ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: ชุดแต่งงาน

ตอนที่ 26
วันต่อมาฉันรีบตื่นแต่เช้าไปหาแจ๊กกี้ เนื่องจากเมื่อวานฉันผิดนัดกับเขา อีกทั้งช่วงบ่ายของวันนี้ฉันก็ไม่ว่างเสียด้วย เพราะทั้งแม่ของฉันและแม่คุณนรินทร์จะพาฉันไปตัดชุดเจ้าสาว คือ…ช่วงบ่ายนี้ ถ้าฉันไม่ตัวเฉาเสียก่อน ก็คงเจียนตาย

“แจ๊กกี้ ฉันมาแล้วค่ะ” ฉันยืนอยู่หน้าบ้านเคาะประตูเรียก เนื่องจากมองรอบๆบ้านแล้วไม่เห็นมีใครสักคน นอกจากสวนรกๆของเขาซึ่งบัดนี้ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม และตอนนี้บ้านทั้งหลังของแจ๊กกี้ก็ถูกทาสีใหม่อย่างหมดจด ราวกับมีนางฟ้ามาเสกให้ใหม่ก็ไม่ปาน
ฉันยืนรอสักครู่แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากในบ้าน มีแต่เสียงดังกรุ๋งกริ๋งของโมบายหน้าบ้านเท่านั้น

“แจ๊กกี้คะ!!!…” ฉันตะโกนอีกครั้ง

คราวนี้ได้ผล มีเสียงตะโกนกลับมา “ครับๆ มาแล้วครับ!”

ไม่นานนักมีคนออกมาเปิดประตู เป็นคุณรันนั่นเอง

“สวัสดีค่ะคุณรัน แจ๊กกี้ล่ะคะ” ฉันถามพลางส่งสายตาสอดส่องหาแจ๊กกี้ภายในบ้าน

“อ้าวคุณสิดี คือแจ๊กกี้พึ่งตื่นน่ะครับ มันขออาบน้ำสักครู่” แล้วคุณรันก็เดินนำฉันเข้าไปนั่งในบ้าน เขากุลีกุจอจัดแจงหาน้ำมาต้อนรับ ก่อนจะรีบหยิบเป้ขนาดใหญ่บนพื้นขึ้นสะพายตั้งท่าจะออกจากบ้านไป

ฉันมองเป้ใบนั้นด้วยความสงสัย นั่นเขาจะไปปีนเขาหรืออย่างไร “นั่นคุณจะไปไหนล่ะคะ”

คุณรันทำท่าคิดชั่วครู่……เอ…ฉันว่าเขาหน้าคุ้นมากเลยนะ
“กลับบ้านน่ะครับ คุณสิดี ยังไงก็ฝากแจ๊กกี้ด้วยนะครับ ช่วยปรามๆความซกมกของมันหน่อย ผมขี้เกียจกลับมาช่วยมันทำความสะอาดบ้านอีก”

เขาพูดติดตลก

“แล้ว คุณจะกลับมาอีกไหมคะ” ฉันถามด้วยความเสียดาย เพราะเขาก็ดูเป็นคนดีน่าคบอีกคนหนึ่ง ที่สำคัญ ฉันว่าเขาสามารถทำให้แจ๊กกี้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาได้
เขายิ้มกว้างด้วยความจริงใจ ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขาเหมือนคนคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก แต่….ใครกันน้า….

“กลับสิครับ ผมไปก่อนนะ หวังว่าคงได้เจอกันอีก” แล้วเขาก็รีบร้อนออกไปซึ่งพอดีกับที่แจ๊กกี้อาบน้ำแต่งตัวเสร็จเดินลงมาจากชั้นบน

เช้านี้เขาดูสดชื่นมากจริงๆ

“โอ้วสิดี กู้ด มอร์นิ่ง มาแต่เช้าเชียววันนี้ แล้วนี่…” แจ๊กกี้ทำท่าเหลียวซ้ายแลขวา

“ไอ้รัน โก โฮม แล้วเหรอ”

“ค่ะ เมื่อสักครู่นี้เอง ดูรีบร้อนจัง” ฉันตอบ

“อืม…พี่ชายรันจะแต่งงานน่ะเลยรีบกลับ นี่เห็นรันมันธรรมดาๆอย่างนั้นก็เถอะ บ้านมันรวยมากนา ตอนแรกพ่อแม่จะให้เรียนวิศวะ แต่มันไม่ยอมลูกเดียว เก็บกระเป๋าไปเรียนศิลปะที่เมืองนอกแล้วก็อยู่ทำงานเสียหลายปี”

ฉันนึกถึงคุณรัน เขาดูไม่เหมือนลูกคนรวยที่ฉันรู้จัก คือไม่หยิ่ง และไม่วัตถุนิยม แต่เขากลับเข้าถึงง่าย และมีอารมณ์ขัน

แล้วฉันก็กลับมามองแจ๊กกี้…ตกลงว่าฉันถูกเขาหลอกตลอดมาหรือ
“แล้วคุณล่ะคะแจ๊กกี้ ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นคุณเสียอีกที่เดินทางไปรอบโลก” ฉันแกล้งแหย่เขา แต่ดูแจ๊กกี้จะไม่ค่อยพอใจ

“ฮึ ของแบบนี้มันอยู่ที่ ฮาร์ท ต่างหาก”

อะไรของแจ๊กกี้เนี่ย เขาช่างตอบเลี่ยงไม่ตรงประเด็นเลยแฮะ

เขารีบเปลี่ยนเรื่องเมื่อถูกจับผิด เลยหยิบเฟรมวาดรูปที่เก็บไว้ตรงทางขึ้นบันไดขึ้นมา

“มาเริ่มเรียนกันเลยดีกว่า เอ…เริ่มจาก…” แจ๊กกี้ลูบเคราท่าทางครุ่นคิด

“วาดอะไรก็ได้ที่คุณอยากวาด ผมจะเช็คจิตใต้สำนึกของคุณก่อน”

วันนี้แจ๊กกี้มาแปลก เขาดูจริงจังและมีหลักการมากขึ้น แจ๊กกี้ยื่นสีน้ำและพู่กันให้ฉัน

“เริ่มจากสีน้ำก่อนดีกว่านะ สีน้ำมันคงยังไม่เหมาะ เอาซิ วาดเลย ควิกๆ”

เขาเร่ง แววตาฉายความกระตือรือร้น

ฉันรู้สึกอยากวาดมากจนทนไม่ไหว จริงๆแล้วหัวสมองฉันว่างเปล่า ไม่มีความคิดที่จะวาดรูปใดๆเลยด้วยซ้ำ และในที่สุดฉันก็จับพู่กัน ป้ายสีชมพูแล้วละเลงมั่วๆ จินตนาการว่าภาพที่ออกมาอาจจะเป็นภาพ abstract เหมือนของปิกาสโซ่ ก็เป็นได้

“ตอนนี้คุณกำลังมีความรักล่ะสิ” อยู่ดีดีแจ๊กกี้ก็พูดแทรกขึ้น

ฉันยุดกึก พิจารณาภาพตรงหน้า “ปะ เปล่านี่คะ คุณรู้ได้อย่างไร”

แจ๊กกี้ไม่ตอบแค่หัวเราะเบาๆ
“โก ออน วาดต่อเร็ว”

คราวนี้ฉันจุ่มพู่กันลงในน้ำล้างสีชมพูออก แล้วป้ายสีใหม่ขึ้นมา

จากนั้นก็ละเลงอีก ปาดซ้าย ปาดขวา ป้ายสีใหม่ แล้วก็ปาดทั่วกระดาษร้อยปอนด์อย่างมั่วๆ ไร้จุดเริ่มต้น ไร้จุดจบ และไร้ความหมาย

“คุณใช้สีม่วงแสดงว่าตอนนี้คุณรู้สึกมีความสุขแต่ก็ขมขื่นอยู่ลึกๆ”

เสียงทุ้มๆของแจ๊กกี้ยังคงวิจารณ์ต่อไป เขาพูดบ้าอะไรน่ะ ทำอย่างกับว่า…มานั่งอยู่ในใจของฉัน คราวนี้ฉันเลยเปลี่ยนสีใหม่อีก เปลี่ยนไปเรื่อยๆ สีดำ สีน้ำตาล สีน้ำเงิน สีเขียวแล้วก็สีเหลือง ยิ่งเปลี่ยนสี ฉันก็ยิ่งคิดถึงคุณนรินทร์ คิดถึงเรื่องที่ขอให้ฉันแต่งงาน เพื่อแลกกับการช่วยเหลือแม่ และเพื่อแลกกับการรักษาบริษัท และเรื่องสุดท้ายคือเขายังคงรักแฟนเก่าอยู่

โถ่เอ๊ย! ทำไมต้องคิดเรื่องเขาให้กวนใจด้วยนะ ฉันกระแทกพู่กันลงในกระดาษอย่างแรง เป็นการสิ้นสุดรูปที่วาดขึ้น

แจ๊กกี้อุทานอย่างพอใจราวกับตอบคำถามชิงทองคำหนึ่งบาทถูก

“อะฮ่าสิดี นี่ขนาดผมพูดกระตุ้นคุณเล็กๆน้อยๆ คุณก็ส่งอารมณ์ออกมาได้ดีขนาดนี้เลยหรือ เอาละๆ ผมพอจะเข้าใจคุณแล้ว” แล้วแจ๊กกี้ก็จับมือฉันให้ปล่อยพู่กัน แล้วยังคงกุมมือฉันไว้

เขาจ้องฉันด้วยสายตาเปี่ยมสุข ขณะที่ฉันพยายามดึงมืออก

“สิดี ผมนึกอยู่แล้วเชียวว่าคุณน่ะมันเลือดศิลปินขนานแท้!!!” แจ๊กกี้ทำท่าปลาบปลื้มมาก


แต่ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้คนไม่เต็มเต็ง

“ความเศร้า ความสับสน และการโกหก คือสิ่งที่คุณกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ และคุณก็สามารถสื่อมันออกมาได้ดีมากอีกด้วย นี่ละศิลปิน”

ฉันขมวดคิ้วมองสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเขา ตะลึงในคำพูดของแจ๊กกี้ แต่ไม่ได้ตะลึงในสิ่งที่เขาบอกว่าฉันมีสายเลือดศิลปิน แต่ตะลึงที่เขาสารมารถรู้อารมณ์ของฉันได้ทั้งหมด

“จะ แจ๊กกี้ คุณอ่านฉันออกได้อย่างไรคะ” ฉันมองเขาแล้วเค้นเอาคำตอบ

แจ๊กกี้ยิ้มอย่างอารมณ์ดี พร้อมยืดตัวขึ้นด้วยความภูมิใจ

“มัน คอเร็กท์ ทั้งหมดใช่ไหมล่ะ หึหึ เพราะสีและเส้นไงล่ะ”

ฉันกลับมาพิจารณารูปตัวเอง ซึ่งออกจะมั่วมากกว่าแสดงความรู้สึกใดๆ

“หา???? สีและเส้น มันแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

แจ๊กกี้ตอบเสียงเข้ม “ออฟ คอร์ส สีแรกที่คุณใช้คือสีชมพู แสดงว่าคุณมีความรัก สีม่วง คุณกำลังขมขื่นกับมัน สีดำ คุณมีความลับ สีน้ำเงินคุณกำลังเศร้า ส่วนภาพที่คุณวาดออกมาก็แสดงถึงความสับสนของตัวคุณเอง ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดจบ และไร้ความหมาย ถูกไหมสิดี ถือว่าผมสอนคุณเรื่องสีไปในตัวแล้วกันนะ”

ฉันเบิกตาโตมองเขา อยากจะกรี๊ดใส่แจ๊กกี้สามทีดังๆ แต่ก็ต้องกลืนมันลงคอไป

“พวกศิลปินมักจะถ่ายทอดอารมณ์ได้ดีเสมอล่ะสิดี ภาพของคุณนี่ใช้ได้เลยล่ะ แต่ขอผมถามอะไรหน่อยสิ คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
ฉันสบตาแจ๊กกี้ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ดูแจ๊กกี้เป็นคนหยาบๆ แต่จริงๆแล้วเขา…ฉันจะบอกเรื่องที่ฉันต้องแต่งงานกับคนที่ฉันไม่ได้รักและไม่มีวันรักฉันดีไหมนะ

“เอาละ คุณไม่บอกก็ไม่เป็นไรสิดี แต่ขอผมแนะอะไรคุณหน่อยนะ ไม่มีสีแดงในรูปนี้เลยสักนิด คุณใช้สีสดใสอื่นๆอย่างเขียวหรือเหลืองแทน เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึก คุณกำลังกลัวที่จะรักใครอยู่หรือเปล่า?”

ฉันหลบสายตาแจ๊กกี้ หันไปมองภาพวาดของตัวเองซึ่งไม่มีสีแดงป้ายลงไป

บ่ายนั้นฉันออกมาจากบ้านแจ๊กกี้ด้วยความรู้สึกเหมือนคนถูกล้วงความลับ ฉันไม่ได้ตอบเขาไปว่ากลัวที่จะรักใครอยู่ แต่แค่บอกว่าฉันต้องรีบไปธุระ แล้วรีบปลีกตัวออกมา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แจ๊กกี้ใช้ศิลปะสอนฉัน แต่วันนี้มันยิ่งกว่าสอนอีกนะ เขาพูดเหมือนกับเข้ามานั่งในใจฉันเลยด้วยซ้ำ
“รีบ เทล เขาซะสิดี เลิฟ เป็น สิ่ง วันเดอร์ฟูล นะ” เขาตะโกนไล่หลังตอนฉันกำลังเดินออกไป
ไม่มีวัน ฉันไม่ได้รักใครสักหน่อย!!!!
ฉันจับแท็กซี่ไปที่บ้านคุณนรินทร์ เมื่อถึงที่นั่นก็เห็นแม่ของฉันและแม่คุณนรินทร์อยู่กันพร้อมหน้าแล้ว ยกเว้นคุณนรินทร์คนพ่อและคนลูก เพราะฝ่ายนั้นเขามีงานด่วนต้องทำกัน แล้วฉันรู้สึกโล่งอกพิกล เพราะตอนนี้ฉันไม่อยากเจอคุณนรินทร์เลย
บรรดาแม่ๆ พาฉันไปร้านตัดชุดแต่งงานสองสามแห่ง แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนสนองความต้องการของพวกเธอได้เลย นี่ทำไมไม่ถามฉันซึ่งเป็นคนใส่บ้างนะว่าต้องการแบบไหน เพราะถ้าถามฉันมันจะง่ายนิดเดียว ฉันจะเลือกแบบที่เรียบที่สุดจะได้เสร็จๆไปเสียที
“นี่นิดหน่อยจ๊ะ เธอพอจะนึกร้านอื่นๆออกบ้างไหม เอาที่ทันสมัยหน่อย แต่ไม่หรูหราเกินไป แล้วก็ออกแบบได้ก้าวหน้าน่ะ ดูแต่ละร้านที่ไปซิ เชยๆทั้งนั้น” แม่คุณนรินทร์บ่น
“เอ…ฉันก็แต่งไปเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเสียด้วยสิ นึกไม่ค่อยออกเหมือนกันจ้ะตุ๋ม” แม่ฉันตอบอย่างจนปัญญา
เฮ้ๆ ร้านที่ทันสมัย หัวก้าวหน้า ไม่เชย ฮุฮุ ที่สำคัญถ้าเป็นร้านนี้ล่ะก็ ฉันจะได้ไม่วุ่นวายมาก
“แม่คะ รู้แล้วค่ะ ร้านหนูเล็กดีไหมคะ เธอจบดีไซน์จากนอกนะคะ” ฉันพูดอย่างกระตือรือร้น
“แต่เป็นร้านตัดเสื้อผ้าทั่วไปไม่ใช่หรือลูก ชุดแต่งงานจะรับเหรอจ๊ะ”
“รับสิคะรับ ว่าไงคะ หนูว่าดีออกนะคะ ขออะไรเพิ่มเติมก็ง่าย เพราะคนกันเอง”
“อย่างนั้นหรือจ๊ะ อยู่แถวไหนละจ๊ะร้านเพื่อนของหนู ไปกันเถอะ” แม่คุณนรินทร์ไม่รอช้า รีบจูงมือเราสองคนแม่ลูกไปขึ้นรถทันที
หนูเล็กรู้สึกแปลกใจที่อยู่ๆ เราสามคนก็ยกโขยงมาหาเธอ ขอร้องให้ตัดชุดแต่งงานให้
“เอ่อ ถ้าคุณแม่ทั้งสองอยากให้หนูเล็กออกแบบก็ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ นี่สิดี เธออยากได้แบบไหนล่ะ บอกฉันมาสิ” แล้วหนูเล็กก็หยิบดินสอกับกระดาษตั้งท่าจะวาด
“เอาแบบที่เรียบที่สุดน่ะหนูเล็ก” ฉันตอบ หนูเล็กพยักหน้าเขาใจ
“ไม่ได้นะจ๊ะ จะเรียบมากไม่ได้หรอก ขอหรูหรานิดหนึ่งนะจ๊ะหนู เอาแบบกระโปรงพองๆ” แม่คุณนรินทร์แย้ง
โอ๊ย! ฉันจะบ้าตาย ตกลงใครกันแน่ที่จะแต่ง
“แต่แบบเกาะอกไม่ได้นะจ๊ะ มันโป๊เกิน” แม่ฉันเสริม
“สายเดี่ยวดีกว่าเนอะ นิด ดูเซ็กซี่เล็กๆ” แม่คุณนรินทร์ต่อ
ส่วนหนูเล็กก็วาดๆลบๆ ตามคำสั่งของคุณแม่ทั้งสอง เธอหันมาสบตาฉันอย่างขำๆแว่บหนึ่ง พอเห็นหน้าเซ็งๆของฉันแล้ว เธอก็หยุดวาด
“เอาอย่างนี้ดีไหมคะ คุณแม่ หนูเล็กขอเสนออะไรนิดหนึ่ง ตอนนี้ที่ฝรั่งเศสเขากำลังฮิตชุดแต่งงานแบบเรียบๆ แบบนี้น่ะค่ะ เขาบอกว่าดูมีรสนิยมและโก้มาก ตอนนี้สังคมชั้นสูงของฝรั่งเศสกำลังนิยมตัดชุดแต่งงานแบบนี้กันนะคะ” แล้วหนูเล็กก็ส่งรูปชุดแต่งงานในนิตยสารเล่มหนึ่งให้แม่ฉันและแม่คุณนรินทร์ดู ฉันเห็นแล้ว หนูเล็กนี่เพื่อนรักฉันจริงๆ มันเป็นชุดที่เรียบและเหมาะกับฉันมาก เอ่อ…เหมาะกับการแต่งงานแบบโกหกซึ่งไม่ต้องอาศัยความวุ่นวายมากอีกด้วย เป็นกระโปรงยาวสีขาว คอเสื้อกว้าง แขนตุ๊กตา เข้าเอว มันไม่หรูหราได้ใจจริงๆ
หนูเล็กขยิบตาให้ฉัน “ว่าไงคะ ชุดนี้พึ่งออกโชว์ที่ปารีสแฟชั่นวีคเลยนะคะ”
“ตกลงจ้ะ แม่ตกลง ใช่มันสวยมาก” แม่คุณนรินทร์รีบตอบ ดวงตาแพรวพราวน่าดู
“สิดีว่าไงลูก” แม่หันมาถาม
“หนูก็ชอบมากค่ะ” ฉันรีบตอบเหมือนกัน
“ดีค่ะ งั้นมาวัดตัวกันเถอะสิดี”
แล้วหนูเล็กก็พาฉันไปหลังร้าน
“ขอบใจนะหนูเล็ก เธอนี่รู้ใจฉันจริงๆ” ฉันขอบคุณหล่อน
“หึหึ แน่นอนอยู่แล้ว ฉันรู้ว่าเธอไม่อยากให้มันออกมาเวอร์เกินไป เพราะเธอรู้สึกผิดที่การแต่งงานนี้ไม่เป็นความจริง นี่ถ้าฉันไม่ใช้มุกปารีสแฟชั่นวีค เธอคงได้ใส่ชุดอลังการที่แม่สามีดีไซน์ให้แล้วละ” หนูเล็กพูดพลางวัดตัวฉัน
“อ้าว นี่เธอโกหกเหรอ”
หนูเล็กหัวเราะ “แน่นอนสิจ๊ะ ชุดนี้มันก็เป็นแค่แบบชุดแต่งงานธรรมด๊าธรรมดา เท่านั้นเอง”
หนูเล็กนี่……ฉลาดจริงๆ
“หนูเล็ก ขอบใจเธอมากเลยนะ!!!!! เธอนี่สุดยอดเพื่อนรักจริงๆ เออวันแต่งน่ะเชิญเธอด้วยนะ นี่คุณนรินทร์เขาฝากการ์ดมาด้วย” ฉันยื่นการ์ดงานแต่งให้
หนูเล็กพลิกดูด้านในแล้วก็อมยิ้ม
“ฉันดีใจด้วยนะที่เธอมีวันนี้ นี่ ในเมื่อก็ต้องหลอกคนอื่นเสียเหมือนจริงแบบนี้ ทำไมเธอกับเขาไม่รักกันจริงๆไปเลยล่ะ”
ฉันกลืนน้ำลายดังเอื๊อก “ไม่มีทางหรอก ถึงฉันรักเขา แต่เขาคงไม่มีวัน…”
“นี่สิดี เธอรักคุณนรินทร์แล้วเหรอ!”
และก่อนที่ฉันจะได้พูดแก้ตัว ก็มีเสียงลูกค้าเข้ามาในร้าน หนูเล็กเลยต้องรีบออกไป แล้วพอฉันออกตามมาก็ต้องตกใจ เพราะลูกค้าที่ว่าคือคุณจิทัศน์และแม่เขานั่นเอง
เขากำลังคุยอยู่กับหนูเล็ก พอหันมาเห็นฉันเข้า เขาก็ยิ้มอย่างเป็นมิตร
“อ้าวสวัสดีครับว่าที่เจ้าสาว แล้วนรินทร์ไม่มาด้วยเหรอ” คุณจิทัศน์ถาม
“ค่ะ” ฉันตอบสั้นๆ ไม่อยากคุยกับเขามากนัก กลัวเขาจะจับผิดได้
“ผมก็พาคุณแม่มาตัดชุดไปงานคุณเหมือนกัน ช่วงนี้คุณคงมีความสุขมากสินะครับ”
“ค่ะ” ฉันตอบแค่นั้นอีก พยายามหันไปมองคนอื่นเพื่อจะคุยด้วยแต่กลับเป็นว่าทั้งแม่ของฉัน แม่คุณนรินทร์และแม่คุณจิทัศน์กำลังสนทนากันอยู่ ส่วนยายหนูเล็กก็ยืนคุยในวงสนทนาด้วย
“น่าแปลกนะครับที่นรินทร์เขาลืมถวิกาได้เร็วขนาดนั้น” คุณจิทัศน์ยังคงพล่ามต่อ
เฮ้! หนูเล็ก เธอมีขี้เถ้ายัดปากตานี่ไหม
“แล้วคุณล่ะคะทำไมลืมเธอได้เร็วขนาดนั้น” ฉันถามกลับบ้าง เริ่มรู้สึกชอบเขาน้อยลง
คุณจิทัศน์ทำท่ายิ้มเศร้าๆ
“ก็ถวิกาลืมนรินทร์ไม่ได้สักทีน่ะสิครับ ตอนแรกผมคิดว่าสองคนนั้นจะกลับมาคืนดีกันเสียอีก แต่ก็ต้องตกใจมากที่นรินทร์เขาจะแต่งงานกับคุณ”
ฉันทำท่าจะเถียงต่อ แต่หนูเล็กเดินมาขัดจังหวะพอดี
“คุณจิทัศน์รับน้ำหน่อยไหมคะ นี่สิดี แม่เธอจะกลับแล้วนี่” หนูเล็กทำท่าบุ้ยใบ้ฉันให้ออกไป เธอคงอยากคุยกับคุณจิทัศน์แค่สองคน
ฉันไม่รีรอรีบหนีคุณจิทัศน์ออกไปโดยเร็ว ฉันรู้แล้วล่ะว่าทำไมคุณนรินทร์ไม่ชอบเขา ก็ดูเขาสิ มีที่ไหนฉันกำลังจะแต่งงานกับคุณนรินทร์อยู่แล้ว ยังมาพูดเรื่องแฟนเก่าให้ฉันรู้สึกไม่ดีอีก
“อ้อ ฝากบอกนรินทร์ด้วยนะครับว่าผมได้ที่ตั้งโรงแรมที่ภูเก็ตแล้ว คราวนี้เราสองคนคงได้เจอกันบ่อยขึ้น” คุณจิทัศน์พูดทิ้งท้าย ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรหรอก แต่รีบหนีห่างออกจากเขาดีกว่านะ
เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจทุกอย่าง แม่คุณนรินทร์ก็นั่งรถมาส่งฉันและแม่ที่บ้าน จากนั้น ฉันก็กลับมาสงบสุขเช่นเดิม
ที่โต๊ะทานอาหารเย็น ฉันกับแม่นั่งทานข้าวด้วยกันเหมือนทุกวัน เราสองคนมักจะคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ไม่ก็บ่นเรื่องที่ทำงาน
“ในที่สุด ลูกสาวแม่ก็ต้องจากอกแม่ไป” แม่พูดขึ้น ทั้งๆที่มีชะอมทอดยู่เต็มปาก
ฉันหยุดทานน้ำพริกทันที “แม่คะ…หนูจะไม่ทิ้งแม่ไปไหนหรอกค่ะ หนูก็ไม่ได้อยากทำอย่างนี้ แต่มันจำเป็น”
“อะไรกัน ลูกพูดเหมือนถูกบังคับแต่งอย่างนั้นล่ะ”
“เอ่อ…เปล่าค่ะ”
“สิดี” แม่จับมือฉันมากุมไว้ “ไม่ว่าลูกจะอยู่ที่ไหนลูกก็ยังคงเป็นลูกสาวที่น่ารักของแม่เสมอ ไม่ต้องห่วงแม่หรอกลูก ใช่ว่าเราอยู่กันคนละประเทศเสียหน่อย คิดถึงแม่วันไหนก็มาหาได้นี่จ๊ะ”
แล้วต่อมน้ำตาของฉันก็ตื้นขึ้นโดยพลัน ในโลกนี้เรามีกันเพียงสองคนแม่ลูกเท่านั้น แม่ปาดน้ำตาให้ฉันแล้วเราสองคนก็กอดกัน เหมือนเป็นการร่ำลา อีกไม่กี่วันนี้ฉันต้องจากแม่ไปอยู่กับอีตานรินทร์แล้ว
เสียงเรียกเข้ามือถือของฉันดังขึ้น รบกวนช่วงเวลาแสนดีของเราแม่ลูก
“ฮัลโหลสวัสดีค่ะ ปู้ด !” ฉันรับมือถือพร้อมกับสั่งน้ำมูกโดยไม่รู้ตัว
“ขอโทษทีค่ะ นั่นใครคะ”
“คุณไม่สบายเหรอสิดี ทำไมเสียงอู้อี้จัง” แน่นอนเสียงนี้คือคุณนรินทร์อยู่แล้ว
ฉันขอตัวลุกออกจากโต๊ะอาหารเพื่อหลบไปคุยกับคุณนรินทร์ที่สวนหลังบ้าน แม่คงเข้าใจว่าเราสองคนจี๋จ๋ากันน่าดู
“เปล่าหรอกค่ะ คุณ…มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
ฝ่ายนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง
“โทรมาหาว่าที่ภรรยาต้องมีธุระด้วยเหรอ” น้ำเสียงเขาดูยียวนมาก ประสบการณ์ในอดีตสอนว่าต่อปากต่อคำกับเขาไปก็เท่านั้น
“วันนี้ฉันเจอคุณจิทัศน์ที่ร้านหนูเล็กด้วยค่ะ เขาฝากฉันมาบอกคุณว่า…”
“ฮึ” เขาทำเสียงไม่พอใจ “คุณแม่บอกแล้วล่ะ ไหน? มันฝากคุณมาบอกว่าไง”
“เรื่องโรงแรมใหม่ที่ภูเก็ตอะไรนี่แหละค่ะ เขาบอกว่าคงได้เจอคุณบ่อยขึ้น” ฉันห่อตัวในความมืด สายลมของฤดูหนาวปะทะผิวกายจนตัวสั่น
“ฟังดูไม่ใช่เรื่องดีเลยนะคะ”
แล้วคุณนรินทร์ก็ถอนหายใจ
“สิทราตั้งโรงแรมสาขาใหม่ที่ภูเก็ตแข่งกับนราธร จริงๆแล้วผมไม่ได้สนตรงนั้น แต่สิทราสร้างรุกล้ำชายหาด”
นั่นไง กลิ่นอายของการแย่งชิงเริ่มขึ้นอีกแล้ว
“ช่างเถอะเรามาคุยเรื่องสบายใจกันดีกว่านะครับ ปล่อยเรื่องนั้นไว้ที่ทำงานดีกว่า เห็นคุณแม่บอกว่า คุณไปตัดชุดที่ร้านหนูเล็ก?”
“ค่ะ” ฉันตอบสั้นๆ คิดอะไรได้อีกอย่างหนึ่งเกี่ยวกับสิ่งที่คุณจิทัศน์พูด
ดาวเต็มฟ้า มีความมืดที่แสนสงบเป็นฉากหลัง สายลมอ่อนๆโชยผ่านหน้า เหมือนคอยเป็นกำลังใจ
“คุณจิทัศน์บอกว่าคุณยังลืมถวิกาไม่ได้” แล้วฉันก็พูดออกไป ทั้งๆที่กลัวคำตอบนั่นเหลือเกิน
ความเงียบปกคลุมทั้งฉันและคุณนรินทร์ เหมือนเป็นสิ่งเตือนสติถึงความสัมพันธ์ของเรา อย่างที่แจ๊กกี้บอก ความสัมพันธ์ของฉันกับเขา ไร้จุดเริ่มต้น ไร้จุดจบ และไร้ความหมาย ฉันจะสนทำไมว่าเขายังรักแฟนเก่าหรือไม่ ในเมื่อเราสองคนแต่งงานกันหลอกๆนี่
“อย่าสนใจคำพูดของเขาเลยค่ะ นี่คุณ ฉันมีเรื่องตลกเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง….” ฉันแสร้งทำเสียงร่าเริง
“มัน…..จบไปนานแล้ว” ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น
“ผมหมดรักเขาตั้งแต่เขาก้าวออกจากบริษัท แล้วตอนนี้ผมก็…” เสียงเขาขาดช่วงไป
“คะ?”
“ผมง่วงแล้วล่ะ คงต้องพอแค่นี้ หวังว่าคุณจะเชื่อผมนะ”
ใบไม้พลิ้วไหวเหมือนจะหยอกล้อฉันกับคุณนรินทร์ เขาพูดอย่างกับว่ากลัวคนรักจะผิดใจ
“มันไม่เกี่ยวกับฉันนี่คะ ฉันแค่แต่งตามข้อตกลง คุณจะยังรักใครอยู่ก็เรื่องของคุณสิคะ” น้ำเสียงของฉันช่างห่างเหิน แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่าในใจของฉันตอนนี้สับสน
“เอ่อ…นะ…นั่นสิ…มันเรื่องของผม แล้ว…แล้ว ถ้าอย่างนั้นคุณพูดขึ้นมาก่อนทำไมล่ะ ทำอย่างกับหึงผม”
ให้ตายสิ ทำไมเขาพูดตรงใจ เอ๊ย พูดเข้าข้างตัวเองได้น่าเกลียดแบบนี้
“ปะ เปล่าเสียหน่อย แค่ แค่ ถามดู คุณไปนอนเถอะค่ะ” แล้วฉันก็รีบกดตัดสายไป
ลมหนาวโชยมาอีกระลอก กระตุ้นความสับสนในหัวใจฉันให้ทวีคูณ ถ้าฉันหึงเขาขึ้นมาจริงๆล่ะ…ชีวิตหลังแต่งงานหลอกๆของฉันจะเป็นอย่างไร



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 พ.ค. 2555, 21:45:56 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 พ.ค. 2555, 21:45:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1823





<< โทรหา      แต่งงาน >>
agentaja 30 พ.ค. 2555, 22:27:48 น.
ว้าวๆ ใกล้จะรู้ใจตัวเองแล้ว น้องชายนรินทร์ก็แพลมๆ มาแล้ว เมื่อไหร่จะออกมาแสดงตัวเนี่ย
เหมือนว่านรินทร์เริ่มรู้ใจตัวเองแล้วเลยอ่ะ แต่ฟอร์มมาก
รอตอนต่อไปนะคะ


goldensun 30 พ.ค. 2555, 22:30:42 น.
คนแรก หวั่นไหว แต่ปากแข็งทั้งคู่


ling 31 พ.ค. 2555, 16:05:41 น.
จะหวานมากกว่านี้ก็ไม่ได้นะคุณนรินทร์


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account