทันดักทางทันใด
“เออๆ ฉันนี่แหละที่อยากรู้ ว่าแต่เป็นยังไงบ้างล่ะ คุณจอมทัพเค้ามีท่าทียังไงกับเธอบ้าง” แม่สาวเจ้าของสวนองุ่นเอ่ยขึ้นมาอย่างเซ็งสุดๆ ที่เมยาวีดักทางอย่างรู้ว่าเธอต้องการอะไร แต่อะไรก็ไม่สำคัญต่อคำตอบที่คนก้มหน้ามองพื้นด้วยกรอบหน้าแดงก่ำจะตอบออกมาและนั่นก็ยิ่งทำให้อีกสองสาวอ้าปากค้างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดว่ามันจะเป็นความจริงที่รวดเร็วนัก
“คุณจอมทัพบอกรักฉัน...”
“ห๊ะ...บอกรัก”
“ใช่ครับ...ผมรักคุณนะครับคุณเหมย”
ร่างบางซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มในชุดสูทสีดำและมีดอกกุหลาบช่อโตยื่นมาตรงหน้า บิดกายตัวเองไปมาด้วยความเขินอาย กรอบหน้าสวยแดงซ่านและก็แน่นอน คนที่ทำให้กิริยาของเธอเป็นเช่นนั้นก็คือจอมทัพ
“เหมยก็รักคุณค่ะ คุณจอม”
กรอบหน้าสวยที่แดงเข้ม เงยขึ้นสบสายตาอันร้อนรุ่มหากอบอุ่นของเขา ก่อนจะเอื้อมมือไปรับดอกกุหลาบช่อใหญ่ที่เธอยอมรับว่ามันมีความหมายมากที่สุดในชีวิตของเธอ
รับดอกไม้มากอดเอาไว้แล้ว เธอก็บิดกายไปมาอย่างเอียงอาย รอยยิ้มอ่อนโยนของเขายิ่งทำให้หัวใจของเธอพองโตและเต้นแรง ทว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับอีกประโยคหนึ่งของเขาซึ่งกำลังจะดังตามมาในเวลานั้น
“คุณเหมยครับ แต่ง....”
ติ๊ด…ติ๊ด...ติ๊ด...!!!
เสียงนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงทำงานอย่างรู้หน้าที่ ความฝันที่เด่นชัดมีอันต้องยุติลงไปทันที เมยาวีเด้งกายลุกขึ้นมานั่งด้วยกรอบหน้าที่ไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไร นึกขัดใจกับเสียงนาฬิกาปลุกเจ้ากรรมที่ทำให้เธอพลาดการได้ยินกับประโยคสำคัญจากปากของจอมทัพ
“นาฬิกาบ้าเอ้ย...มาขัดจังหวะอยู่เรื่อยเลย”
ดวงตาคู่สวยหรี่เล็ก ผมบนศีรษะฟูมือบางยกขึ้นเกาอย่างขัดใจสุดๆ เช่นเดียวกับแสงอาทิตย์ที่สาดแยงเข้ามาทางบานหน้าต่าง เธอตั้งเวลาเอาไว้ตอนสิบโมง แล้วเผลอตัวหลับไปตอนไหนยังไม่รู้ แต่ที่สำคัญที่สุด วันนี้เธอตื่นสายเป็นประวัติการณ์เลยล่ะ
อาจจะเป็นเพราะความเพลียก็เป็นได้ หากสิ่งไหนไม่สำคัญเท่ากับความฝันที่เพิ่งผ่านพ้นไปอันแสนจะหวานหยด อีกนิดเดียวเท่านั้น นิดเดียวจริงๆ เธอกำลังจะได้ยินเสียงของเขาขอแต่งงาน ทว่านาฬิกาบ้านี่สิที่ทำให้เธอหมดสิทธิ์ได้ฟังคำนั้นอย่างช้าๆ และชัดๆ
หากความขัดใจต้องมีอันจบลงแต่บัดนั้น เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นทางหน้าห้อง แน่นอนนั่นคือฝีมือของน้ำบุษย์ที่เธอมักจะรู้มือของอีกฝ่ายดี แต่วันนี้เป็นวันพักของเธอนะ ไม่เข้าใจว่าจะมาขัดเวลาแห่งความสุขของเธอทำไมอีก
“มีอะไรอีกล่ะบุษย์”
คนร่างบางลงจากเตียงแล้วเดินลากขามาเปิดประตูเท่านั้นแหละ เสียงเคาะประตูจึงหยุดลงและมันก็จริงอย่างที่คิด น้ำบุษย์ยืนอยู่ตรงหน้าประตู ด้วยรอยยิ้มแกมขอโทษอยู่ในที
“มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลว่าชัย ฟื้นแล้วค่ะ คุณเหมย อ้อ...ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ของคุณเหมยก็กลับมาถึงที่สถานบินแล้วค่ะ บุษย์ให้คนรถไปรับแล้วล่ะค่ะ”
“ชัยฟื้นแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็มา” เมยาวีถามเสียงเรียบเนือย ต่อสิ่งที่ได้รับฟังจากผู้ช่วยสาว
“ค่ะ คุณเหมยจะไปเยี่ยมชัยหรือเปล่าคะ บุษย์จะได้ให้คนเตรียมรถเอาไว้ให้”
“อืม...” เธอยกมือขึ้นป้องปากหาว ตาคู่สวยยังไม่เปิดดีเสียด้วยซ้ำ น้ำบุษย์จึงมองภาพนั้นด้วยความขบขัน
“ฉันขออาบน้ำก่อนนะ อ้อ แล้วคุณจอมทัพล่ะ เขาขึ้นมาหรือยัง” อดที่จะถามหาเขาอีกไม่ได้
“ขึ้นมาทานข้าวต้มเมื่อตอนแปดโมงค่ะ ตอนนี้ได้ล่วงหน้าไปที่โรงพยาบาลแล้วล่ะค่ะ”
“อืม...เดี๋ยวฉันตามไป อ้อ โทรหายายคีนกับยายฝนให้มาหาฉันด้วยนะ แต่ถ้าทั้งสองไม่ว่างก็ไม่เป็นไร”
“ค่ะ”
หลังรับคำแล้วน้ำบุษย์ก็เดินจากไปในทันที ขณะเมยาวีได้กลับเข้ามาในห้องแล้วจัดการกับธุระของตนเองให้เสร็จ ก่อนจะรีบตามจอมทัพไปที่โรงพยาบาล
ใช้เวลาไม่นานทั้งเมยาวีและวัสนางค์ก็เดินทางมาถึงยังโรงพยาบาล ส่วนมณีกานดาน้ำบุษย์ได้กลับมารายงานหญิงสาวเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนว่าได้ออกไปทำบุญที่วัดต่างจังหวัดพร้อมกับครอบครัวตั้งแต่เช้าแล้ว
“เห็นทีเราคงจะต้องหาโอกาสว่างๆ ไปทำบุญอย่างยายคีนบ้างล่ะเหมย” วัสนางค์เปรยขึ้น พร้อมกับเดินเคียงไปกับเพื่อนสาวเพื่อจะไปเยี่ยมญาติผู้น้องซึ่งพักรักษาตัวอยู่ชั้นสามของตึกหลังหนึ่ง
“ใช่ ฉันว่าวันนี้เราไปเลยไหม หลังจากเยี่ยมชัยแล้ว ชวนคุณจอมและคุณปูเป้ไปด้วย”
“อืม...ก็ดีนะ พาคุณปูเป้ไปวัดบ้าง บางทีจะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น”
ทั้งสองพยักหน้าเห็นพ้องไปกับความคิดที่ตรงกัน ก่อนจะพากันเข้าไปในห้องพักฟื้นผู้ป่วย
ภายในห้องนั้นมีเพียงปุณชิกาและชัยซึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงเท่านั้น ไร้เงาของจอมทัพอย่างที่เมยาวีอยากจะให้เป็น
“พี่เหมย พี่ฝน มาแล้วหรือคะ” ผู้ที่อยู่ในห้อง ซึ่งบัดนี้กำลังจัดแจกันดอกไม้หันไปมองทางประตู เห็นเป็นเมยาวีและวัสนางค์ จึงเป็นฝ่ายทักขึ้นเสียก่อน
“ค่ะ เมื่อเช้ามีโทรศัพท์บอกว่าชัยฟื้นแล้วหรือคะ ปูเป้”
เมยาวีเป็นฝ่ายถาม ก่อนจะถลาเข้าไปยืนข้างเตียงคนไข้ ซึ่งบัดนี้ร่างของชัยกลับยังคงนอนนิ่งอยู่ดุจเดิม อาการดีใจในคราวแรกเริ่มเปลี่ยนเป็นเช่นเดิมอีกครั้ง ทว่าเมื่อมองหน้าของปุณชิกาที่คลี่ยิ้มอย่างสดใสไม่วางแล้ว หญิงสาวจึงพอที่จะเบาใจ
“ค่ะ ชัยฟื้นแล้ว แต่เมื่อครู่คุณหมอมาให้ยาเขาอีกค่ะ แล้วก็ฉีดยานอนหลับให้กับชัย บอกว่าให้เขาพักผ่อนมากๆ เขายังคุยกับปูเป้ไม่เต็มอิ่มเลย ก็หลับไปเสียแล้ว”
“ชัยรู้สึกตัวก็ดีแล้วน่าเหมย ตอนนี้แค่หลับไปเท่านั้น เบาใจได้เพื่อน”
“อืม...เหมยก็ดีใจค่ะ ที่เจ้าชัยมันไม่เป็นอะไรมาก ปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะ ยิ่งมีปูเป้อยู่ด้วย เหมยยิ่งวางใจ” เมยาวีขยับเข้าไปหาปุณชิกาที่ยืนยิ้มหน้าเข้มอยู่หน้าโซฟา เมื่อหญิงสาวเดินไปถึงก็ชวนกันนั่งลง ส่วนวัสนางค์ขยับไปยืนมองวิวที่ริมหน้าต่าง เพราะไม่อยากจะเข้าไปขัดการสนทนาของทั้งสองสาว
“เหมยเพิ่งจะรู้นะคะ ว่าน้องชายของเหมยโชคดีที่มีปูเป้ห่วงใย”
“พี่เหมย...เอ่อ” เจอประโยคนั้น ปุณชิกาก็ยิ่งหน้าเข้มอีก มาพูดตรงๆ แบบนั้น แล้วเธอจะให้เธอตอบว่าอย่างไรล่ะ
“แค่รู้ว่าปูเป้ห่วงใยน้องชายของพี่ เหมยก็ดีใจแล้วนะคะ วันนี้เราไปวัดทำบุญกันดีไหมคะ เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น มาที่นี่ตั้งหลายวันปูเป้ยังไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนเลยนะคะ”
“แต่ปูเป้...เอ่อ ปูเป้ไม่อยากจะปล่อยให้ชัยอยู่คนเดียว...เอ่อ ค่ะ”
“เหมยรู้ค่ะว่าปูเป้เป็นห่วงชัยมากเสียด้วยสิ แต่ตอนนี้ก็เบาใจกันได้แล้วไม่ใช่หรือคะ ชัยรู้สึกตัวแล้วทางนี้ก็ฝากคุณหมอดูแลก่อนก็ได้ เราออกไปทำบุญออกไปเที่ยวกัน เผื่อว่าจะทำให้น้องสาวของพี่สดชื่นขึ้น นะคะ”
เมยาวีเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอน ประกายตาคู่สวยฉายความจริงใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปุณชิกาชั่งใจด้วยการมองร่างซึ่งนอนหลับสนิทอยู่ตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาและตอบรับไปในที่สุด
“ก็ได้ค่ะ...”
“ให้รันไปด้วยคนนะคะคุณจอม อยู่เฝ้ายายรติทั้งวัน รันเบื่อ” รัญญิการีบรี่เข้ามากอดแขนจอมทัพในทันทีที่ได้ยินการสนทนาระหว่างชายหนุ่มกับเมยาวีซึ่งกำลังจะชวนกันออกไปทำบุญและจะเลยไปเที่ยวเมืองดอกไม้งาม งานที่ทางตัวจังหวัดได้จัดขึ้นในช่วงนี้ด้วย
“เอ่อ...”
ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาในทันทีที่ได้รับฟังคำขอของรัญญิกา เขาเลื่อนสายตาลงไปมองกรอบหน้าสวยหวานของเมยาวีนิดหนึ่ง เหมือนจะเป็นการขอความเห็น ทว่าหญิงสาวกลับเงียบและนิ่ง เขาก็ยิ่งอึดอัดเธออุตส่าห์มาชวนเขาทั้งที ถ้าจะพ่วงพี่สาวของเลขาฯ ตนเองไปด้วย กลัวว่าเมยาวีจะยิ่งไม่พอใจและเข้าใจผิดไปกันใหญ่
“นะคะ...รันขอไปด้วยนะคะ”
ฝ่ายรัญญิกาก็ยิ่งอ้อนวอนเสียงดังอีกทั้งกระชับวงแขนชายหนุ่มแน่น วัสนางค์ซึ่งยืนมองดูร่างของรติกรที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสายตาเหม่อลอย เห็นแล้วก็อดจะหมั่นไส้ตามไม่ได้
ทว่าเวลานั้นความคิดหนึ่งจึงผุดเข้าแทนที่ ประกายตาคู่สวยของแม่สาวจอมเฮี้ยวฉายแววเจ้าเล่ห์ ก่อนเธอจะเดินเข้ามาคล้องแขนจอมทัพ ทำกิริยาให้เหมือนดั่งกับสาวอีกคนให้มากที่สุด
“ก็ดีนะคะ ให้คุณรันไปเที่ยวด้วย เผื่ออากาศหนาวๆ จะทำให้ความ...เอ่อ ลดลงไปบ้าง” วัสนางค์หยุดพูดคำว่า ‘แรด’ ให้อีกฝ่ายได้คิดเล่นแถมยังทำตาขวางอย่างไม่พอใจที่นังบ้านนอกมาทำล้อเลียนเธอ
“นะเหมย ให้คุณรันไปด้วย ฉันว่างานนี้จะสนุกมากนะ มีคนไปเยอะๆ ยิ่งสนุก” แอบขยิกตาเป็นการส่งสัญญาณให้เพื่อนสาว เมยาวีอมยิ้มมองตอบก็รู้ได้ในทันทีกับความหมายเหล่านั้น จากแววตากึ่งงอนจึงแปรเปลี่ยนมาเป็นสดใสอีกครั้ง
“อืม...ก็ได้ค่ะ ให้คุณรันไปด้วย ก็สนุกดีนะคะ มีหลายที่ที่มีความน่าตื่นเต้นมากเสียด้วยสิ เผื่อคุณรันจะชอบดีกว่าจะมานั่งเฝ้าคุณรติอยู่แบบนี้ทั้งวัน ไปปล่อยตัวปล่อยใจแบบนี้สักวันก็ดีค่ะ”
เห็นเมยาวีไม่ว่าอะไร จอมทัพจึงแอบลอบถอนหายใจ ทว่าเขาก็พอจะรู้ ภายในความหมายของวัสนางค์นั้น น่าจะมีบางสิ่งบางอย่างแอบแฝงอยู่และผู้ที่น่าจะถูกแจกพล็อตในครั้งนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากรัญญิกา ซึ่งตั้งแง่จะเป็นศัตรูกับวัสนางค์ตั้งแต่วันแรกที่เห็นกัน
ไม่รู้ว่างานนี้ แทนที่จะมีความสุขและสนุกสนาน อาจจะกลายเป็นการด่าแหลกแบบกระหน่ำจอก็เป็นได้...เฮ้อ คิดแล้วก็หนักใจแทน
เป็นครั้งที่สิบได้แล้วกระมังที่วัสนางค์ออกมายืนนอกรถของรักษ์ราช ก่อนจะกลับเข้าไปนั่งกระสับกระส่ายอยู่ในรถเช่นเดิม ไม่รู้ว่าทางเพื่อนสาวของเธอจะเป็นอย่างไร เพราะจากที่ได้ทราบข่าวมาล่าสุดนั้น ความคืบหน้าของตำรวจซึ่งลงพื้นที่ค้นหา เจอแค่รอยเท้าของทั้งสองเท่านั้น
ก่อนความอดทนที่มีอยู่จะสิ้นสุด หญิงสาวจึงลงจากรถและเดินไปข้างหน้า เพื่อจะออกไปตามหาเพื่อนสาวอีกแรงหนึ่ง
“นั่นคุณจะไปไหน คุณฝน”
รักษ์ราชซึ่งยืนสังเกตการณ์อยู่แถวนั้นมาเห็นทันก่อนที่หญิงสาวจะเดินจากไปเขาจึงเรียกเธอ ขณะวัสนางค์หันกลับมาทำตาขวางและแหวใส่เขาในทันที
“ใครอนุญาตให้นายเรียกชื่อเล่นฉันมิทราบ”
“ก็ผมอยากจะเรียกนี่ อีกอย่างชื่อจริงของคุณก็เรียกยากจะตายไป” นายตำรวจหนุ่มบ่นก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาเธอ
“แล้วนี่คุณจะไปไหน”
“ฉันจะเข้าป่า ไปตามหาเพื่อนของฉัน”
“คุณประชาชนคนสวยครับ คุณบ้าไปแล้วหรือยังไง เดี๋ยวก็หลงป่ากันพอดี ผมไม่ให้คุณเข้าไปหรอก”
“แต่ฉันจะไปและมันก็เป็นเรื่องของฉันด้วย พึ่งตำรวจอย่างคุณไม่ได้เรื่อง ตั้งแต่เช้าแล้วยังหาเพื่อนของฉันไม่เจอสักที”
“คุณก็รู้ว่าในป่ามันทึบ อีกอย่างเราก็ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าคุณจอมทัพและคุณเมยาวีไปทางไหน” รักษ์ราชเสียงเข้ม มองกรอบหน้าขาวสวยของหญิงสาวไม่วาง
“แต่มันก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี เพื่อนของฉันทั้งคนนะ อีกอย่างคุณจอมทัพก็ไปด้วย รวมเป็นสอง หากันตั้งแต่เมื่อคืน ยันจะค่ำอีกแล้ว ยังไม่เจอทั้งสองเลย ซึ่งมันก็ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“ผมต้องทำตามขั้นตอน คุณก็รู้”
“ใช่...ฉันรู้ แต่มันก็ไม่น่าจะนานขนาดนี้ พวกคุณค้นหาคนกันประสาอะไร”
วัสนางค์เริ่มเสียงดัง กรอบหน้าสวยก็ยิ่งเข้มขึ้นด้วยความโกรธจัดกับการทำงานของรักษ์ราชที่อ้างว่าต้องทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่เห็นว่าจะหาทั้งสองคนนั่นเจอสักที
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะต่อปากต่อคำกับหญิงสาวไปมากกว่านั้น นายตำรวจชั้นประทวนนายหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานความคืบหน้าอีกครั้ง
“หมวดครับหมวด...”
“มีอะไร”
“ตอนนี้เราพบคุณจอมทัพและคุณเมยาวีแล้วครับ ทั้งสองคนปลอดภัยดี ตอนนี้อยู่ที่บ้านของผู้ใหญ่บ้านบ้านผานางครับ”
คำรายงานนั้นชัดเจน วัสนางค์ดูจะดีใจมากกว่าใครอื่น “เจอพวกเขาแล้วหรือ...คุณตำรวจคะ รีบๆ ไปสิ เร็ว...” เธอเร่งเร้าก่อนจะรีบวิ่งกลับไปยังรถของเขาอย่างหน้าตาเฉย โดยไม่สนต่อกิริยาของตนที่เป็นอยู่เมื่อครู่
เช่นเดียวกับรักษ์ราชที่ได้แต่โคลงศีรษะไปมา ก่อนจะหันไปสั่งงานกับลูกน้องและตามแม่สาวจอมโก๊ะ แถมยังปากจัดไปที่รถในที่สุด
ใช้เวลาไม่นานนัก บ้านผานาง หมู่บ้านซึ่งเป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติมากอีกที่หนึ่ง ก็ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซุกตัวอยู่ท่ามกลางป่าเขา ตามโครงการพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่และหมู่บ้านแห่งนี้ ก็คือหนึ่งในจำนวนหมู่บ้านในโครงการเหล่านั้น
ใช้เวลาสอบถามไม่นานรักษ์ราชก็เดินทางมาถึงยังบ้านของนายต่วนผู้ใหญ่บ้านผานาง รถของนายตำรวจหนุ่มเคลื่อนเข้ามาจอดที่ลานหน้าบ้าน ซึ่งบัดนี้จอมทัพและเมยาวี พร้อมกับนายต่วน ภรรยาและลูกบ้านอีกสองคนยืนรออยู่ ด้วยรอยยิ้มยินดี
ทันทีที่รถจอดสนิท วัสนางค์ก็รีบลงจากรถและตรงเข้าไปหาเพื่อนสาวในทันที
“เหมย...”
“ฝน” ทั้งสองสาวโผเข้าโอบกอดกันด้วยความยินดี ก่อนวัสนางค์จะดึงร่างของเพื่อนสาวออกมาเพื่อสำรวจหาร่องรอยการบาดเจ็บ
“เธอเป็นอะไรมากไหมเหมย ดูซิหน้าเซียวหมดเลยนะ”
“ไม่เป็นอะไรหรอกฝน ฉันปลอดภัยดี จะมีแต่ที่ข้อเท้าเท่านั้นแหละที่แพลงนิดหน่อย แต่ตอนนี้ผู้ใหญ่ต่วนได้ให้ยามาทาแล้วล่ะ”
“โอ...คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองจริงๆ ขอบคุณมากนะคะคุณจอมทัพ ที่ดูแลเพื่อนของฉัน เป็นยังไงบ้างคะ” หันไปทางจอมทัพซึ่งยืนอยู่ไม่ห่างมากนักและเขาก็มีสภาพไม่ต่างกับเพื่อนสาวของเธอ นั่นก็คือเสื้อผ้าชุดเดิมของเมื่อวานที่สกปรกจนคิดว่าไม่น่าจะนำมาใส่ได้อีกต่อไป
“ผมไม่เป็นไรมากหรอกครับ คุณเหมยต่างหากน่าเป็นห่วงกว่า เห็นทีคราวนี้คงจะต้องให้หมอดูอาการที่ข้อเท้าแล้วล่ะ”
“แต่เหมยไม่ได้เป็นอะไรมากนี่คะ ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้ว”
“ไหนดูซิ...”
วัสนางค์ก้มลงมองไปที่ข้อเท้าของเพื่อนสาว แม้จะได้ยาหม่องทาแล้ว แต่อาการก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่ดี เพราะตรงนั้นบัดนี้เขียวช้ำอย่างเห็นได้ชัด อีกอย่างเมยาวีก็เป็นคนขาว แค่รอยจ้ำเล็กๆ ก็ชัดเจนมากแล้ว
เธอรู้ว่าเพื่อนสาวของเธอเป็นคนปากแข็งมากแค่ไหน ปากที่ว่าดีขึ้นแล้วทว่าในความเป็นจริงอาจจะกำลังเจ็บปวดแบบสุดๆ อยู่ก็ได้
“โอ...สงสัยคราวนี้จะต้องให้หมอเช็คจริงๆ แล้วล่ะเหมย ดูมันจะช้ำมากเลยนะเธอ”
“ไม่เป็นไรหรอกน่าฝน เอ้อ...แล้วคีนล่ะ ทราบเรื่องหรือเปล่า”
อดที่จะถามหาเพื่อนสาวอีกคนไม่ได้ จากที่แยกกันเมื่อตอนบ่ายของเมื่อวาน ดูมณีกานดาจะหายไปเลย ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างและบัดนี้จะรู้หรือไม่ว่าเธอถูกจับตัวมาแล้วถ้ารู้เช่นนั้น มณีกานดาจะเป็นเช่นไร
“รู้...แต่ฉันไม่ให้มาด้วยหรอก เพราะแค่รู้ครั้งแรกจากปากของน้ำบุษย์ รายนั้นก็เป็นลมไปเลย”
มณีกานดาเป็นแบบนี้เอง เธอมีสภาพจิตใจที่อ่อนแอมาก เมื่อเจอเรื่องอะไรที่ร้ายแรงย่อมจะเป็นลมในระดับแรกและก็จะร้องไห้ฟูมฟายในทันทีที่ฟื้นขึ้นมา วัสนางค์เชื่อว่า เวลานี้เพื่อนสาวของเธอคงจะกำลังร้องไห้อยู่เป็นแน่
“อืม...เดี๋ยวกลับไป ฉันเห็นทีคงจะต้องไปปลอบสักหน่อยแล้วล่ะ”
เมยาวีคลี่ยิ้มสดใส พยายามจะกลบเกลื่อนความกังวนที่มีอยู่ในหัวใจซึ่งตนเป็นต้นเหตุให้เพื่อนสาวต้องเป็นห่วงและทุกๆ คนที่ทราบเรื่อง ไม่รู้ว่าบัดนี้คุณพ่อและคุณแม่จะทราบเรื่องกันหรือยัง
“เอ่อ...แล้วนั่นใครล่ะ เธอมากับใคร”
อดที่จะมองเลยไปยังชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเดินเข้ามาพูดคุยอยู่กับผู้ใหญ่ต่วนอีกด้านหนึ่ง โดยมีจอมทัพเข้าไปคุยด้วย ดูท่าทีแล้วเขาจะเป็นการเป็นงานกับเรื่องนี้มาก นอกจากนั้นสีหน้าของเขายังจะดูเคร่งเครียดด้วยในยามที่พูดกับบุคคลอีกสองคน
“เป็นตำรวจน่ะ อีตานี่ ขอบอกเลยนะ โคตรขี้เก๊กเลย” ได้ที วัสนางค์เริ่มใส่ความคู่กรณีในทันที
“คุณรักษ์ราชหรือ”
หญิงสาวได้รับการเล่าเรื่องราวจากปากของจอมทัพและเหตุการณ์ที่พาให้เขามาหาเธอเมื่อวันวาน ก่อนจะเลิกคิ้วมองเพื่อนสาวเป็นเชิงล้อเลียน
“แต่เขาก็หล่อดีนะฝน...เธอไม่สนหรอ”
“ยี๋...ไม่เอาหรอกย่ะ ขอบอกคนแบบนี้ไม่ใช่สเปกของฉัน หมดสิทธิย่ะ”
หลังทุกอย่างเรียบร้อย ทุกคนก็ขอตัวกลับ ผู้ใหญ่ต่วนส่งยิ้มให้กับคนทั้งหมดอย่างยินดีที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและยิ่งได้รับคำขอบคุณจากหนุ่มสาวทั้งสี่แล้ว ชายชราก็ยิ่งดีใจอย่างสุดๆ เมื่อรถจากไปแล้วจึงได้พาภรรยาที่มายืนส่งด้วยกันขึ้นบ้านไป
เช่นเดียวกับคนบนรถ หลังจากที่ขึ้นรถมาได้ วัสนางค์ก็เปิดฉากพูดคุยกับเพื่อนสาวในทันทีทันใด สอบถามถึงเหตุการณ์ที่เป็นไปหลังการแยกกันของเธอและเมยาวีตั้งแต่เมื่อคืน จวบจนทั้งเพื่อนสาวและจอมทัพหลงอยู่ป่าไปด้วยกันสองคน
“ดีนะ ที่ทั้งสองคนไม่เป็นอะไร”
หลังทราบเหตุการณ์ที่เมยาวีและจอมทัพพากันกระโดดหน้าผา วัสนางค์ก็ถึงยกมือขึ้นทาบอก ดีนะที่ทั้งสองรอดมาได้ คุณพระคุณเจ้าช่วยเหลือแท้ๆ
“ใช่ ตอนแรกฉันคิดว่าจะตายไปแล้วนะ แต่ยังดีที่รอดมาได้”
“รอดมาได้ก็ดีแล้วล่ะเหมย หลังจากนี้เห็นทีฉันคงจะต้องพาเธอและคุณจอมไปทำบุญเก้าวัดเสียแล้วล่ะ”
วัสนางค์พูดอย่างมีหลักการมากขึ้น เรื่องบาปบุญคุณโทษนี่ ถ้าไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่เชียวล่ะ แถมสิ่งที่เป็นไปนั้นก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีแล้วว่า ที่เมยาวีรอดมาได้อาจจะเพราะเพื่อนสาวของเธอเป็นคนใจบุญ การทำบุญโดยไม่หวังผลตอบแทน มักจะมาช่วยเหลือเราในยามที่ทุกข์ยากทุกครั้ง แม้จะไม่ปรารถนา แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างช่วยเหลือให้พ้นภัยได้ในที่สุด
เพียงไม่นาน รักษ์ราชก็พาคนทั้งหมดมาถึงยังโรงพยาบาลประจำอำเภอ เมยาวีถูกเพื่อนสาวลากไปให้คุณหมอตรวจดูอาการที่ข้อเท้า แม้ว่าจะถูกปฏิเสธ แต่ไหนเลยเมยาวีจะขัดใจเพื่อนสาวได้
ส่วนจอมทัพได้แยกไปเยี่ยมปุณชิกาและชัย ซึ่งก็ได้รักษ์ราชที่รู้จักห้องพาไปในที่สุด
“พี่จอม...” ปุณชิกาเอ่ยขึ้นอย่างดีใจเมื่อเห็นหน้าของจอมทัพ ก่อนจะวิ่งเข้ามากอดชายหนุ่มอย่างความเคยชิน “พี่จอมรู้ไหมคะว่าปูเป้เป็นห่วงพี่มากแค่ไหน เจ็บตรงไหนบ้างคะ ไหนดูซิ”
ว่าพร้อมกับออกจากอ้อมกอดของเขา แล้วมองสำรวจไปทั่วทั้งร่างกายของชายหนุ่มที่คลี่ยิ้มอย่างเพลียๆ อยู่ตรงหน้า
“พี่ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกปูเป้ แล้วเธอล่ะเป็นยังไงบ้าง”
“ปูเป้ก็ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แต่ชัย” พูดเสียงเศร้าพร้อมกับหันไปมองร่างบนเตียงซึ่งยังนอนนิ่งอยู่เป็นฉากประกอบ ขณะจอมทัพมองตามญาติผู้น้อง ก่อนจะทอดถอนใจออกมา เรื่องของชัยเขาทราบตั้งแต่บนรถที่มีรักษ์ราชและวัสนางค์เล่าให้ฟัง เช่นเดียวกับเมยาวีถึงกับน้ำตาอาบคลอเมื่อทราบเรื่องของญาติผู้น้อง เธอจะมาเยี่ยมเขาพร้อมกับจอมทัพทว่ากลับถูกวัสนางค์ดึงไปให้หมอดูอาการเสียก่อน
“ไม่เป็นอะไรหรอกปูเป้ เดี๋ยวชัยก็ฟื้นขึ้นมาแล้วล่ะ”
เขาให้กำลังใจ พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบที่เส้นผมสลวยของหญิงสาว คนนอกอย่างรักษ์ราชก็ได้แต่ส่งยิ้มให้อย่างเป็นกำลังใจให้อยู่เงียบๆ
“ค่ะ...ปูเป้เชื่อเช่นนั้นนะคะ เอ่อ แล้วพี่เหมยล่ะคะ”
คิ้วบางสวยขมวดเข้าหากันอย่างสงสัยอีกครั้ง เวลานี้มีแต่เพียงจอมทัพที่เข้ามาแล้วเมยาวีที่หายไปด้วยกันล่ะ กับวัสนางค์อีกคนหนึ่ง ทั้งสองคนหายไปไหนกัน
แล้วคนที่หญิงสาวพูดถึงก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับวัสนางค์ที่ช่วยพยุงอยู่ข้างๆ
“พี่อยู่นี่ค่ะ ปูเป้” เสียงจากหญิงสาว ทำให้ปุณชิกาต้องรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วงเลยทีเดียว
“พี่เหมย...เป็นยังไงบ้างคะ”
“พี่เจ็บที่ข้อเท้า ที่เดียวเองค่ะ ตอนที่วิ่งหนีคนร้ายเมื่อคืน แล้วปูเป้ล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง”
“ปูเป้ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ แต่น้องพี่เหมยน่ะสิคะ ไม่ยอมฟื้นขึ้นมาสักที” หญิงสาวผู้มีอายุอ่อนกว่าทุกคนในที่นั่นทำแก้มป๋องอย่างแสนงอน ที่คนบนเตียงไม่ยอมฟื้นขึ้นมาคุยกับเธอสักที ทั้งๆ ในความฝันเขาบอกและสัญญาแล้วว่าจะกลับมาหาเธอ
“ชัย...”
เมยาวีพยักหน้ารับทราบต่อคำที่ปุณชิกาบอกด้วยใบหน้าเศร้าก่อนจะรีบถลาไปยังเตียง เอื้อมมือกุมมือของน้องชายตนเองด้วยความเป็นห่วง
“นายจะต้องเข้มแข็งนะชัย นายจะต้องไม่เป็นอะไรเข้าใจไหม”
“ปูเป้ก็หวังเช่นนั้นเหมือนกันค่ะ คุณหมอบอกว่า รอให้เขาฟื้นมาอย่างเดียวเท่านั้น แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้น แต่ปูเป้ก็ยังนึกหวั่นอยู่เลยค่ะ ว่าเขาจะไม่ฟื้นขึ้นมา ปูเป้กลัว”
ได้ยินเสียงเศร้าของสาวรุ่นน้องแล้ว วัสนางค์ที่ทนไม่ได้กับความอ่อนไหวเหล่านั้นจึงขยับเข้ามาให้กำลังใจสาวรุ่นน้องอีกครั้ง
“พี่บอกคุณปูเป้แล้วล่ะคะ ว่ายังไงแล้วชัยจะต้องฟื้นขึ้นมา ที่ยังไม่ฟื้นก็เพราะว่าตอนนี้เขาต้องการพักผ่อน เชื่อพี่เถอะค่ะ น้องชายของยายเหมยเข้มแข็งอยู่แล้ว”
“ใช่จ้ะ...ยังไงชัยก็จะต้องฟื้นขึ้นมา ยิ่งรู้ว่ามีคนเป็นห่วงแบบนี้ เขาก็ยิ่งจะต้องฟื้นขึ้นมาเร็วๆ” เมยาวีช่วยเสริม เธอเอื้อมมืออีกข้างไปลูบบนเส้นผมสลวยของสาวรุ่นน้อง แค่รู้ว่าปุณชิกาเป็นห่วงชัย เธอก็ดีใจแทนน้องชายของตนเองแล้วและเธอก็เชื่อ ว่ายังไงแล้วชัยก็ต้องฟื้นขึ้นมาในที่สุด
“ค่ะ...ปูเป้จะรอชัยให้ฟื้นขึ้นมาค่ะ”
ปุณชิกาพยักหน้ารับทราบ กรอบหน้าสวยที่มีแต่คราบน้ำตากลับมามีความสดใสอีกครั้ง หลังเห็นว่าสาวรุ่นน้องมีอาการดีขึ้นแล้ว เมยาวีจึงชวนทุกคนกลับ อีกอย่างเพื่อตนจะได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและที่สำคัญจะได้กินอาหารดีๆ หลังจากที่อดมาหลายมื้อตั้งแต่เมื่อวาน
แต่กระนั้นคนที่กลับไปก็ยังคงมีเพียงสามคนเท่านั้น เพราะปุณชิกายืนยันว่าจะขออยู่เฝ้าชัยที่โรงพยาบาล และเมื่อไม่อาจจะขัดอะไรได้ ทั้งจอมทัพ เมยาวี และวัสนางค์จึงได้อาศัยรถของรักษ์ราชกลับไปที่ไร่ศีตกรรณในที่สุด
หลังจากได้ส่งคนทั้งสามกลับบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว ร้อยตำรวจโทรักษ์ราช จึงได้กลับเข้าไปยังสถานีตำรวจที่ตนประจำการอีกครั้ง เพื่อจะจัดการคลี่คลายคดีเหล่านั้น ตลอดจนสืบสวนไปยังต้นตอซึ่งอยู่นอกประเทศก่อนจะร่วมมือกับตำรวจสากลจัดการกับแก๊งกลุ่มนี้ต่อไป
“เหมย...เป็นยังไงบ้าง”
แทบจะทันทีที่เมยาวีและจอมทัพเดินทางมาถึงบ้าน มณีกานดาซึ่งรอฟังข่าวของเพื่อนสาวอยู่ที่ไร่ศีตกรรณก็ถลาเข้าไปหาเพื่อนสาวทันทีที่เห็นเมยาวีเดินเข้ามาในที่นั้น
โอบกอดเพื่อนสาวจนหายความเป็นห่วงได้แล้ว มณีกานดาก็สำรวจไปจนทั่วร่างกายของเมยาวีเพื่อหาจุดบกพร่องที่ได้รับตอนหายตัวไป
“ฉันไม่เป็นอะไรมากหรอก เจ็บแค่ที่ข้อเท้านิดหน่อยเอง ตอนนี้คุณหมอให้ยามาทาแล้วล่ะ” เจ้าของไร่สาวคลี่ยิ้มสดใส พยายามจะไม่แสดงสีหน้าอ่อนเพลียออกมาให้เพื่อนสาวได้เห็น เพราะมันจะทำให้มณีกานดาเศร้าไปด้วย
“ใจเธอจะห่วงแต่ยายเหมยคนเดียวหรือคีน แล้วฉันล่ะ” วัสนางค์ซึ่งตามมาทีหลัง อดจะค่อนเพื่อนสาวอย่างนึกหมั่นไส้ไม่ได้
“เธอก็เหมือนกันฝน ไหนมาดูซิ ว่าเป็นยังไงบ้าง” กลัวว่าอีกคนจะน้อยใจ มณีกานดาจึงรีบตรงเข้าไปหาวัสนางค์ ก่อนจะชวนกันเข้าไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขก
“พวกเธอรู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงพวกเธอมาก” มณีกานดาทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้ออกมาจริงๆ เหมือนอย่างกับตอนที่เธอทราบเรื่องว่าเพื่อนสาวของเธอถูกจับตัวไป
“แต่ตอนนี้พวกฉันก็กลับมาแล้วนี่ เธอไม่ต้องเป็นห่วงแล้วล่ะคีน”
“ใช่จ้ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้วนะคีน” เมยาวีเสริมก่อนจะหันไปสั่งความกับน้ำบุษย์และคนรับใช้ ให้หาน้ำมาเสิร์ฟให้กับทุกคน ขณะจอมทัพได้ขอตัวแยกไปอาบน้ำอาบท่า ในสถานที่แห่งนั้นจึงเหลือกันเพียงสามเพื่อนสาวอีกครั้ง
“เป็นยังไงบ้างเหมย” วัสนางค์เอ่ยแทรกขึ้น จากที่ลับหลังจอมทัพไปแล้ว ประกายตาของแม่เพื่อนสาววาววับในยามที่มองเมยาวีด้วยสายตาคำถามแกมอยากรู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนของเธอหายไปกับจอมทัพหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวัน
“เป็นยังไงฝน ฉันไม่เข้าใจ” สาวเจ้าของไร่ยังทำหน้างงกับสิ่งที่เพื่อนสาวพูดขึ้นมากะทันหันโดยเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวัสนางค์ต้องการสื่อถึงอะไร
“ก็เธอกับคุณจอมทัพอย่างไรล่ะ หายไปด้วยกันหนึ่งคืน กับอีกหนึ่งวัน...” วัสนางค์หยุดคำเอาไว้แค่นั้น เมยาวีก็เข้าใจ พร้อมกับกรอบหน้าสวยเริ่มจะเข้มขึ้นเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เพื่อนสาวกำลังถามนั้นมันคือเรื่องราวระหว่างเธอกับจอมทัพซึ่งได้เพิ่มความสัมพันธ์มากยิ่งกว่าเดิม
“อืม...ก็ดี” เมยาวีตอบได้แค่นั้นก็ก้มหน้างุดลงเช่นเดิม ขณะวัสนางค์แต่มองเพื่อนสาวอย่างสงสัยเพราะคำตอบจากเมยาวียังไม่ชัดเจนเท่าไรนักกับคำตอบที่เธออยากจะให้เป็น
“ก็ดี ยังไง”
“นี่มันอะไรกันเหมย ฝน พวกเธอพูดถึงอะไรกัน” มณีกานดาซึ่งนั่งเงียบมองกิริยาของเหล่าเพื่อนสาว จึงอดสอบถามไม่ได้
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอกคีน ฉันแค่จะถามยายเหมยว่า ในช่วงหนึ่งคืนกับหนึ่งวันที่ยายเหมยหายไปกับคุณจอมทัพน่ะ เป็นยังไงบ้างมีความคืบหน้าอะไรหรือเปล่า”
“ก็...”
“บอกมาเถอะน่า ดูซิ ยายคีนอยากรู้จะตายแล้วนะ” โยนกลองไปให้มณีกานดา ขณะสาวเรียบได้แต่ทำหน้างงหนักเข้าไปอีก ก่อนจะหันมาขว้างค้อนใส่วัสนางค์ ที่โยนมุกให้กับเธอทั้งไม่รู้ว่าจะต่อไปอย่างไร
“ที่ว่า เธอต่างหากนะ ดูยายคีนสิ ยังทำหน้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย” เมยาวีรู้ทันดักทางทันใด
“เออๆ ฉันนี่แหละที่อยากรู้ ว่าแต่เป็นยังไงบ้างล่ะ คุณจอมทัพเค้ามีท่าทียังไงกับเธอบ้าง” แม่สาวเจ้าของสวนองุ่นเอ่ยขึ้นมาอย่างเซ็งสุดๆ ที่เมยาวีดักทางอย่างรู้ว่าเธอต้องการอะไร แต่อะไรก็ไม่สำคัญต่อคำตอบที่คนก้มหน้ามองพื้นด้วยกรอบหน้าแดงก่ำจะตอบออกมาและนั่นก็ยิ่งทำให้อีกสองสาวอ้าปากค้างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดว่ามันจะเป็นความจริงที่รวดเร็วนัก
“คุณจอมทัพบอกรักฉัน...”
“ห๊ะ...บอกรัก”
“ใช่ครับ...ผมรักคุณนะครับคุณเหมย”
ร่างบางซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของชายหนุ่มในชุดสูทสีดำและมีดอกกุหลาบช่อโตยื่นมาตรงหน้า บิดกายตัวเองไปมาด้วยความเขินอาย กรอบหน้าสวยแดงซ่านและก็แน่นอน คนที่ทำให้กิริยาของเธอเป็นเช่นนั้นก็คือจอมทัพ
“เหมยก็รักคุณค่ะ คุณจอม”
กรอบหน้าสวยที่แดงเข้ม เงยขึ้นสบสายตาอันร้อนรุ่มหากอบอุ่นของเขา ก่อนจะเอื้อมมือไปรับดอกกุหลาบช่อใหญ่ที่เธอยอมรับว่ามันมีความหมายมากที่สุดในชีวิตของเธอ
รับดอกไม้มากอดเอาไว้แล้ว เธอก็บิดกายไปมาอย่างเอียงอาย รอยยิ้มอ่อนโยนของเขายิ่งทำให้หัวใจของเธอพองโตและเต้นแรง ทว่าอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับอีกประโยคหนึ่งของเขาซึ่งกำลังจะดังตามมาในเวลานั้น
“คุณเหมยครับ แต่ง....”
ติ๊ด…ติ๊ด...ติ๊ด...!!!
เสียงนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงทำงานอย่างรู้หน้าที่ ความฝันที่เด่นชัดมีอันต้องยุติลงไปทันที เมยาวีเด้งกายลุกขึ้นมานั่งด้วยกรอบหน้าที่ไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไร นึกขัดใจกับเสียงนาฬิกาปลุกเจ้ากรรมที่ทำให้เธอพลาดการได้ยินกับประโยคสำคัญจากปากของจอมทัพ
“นาฬิกาบ้าเอ้ย...มาขัดจังหวะอยู่เรื่อยเลย”
ดวงตาคู่สวยหรี่เล็ก ผมบนศีรษะฟูมือบางยกขึ้นเกาอย่างขัดใจสุดๆ เช่นเดียวกับแสงอาทิตย์ที่สาดแยงเข้ามาทางบานหน้าต่าง เธอตั้งเวลาเอาไว้ตอนสิบโมง แล้วเผลอตัวหลับไปตอนไหนยังไม่รู้ แต่ที่สำคัญที่สุด วันนี้เธอตื่นสายเป็นประวัติการณ์เลยล่ะ
อาจจะเป็นเพราะความเพลียก็เป็นได้ หากสิ่งไหนไม่สำคัญเท่ากับความฝันที่เพิ่งผ่านพ้นไปอันแสนจะหวานหยด อีกนิดเดียวเท่านั้น นิดเดียวจริงๆ เธอกำลังจะได้ยินเสียงของเขาขอแต่งงาน ทว่านาฬิกาบ้านี่สิที่ทำให้เธอหมดสิทธิ์ได้ฟังคำนั้นอย่างช้าๆ และชัดๆ
หากความขัดใจต้องมีอันจบลงแต่บัดนั้น เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นทางหน้าห้อง แน่นอนนั่นคือฝีมือของน้ำบุษย์ที่เธอมักจะรู้มือของอีกฝ่ายดี แต่วันนี้เป็นวันพักของเธอนะ ไม่เข้าใจว่าจะมาขัดเวลาแห่งความสุขของเธอทำไมอีก
“มีอะไรอีกล่ะบุษย์”
คนร่างบางลงจากเตียงแล้วเดินลากขามาเปิดประตูเท่านั้นแหละ เสียงเคาะประตูจึงหยุดลงและมันก็จริงอย่างที่คิด น้ำบุษย์ยืนอยู่ตรงหน้าประตู ด้วยรอยยิ้มแกมขอโทษอยู่ในที
“มีโทรศัพท์จากโรงพยาบาลว่าชัย ฟื้นแล้วค่ะ คุณเหมย อ้อ...ตอนนี้คุณพ่อคุณแม่ของคุณเหมยก็กลับมาถึงที่สถานบินแล้วค่ะ บุษย์ให้คนรถไปรับแล้วล่ะค่ะ”
“ชัยฟื้นแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็มา” เมยาวีถามเสียงเรียบเนือย ต่อสิ่งที่ได้รับฟังจากผู้ช่วยสาว
“ค่ะ คุณเหมยจะไปเยี่ยมชัยหรือเปล่าคะ บุษย์จะได้ให้คนเตรียมรถเอาไว้ให้”
“อืม...” เธอยกมือขึ้นป้องปากหาว ตาคู่สวยยังไม่เปิดดีเสียด้วยซ้ำ น้ำบุษย์จึงมองภาพนั้นด้วยความขบขัน
“ฉันขออาบน้ำก่อนนะ อ้อ แล้วคุณจอมทัพล่ะ เขาขึ้นมาหรือยัง” อดที่จะถามหาเขาอีกไม่ได้
“ขึ้นมาทานข้าวต้มเมื่อตอนแปดโมงค่ะ ตอนนี้ได้ล่วงหน้าไปที่โรงพยาบาลแล้วล่ะค่ะ”
“อืม...เดี๋ยวฉันตามไป อ้อ โทรหายายคีนกับยายฝนให้มาหาฉันด้วยนะ แต่ถ้าทั้งสองไม่ว่างก็ไม่เป็นไร”
“ค่ะ”
หลังรับคำแล้วน้ำบุษย์ก็เดินจากไปในทันที ขณะเมยาวีได้กลับเข้ามาในห้องแล้วจัดการกับธุระของตนเองให้เสร็จ ก่อนจะรีบตามจอมทัพไปที่โรงพยาบาล
ใช้เวลาไม่นานทั้งเมยาวีและวัสนางค์ก็เดินทางมาถึงยังโรงพยาบาล ส่วนมณีกานดาน้ำบุษย์ได้กลับมารายงานหญิงสาวเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนว่าได้ออกไปทำบุญที่วัดต่างจังหวัดพร้อมกับครอบครัวตั้งแต่เช้าแล้ว
“เห็นทีเราคงจะต้องหาโอกาสว่างๆ ไปทำบุญอย่างยายคีนบ้างล่ะเหมย” วัสนางค์เปรยขึ้น พร้อมกับเดินเคียงไปกับเพื่อนสาวเพื่อจะไปเยี่ยมญาติผู้น้องซึ่งพักรักษาตัวอยู่ชั้นสามของตึกหลังหนึ่ง
“ใช่ ฉันว่าวันนี้เราไปเลยไหม หลังจากเยี่ยมชัยแล้ว ชวนคุณจอมและคุณปูเป้ไปด้วย”
“อืม...ก็ดีนะ พาคุณปูเป้ไปวัดบ้าง บางทีจะได้รู้สึกสดชื่นขึ้น”
ทั้งสองพยักหน้าเห็นพ้องไปกับความคิดที่ตรงกัน ก่อนจะพากันเข้าไปในห้องพักฟื้นผู้ป่วย
ภายในห้องนั้นมีเพียงปุณชิกาและชัยซึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงเท่านั้น ไร้เงาของจอมทัพอย่างที่เมยาวีอยากจะให้เป็น
“พี่เหมย พี่ฝน มาแล้วหรือคะ” ผู้ที่อยู่ในห้อง ซึ่งบัดนี้กำลังจัดแจกันดอกไม้หันไปมองทางประตู เห็นเป็นเมยาวีและวัสนางค์ จึงเป็นฝ่ายทักขึ้นเสียก่อน
“ค่ะ เมื่อเช้ามีโทรศัพท์บอกว่าชัยฟื้นแล้วหรือคะ ปูเป้”
เมยาวีเป็นฝ่ายถาม ก่อนจะถลาเข้าไปยืนข้างเตียงคนไข้ ซึ่งบัดนี้ร่างของชัยกลับยังคงนอนนิ่งอยู่ดุจเดิม อาการดีใจในคราวแรกเริ่มเปลี่ยนเป็นเช่นเดิมอีกครั้ง ทว่าเมื่อมองหน้าของปุณชิกาที่คลี่ยิ้มอย่างสดใสไม่วางแล้ว หญิงสาวจึงพอที่จะเบาใจ
“ค่ะ ชัยฟื้นแล้ว แต่เมื่อครู่คุณหมอมาให้ยาเขาอีกค่ะ แล้วก็ฉีดยานอนหลับให้กับชัย บอกว่าให้เขาพักผ่อนมากๆ เขายังคุยกับปูเป้ไม่เต็มอิ่มเลย ก็หลับไปเสียแล้ว”
“ชัยรู้สึกตัวก็ดีแล้วน่าเหมย ตอนนี้แค่หลับไปเท่านั้น เบาใจได้เพื่อน”
“อืม...เหมยก็ดีใจค่ะ ที่เจ้าชัยมันไม่เป็นอะไรมาก ปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะ ยิ่งมีปูเป้อยู่ด้วย เหมยยิ่งวางใจ” เมยาวีขยับเข้าไปหาปุณชิกาที่ยืนยิ้มหน้าเข้มอยู่หน้าโซฟา เมื่อหญิงสาวเดินไปถึงก็ชวนกันนั่งลง ส่วนวัสนางค์ขยับไปยืนมองวิวที่ริมหน้าต่าง เพราะไม่อยากจะเข้าไปขัดการสนทนาของทั้งสองสาว
“เหมยเพิ่งจะรู้นะคะ ว่าน้องชายของเหมยโชคดีที่มีปูเป้ห่วงใย”
“พี่เหมย...เอ่อ” เจอประโยคนั้น ปุณชิกาก็ยิ่งหน้าเข้มอีก มาพูดตรงๆ แบบนั้น แล้วเธอจะให้เธอตอบว่าอย่างไรล่ะ
“แค่รู้ว่าปูเป้ห่วงใยน้องชายของพี่ เหมยก็ดีใจแล้วนะคะ วันนี้เราไปวัดทำบุญกันดีไหมคะ เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น มาที่นี่ตั้งหลายวันปูเป้ยังไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนเลยนะคะ”
“แต่ปูเป้...เอ่อ ปูเป้ไม่อยากจะปล่อยให้ชัยอยู่คนเดียว...เอ่อ ค่ะ”
“เหมยรู้ค่ะว่าปูเป้เป็นห่วงชัยมากเสียด้วยสิ แต่ตอนนี้ก็เบาใจกันได้แล้วไม่ใช่หรือคะ ชัยรู้สึกตัวแล้วทางนี้ก็ฝากคุณหมอดูแลก่อนก็ได้ เราออกไปทำบุญออกไปเที่ยวกัน เผื่อว่าจะทำให้น้องสาวของพี่สดชื่นขึ้น นะคะ”
เมยาวีเอ่ยด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอน ประกายตาคู่สวยฉายความจริงใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ปุณชิกาชั่งใจด้วยการมองร่างซึ่งนอนหลับสนิทอยู่ตรงหน้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาและตอบรับไปในที่สุด
“ก็ได้ค่ะ...”
“ให้รันไปด้วยคนนะคะคุณจอม อยู่เฝ้ายายรติทั้งวัน รันเบื่อ” รัญญิการีบรี่เข้ามากอดแขนจอมทัพในทันทีที่ได้ยินการสนทนาระหว่างชายหนุ่มกับเมยาวีซึ่งกำลังจะชวนกันออกไปทำบุญและจะเลยไปเที่ยวเมืองดอกไม้งาม งานที่ทางตัวจังหวัดได้จัดขึ้นในช่วงนี้ด้วย
“เอ่อ...”
ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาในทันทีที่ได้รับฟังคำขอของรัญญิกา เขาเลื่อนสายตาลงไปมองกรอบหน้าสวยหวานของเมยาวีนิดหนึ่ง เหมือนจะเป็นการขอความเห็น ทว่าหญิงสาวกลับเงียบและนิ่ง เขาก็ยิ่งอึดอัดเธออุตส่าห์มาชวนเขาทั้งที ถ้าจะพ่วงพี่สาวของเลขาฯ ตนเองไปด้วย กลัวว่าเมยาวีจะยิ่งไม่พอใจและเข้าใจผิดไปกันใหญ่
“นะคะ...รันขอไปด้วยนะคะ”
ฝ่ายรัญญิกาก็ยิ่งอ้อนวอนเสียงดังอีกทั้งกระชับวงแขนชายหนุ่มแน่น วัสนางค์ซึ่งยืนมองดูร่างของรติกรที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงด้วยสายตาเหม่อลอย เห็นแล้วก็อดจะหมั่นไส้ตามไม่ได้
ทว่าเวลานั้นความคิดหนึ่งจึงผุดเข้าแทนที่ ประกายตาคู่สวยของแม่สาวจอมเฮี้ยวฉายแววเจ้าเล่ห์ ก่อนเธอจะเดินเข้ามาคล้องแขนจอมทัพ ทำกิริยาให้เหมือนดั่งกับสาวอีกคนให้มากที่สุด
“ก็ดีนะคะ ให้คุณรันไปเที่ยวด้วย เผื่ออากาศหนาวๆ จะทำให้ความ...เอ่อ ลดลงไปบ้าง” วัสนางค์หยุดพูดคำว่า ‘แรด’ ให้อีกฝ่ายได้คิดเล่นแถมยังทำตาขวางอย่างไม่พอใจที่นังบ้านนอกมาทำล้อเลียนเธอ
“นะเหมย ให้คุณรันไปด้วย ฉันว่างานนี้จะสนุกมากนะ มีคนไปเยอะๆ ยิ่งสนุก” แอบขยิกตาเป็นการส่งสัญญาณให้เพื่อนสาว เมยาวีอมยิ้มมองตอบก็รู้ได้ในทันทีกับความหมายเหล่านั้น จากแววตากึ่งงอนจึงแปรเปลี่ยนมาเป็นสดใสอีกครั้ง
“อืม...ก็ได้ค่ะ ให้คุณรันไปด้วย ก็สนุกดีนะคะ มีหลายที่ที่มีความน่าตื่นเต้นมากเสียด้วยสิ เผื่อคุณรันจะชอบดีกว่าจะมานั่งเฝ้าคุณรติอยู่แบบนี้ทั้งวัน ไปปล่อยตัวปล่อยใจแบบนี้สักวันก็ดีค่ะ”
เห็นเมยาวีไม่ว่าอะไร จอมทัพจึงแอบลอบถอนหายใจ ทว่าเขาก็พอจะรู้ ภายในความหมายของวัสนางค์นั้น น่าจะมีบางสิ่งบางอย่างแอบแฝงอยู่และผู้ที่น่าจะถูกแจกพล็อตในครั้งนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากรัญญิกา ซึ่งตั้งแง่จะเป็นศัตรูกับวัสนางค์ตั้งแต่วันแรกที่เห็นกัน
ไม่รู้ว่างานนี้ แทนที่จะมีความสุขและสนุกสนาน อาจจะกลายเป็นการด่าแหลกแบบกระหน่ำจอก็เป็นได้...เฮ้อ คิดแล้วก็หนักใจแทน
พายุ
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 พ.ค. 2555, 23:23:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 พ.ค. 2555, 23:23:13 น.
จำนวนการเข้าชม : 1582
<< ตอนที่ ๒๐ อบอุ่น | ตอนที่ ๒๒ อธิฐานรัก >> |
anOO 30 พ.ค. 2555, 19:50:36 น.
งานนี้ ยัยเหมยมีแผนแล้วแน่ๆ
งานนี้ ยัยเหมยมีแผนแล้วแน่ๆ