แรกรักแต่ปางบรรพ์
เรื่องราวยุคก่อนสุโขทัย เป้เนนิยายจินตนาการทั้งสิ้น มิอาจนำไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆได้
Tags: จงรัก ภักดี

ตอน: แตกหัก


แต่ถึงแม้ กาสาไม่พูด หากนางกำนัลคนอื่น ได้ยิน ซึ่งดังพังเพย คนรักเท่าผืนหนังคนชังเท่าผืนเสื่อ นางกำนัลคนหนึ่งแอบได้ยินท่านสิงห์สั่งความกาสา นางย่อมรู้ว่านั่นคือความปรารถนาดี แต่นางไม่พอใจให้ความสงบสุขมีกับพระเทวี
นางกำนัลนำความเข้าทูลไม่ตกสักคำเดียว
นางคลานเข่าไปเบื้องหน้า แม่ยั่วหัว พระนางตรัสถาม
“เจ้ามีเรื่องใดมาบอกข้าหรือ แปลกเทียวที่วันนี้เอ็งเข้ามาใกล้ข้าได้”
“ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญมากราบทูล เพราะเห็นว่าอาจจะไม่ทรงทราบว่าพ่อเจ้าเสด็จกลับมายังพระราชวังแล้วเพคะ”
“กลับแล้วพี่เจ้าของข้าเพิ่งกลับมาถึงหรือ”ทรงประทับยืนอย่างยินดียิ่งนัก นานแล้วที่ไม่ได้เข้าเฝ้าเพื่อขอขมาในความผิดที่ทรงก่อกำเริบให้พ่อเจ้าไม่พอพระทัย ครานี้เมื่อทรงกลับมา แม่ยั่วหัวจะระงับความมีทิฐิไปขอขมาพระองค์ท่าน
นางกำนัลผู้มีเบื้องหลังแอบแฝงกราบทูลต่อไปว่า
“เสด็จกลับมาได้หลายทิวาแล้ว ทรงมีเจ้านางประทับเคียงข้าง”วาจาของนางกำนัลดั่งไฟเผาพระวรกายให้ไหม้มลายแม่ยั่วหัวอมรา นางตัวร้ายยังทูลต่อ
“ทรงโปรดเจ้านางขวัญหล้ายิ่งนักถึงกับเสวยในห้องบรรทม ซึ่งเป็นที่โจษจันท์ว่า แม้แต่พระแม่เจ้ายังไม่พอพระทัยเท่านี้”
กาสา กลับจากธุระ มาพบแม่ยั่วหัวมีอาการดั่งจะอาละวาดต่อผู้คน นางได้ยินแม่ยั่วหัว
คำรามในลำพระสอดั่งเสือหวงลูกอ่อน
“หยามน้ำใจข้ามากนัก”
“แม่เจ้ายั้งพระบาทก่อนเจ้าแม่เจ้า”
กาสาคนซื่อ หันไปทางนางกำนัล นางถาม
“เอ็งเอาความใดมาทูลแม่ยั่วหัว”
“กาสา เอ็งต่างหากปิดความใดต่อข้า เอ็งปิดความเรื่องพ่อเจ้าเสด็จกลับมาแล้วต่อข้าหรือ”
“แม่เจ้า”
“ข้าไม่ฟัง กาสาเอ็งเงียบเสียเดี๋ยวนี้ ข้ารำคาญนัก” พระนางพานคนสนิทหันรีหันขวางคว้าพานผ้าขว้างใส่ข้าราชบริพาร
“ทีฆายุ หยามใจข้านัก ยังอาจรังแกน้ำใจข้า ข้าจะเอาเรื่อง ทีฆายุ”
ไม่มีใครขัดขวางด้วยอยากเห็นเหตุร้ายทั้งนั้น
มีแต่ กาสาผู้ภักดีรีบตามเสด็จโดยเร็ว พระนางอมราเทวี เตลิดสู่ตำหนักรโหฐานของพ่อเจ้าทีฆายุ
ยิ่งคิดยิ่งแค้นคงหวงมันกล้าดีอย่างไรบังอาจถวายงานในถ้ำถิ่น อีคนนั้นงามเพียงใดทีฆายุเจ้าจึงตะบัดสัตย์
มหาดเล็กรักษาพระองค์ ขวางทางด้วยเป็นยามบรรทมพ่อเจ้า
“แม่เจ้ายั้งพระบาทก่อน”
“หลีกข้าเดี๋ยวนี้” พระนางผลักไส ผู้ขวางทางกระเด็นไปคนละทาง พระนางบุกเข้าถึงราชฐานชั้นใน ท่านสิงห์คำนึงถึงเหตุร้ายจึงห้ามปรามทันที
“แม่เจ้าอย่าเสด็จในยามนี้ หาไม่จะ ”
“ท่านสิงห์ แม้ข้าจะเคยทำผิดต่อท่านไปครั้งหนึ่ง ท่านจึงคุมแค้นต่อข้ามีเรื่องร้ายขนาดนี้ไม่ปริปากบอกข้าสักคำ”
“แม่เจ้าระงับพระทัยก่อน ที่ข้าน้อยไม่ทูลเพราะรู้ทรงทราบเพราะรู้ถึงอารมณ์ว่ามิอาจจะทนได้”
“ใช่ ข้าไม่ทน ไม่ทนเด็ดขาด หลีกไป” ทรงผลักท่านสิงห์ให้พ้นทาง
จากนั้นถลันเข้าสู่ห้องบรรทม มหาดเล็ก และนางกำนัลเร่งรีบตามเข้าห้องบรรทม
เพื่อถวายอารักขา
ทีฆายุพ่อเจ้าบรรทมหลับสนิท คลุมผ้าห่มพระองค์ท่อนล่าง พระอุระเปลือยเปล่าเช่น เดียวพระองค์ด้วยเจ้านางขวัญหล้า
“ทีฆายุเจ้า ” พระนางอมราตวาดก้อง
“พ่อเจ้า”
เจ้านางขวัญหล้ารีบผุดลุกไม่ทันระวังพระองค์ แม่ยั่วหัวทรงโผขึ้นแท่นที่ประทับถีบใส่เจ้านางขวัญหล้าจนตกแท่นพระที่ เจ้านางขวัญหล้าโดนแรงถีบด้วยโทสะร้ายกาจของเจ้านางอมราเทวีถีบใส่โดยแรง เจ้านางขวัญหล้า
หวีดร้องทั้งเจ็บและตกใจ
“ว้าย พ่อเจ้า ”
หลังจากรู้สึกองค์ว่าอะไรเป็นอะไร เจ้านางจึงกรรแสงไห้ ค้อมกายปิดบิดร่างเปลือยของพระนาง นางข้าไทยรีบ
คลานเข่าเข้าไปหาพร้อมกับผ้าห่มผืนหนึ่งใช้คลุมพระวรกาย
ท่านสิงห์รีบหาฉลองพระองค์มาคลุมให้ร่างเปลือยเปล่าของพ่อเจ้า ฝ่ายผู้เป็นใหญ่ของแผ่นดินทรงกริ้วอย่างไม่
อาจระงับได้ทรงตวาดใส่แม่ยั่วหัวทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้เจ้าอมรา” เจ้านางอมราโกรธเป็นไฟ ถลันคว้าดาบจะเข่นฆ่าเจ้านางขวัญหล้าให้จงได้
“ข้าไม่หยุด พี่เจ้าย่ำยีหัวใจของข้าน้อยหนักหนาถึงเพียงนี้ ไยไม่คิดถึงสัจจะวาจาจักมีแต่น้องผู้เดียว เมื่อมีแต่ข้าน้อย ย่อมต้องไม่มีมันผู้นี้ หลีกทางไป ข้าจะฆ่ามัน”
พ่อเจ้าขัดพระทัยพระพักตร์คมดุยิ่งนัก ตวาดด้วยสุรเสียงกังวานกึกก้องห้องบรรทม
“อมราเทวี รู้หรือไม่ใครถอดดาบต่อหน้าข้าโทษถึงประหาร เผาบ้านเผาเมือง”
“เชิญพี่เจ้าฆ่าข้าน้อยเสียดีกว่าจะทำร้ายข้าน้อยเช่นนี้” พระนางสวนกลับ
“ข้าจะทำเช่นนั้นถ้าขัดคำสั่งข้าอีกเพียงครั้ง”
ความดื้อรั้นเดือดดาลพระทัยทำให้พระนางอมราขาดสติยั้งคิด บังอาจถอดดาบต่อเบื้องพระพักตร์ทันที การกระทำอุกอาจต่อหน้ามหาดเล็ก และธารกำนัลน้อยใหญ่ ทำให้พ่อเจ้าทีฆายุฟาดพระหัตถ์หยาบกร้านด้วยกรำศึกตบพักตร์พระนางอมราเทวีเต็มแรง พระนางถลาล้มกับพื้น พระโลหิตไหลซึมมุมพระโอษฐ์
ความคับแค้นอับอาย ทำให้เจ้านางอมราพระทัยแหลกสลายสิ้น ทรงเจ็บจุกอุระแทบกลั้นพระทัยตาย พ่อเจ้าทีฆายุทรงกริ้วยิ่งนักตวาดด้วยพระสุรสีหนาทกึกก้องว่า
“กล้าขัดโองการข้า สักวันคงประหารข้าได้ใช่มั้ยนางอมรา ข้าเป็นพ่อเจ้ายังสั่งเมียไม่ได้ แล้วอ้ายอีผู้ใดในแผ่นดินนี้ จะยำเกรงต่อข้า บอกมายังภักดีต่อข้าอยู่หรือไม่”
พระนางอมรากัดโอษฐ์ที่สั่นระริกแน่น เลือดไหลซึมซ้ำลงมาอีก พยายามยิ่งยวดกลืนกล้ำน้ำพระเนตรที่แสนรังมิให้รินไหล
หากสายตาผู้คนที่จ้องเย้ยหยัน ความเจ็บร้าวพระทัยทำให้พระนางพ่ายแพ้มิอาจกลั้นน้ำเนตรไว้ได้อีก
“ข้าถามเจ้ายังไม่ตอบเมื่ออวดดีดังนี้ แล้วข้ายังจะชุบเลี้ยงเจ้าให้เป็นใหญ่ได้เช่นไร สิงห์เจ้านำเสด็จเจ้าอมราไปให้พ้นหน้าข้า ข้าจะมีราชโองการ นับแต่นี้ข้าไม่ขอพบเห็นนางหญิงเมืองครามอีกต่อไป จงนำมันไปตำหนักหลังท้ายอุทยาน แล้วขังมันไว้ที่นั่น แล้วอย่าให้เท้าของมันแตะพื้นดินได้อีกเด็ดขาด”
อมราแม่ยั่วหัวจุกแน่นในพระหทัย หากเพราะมีทิฐิมานะอยู่มากจึงฝืนพระเนตรสบพระเนตรแข็งกร้าวของพ่อเจ้าทีฆายุ ซึ่งดูคล้ายหมดรัก และ เมตตาจนสิ้นแล้ว
เจ้านางตรัสเสียงสะท้านออกมาจากน้ำพระทัยกล้าแข็ง
“เมื่อเป็นดำรัสสุดท้ายของทีฆายุเจ้า ข้านางอมรา คนเมืองครามจักแสดงให้ประจักษ์ว่าข้านี้มีความจงรักษ์ภักดี ไม่เคยคิดทำอันตรายต่อเจ้าผัว เมื่อมีราชโองการไล่ข้า กักขังข้า ข้าจะนำความภักดีครั้งนี้จะทูนใส่เกศา ข้านางอมราทาสจากเมืองคราม ขอถวายตำแหน่งแม่อยู่หัวคืนบัดเดี๋ยวนี้”
ตรัสพลางทรงทอดมงกุฎกษัตริย์อีกทั้งธำมรงค์คู่เมือง ดำรงองค์มั่นคง มีพระราชเสาวนีย์เป็นครั้งสุดท้าย
“จนแผ่นดินกลบหน้า เจ้าอมราจะอยู่เยี่ยงคนต่างเมืองจะไม่ขอบากหน้า พบพ่อเจ้าอีกต่อไป ”
ทีฆายุเจ้าสะท้านพระทัยแกร่งจนต้องยกพระหัตถ์กุมต่อดำรัสที่ทรงเชื่อว่าต้องเป็นเช่นนั้น ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง
ท่านสิงห์รีบตามเสด็จแม่ยั่วหัวซึ่งลดชั้นตำแหน่งเป็นเพียงแต่นักโทษ มหาดเล็กนางกำนัลรีบออกจากห้องประทับ
ทีฆายุพ่อเจ้าประทับกับแท่นพระที่หมดเรี่ยวแรงในทันที
มิใช่แต่พระนางอมราที่พระทัยแหลกสลาย พ่อเจ้าทีฆายุก็ได้เฉือนพระทัยองค์เองลงเสียแล้วเช่นกัน
“พ่อเจ้าเพคะ” เจ้านางขวัญหล้าคลานเข้าเฝ้าหากพ่อเจ้าตวาดก้อง
“ออกไปให้สิ้น ข้าอยากอยู่คนเดียว”
สิ้นพระราชดำรัสทรงอำนาจ ข้าราชบริพารทุกผู้ ได้รีบออกไป แม้แต่เจ้านางขวัญหล้ายังไม่อาจประทับอยู่ได้ นางเขือผู้เป็นพระพี่เลี้ยง ได้พาออกไปด้วยกัน
เมื่อพ่อเจ้าได้อยู่ตามลำพังแล้ว ความสุขุมได้เข้ามาทีละน้อย จนในที่สุด ทรงคิดถึงการกระทำและเหตุผลของแม่
หยั่วหัวอมรา จักมีใครหึงหวงและแสนร้ายกาจด้วยรักพ่อเจ้าทีฆายุได้มากเท่าอมรานั้นไม่มีอีกแล้ว
เมื่อสิ้นความกริ้วโกรธ พ่อเจ้าทีฆายุ รู้สึกสงสารเจ้านางอมราไม่น้อย หากเป็นกษัตริย์ตรัสแล้วไม่เคยคำ ดำรัสนั้นจึงเหมือนมีดตามกรีดพระทัย ยามนึกถึงที่กักขังให้อาดูร
ตำหนักหลังเป็นหลังเดี่ยวเป็นที่กักขังเจ้านางต่างๆ ที่ทำผิด
ณ เวลานี้พระนางอมราถูกโองการให้กักขังอยู่ที่นี่ ห้ามพระบาทแตะพื้นดิน
เจ้านางอมราเสด็จมาถึงยังพระตำหนักเรือนไม้ชั้นเดียว ซึ่งมีบันไดทอดสูง พระนางจึงมีรับสั่งกับคนสนิททันที
“ปิดตำหนักข้าเดี๋ยวนี้ กาสา” กาสารีบทำตามดำรัสด้วยน้ำตาอาบแก้ม
ท่านสิงห์หยุดยั้งเพียงบันไดขั้นล่างมิได้ก้าวล่วงให้เสื่อมพระเกียรติ แม่ทัพใหญ่แห่งเมืองธารปุระทูลเจ้นางอมราด้วยความจงรักภักดีว่า
“แม่เจ้ายังไม่สายเกินไปที่จะ ขอประทานโทษพ่อเจ้านะ เจ้า”
“พี่ชายแห่งข้า อย่าให้หญิงเมืองครามต้องตากหน้าง้องอนชาวธารปุระอีกเลย แค่นี้ ข้าก็มีความเจ็บความอายยิ่งแล้ว”
“แม่เจ้า ที่พ่อเจ้าทรงตรัสก็ด้วยเคืองพระทัยไปบ้าง แท้จริงยังทรงรัก ”
“หยุดเสียที พอเสียทีข้าไม่อาจฟังแล้ว ข้าไม่ขอรับรู้อีกแล้ว ”
“แม่เจ้าได้โปรด”
“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
ทรงกรีดร้อง ราวมีพระสติวิปวาส ท่านสิงห์จึงถอยกลับออกมา ด้วยสายตายังชำเลืองมองกาสาด้วยความสงสารจับใจ นายตกข้าไทหรือจักไม่ตกตาม
โอ้อนิจจา หรือ สายน้ำพระทัยสองผู้เป็นใหญ่จะตัดกันขาดจากกันนับแต่เพลานี้เสียแล้วกระมัง!
กาลเวลาแห่งความรักใคร่ หลงใหล ได้ถึงวันสิ้นสุดเสียแล้ว เจ้านางอมรากรรแสงด้วยความเจ็บช้ำ โดยมีกาสารับรู้เพียงคนเดียว
นับแต่เพลานั้น ตำหนักหลังอันเป็นที่ประทับก็ปิดม่านทึบ ยามค่ำคืนมิได้จุดไต้ให้แสงสว่างดังตำหนักอื่น ตำหนักนี้จึงเงียบเหงาราวเป็นตำหนักร้างมิปานกัน
แม้เวลาผ่านไปนานวัน กาสา นางกำนัลผู้ซื่อสัตย์เพียงคนเดียวที่ต้องทำงานรับใช้แต่เพียงลำพัง
แรกทีการนำพระกระยาหารมาถวายตามเวลา หากเมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจไยดีในตำหนักนี้น้อยลง จนเลือนหายไปในที่สุด
เมื่อไม่มีผู้นำอาหารมาถวาย กาสาจึงต้องเดินไปโรงครัวนำอาหารมาเอง
แม่ครัวร่างอ้วนรู้ว่าพระนางอมราสิ้นอำนาจก็เหน็บแนมเอาตามใจชอบ
“ของกินแค่นี้คงอิ่มนะ กาสา มีเพียงคนเมืองครามแค่สองคนเท่านั้นนี่”
กาสามองถาดอาหารมีชามดินเผาใส่เยี่ยงทาส
อาหารที่นำถวายก็เพียงน้อยนิดพอประทังชีวิตเพียงคนเดียวเท่านั้น นางอดเอ่ยตัดพ้อด้วยความน้อยใจเสียไม่ได้ว่า
“นายข้าสิ้นวาสนาก็จริง แต่นายข้าก็ยังมีชีวิตอยู่เจ้าจะให้อาหารดังเซ่นผีเยี่ยงนี้ได้กระไร”
“เอ๊ะ นางคนเมืองครามใจร้ายนี้เรื่องมากทั้งบ่าวทั้งนาย พวกมึงจักขนไปมากก็เหลือทิ้ง กูเป็นหัวหน้าแม่ครัว เมื่อกูเห็นชอบให้ไปเพียงแค่นั้น ก็เอาไปแค่นั้น หรือเจ้าจะไม่เอาไปก็ได้”
“คนเมืองธารปุระนี้น้ำใจเหมือนกันทั้งทหารและไพร่ พอคนสิ้นวาสนาก็พากันเหยียบย่ำไร้เมตตา”
“เอ๊ะอีนี่ เห็นทีพูดมาก ลมเข้าท้องไปมาก ไม่ต้องเอาอาหารไปคงได้กระมัง มึงมีแค่สองปากสองท้องถาดเดียวก็พอ” นางแม่ครัวตะคอกดัง
กาสาจำเก็บปากเก็บคำไม่โต้แย้งอีก นางก้มหน้าน้ำตาคลอเชิญเครื่องเสวยกลับตำแหนักท้ายอุทยาน
นางเชิญเครื่องขึ้นตำแหนัก เจ้าอมราประทับนั่งบนเตียงไม้แข็ง แต่งกายเช่นเดียวกับ กาสา นุ่งผ้าจูงกระเบน รัดอกด้วยผ้าแถบ เกศาปล่อยสยายมิได้รัดเกล้า เช่นผู้สูงศักดิ์ มิได้ปรากฏองค์ให้ใครเห็น
พระพักตร์และพระฉวีซูบเซียว ที่พระครรภ์นั้นเล่ายื่นออกมาจนเห็นชัด ที่แท้พระนางตั้งพระครรภ์ก่อนหน้าจักต้องโทษ
เมื่อรู้พระองค์แล้วพระนางกลับเก็บงำเป็นความลับไม่นำความขึ้นกราบทูลเพื่อขอคืนตำแหน่ง น้ำพระทัยของพระนางช่างแข็งแกร่งอย่างที่พระแม่เจ้าของพระนางเป็นห่วงมาแต่เดิม
บัดนี้พระนางกำลังแพ้พระครรภ์ เมื่อกาสานำถาดพระกระยาหารขึ้นถวาย ทรงทอดพระเนตรมองอาหาร แต่ละมื้อที่พวกวิเศษจัดมาให้
ทรงท้อพระทัยด้วยความเป็นห่วงข้าทาสผู้ซื่อสัตย์คนเดียวของพระนาง ทาสที่ร่วมแต่ทุกข์มาโดยตลอด บัดนี้กาสาคือเพื่อนตาย ทรงรู้สึกเมตตานางอย่างหาใดมาเปรียบได้
หากเสวยเสียหมดดังคราวแรกที่จะรู้ กาสาอดโดยไม่ปริปาก จวบจนเมื่อพระนางทอดพระเนตรเห็นกาสาตักน้ำลูบท้องต่างอาหาร พระนางจึงดำริได้ทันทีว่า กาสายอมอดเพื่อให้นายอิ่ม เจ้านางอมราสะท้านพระทัยราวกับโดนบีบคั้นรุนแรง อสุชลหลั่งรินด้วยความสงสารนางข้าไท แต่เมื่อกาสาเข้ามาถวายงานใกล้ชิด พระนางพลันกลั้นน้ำพระเนตรไว้โดยฉับพลัน
มื้อต่อมาพระนางจึงเสวยแต่พอประทังชีวิตไปวันๆ เหลืออาหารไว้แบ่งปันข้าไทผู้ภักดีให้ได้รู้สึกพอประทังกายเช่นเดียวกับพระนางซึ่งหากมิห่วงใยพระหน่อเนื้อเชื้อไขในพระอุทร ที่อุตส่าห์เฝ้ารอมานานถึงสิบห้าปี พระนางคงปลงพระชนม์องค์เองด้วยขัตติยะมานะของกษัตริย์อันที่จะมิให้ผู้ใดหยาบหยาม
หากพระหน่อเจ้าผู้เป็นชีวิตนั้นดั่งน้ำอมฤตหล่อเลี้ยงพระชนม์ในยามยากแค้นเช่นนี้ เมื่อพระหน่อขยับองค์ก็ให้นึกเวทนามิอาจจะทำลายชีวิตพระนางให้สิ้นลงไปได้ เพราะหาไม่พระหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ธารยุทธ์จะพลอยได้รับความตายไปด้วย



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 พ.ค. 2555, 10:25:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 พ.ค. 2555, 10:25:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1979





<< เจ้านาง   ยอมรับชะตากรรม >>
คิมหันตุ์ 31 พ.ค. 2555, 11:13:39 น.
โอ้...แล้้วจะมีใครมาเห็นเนี่ยว่าพระนางท้องน่ะ


saralun 31 พ.ค. 2555, 11:15:01 น.
T^T


teesaparn 31 พ.ค. 2555, 11:24:11 น.
เมื่อมั่งมีมิตรหมายมอง
แต่ตอนตกอับหมายังไม่แลเลย ...
ขออีกนิดนึง อัสสุชล ไม่ใช่อสุชลเน้อ ถึงจะเป็นน้ำตาได๊ มีคำว่าหยาดเติมเข้าไปด้วยก่อดี
หากเยียะหื้อบ่ะพอใจ ข้าน้อยก่อขออภัยตี้บังอาจล่วงเกิน


นางแก้ว 31 พ.ค. 2555, 13:33:30 น.
ขอบคุณในคำแนะนำมากค่ะ


Zephyr 31 พ.ค. 2555, 18:58:20 น.
เอ้อ จะแอบสะใจนิดนึง ก็สมควรแล้วที่คนอื่นเค้าจะไม่เมตตาก็ช่วงมีอำนาจ ไปร้ายไว้มากเองนี่ โดนเอาคืนก็สมควร
แต่สงสารเด็กอ่ะ บุญน้อยมามีแม่ยังงี้ แล้วยังต้องมาอดเพราะแม่หึงมากจนขาดสติอีก เวรกรรมจริงๆ


tookta 1 มิ.ย. 2555, 01:42:17 น.
อึ้งเลยจ้าไรเตอร์ หมดคำพูด แต่ชื่นชมไรเตอร์ที่สามารถบีบคั้นแฟนคลับได้ในนาทีสุดท้าย ให้รู้สึกสงสารแม่หญิงอมรายิ่งนัก เหตุเกิดเพราะรัก หักใจมิได้เพราะรักมาก รักเท่าชีวิต ถึงจะมีความไม่น่าชื่นชมหลายอย่างของแม่หญิงอมรา แต่นับถือน้ำใจยิ่งนักในความรัก ความซื่อสัตย์ ความภักดี ที่มีให้ท่านทีฆายุ ความหึงหวงเกิดได้กับทุกคน ที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ไม่งั้นจะมีประโยคนี้หรือคะ เสียตัว เสียหัว แต่ไม่ยอมเสียผัวให้ใคร 555


tookta 1 มิ.ย. 2555, 01:49:59 น.
ไรเตอร์จ๋า แล้วเด็กน้อยในครรภ์จะไม่ขาดสารอาหารหรือคะ แม่ทั้งอด ทั้งเจ็บ ทั้งชอกช้ำ ทั้งตัว ใจ กาย เด็กน้อยจะรอดไหมเนี่ย กลับเมืองของเราเถอะแม่หญิงอมรา แล้วคอยดูคนที่ไม่รู้ว่ามีหน่อเนื้อเชื้อของท่านเกิดขึ้นแล้ว จะทำอย่างไร เมียทั้งคน ปล่อยให้เป็นแบบนี้ได้ไง ไม่ว่าสมัยไหนๆๆ ผู้ชายก็ไว้ใจยาก รักง่าย หน่ายก็เฉดทิ้ง เกือบ 90 เปอร์เซ็นน้อ


อริสา 1 มิ.ย. 2555, 04:01:10 น.
อ่านบทนี้แล้วสะเทือนใจค่ะ สงสารแม่หญิงอมรา คนที่อารมณ์แรงอยู่แล้ว แต่กรรมที่ทำไว้เยอะคงมาตามทันหวังว่าจะได้คิดทบทวนตัวเอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account