ลายลินิน
อดีต ปัจจุบัน อนาคต ผูกโยงใยจากลายผ้าผืนโบราณ
สัจจะ คำเท็จ การหลอกลวง ถักทอเป็นลายล้ำค่าของผ้าผืนนั้น
ถึงเวลาแล้วที่ประวัติศาสตร์จะถูกคลี่ออกด้วยผ้าลินินเพียงผืนเดียว

Tags: อียิปต์ ผ้าลินิน ฟาโรห์ เทพเจ้า ลี้ลับ

ตอน: ไคโร (๖)

นวนิยายเรื่องนี้ผ่านการพิจารณาจากสำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คแล้ว

++++++++++++++++++++++

อีริคกล่าวอำลาวิลเลียมและไอซิส เขาสบตาหญิงสาวเพียงนิดพร้อมคลี่รอยยิ้ม จากนั้นจึงเคลื่อนตัวเข้าในรถซึ่งพลขับเปิดประตูรออยู่ เสร็จสรรพจึงให้รถออกตัวไปสู่ที่หมายแห่งต่อไป

รถโฟล์คสีดำคันงามแล่นไปตามถนนในกรุงไคโร เวลานี้ดึกมากแล้ว รถราเริ่มบางตัวลง ไฟถนนสีส้มคอยส่องสว่างอำนวยความสะดวก เสียงแตรรถที่เคยดังระงมราวเสียงกรีดร้อง บัดนี้เบาเสียงลง นานๆครั้งจึงได้ยิน

อีริคเอนหลังลงเบาะ ผ่อนลมหายใจยาว ทอดสายตามองไปข้างหน้า คิดถึงที่หมายแห่งต่อไปก็รู้สึกหัวใจในอกถูกบีบเค้น หากเป็นไปได้ เขาไม่อยากไปที่นั่นเลย

ตามเส้นทางไปสู่สนามบินในไคโร เขาให้เลขานุการจองตั๋วไว้ล่วงหน้า ขึ้นเครื่องจากไคโรลงลุกซอร์ จากนั้นก็ต่อรถไปทางเหนือแถบริมฝั่งแม่น้ำไนล์ สู่อาณาจักรแห่งเนบที บริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ เพื่อรายงานความคืบหน้าให้ ‘หล่อน’ ทราบ

และเพราะ ‘หล่อน’ นั่นล่ะ ที่ทำให้เขาอึดอัด คิดถึงสภาพของตนเองที่ต้องนั่งอยู่ต่อหน้า สูดดมกลิ่นหอมฉุนของเครื่องหอมภายใต้หมอกกำยาน แค่นั้นก็ให้ความรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างบอกไม่ถูก เขาหายใจไม่ออก แสบจมูกเสียด้วยซ้ำ ในหัวมึนงง ทั้งยังตัวเล็กลีบทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับสตรีซึ่งนั่งบนเก้าอี้ไม้หุ้มเงินหุ้มทอง

‘หล่อน’ งดงาม หากทรงอำนาจและน่าหวาดกลัว

คิดถึงตรงนี้ อยู่ๆ หนุ่มใหญ่ก็ได้ยินเสียงหวดอากาศข้างๆ

“ดีแล้วที่แกคิดได้อย่างนั้น...เกียน ก็รู้ดีว่ามาดามไม่ชอบให้ใครโอหังกับเธอ” เสียงที่ดังขึ้นทำให้อีริคสะดุ้งโหยง หากเลขานุการหนุ่มกับพลขับซึ่งนั่งข้างหน้ากลับนิ่งเฉย ทำหน้าที่ขับรถและมองทางต่อไป ราวไม่ได้รับรู้แม้แต่การสะดุ้งตระหนกของเขา

กระทั่งการมาถึงของ ‘บางคน’

“พวกมันไม่เห็นฉันหรอก...เกียน ไม่มีทางเห็น...ถ้าฉันไม่อนุญาต” เสียงนั้นทุ้มนุ่ม ดูเหมือนผู้พูดยังหนุ่มอยู่มาก ทั้งสำเนียงภาษาอังกฤษก็ฟังดูคล้ายชาวอิตาลี แต่สำบัดสำนวนการพูดโบราณเหลือเกิน

“คุณ...” อีริคพูดไม่ออก ได้แต่นิ่งมองชายหนุ่มในชุดสีดำด้วยแววตาพรั่นพรึง เขามักปรากฏตัวเช่นนี้เสมอ เริ่มจากเสียงหวดอากาศวูบหนึ่ง จากนั้นก็มาอยู่ข้างๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กลิ่นหอมของเครื่องหอมยังคงลอยอวลบ่งบอกถึงสถานที่ซึ่งเขาจากมา แสงไฟจากภายนอกสาดส่องเป็นระยะ เผยให้อีริคได้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน

เป็นชายหนุ่มรุ่น ผิวขาวราวกระเบื้อง ผมหยักศกสั้นดำสนิทเหมือนชุดคลุม จมูกโด่งเชิดรับริมฝีปากซีดรูปหัวใจภายใต้เครื่องหน้ารียาว ใช่...เขาเป็นผู้ชายรูปงาม สวยหมดจดราวรูปสลักหินอ่อนวีรบุรุษกรีกหรือโรมัน เว้นเสียแต่นัยน์ตาของเขาเท่านั้นที่ทำให้อีริคหวั่นกลัว

สีแดง...เมื่อประกอบอยู่ท่ามกลางความดำมืดของชุดและเรือนผม ปรากฏบนเครื่องหน้าขาวซีด ยิ่งทำให้เหล่านั้นดูงดงามอย่างหน้าหวาดกลัว ไม่ต่างจาก ‘หล่อน’ ผู้เป็น ‘นาย’

เขาเคยสงสัยว่า นายบ่าวคู่นี้เป็นปิศาจแปลงมาหรืออย่างไร

“อยู่กับฉัน แกอาจจะคิดอย่างนี้ได้” อีกฝ่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย หากหนุ่มใหญ่กลับรู้สึกเย็นเยียบจับหัวใจ มักเป็นเช่นนี้ทุกครั้งเมื่อเขาถูกอ่านความคิด “แต่ต่อหน้ามาดาม อย่าได้คิดอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือน”

“ผมขอโทษ อะ...แอนโทนี” อีริครับรู้ได้ถึงสภาพบรรยากาศที่พร้อมจะพรากลมหายใจไปจากเขาได้ทุกเมื่อ กลิ่นเครื่องหอมและหมอกกำยานที่ลอยฟุ้งอยู่ในรถทำให้เขาประคองตัวเองยากขึ้นทุกที

“จงเก็บแรงเอาไว้ ไม่ต้องพยายามพูดกับฉัน” ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกแอนโทนีกล่าว ชำเลืองหางตามองอีริคพลางยิ้มที่มุมปาก “มีอีกหลายเรื่องที่แกต้องไปตอบมาดาม ออ...และที่สำคัญ”

คราวนี้หนุ่มรุ่นหันมาจดจ้องเข็มกลัดบนปกเสื้อสูทราวหมุดตรึงกระดาน ริมฝีปากของเขาขมุบขมิบคล้ายบริกรรมคาถาบางอย่าง เป็นภาษาที่อีริคไม่เข้าใจ แล้วอึดใจหนึ่ง...แสงสีแดงก็วาววาบเป็นวงจากดวงนัยน์ ส่องสว่างจนอีริคต้องถอยหนีจนชิดมุมประตูรถ

“อย่าได้คิดเอาเข็มกลัดนั่นเข้าไปพบมาดามเด็ดขาด ถ้าแกไม่อยากให้มาดามโกรธ” เสียงคำรามในคอทำให้หนุ่มใหญ่ต้องพยักหน้ารับคำแต่โดยดี

“ฉันเตือนด้วยความหวังดี แกก็รู้ เวลาที่มาดามโกรธจะเป็นยังไง”

นายหน้าหนุ่มใหญ่พยักพเยิด จากนั้นจึงละสายตาจากบุรุษลึกลับ ชำเลืองมองเข็มกลัดแห่งอีกิสที่เขาได้มาจากตลาดมืดในกรุงไคโร

ของชิ้นนี้ราคาสูงมาก แต่เมื่อเทียบกับอำนาจลี้ลับของมัน อีริคกลับยอมทุ่มเงินมหาศาลเพื่อมีไว้ในครอบครอง ตาแก่คนขายบอกสรรพคุณ มันคือเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์ ถูกโจรกรรมมาจากสุสานของฟาโรห์ผู้ทรงอำนาจพระองค์หนึ่งในหุบเขาแห่งกษัตริย์ ขายต่อเป็นทอดๆ จนมาอยู่ในตลาดมืดแห่งนี้

ตัวเข็มกลัดทำจากทองคำประเม็ดพลอย รูปพรรณสัณฐานคล้ายโล่ มีสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ประกอบอยู่ ๓ แห่งทั้งเทวีมัต นกแร้งและงูเห่าแผ่แม่เบี้ย ผู้ขายว่ามันคือเครื่องรางที่ใช้ป้องกันความชั่วร้าย

แม้ในขั้นตอนการแลกเปลี่ยนจะไม่แน่ใจนัก หากอีริคเพิ่งมั่นใจตอนนี้เองว่ามันคงมีอานุภาพพอสมควร ไม่เช่นนั้น ออกัส แอนโทนี เลขานุการหนุ่มของ ‘หล่อน’ คงไม่มากำชับเรื่องห้ามพกเครื่องรางอีกิสเข้าไปพบ ‘มาดาม’ ของเขาเป็นแน่

อีกทั้งสายตายามจดจ้องเข็มกลัดแห่งอีกิสของหนุ่มรุ่น แม้จะวาวโรจน์เรืองรองด้วยแสงสีแดงน่าหวาดกลัว หากลึกลงไป หนุ่มใหญ่กลับเห็นแววพรั่นพรึงจับข้างใน นี่อาจเป็นเครื่องยืนยันสิ่งที่อีริค เค เกียน สงสัยมานาน

‘บ่าว’ และ ‘นาย’ คู่นี้ คงไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน

เสียงหวดอากาศดังขึ้นอีกหน อีริคหันมองก็พบเพียงความว่างเปล่า กลิ่นเครื่องหอมและควันกำยานยังคงลอยอยู่ หากเจือจางจนแทบไม่ได้กลิ่น

หัวใจของเขาเต้นแรง มือหนึ่งกุมเข็มกลัดแห่งอีกิสไว้แน่น รับรู้ได้ว่ามันร้อนผ่าว ไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่า หากเขารู้สึก...เข็มกลัดแห่งอีกิสกำลังเรืองรอง แผ่อำนาจศักดิ์สิทธิ์ตามคำบอกเล่าของผู้ค้าของโบราณในตลาดมืด และหากไม่เข้าข้างตนเองนัก

ออกัส แอนโทนี คงจากไป เพราะไม่อาจทนต่ออำนาจของเครื่องรางอีกิส

“มีอะไรหรือเปล่าครับท่าน” เสียงเลขานุการหนุ่มดังขึ้นปลุกเขาจากภวังค์ อีริคเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองอยู่ในสภาพย่ำแย่แค่ไหน ทั้งตัวพิงติดประตูรถ สองขาก่ายแยกคนละทาง หน้าตาซีดเซียว เหงื่อไหลไคลย้อย ไหนจะอาการหอบเหนื่อยราวกับเพิ่งออกกำลังกายอย่างหนักมาเมื่อครู่

“เปล่า” หนุ่มใหญ่รีบส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”

เขากลับมานั่งท่าเดิม จัดเสื้อผ้าท่าทางให้เข้าที่ จากนั้นจึงสั่งพลขับให้เร่งเครื่องปรับอากาศในรถ เพิ่มความเร็วเพื่อไปให้ถึงที่หมายอย่างทันท่วงที ส่วนตัวเองเอนหลังลงเบาะ หลับตาลงรับไอเย็นที่เริ่มกระจายตัว มือหนึ่งยังคงกุมเข็มกลัดแห่งอีกิสไว้แน่น ราวเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวสุดท้ายในชีวิต

+++++++++++++++++++++++++

หลังจากล่ำลาอนัตตาซึ่งเดินมาส่งถึงหน้าห้อง อารีสก็ปิดประตูลงกลอน ดึงผ้าลินินออกจากถุงผ้าแล้วนำมาคลี่บนเตียงนอนจนเต็มผืน นัยน์ตาของหญิงสาวเป็นประกายระยิบระยับ รู้สึกในอกเหมือนถูกเติมเต็มส่วนที่ขาดหาย รอยยิ้มปรากฏเมื่อใด น้ำตารินไหลตอนไหน...หล่อนไม่รู้ แต่มันสมควรต้องเป็นเช่นนั้น ชิ้นส่วนที่หายไปกลับมาแล้ว

ทว่าทันทีที่หล่อนตั้งใจจะสัมผัส อยู่ๆ ปลายนิ้วก็ชะงัก ในอกวูบไหว เกิดความรู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึกๆ เหตุการณ์ก่อนหน้าทำให้หล่อนไม่มั่นใจ

เสียง...

อารีสยังจำได้ขึ้นใจ เสียงสวดวิงวอนลอกคำจารึกบนหีบทองล้ำค่า ทุกจังหวะจะโคน คล้ายใยผ้าลินินกระตุกวูบ ส่องแสงมลังเมลือง จนเหมือนมี ‘ชีวิต’ และ ‘จิตวิญญาณ’

เทพธิดาแห่งเวทมนตร์และปรีชาญาณ เอเซ็ท...จะคุ้มครองสิ่งล้ำค่าที่อยู่ภายในหีบใบนี้
ด้วยพระอำนาจและพระเวทย์อันทรงฤทธิ์
ดวงตาวัทจัทของเฮรู เทวกษัตริย์ โอรสแห่งอูสิเรและเอเซ็ท
จะปกป้องจากภยันตราย ผองภัยและกาลเวลา
ตราบเท่านาน...คำสาปแช่ง คำอธิษฐาน จะยังคงอาบอยู่บนผ้าลินินผืนนี้
จวบ ‘พวกนาง’ ล่วงเข้าสู่มตภพดูอัต สู่การพิพากษาจนสำเร็จสิ้นจากเทวีแห่งความเที่ยงธรรม

อารีสหลับตาลง พยายามสงบจิตสงบใจ หล่อนเคยจับมันมาแล้ว...ตอนม้วนมันเก็บ หล่อนเคยสัมผัสมันมาแล้ว...เมื่อบรรจงหย่อนมันลงในถุงผ้า

มันก็คือโบราณวัตถุ ไม่ได้มีพลังอำนาจใดปรากฏให้เห็นอีก ไม่แน่ว่าเสียงที่หล่อนได้ยินในตอนแรก อาจเป็นเพราะการเดินทางไกลและพักผ่อนน้อยอย่างที่อีริค เค เกียน ว่าก็เป็นได้

หรืออีกประการ...ก็คงเพราะหล่อนเก็บเอาความฝันมาผสมผสานกันจนเป็นเรื่องเป็นราว

หญิงสาวเลื่อนมือลงสัมผัสเนื้อผ้า จากปลายนิ้ว สู่ฝ่ามือ รับรู้ถึงความความนุ่มละมุนระคนหยาบกร้าน ผ้าลินินผืนนี้บางเป็นพิเศษ เมื่อลองเอาคลุมไหล่ ความบางใสทำให้หล่อนมองทะลุเห็นผิวเสื้อผ้าและเนื้อนวลภายในได้ไม่ยาก ผู้สวมใส่คงมีความตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ขณะทอ

แต่เพราะอะไร หากเป็น ‘พระนาง’

อารีสวางผ้าลินินลงที่เดิม จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่เตรียมมา ควานหาของใช้ที่จำเป็นต่อการตรวจสอบ มีแว่นขยาย สมุดบันทึก ปากกา พร้อมกันนั้นก็ดึงหนังสือเล่มสำคัญออกมาอีกประมาณ ๒ – ๓ เล่ม

‘ไอยคุปต์วิทยา’

‘ข้อมูลการศึกษาอียิปต์โบราณ’

‘ผ้าและเครื่องถักทอ’

หนังสือสองเล่มแรกถูกเขียนโดยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยที่อารีสเรียนจบปริญญาเอก กว่าจะรวบรวมข้อมูล แล้วจัดพิมพ์เป็นหนังสือ เห็นว่าคณาจารย์ทั้งหลายต่างก็ต้องใช้ความพยายามในการค้นหาข้อมูลและสำรวจหลักฐานอย่างยากลำบาก

ส่วนอีกเล่มเขียนโดยผู้ทรงคุณวุฒิชาวไทยที่มีผลงานด้านการสร้างสรรค์ศิลปกรรม ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ในคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร อารีสเองทำงานเป็นอาจารย์พิเศษที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยเดียวกัน จึงมีโอกาสพบปะท่านบ่อยครั้ง ด้วยความเอ็นดูและชื่นชมในความรักเรื่องผ้าผ่อนท่อนสไบ ท่านจึงได้มอบหนังสือให้หญิงสาวเป็นของรางวัล

อารีสวางของเหล่านั้นลงที่หัวเตียง ตัวหล่อนนั่งลงกับพื้นข้างเตียง ใช้ที่นอนต่างโต๊ะทำงาน

หล่อนกวาดสายตามองผ้าอยู่ครู่หนึ่ง กำลังคิดว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี จนในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะเริ่มจากตัวผ้าก่อน

หญิงสาวหยิบสมุดกับปากกา นิ่งคิดจุดเริ่มต้นการจดบันทึก อึดใจหนึ่งแสงสว่างก็กระจ่างวาบ หล่อนจดปลายปากกาลงหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า เริ่มหัวเรื่องที่คิดไว้

การเริ่มต้นคลี่คลายประวัติศาสตร์จากการตรวจสอบผ้าลินิน

‘ลายลินิน ฉบับที่ ๑
ไคโร, อียิปต์’

เรียบร้อยแล้ว หล่อนก็เริ่มจดบันทึกรายละเอียดของผ้าลินินตรงหน้าอย่างรวดเร็ว สายตากวาดมองผืนผ้าโบราณ หากยังคงใหม่เอี่ยมราวเพิ่งถักทอเสร็จ

[เป็นผ้าลินิน (Linen) สำรวจพบจากที่ตั้งเดิมของวิหารอาบูซิมเบล ฝั่งวิหารเนเฟอตารี (ใต้ทะเลสาบนัสเซอร์) อยู่ในหีบทองคำจารึกอักษรเฮียโรกลีฟิก (ไม่เห็นสภาพหีบตอนแรก แต่เพื่อนบอกมีดินหินจับรอบปากหีบ ปิดทางเข้าของน้ำหมด) จากการตรวจสอบธาตุคาร์บอนโดยนักธรณีวิทยาและนักวิทยาศษสตร์ ปรากฏว่าอายุ ๓,๐๐๐ กว่าปี (ทั้งหีบและผ้า) แต่เนื้อผ้าใหม่ ดูด้วยตาเหมือนเพิ่งทอเสร็จ เวลาถูกแสงมีประกายระยิบระยับให้เห็น สันนิษฐานว่ามีทองคำผสมอยู่]

เขียนถึงท่อนดังกล่าว หญิงสาวก็หันไปคว้าแว่นขยายมาตรวจสอบเนื้อผ้า หล่อนจับเนื้อผ้าขึ้นมาลูบอย่างเบามือ ส่องด้วยแว่น เห็นใยผ้ายังคงขาวสะอาด เนื้อยังคงเหนียวแน่นไม่เปื่อยยุ่ย แต่ละเส้นใยสานกันบางๆ ลักษณะคล้ายผ้ากอซ หากประณีตกว่ามาก ระหว่างเส้นใยซึ่งสานกันเป็นตาข่ายมีเส้นลินินหุ้มทองแทรกอยู่เกือบทุกช่อง การเว้นช่องไฟทำได้เท่ากันไม่ขาดไม่เกิน ระยะห่างราวจับวาง ปราดเดียวหญิงสาวก็เดาได้ว่าคงเป็นช่างฝีมือชั้นหนึ่ง ไม่ก็พวกชาววังที่ทำถวายแด่เชื้อพระวงศ์

[ผ้าลินินมีการทออย่างประณีต แทรกเส้นใยทองคำได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ผ้าผืนนี้น่าจะทอขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ (สันนิษฐานจากการมีเส้นใยลินินหุ้มทองทอรวมกับเส้นใยลินินเกลี้ยง) มีโอกาสเป็นผ้าของเจ้านายในราชวงศ์ หรือขุนนางมากกว่า แต่จากข้อมูลการสำรวจพบที่วิหารเนเฟอตารี น่าจะเป็นของพระนางเนเฟอตารี]
[ข้อสงสัย?]
[ทำไมผ้าถึงลอยไปอยู่ไกลถึงนูเบีย (เวลานั้นอัสวานเป็นที่อยู่ของพวกนูเบีย เป็นชนเผ่าดุร้ายทางตอนใต้ของอียิปต์ ตรงนี้ขัดแย้งเรื่องข้อสันนิษฐานการเป็นภูษาทรง มองข้อสันนิษฐานอื่นเพิ่มเติม)]

อารีสวางปากกา ขมวดคิ้ว กลอกตาสงสัย ตอนนี้ข้อกังขาหลายอย่างผุดขึ้นมาในหัว หากยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ครั้นหันไปมองกองหนังสือ หญิงสาวก็ฉวยไอยคุปต์วิทยามาเปิดอ่าน พลิกไปตามหน้าต่างๆ ซึ่งหล่อนคั่นไว้ เป็นหน้าที่มีข้อมูลความเกี่ยวข้องของผ้าลินินในวัฒนธรรมต่างๆ ของชาวอียิปต์โบราณ

“สังคมอียิปต์ เครื่องแต่งกาย ผ้าลินิน การทำมัมมี่” หญิงสาวเปิดไปเรื่อยๆ

ระหว่างเปิดอ่านก็จดบันทึกสิ่งที่เกี่ยวข้องลงสมุดอย่างว่องไว เรียบร้อยจึงวางหนังสือลง หันกลับมาสู่สมุดบันทึกและเริ่มตั้งข้อสันนิษฐานต่อ

[การทำมัมมี่ใช้ผ้าลินิน แต่ผ้าผืนนี้ไม่เหมาะ และไม่สมเหตุผลในการพันร่าง ขนาดความกว้างความยาวไม่เพียงพอต่อการพันพระศพ (ขนาดของผ้าน่าจะใช้ในการตัดชุด ไม่พบผ้าอื่นเพิ่มเติมในหีบที่เก็บรักษา) ]
[ยังไม่ตัดข้อสันนิษฐานเรื่องภูษาทรง!]
[กรรมวิธีทำมัมมี่เกี่ยวข้องของผ้าลินินอย่างไร... ]
[ผ้าลินินจะเข้าไปเกี่ยวกับการทำมัมมี่ในช่วงหลังการนำศพไปดองเกลือนาตรอน (เป็นเกลือชนิดพิเศษสำหรับดองศพเป็นเวลาประมาณ ๑ เดือน เพื่อให้ศพแห้งสนิทจนยากจะผุสลาย) หลังจากนั้นใช้ผ้าลินินหลายร้อยหลาพันปกป้องศพ (ขัดแย้งกับข้อมูลและหลักฐาน) การพันผ้าเป็นพิธีทางศาสนาใช้เวลาประมาณ ๑๕ วัน แถบผ้าลินินมักนำมาจากผ้าเก่า (ตรงนี้ก็ขัดแย้ง) ชุบน้ำยางจนชุ่มเพื่อให้แข็งตัว]
[ตัดข้อสันนิษฐานเรื่องผ้าลินินกับมัมมี่!]
[แล้วถ้าเป็นเรื่องของใช้ที่เตรียมไว้สำหรับภพหน้าล่ะ!]

คราวนี้อารีสเอียงศีรษะเล็กน้อย หันมองผ้าลินินขาวสะอาดบนเตียงนอน หล่อนเกือบลืมไปเสียสนิท ยังโชคดีที่ตั้งข้อสันนิษฐานเรื่องผ้าลินินกับการทำมัมมี่เอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นอาจลืมนึกถึงข้อนี้ไป คิดได้ก็เริ่มจดปลายปากกาลงบรรทัดต่อมา

[ถ้าเป็นผ้าของพระนางเนเฟอตารี ทอใส่หีบทองคำ เตรียมไว้สำหรับภพหน้า]
[ข้อสงสัย?]
[ทำไมผ้าถึงลอยไปอยู่ไกลถึงนูเบีย (ข้อสงสัยเดิมที่เคยเขียนไว้) ถ้าเป็นตามข้อสันนิษฐานนี้ อันที่จริงผ้าควรไปอยู่ที่หุบผาราชินี ในสุสานของพระนาง]
[ควรอยู่ที่ ‘ซีสตินชาร์เปล’]
[นั่นอาจหมายความว่า ผ้าลินินผืนนี้ไม่ได้ทอไว้ให้พระนางใช้ในโลกหน้าตามหลักมายาศาสตร์ แต่การที่มันลอยไปอยู่ถึงสุดเขตแดนอียิปต์ที่นูเบีย]
[หรือจะเป็นบรรณาการจากพวกนูเบีย ภายหลังการพ่ายแพ้ฟาโรห์ราม...ราม...ราม...]

อยู่ๆ มือของอารีสก็เกิดชะงัก ทันทีที่จะเขียนพระนามของฟาโรห์ ในอกของหญิงสาวรู้สึกถึงความปั่นป่วน เหมือนมีพายุก่อตัว มันทำให้หล่อนกระอักกระอ่วน แม้จะพยายามจดปลายปากกาเพื่อเขียนต่อ หากก็ไม่สามารถทำได้ มือหล่อนสั่นมากขึ้น ซ้ำยังเขียนพระนามแรกซ้ำๆ ไม่รู้จบ

“แย่จริง เป็นอีกแล้วเหรอ” อารีสแทบจะโยนปากกาทิ้ง หวนนึกถึงเมื่อตอนเรียน หล่อนเป็นทั้งนักจด นักจำ นักอ่านและนักคิด ประวัติศาสตร์อียิปต์ตั้งแต่ยุคเก่า ยุคกลาง กระทั่งยุคใหม่หล่อนจำได้แทบทั้งหมด เขียนพระนามฟาโรห์และสุลต่านได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน

เว้นเสียก็แต่...รามเสสมหาราช

หล่อนไม่สามารถเขียนพระนามจนจบ หรือแม้แต่การเอ่ยถึง หล่อนก็ต้องเลี่ยงไปใช้คำอื่น แทบทุกครั้งที่สงสัย หากก็ไม่เคยได้คำตอบ นอกจากนั้น...เวลาที่เห็นภาพของรามเสสที่ ๒ คราวใด หญิงสาวก็อดไม่ได้จะหลีกห่าง ไม่ก็ปิดภาพนั้นไว้ไม่ให้เห็น

แม้การมาเยือนอียิปต์เพื่อทำการค้นคว้าศึกษา หล่อนก็อึดอัดยามเมื่ออยู่ต่อเบื้องพระพักตร์รูปสลักหรือภาพวาดของพระองค์ อารีสรู้สึกว่าทุกการย่างก้าวของหล่อน สายตาแห่งองค์ฟาโรห์จับจ้องอยู่ตลอดเวลา ดังเช่นปฏิกิริยาเมื่ออยู่ต่อหน้าภาพวาดของนางโมนาลิซ่าอย่างไรอย่างนั้น

แน่นอนว่า...ไม่สู้จะให้ความรู้สึกสบายใจ

“คงเพลียเต็มที”

ท้ายที่สุดหญิงสาวก็ตัดสินใจขีดพระนามเริ่มแรกที่เขียนซ้ำๆ นั้นทิ้ง คงค้างไว้แต่ข้อสันนิษฐานล่าสุดของหล่อนเอง

[หรือจะเป็นบรรณาการจากพวกนูเบีย ภายหลังการพ่ายแพ้ฟาโรห์ราม... ราม... ราม...]

เรียบร้อยก็ปิดสมุดบันทึก ถอนหายใจแล้วทอดสายตามองผ้าลินินผืนงาม ผ้านั้นขาวสะอาด ยามอาบแสงจากดวงไฟบนเพดานสูงดูมลังเมลืองด้วยเส้นใยสีทองที่สอดแทรก อารีสยังคงเชื่อในข้อสันนิษฐานเริ่มแรกของหล่อน

ผ้าลินินผืนนี้ควรเป็นภูษาทรงของ ‘พระนาง’

หาก ‘แปลก’ ยามเมื่อเอ่ยถึงพระนาม ‘เนเฟอตารี’ ราชินีคู่พระทัยของฟาโรห์รามเสสมหาราช อารีสไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนหรืออึดอัดเช่นพระนามฟาโรห์ ตรงกันข้าม...หล่อนรู้สึกรัก เทิดทูน และปรารถนาจะพบพระพักตร์ แม้ในรูปสลักหรือภาพเขียน ยามเมื่อสบดวงเนตรของพระนาง ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านภายใน

และหล่อนเชื่อ ‘บางสิ่ง’

ผ้าลินินผืนนี้เป็นของ ‘พระนาง’ และจะเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกเสียจาก ‘ภูษาทรง’

หากแต่ต้นกำเนิดเล่ามาจากไหน...ข้อสันนิษฐานที่ว่าพวกนูเบียเป็นผู้ทอถวาย อารีสรู้แก่ใจว่าไม่มีทาง แต่นั่นล่ะปัญหาใหญ่...มันสำคัญอย่างไรถึงไปอยู่ไกลติดชายแดนอียิปต์ ในวิหารเนเฟอตารี วิหารซึ่งฟาโรห์รามเสสมีพระบัญชาก่อสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานความรักที่พระองค์มีต่อราชินียอดดวงใจ

‘บรรณาการความรักจากฟาโรห์’

อยู่ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้น อาจเป็นไปได้...ทอเพื่อเป็นบรรณาการความรัก แต่เพราะอะไรจึงเป็นผ้าลินิน ในเมื่อตัววิหารก็มี ภาพเขียน อักษรสลัก หรือแม้แต่การลงจารึกถึงความรักซึ่งมีต่อพระนางก็ปรากฏเด่นชัดอยู่แล้ว

‘เพียงนางเยื้องกรายผ่าน ก็กุมใจข้าไว้ในบัดดล’

ฟาโรห์ทรงบันทึกถึงพระนางเช่นนี้ คงไม่มีเหตุจำเป็นใดต้องให้มีการทอผ้าลินินถวาย อีกทั้งวิลเลียมเองก็บอก

‘เป็นหลักฐานซึ่งไม่มีพระนามแห่งฟาโรห์รามเสสที่ ๒ มาเกี่ยวข้อง’

เหมือนปริศนาจะคลี่คลายจากข้อสันนิษฐานหลายๆ อย่าง หากสุดท้ายก็มีข้อขัดแย้งเสมอ

อารีสหลับตา นวดขมับเบาๆ อย่างเหนื่อยล้า ครั้นดูเวลาก็เกือบเที่ยงคืน นี่หล่อนใช้เวลาอยู่กับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นนี้นานเหลือเกิน หากก็ยังได้อะไรไม่มากนอกจากการตั้งข้อสันนิษฐาน และพยายามตัดข้อสันนิษฐานที่ไม่น่าใช่ออก

บางทีควรจะเป็นวันพรุ่งนี้...มะรืน...หรือวันถัดๆ ไป หล่อนอาจจะได้คำตอบจริงๆ

แต่สำหรับคืนนี้ หล่อนเพลียเหลือเกิน เหตุการณ์หลายอย่างรุมเร้าจนทำให้หล่อนแทบสิ้นกำลัง ทั้งการเดินทาง ความฝัน การต่อสู้ หรือแม้แต่การพบกันครั้งแรกระหว่างหล่อนกับผ้าลินิน

เหล่านั้นอาจไม่ใช่เรื่องลี้ลับ คงเพราะเดินทางไกลเท่านั้นเอง

แล้วอารีสก็เอนตัวพิงเตียง ค่อยๆ วางศีรษะลงบนที่นอนนุ่มต่างหมอน ใช่...หล่อนนั่งหลับ ให้ผ้าลินินผืนงามอยู่บนเตียงแทนหล่อน ประหนึ่งผ้านั้นคือตัวแทนแห่ง ‘พระนาง’ จวบห้วงนิทราเข้าโอบกอด สมประดีสิ้น สิ่งใดเกิดขึ้น หล่อนไม่อาจล่วงรู้และรับทราบ

สายลมพาดพัด...

จากเครื่องปรับอากาศหรือ...คงไม่ เพราะสายลมนั้นแรงกว่าเครื่องปรับอากาศจะทำได้ จากกระแสลมภายนอกห้อง...อาจใช้ หากประตูหน้าต่างทุกบานไม่ถูกปิด

ผ้าลินินผืนงามพะเยิบลอยตามสายลมดังกล่าว พลิ้วไหวม้วนตลบ ตกลงห่มคลุมร่างของหญิงสาว ดูราวกับ ‘ใคร’ จับมันวางต่างผ้าห่ม คลุมให้อารีสเพื่อป้องกันความหนาวเย็นในยามราตรี พร้อมเสียงกล่อมเบาๆ ที่ลอยอวลอยู่รอบๆ ผ้าลินิน

“หลับเสีย...หลับให้สบาย”

+++++++++++++++++++++++



นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มิ.ย. 2555, 19:05:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มิ.ย. 2555, 19:05:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 1358





<< ไคโร (๕)   ลุกซอร์ >>
สร้อยดอกหมาก 1 มิ.ย. 2555, 20:03:26 น.
มาส่งเสียงว่าติดตามเรื่องนี้อยู่ค่ะ !


นาถลดา 1 มิ.ย. 2555, 20:20:52 น.
^___^ ขอบคุณครับ


แล่นแต๊ 3 มิ.ย. 2555, 13:28:04 น.
ผ้าผืนนี้เป็นของใคร สงสัยชวนให้ติดตามค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account