ทรัพย์สิดี ชื่อนี้ที่ผมรัก (รีไรท์)
เป็นเรื่องเก่าที่เคยลงที่นี่แล้ว เมื่อ 3-4 ปีก่อนได้มั้งคะ ตอนนี้เราเอามารีไรท์ใหม่ เพราะต้องการส่งสำนักพิมพ์แบบจริงจัง เพราะตอนนี้เรียนจบแล้ว มีเวลาแล้ว ถ้าคนที่เคยอ่านแล้ว เราก็ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ลงซ้ำซาก แต่ถ้าช่วยอ่านตอนรีไรท์ใหม่อีกครั้ง และลงคำติชมไว้ เพื่อแก้ไข้ก่อนส่งสำนักพิมพ์ เราก็ยินดีและขอบคุณมากเลยค่ะ สำหรับใครที่ไม่เคยอ่าน ก็รบกวนลงคำติชมไว้เพื่อการปรับปรุงได้นะคะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

เรื่องย่อ...

พนักงานสาวออฟฟิศที่กำลังจะไปสัมภาษณ์งานใหม่ ปรากฏว่าชนชายคนหนึ่ง ล้มลงที่สถานีรถไฟฟ้า หล่อนโวยวายและทุบตีเขา แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่าเขานั่นแหละคือประธานบริษัทที่หล่อนจะไปสมัครงาน!!!
Tags: Romantic comedy

ตอน: แต่งงาน

ตอนที่ 27
“ช่วยแต่งหน้าให้เข้มกว่านี้หน่อยได้ไหมจ๊ะ รู้สึกว่าจะอ่อนเกินไปนะ แล้วนี่คุณช่างทำผม ช่วยจัดการผมส่วนนี้ด้วย มันเกือบจะหลุดแล้ว” ฉันนั่งมองตัวเองในกระจกด้วยชุดเจ้าสาวเต็มยศ มีแม่คุณนรินทร์คอยกำกับดูแล สั่งนู่น ตินี่ อยู่ไม่ห่าง ดูท่าจะตื่นเต้นเหมือนแต่งงานใหม่เองอีกรอบด้วยซ้ำ
“นี่ตุ๋ม ฉันว่าเธอปล่อยให้พวกเขาทำไปเถอะ พูดมากเดี๋ยวก็เป็นลมไปหรอก” แม่ฉันซึ่งนั่งอยู่อีกมุมของห้องสวีทในโรงแรมพูดเตือนสติ
แม่คุณนรินทร์ยิ้มแห้งๆ “โทษทีนะจ๊ะนิดหน่อย ฉันตื่นเต้นน่ะ เลยลืมตัวว่านี่ควรจะเป็นหน้าที่ของแม่แท้ๆอย่างเธอต่างหาก”
“ฉันไม่ได้ว่าอะไรนี่จ๊ะ แค่กลัวเธอเหนื่อยเท่านั้น ตอนนี้ลูกสาวฉันก็เหมือนลูกเธอเองแล้วล่ะ จริงไหมลูก” แม่ลุกขึ้นจากมุมห้องเดินมาหาฉัน ก่อนจะโอบรอบคอเบาๆ แล้วก้มหน้าลงใกล้
“ลูกสาวของแม่สวยจริงๆ” น้ำเสียงของแม่เปี่ยมไปด้วยความรัก วันนี้คงเป็นวันที่มีความสุขของแม่อีกวันหนึ่ง แต่แม่คงไม่รู้ว่ามันเป็นวันที่แตกต่างจากความสุขโดยสิ้นเชิงสำหรับฉัน
ฉันแสร้งยิ้มแบบไม่จริงใจนัก “ขอบคุณค่ะ แต่หนู…”
“ต๊าย! เจ้าบ่าวเสร็จแล้ว มาเร็วตานรินทร์ อ้าวคุณ รีบเข้ามาสิคะ” คุณตุ๋ม วี้ดว้ายอยู่ตรงประตูห้องก่อนจะนำทั้งคุณนรินทร์คนพ่อและผู้เป็นเจ้าบ่าวเข้ามาในห้อง
ฉันหันไปมองตามเสียงนั้น ก่อนจะได้เห็นคุณนรินทร์ในชุดเจ้าบ่าวสีขาวแสบตาเดินเข้ามา เขาดูช่าง…ภูมิฐานเหลือเกิน เราสองคนสบตากันด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน เอ่อ…อาจจะเป็นแค่ฉันคนเดียวก็เป็นได้ เมื่อตั้งสติได้ ฉันจึงยกมือไหว้ผู้เป็นพ่อ แล้วยิ้มให้คุณนรินทร์
“ไปยืนข้างเจ้าสาวสิ วันนี้หนูสวยมากนะจ๊ะ” คุณนรินทร์ซีเนียร์ผลักลูกชายให้มายืนข้างฉัน “เจ้าบ่าว เจ้าสาว พร้อมหรือยังล่ะฮึ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปกันเถอะ นี่แม่ ตารันจะไม่มาจริงหรือ ส่งข่าวนี้ไปหรือยัง”
แล้วความเงียบก็ก่อตัวขึ้น พวกเขากำลังพูดถึงใครกันอยู่เหรอ?
“ช่างเถอะ ท่านทูตใกล้มาถึงแล้ว รีบออกไปรับกันก่อนดีกว่า”คุณนรินทร์คนพ่อพูดขึ้นอีกครั้ง แม่จูบฉันเบาๆที่แก้ม แล้วจากไปเช่นกัน
ดังนั้นในห้องจึงเหลือเพียงฉันกับคุณนรินทร์สองคนเท่านั้น ช่างแต่งหน้าทำผมก็เก็บเครื่องมือ แล้วพวกผู้ใหญ่ก็ออกจากห้องกันไป
ทีนี้ฉันกลับทำตัวไม่ถูก สายตาเหม่อลอยจับจ้องที่ประตูเมื่อช่างทำผมคนสุดท้ายจากไป ฉันกลัว กลัวงานแต่งงานวันนี้ ทั้งอาย ทั้งประหม่า ไม่มั่นใจ ขอบอกเลยว่าทุกความรู้สึกที่แย่ๆกำลังรุมเร้าฉันอยู่ แล้วฉันก็คิดถึงอนาคต อนาคตที่ไม่อาจคาดเดาได้ในภายหน้า แม้สิ่งที่แน่นอนอาจจะเป็นตัวเงินเดือนซึ่งคุณนรินทร์เพิ่มให้ฉันหลายเท่า แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นล่ะ ความสุขของฉันล่ะ…
“จะไปกันหรือยัง” คุณนรินทร์ก็ทำลายความเงียบขึ้น
ฉันหันหน้าไปมองเขา สายตาคุณนรินทร์ก็มองออกไปที่ประตูเช่นกัน ฉันยังคงเงียบไม่ค่อยมั่นใจกับคำพูดใดๆที่จะเอ่ยออกมานัก
คุณนรินทร์ค่อยๆละสายตาจากประตูมามองฉัน แล้วเขาก็ยิ้มก่อนจะหลบตาลงต่ำ พร้อมๆกับส่งแขนมาให้ด้วยความเก้อเขิน
“ผมจะดูแลคุณเอง เชื่อผมเถอะ”
ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ได้มีความหมายมากมายนัก แต่คำพูดของเขากลับทำให้ใจฉันอ่อนยวบ ความประหม่าทั้งหลายค่อยๆจางหายไป น่าแปลก ที่ฉันเริ่มรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจเหลือเกินที่มีคุณนรินทร์ยืนเคียงข้างในตอนนี้
ฉันค่อยๆสอดมือคล้องแขนเขาแล้วลุกขึ้นยืนเคียงข้าง คราวนี้เขาสบตาฉันตรงๆแล้วเราสองคนก็ยิ้มให้กำลังใจกันและกัน ก่อนจะเดินออกไปที่ประตูห้อง พร้อมแล้วสำหรับพิธีวิวาห์จอมปลอม แม้ในเสี้ยววินาทีหนึ่ง ฉันกลับหวังลึกๆว่าอยากให้เป็นจริง
“ผมลืมบอกอีกเรื่อง” เขากระซิบข้างๆหู เมื่อเราใกล้เดินถึงห้องจัดงาน
“คะ?”
“วันนี้คุณสวยมาก”
โชคดีที่เมื่อเราก้าวเข้าไปในงาน เสียงปรบมือต้อนรับ และผู้คนที่ทยอยเข้ามาแสดงความยินดี สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของคุณนรินทร์ ไม่ให้เห็นว่าฉันน่าแดงเพียงใด

ภายในงานตกแต่งเสียหรูหรา ซึ่งฉันกับคุณนรินทร์แทบไม่มีส่วนร่วมเลยสักนิด ทั้งหมดถูกออกแบบโดยแม่สามีของฉันเพียงคนเดียว
ว่าแล้วคุณตุ๋มก็เดินเข้ามาหาเราสองคนพร้อมทั้งคุณนรินทร์สามีของเธอ และแม่ของฉัน หล่อนเดินมาคล้องแขนลูกชายด้วยหน้าตาเปื้อนรอยยิ้มเสียเหลือเกิน แม่เดินมาลูบผมฉันด้วยความรักใคร่ มือของแม่เย็นเฉียบ ฉันรู้ว่าแม่ตื่นเต้นเพียงใด
“ไปสวัสดีประธานงานแต่งงานในวันนี้กันเถอะลูก” คุณนรินทร์ผู้พ่อพูดก่อนจะเดินนำเราทั้งหมดไปที่โต๊ะจัดเลี้ยงโต๊ะหนึ่ง
“ต้องมีประธานงานแต่งด้วยเหรอคะ” ฉันถามคุณนรินทร์
“ใครจะรู้ล่ะนอกจากคุณแม่” เขาพูดแนวประชดประชัน นั่นทำเอาฉันขำน้อยๆ แต่แล้วกลับขำไม่ออก เมื่อคุณนรินทร์คนพ่อแนะนำว่าใครคือประธานงานแต่งของพวกเรา
“เด็กๆ นี่ท่านสรยุทธ์ เอกอัครราชทูต เพื่อนสนิทพ่อเอง ให้เกียรติมาเป็นประธานงานมงคลของพวกเรา ไหว้งามๆเสียสิ”
ฉันแทบเข่าอ่อน รีบซ่อนใบหน้าไว้หลังเสื้อสูทของคุณนรินทร์ ผู้ที่ฉันเคยกล่าวหาว่าเป็นโจร ผู้ที่ฉันเคยปากระเป๋าใส่ ผู้ที่เป็นถึงเอกอัครราชทูต เขามาเป็นประธานงานแต่งของฉันเนี่ยนะ!!!!!!
“นี่คุณเป็นอะไรน่ะ ยกมือไหว้ท่านเร็ว ท่านเป็นเพื่อนสนิทของคุณพ่อนะ เร็วสิ” คุณนรินทร์เร่งฉันยิกๆ โอย…ตายแน่ๆ เขาคงไม่ชอบขี้หน้าฉันเท่าไรหรอก
“สะ…สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้แบบงกๆเงิ่นๆ ก่อนจะรีบก้มหน้ามองพื้น
“ไหว้พระเถอะหนู ลุงดีใจด้วยนะตารินที่เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที เห็นแม่เราเขาเป็นห่วงเรื่องทายาทเสียเหลือเกิน แล้วนี่น้องชายเราเขาจะไม่มางานพี่ชายหน่อยหรือ”
“เอ่อ…เขาคงยังไม่สะดวกน่ะครับ” คุณนรินทร์ตอบเลี่ยงๆ
แทนที่มันจะจบ แต่ท่านทูตกลับจ้องฉันแปลกๆ
“เอ…แม่หนูคนนี้ เราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า….อ้าว…ใช่จริงๆด้วย โลกกลมเสียจริง เราเคยเจอกันที่ธนาคารแล้ว จำได้ไหมจ๊ะหนู”
ตายแล้วๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฉันตายแน่…..นั่นเขาพูดอะไรออกมานะ!!!!
“แหะๆ คือ…หนู…”
“อ้าวรู้จักกันด้วยเหรอคะ” คุณตุ๋มพูดแทรกขึ้น
คุณนรินทร์กระซิบถามฉัน “คุณรู้จักท่านด้วยเหรอ”
“พอดีเราเดินชนกันที่ธนาคาร แล้วหนูคนนี้ช่วยผมเก็บของน่ะครับ จริงไหมจ๊ะ”
เฮ้อ….โล่งไป…เขาช่างใจดีอะไรอย่างนี้ ฉันเงยหน้ามองเขาแล้วยิ้มแบบแหยๆ แต่ท่านสรยุทธ์กลับขยิบตาให้อย่างใจดี
“ค่ะ หนูเคยเจอท่าน”
“ฮ่ะๆๆๆ รู้จักกันก็ดีแล้ว งั้นยุทธ์ เราไปถ่ายรูปที่ซุ้มหน้างานกันเถอะ แขกเหรื่อเริ่มมาเยอะแล้วจะได้รีบเปิดงานเสียที” พ่อคุณนรินทร์ ซึ่งแต่นี้ต่อไปฉันขอเรียกท่านว่า คุณพ่อ เดินอุ้ยอ้ายนำพวกเราไปพร้อมกับท่านสรยุทธ์ที่ซุ้มถ่ายรูปหน้างาน ซึ่งมีข้อความเขียนไว้ว่า ‘สมรักสมรส ทรัพย์สิดี-นรินทร์’ ขอบอกว่ามันทั้งเชยและน่าแหวะมากจริงๆ
เราทั้งหมดกำลังตั้งท่าจะถ่ายรูปกันอยู่แล้ว แต่ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้วิ่งกระหืดกระหอบมายับยั้งรอยยิ้มบานๆของพวกเรา
“รอ…รอผมด้วยครับ” เขาพูดไปหอบไป
ให้ตาย!!!! วันนี้มันวันอะไรกัน แล้วเขามาทำไมเนี่ย
“คุณรัน!!!! คุณมาทำอะไรคะ” ฉันตะโกนถามออกไปด้วยความตกใจ
ไม่ต้องสงสัย ทุกคนจ้องฉันเป็นตาเดียว
“อะ….อ้าว…คุณสิดี แล้วคุณ…..” คุณรันอ้าปากค้าง มองฉันทีหนึ่ง คุณนรินทร์ทีหนึ่ง
“ตารัน!!!!ในที่สุดลูกก็กลับมา!!!! แม่ดีใจเหลือเกิน” คุณตุ๋มถลาออกไป สวมกอดลูกชาย แถมหอมหลายฟอดใหญ่
หา???? เมื่อกี้หล่อนพูดว่าอะไรนะ ‘ลูก’ อย่างนั้นหรือ???
เกิดความโกลาหลเล็กน้อย ทุกคนเข้าไปรุมคุณรัน เหลือเพียงฉันและแม่เท่านั้นที่ยืนมองตาปริบๆกันนอกวง
“อ๋อ สงสัยจะเป็นลูกชายคนเล็กของตุ๋มน่ะลูก เห็นว่าอยู่ต่างประเทศไม่ได้กลับมานานแล้ว” แม่อธิบาย
โลกกลมจริงๆ….ใครจะรู้ว่าคนที่เป็นเพื่อนสนิทแจ๊กกี้ก็เป็นน้องชายคุณนรินทร์ด้วย เอ๋….ถ้าอย่างนั้น ถ้าน้องชายเขากลับมาแล้ว ก็แปลว่า…
“ถ่ายรูปกันได้หรือยังครับ” ตากล้องมองพวกเราเชิงรำคาญเล็กๆ
“ถ่ายเลยซิ มาตารันมาถ่ายรูปกัน พ่อกับแม่รอวันนี้มานานแล้ว” คุณพ่อพูดขึ้น ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าปลาบปลื้มใจแค่ไหน แล้วในที่สุดเราทั้งหมดก็ได้ถ่ายรูปกันเสียที
“ผมไม่อยากจะเชื่อว่าคุณคือเจ้าสาวของพี่ผม” คุณรันพูดขึ้นหลังจากถ่ายรูปเสร็จ ฉันกับคุณนรินทร์ต้องเดินไปทักทายแขกตามโต๊ะต่างๆ ส่วนพวกผู้ใหญ่ก็ไปนั่งคุยกันที่โต๊ะอาหาร
“อย่าว่าแต่คุณเองเลยค่ะ ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อ”
“อะแฮ่ม…” คุณนรินทร์กระแอมเสียเสียงดัง
“รัน มีอะไรที่พี่ยังไม่รู้หรือเปล่า”
“โทษทพี่ริน คือผมกลับมาเกือบเดือนแล้วแต่ไปกบดานที่บ้านแจ๊กกี้มา บังเอิญว่าเจ้าสาวคนสวยของพี่เธอไปเรียนวาดรูปกับไอ้แจ๊กกี้ ผมเลยได้รู้จักกับเธอ” คุณรันพูดแล้วขยิบตาให้ฉัน
“แล้วไหนคุณบอกว่าจะกลับบ้าน แต่ทำไมพึ่งมาล่ะคะ” ฉันถาม ทั้งๆที่คุณนรินทร์ยังจ้องฉันด้วยความสงสัย
“ผมมีธุระต้องสะสางน่ะ พี่รินผมขอโทษที่มาไม่ทันรดน้ำสังข์ตอนเช้านะ ไว้เราค่อยคุยกันต่อที่บ้านแล้วกัน ผมคงต้องไปหาคุณแม่ก่อน” แล้วคุณรันก็กระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับคุณนรินทร์ ก่อนสองพี่น้องจะหัวเราะใส่กัน แล้วคุณรันจึงผละออกไป
“ผมพึ่งรู้ว่าคุณเรียนศิลปะ” เขาถามขณะจูงมือฉันไปสวัสดีญาติผู้ใหญ่
“ฉันจำเป็นต้องบอกคุณทุกเรื่องเหรอคะ นี่คุณนรินทร์ คุณก็รู้จักแจ๊กกี้ด้วยเหรอ”
“ฮึ…ผมก็ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามคุณทุกเรื่องหรอกนะ” เขาตอบอย่างท้าทาย
ฉันอยากจะเถียงเขาต่ออยู่หรอก แต่ตอนนี้ฉันต้องไปทักทายผู้ร่วมงานคนอื่นๆน่ะสิ
ฉันได้พบทั้งญาติคนอื่นๆของเขา และได้รู้ว่าญาติของเขาเยอะมากมายและล้วนมีหน้าที่การงานใหญ่โตทั้งสิ้น นอกจากนั้นก็มีนักธุรกิจ เพื่อนพ่อคุณนรินทร์เสียส่วนมาก แล้วในที่สุดฉันก็ได้พบเหล่าพนักงานบริษัทนราธรเกือบจะทุกคนที่รู้จัก และที่สำคัญ นลิน ก็มางานนี้ด้วย เธอเดินมาจับมือฉันเขย่าด้วยความยินดีและบอกว่าเธอรู้สึกดีใจแทนฉันด้วยจริงๆ
ขอบใจ…แต่จะบอกให้นะ ทุกอย่างมันโกหกทั้งเพนั่นละ
ฉันหันซ้ายหันขวามองหาหนูเล็ก เธอมาร่วมพิธีรดน้ำสังข์ในตอนเช้า และบอกว่าอาจมางานเลี้ยงช้าหน่อย เนื่องจากมีงานสำคัญ แต่นี่มันนานแล้วนะเธอควรจะ…โอ…ไม่นะ!!!!!! นั่น ฉันตาฝาดไปหรือเปล่า!!!!!!
“คุณนรินทร์คะๆๆๆๆๆ ช่วยมองแทนฉันทีสิคะ นั่นหนูเล็ก หนูเล็กกับคุณจิทัศน์หรือเปล่าคะ” ฉันเขย่าแขนเขาเสียแรง
“อือ ก็ใช่น่ะสิ คุณสายตาสั้นเหรอ” เขาตอบแบบไม่ใส่ใจ
“เปล่าคะ ฉันแค่ไม่เชื่อสายตา นั่นพวกเขากำลังจะ….” ฉันยังพูดไม่จบประโยค คุณหนูเล็กก็เดินควงแขนคุณจิทัศน์เข้ามาหาพวกเรา
ฉันมองคุณนรินทร์เห็นเขามองคุณจิทัศน์ด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย แล้วคุณนรินทร์ก็โอบไหล่ฉัน
“สิดี ฉันยินดีด้วยนะ ยินดีด้วยนะคะคุณนรินทร์” หนูเล็กทักทายเราสองคน
เขาโอบไหล่กระชับมากขึ้น “ขอบคุณมากครับ สิดีกับผมรอวันนี้มานานแล้ว จริงไหมจ๊ะที่รัก”
ฉันไม่ตอบอะไร แค่รู้สึกใจเต้นไม่เป็นจังหวะเท่านั้น
“คุณสองคนคงรักกันมากสินะครับ นรินทร์ ไอยินดีด้วยจริงๆ ที่ยูลืมเรื่องอดีตไปได้” คุณจิทัศน์พูดบ้าง
คราวนี้คุณนรินทร์บีบไหล่ฉันแรงขึ้น “ก็เพราะมันไม่มีคุณค่าให้จดจำน่ะสิ” เขาพูดเสียงนิ่งน่ากลัว
“เอ่อ ขอตัวหนูเล็กสักครู่นะคะ” ฉันสลัดตัวออกจากคุณนรินทร์แล้วจูงแขนหนูเล็กมาที่ที่ไม่ค่อยมีคน
“เธอทำอะไรน่ะสิดี” หนูเล็กสะบัดแขนออก
“ฉันต่างหากหนูเล็กที่ต้องถามว่าเธอทำอะไร นั่นน่ะนะงานสำคัญที่เธอบอก” ฉันบุ้ยใบ้ไปทางคุณจิทัศน์
หนูเล็กทำท่าเขิน “เราเริ่มศึกษาดูใจกันน่ะ”
ฉันแทบลมจับ “นี่เธอเอาจริงเหรอ ฉันบอกแล้วไง ว่าเขาไว้ใจไม่ค่อยได้ แล้วนี่เธอบอกเรื่องระหว่างฉันกับคุณนรินทร์หรือเปล่า”
ฉันกลั้นใจฟังคำตอบ
“เปล่า ไม่มีทาง ฉันจะบอกเขาได้ไง เธอเชื่อใจฉันได้น่า” หนูเล็กทำหน้าตาตื่น
“โล่งอกไป แล้วไปเริ่มคบกันตอนไหน ฉันว่าเขาไม่ใช่คนดีอะไรเลยนะ เธอไม่น่า…” ฉันยังพูดไม่จบหนูเล็กก็ทำท่าไม่อยากจะฟัง
“สิดี เธอต้องไปตัดเค้กแล้วนี่ นั่นคุณนรินทร์มองหาเธออยู่แน่ะ” แล้วหนูเล็กก็รีบเดินจากไปหาคุณจิทัศน์
ฉันเดินอารมณ์เสียไปหาคุณนรินทร์ และได้พบว่าคุณนรินทร์ก็อารมณ์เสียไม่แพ้กัน แต่พอเราขึ้นเวทีตัดเค้ก คุณนรินทร์ก็สามารถเล่นละครได้เก่งมาก เขาจับมือทั้งสองข้างของฉันแล้วเราก็ตัดเค้กร่วมกัน จากนั้นท่านทูตสรยุทธ์ก็ให้เกียรติขึ้นมากล่าวอะไรเล็กน้อย ฉันยืนเหงื่อแตกอยู่ข้างคุณนรินทร์บนเวที รู้สึกขาสั่นบอกไม่ถูก ก็ฉันไม่เคยขึ้นเวทีต่อหน้าคนเป็นร้อยอย่างนี้นี่
“ว่าแต่คุณรู้จักคุณลุงสรยุทธ์ได้ยังไง” เขากระซิบถามบนเวที
แต่ฉันก็ไม่มีโอกาสได้ตอบ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีแล้ว เพราะเราต้องไปกล่าวอะไรกันเล็กน้อย
“เล่นละครตบหน้าไอ้จิทัศน์ให้เต็มที่เลยนะ” เขากระซิบบอกอีกครั้งอย่างเกรี้ยวกราด
ตอนแรกฉันก็รู้สึกเฉยๆกับคุณจิทัศน์ ไม่ได้คิดในแง่ลบมากนัก แต่หลังจากที่เขาพูดกับฉันที่ร้านหนูเล็ก และฉันรู้ว่าการคบแบบปุบปับกับหนูเล็กไม่ใช่เรื่องจริงใจแน่ๆ ฉันเลยตอบตกลงคุณนรินทร์อย่างหนักแน่น
“เต็มที่ค่ะ!”
คุณนรินทร์รับไมค์มาแล้วโอบเอวฉัน
“อย่างแรก…” เขาพูดขาดๆหายๆ
“ ผมคงต้อง…เอ่อ…” แล้วเขาก็หันมามองฉัน หน้าซีดเล็กน้อย
“ขอขอบคุณผู้มีเกียรติทุกท่านที่กรุณามาร่วมยินดีในงานมงคลของเราสองคนด้วยนะครับ” เสียงปรบมือดังขึ้น เขาหันมายิ้มใส่ฉันทีหนึ่ง ปาดเหงื่อทีหนึ่ง และฉันเริ่มรู้สึกว่ามืออีกข้างที่โอบเอวฉันไว้เริ่มคลายลง
“เอ่อ…ผมคิดว่าเจ้าสาวมีอะไรอยากจะกล่าวสักเล็กน้อย” เขาพูดตะกุกตะกัก แล้วส่งไมค์มาให้ฉัน ฉันมองหน้าเขางงๆ แค่นี้นี่นะที่จะพูด ไม่เห็นจะตบหน้าคุณจิทัศน์ได้ตรงไหนเลย
ฉันรับไมค์มาอย่างงงๆ คุณนรินทร์ปล่อยมือจากเอวฉันแล้วเริ่มปาดเหงื่ออีกครั้ง
“เอ่อ…” ฉันรู้สึกถึงความคาดหวังในดวงตาของแขกที่มาร่วมงาน เขาคงอยากได้ยินอะไรที่โรแมนติกมากกว่านี้
“ดิฉันก็ขอขอบคุณทุกท่านมากเช่นกันค่ะ” แล้วฉันก็ปิดไมค์ ส่งคืนให้เจ้าหน้าที่กำกับเวที
มีเสียงของความผิดหวังเล็กน้อย ฉันหันหน้าไปมองแม่จากบนเวที เห็นทั้งแม่และครอบครัวคุณนรินทร์ยิ้มแหยๆให้พวกเราอย่างผิดหวัง ไม่ไกลจากนั้นคุณจิทัศน์ยิ้มเย้ยหยันส่งให้เราสองคน มีหนูเล็กทำหน้าไม่สู้ดีอยู่ข้างๆ
แต่แล้วคุณรันก็ลุกขึ้นก่อนจะป้องปากตะโกนเสียงดัง
“หอมแก้ม หอมแก้ม หอมแก้ม!!!!!!”
นะ…นั่นเขาพูดอะไรน่ะ….โอไม่นะ…ท่านทูตก็พูดแบบนั้นด้วย แล้วชั่วครูทั่วห้องโถงก็ก้องไปด้วยคำว่า หอมแก้ม หอมแก้ม หอมแก้ม
ฉันหันไปมองคุณนรินทร์ด้วยความประหม่า คุณนรินทร์เหมือนได้สติกลับคืนมา เขาเลิกปาดเหงื่อ มองแขกทุกท่านเหมือนเป็นการขอบคุณแล้วเขาก็โอบไหล่ฉันอีกครั้งด้วยความนุ่มนวล ก่อนจะก้มหน้าลงมาใกล้ๆ
“มะ…ไม่ได้นะ” ฉันเอาสองมือยันอกเขาไว้
เขาขมวดคิ้วไม่พอใจ
“ไม่เอาน่า เราควรทำให้สมจริงนะ” แล้วเขาก็ไม่รอให้ฉันอนุญาตอีกครั้งก่อนจะบรรจงจูบลงบนแก้มขวาของฉัน
แสงแฟลชวูบวาบตามมาหลายช็อต ริมฝีปากของเขาจรดแก้มฉันเนิ่นนาน ฉันตัวแข็งทื่อ และรู้สึกได้ว่าหน้าแดงมากๆ
แล้วมันก็สิ้นสุดลง เขาจูงมือฉันลงเวที อะไรเกิดขึ้นต่อจากนั้นก็จำแทบไม่ได้ มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่หนูเล็กเขย่าตัวเรียกฉัน
“สิดี ฉันกลับก่อนนะ ไว้ค่อยคุยกัน ยังไงก็….” หล่อนเหลือบตาไปมองคุณนรินทร์ที่ยืนส่งแขกอยู่ข้างๆ
“รักกันนานๆนะจ๊ะ” แล้วเธอก็กอดฉัน
“ขอบใจมากหนูเล็ก ไว้ฉันจะไปหาที่ร้านนะ เอ่อ..ขอบคุณมากนะคะคุณจิทัศน์ที่สละเวลามาร่วมงาน” ฉันลาคุณจิทัศน์แล้วมองเขาด้วยความไม่ไว้ใจ
“ยินดีครับ หวังว่าคุณสองคนจะรักกันตลอดไปนะครับ คุณแม่!ทางนี้ครับ” เขาพูดแล้วจากไปพร้อมหนูเล็กและแม่ของเขา
“เอ่อ คุณนรินทร์คะ ยินดีด้วยนะคะ” อยู่ๆยัยทับทิมมาจากไหนไม่รู้ หล่อนเดินตรงมาหาคุณนรินทร์ยัดซองสีชมพูใส่มือเขาแล้ววิ่งจู๊ดจากไป ฉันพึ่งรู้ว่าหล่อนก็มางานนี้ด้วย คุณนรินทร์พลิกดูซองนั้น ทำสีหน้าไม่พอใจ แต่แล้วก็เก็บซองนั้นไว้ด้านในเสื้อ
แขกกลับไปหมดแล้ว เราทั้งสองกล่าวขอบคุณท่านทูตที่กรุณาให้เกียรติมางานนี้
“ขอให้ความรักมั่นคงและยั่งยืนตลอดไปนะ ตาริน ลุงเชื่อว่าผู้หญิงคนนี้
เป็นคนดีมากๆ หลานเลือกคนถูกแล้ว ลุงดีใจด้วยนะ ไว้เราคงได้เจอกันอีก” ท่านมองฉันแล้วยิ้มให้ด้วยความใจดีอีกครั้ง
ในที่สุดได้เวลาที่พวกเราต้องกลับแล้วเช่นกัน

หลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน ทั้งพิธีรดน้ำสังข์ช่วงเช้า งานเลี้ยงตอนกลางคืน ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงพิธีสุดท้ายของวัน พิธีส่งตัวเจ้าสาว
ฉันแทบหายใจไม่ออก เมื่อนึกถึงว่าฉันต้องจากแม่มานอนห้องเดียวกับคุณนรินทร์
ทุกอย่างพร้อมแล้ว เตียงนอนปูผ้าสีขาวสะอาด โปรยด้วยกลีบกุหลาบแดงราต้องไปกล่าวอะไรกันเล็กน้อย
ัน จากนั้นท่านทูตสุรยุทธ์ก็ให้เกียรติขึ้ ในห้องกว้างสบายของเขา พวกผู้ใหญ่มาอยู่กันเต็มห้อง ต่างอวยพรและให้คำแนะนำต่างๆในการใช้ชีวิตคู่ แม่กอดฉันแน่นและเริ่มร้องไห้ ทำเอาฉันร้องไปด้วย
“แม่คงดูแลลูกได้เท่านี้ สิดี ต่อไปลูกต้องดูแลตัวเองแล้วนะ คุณนรินทร์แม่ฝากลูกแม่ด้วยนะจ๊ะ”
ฉันมองคุณนรินทร์ นี่มันไม่ใช่การโกหกเล่นๆแล้วนะคะ ทุกอย่างมันสมจริง สมจริงจนเหมือนเป็นเรื่องจริงเหลือเกิน ทุกคนไม่ว่าจะแขกเหรื่อในงานแม้กระทั่งญาติผู้ใหญ่ของเราเอง ซาบซึ้งและหวังให้รักของเรามั่นคง หนักแน่น แล้วดูพวกเราทำสิ เราหลอกลวงทุกคน
พวกผู้ใหญ่จากไป มีคุณรันเป็นคนปิดประตูห้องตามหลัง
“ขอให้รักกันตลอดไปนะครับ พี่ริน หลับให้สบายนะฮะ” คุณรันทำหน้าทะเล้นใส่พี่ชาย คุณนรินทร์หน้าแดงทันที
เรานั่งนิ่งที่พื้นห้อง เงียบกันไปครู่ใหญ่ แต่แล้วคุณนรินทร์ก็เอ่ยขึ้น
“ผมอยากรู้อย่างหนึ่ง คุณไม่ได้แค่ชนคุณลุงสรยุทธ์แล้วเก็บของให้เท่านั้นหรอกใช่ไหม”
“เอ่อ…คือ…” เขานี่ฉลาดจริงๆ
“บอกมา ไม่งั้นผมจะให้เรานอนเตียงเดียวกัน” เขายื่นข้อเสนอ
“คุณมีอีกเตียงเหรอคะ” ฉันถามด้วยความดีใจ
“เบาะสำรองน่ะ บอกมาซิ”
ฉันรู้สึกผิดจริงๆ แล้วฉันก็เล่าเรื่องที่เจอท่านทูตที่ธนาคารให้ฟัง
คุณนรินทร์ขำแทบแย่กว่าจะหยุดหัวเราะได้
“ถึงว่า คุณลุงบอกว่าคุณเป็นคนดีมาก เพราะอย่างนี้เองเหรอ สิดี คุณนี่….ฮ่าๆๆๆๆๆ”
ฉันเริ่มไม่พอใจ
“หยุดหัวเราะแล้วเอาเบาะสำรองมาเสียทีสิคะ”
คุณนรินทร์กลับทำเป็นไม่ได้ยิน เขาลุกขึ้นถอดสูทออก และปลดเน็กไท
“ขอผมอาบน้ำก่อนแล้วกัน คุณจัดข้าวของของคุณก่อนก็ได้นะ ตู้เสื้อผ้าคุณผมเพิ่งสั่ง คงได้พรุ่งนี้”
ฉันอ้าปากเถียงไม่ออก เพราะเขาเริ่มถอดทีละชิ้น
“นี่คุณจะบ้าเหรอ ไปถอดในห้องน้ำไป๊”
เขาหัวเราะแล้วหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำ
ฉันเก็บสูทที่เขาวางเกลื่อนพื้น แล้วซองสีชมพูที่ทับทิมส่งให้ก็หล่นลงมา บนซองมีชื่อคุณถวิกาเขียนไว้ เอ…ฉันสมควรเปิดอ่านหรือเปล่า
ไม่น่า….
เอ…เปิดดีกว่า….
อย่าเลย….
อืม…..
แล้วฉันก็ตัดสินใจ เก็บมันไว้ในสูทของเขาเช่นเคย ฉันควรทำใจให้เฉยไว้เหมือนเดิม เราสองคนไม่ได้รักกันนี่นา ถ้าเขายังรักแฟนเก่า…มันก็เรื่องของเขา…ฉันเบี่ยงเบนความเสียใจของตัวเองด้วยการจัดของที่ย้ายมาจากบ้านเดิม
ในซองนั้น….จะเขียนว่าอะไรกัน…
“ไปอาบน้ำได้แล้ว” ประตูห้องน้ำเปิดผลัวะ แล้วเขาก็เดินออกมาทั้งผ้าขนหนู ผมเผ้าเปียกและยุ่งเหยิง
ฉันกรี๊ดเบาๆ แล้วปิดตา
“นี่คุณ ทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าก่อนล่ะคะ”
“อ๊าว” เขานั่งลงบนเตียง ขยี้ผมให้แห้ง
“นี่มันห้องผมนะ ผมจะทำอะไรก็ได้ คุณรีบอาบน้ำสักทีสิ เดี๋ยวผมจะเปลี่ยนชุดแล้ว หรือว่าอยากดู”
“อีตาบ้า! ฉันจะไปอาบแล้ว รีบๆเอาเบาะออกมาด้วยแล้วกัน” ฉันคว้าชุดนอนที่รัดกุมสุดๆ แขนยาว ขายาวสุด แล้วเข้าไปอาบน้ำ แต่พอออกมา ฉันกลับไม่เห็นเบาะอะไรที่ว่าของเขาเลย มีเพียงคุณนรินทร์นอนแอ้งแม้งบนเตียงด้วยความสบาย
“เบาะล่ะค่ะ” ฉันเตือนเขาอีกที
เขาแกล้งหลับตาพริ้มแล้วกอดหมอนข้าง
“คุณนรินทร์เบาะล่ะ!” ฉันเริ่มเสียงดังขึ้น เมื่อรู้ว่าเขาตุกติก
“หนวกหู ผมจะนอน” หึย! เขาแกล้งฉันชัดๆ
ฉันไม่ยอมแพ้ เข้าไปดึงหมอนข้างที่เขากอด แล้วเอามากระหน่ำตีใส่เขา
“คุณอย่ามาทำอย่างนี้นะ! เอาเบาะออกมา ฉันไม่ยอมนอนเตียงเดียวกับคุณหรอก เอาออกมา!!!!!”
เขาลุกขึ้น เอามือยันหมอนข้างไว้
“ผมโกหก เบาะอะไรนั่นมันไม่มีหรอกน่า คุณนอนๆไปเถอะ ถ้าคุณแม่รู้เดี๋ยวถูกสงสัยกันพอดี”
ฉันชักโมโห “จะรู้ได้ไงคะ พอตื่นฉันก็เก็บเท่านั้น”
เขาทำเป็นไม่สนใจ “ก็ผมไม่มีแล้วกันน่า หรือคุณจะนอนพื้น”
ฉันมองลงไปที่พื้น รู้สึกได้ถึงความแข็งและหนาวเย็น
“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก อย่าสำคัญตัวผิดไปหน่อยเลย ฮึ” เขาพูดประชดประชัน
“หนอย ทำไม ฉันมันไม่ดียังไง”
คุณนรินทร์เริ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ นั่นเองที่ทำให้ฉันรู้ว่าคิดผิดที่พูดออกไปแบบนั้น
“นั่นสิ หรือผมควรพิสูจน์” เขาปัดหมอนข้างออก
“อย่าทำอะไรนะ ฉันร้องดังๆเลยด้วย” ฉันพูดเกรี้ยวกราดและหน้าแดง
เขายังคงเขยิบตัวเข้ามาใกล้ๆอีก
ฉันถอยออกห่างและเกือบตกเตียง
“ว้าย!!!!”
“ให้ตายสิ!!! ” คุณนรินทร์ช่วยฉันทันพอดี เขาโอบหลังฉันแล้วดึงตัวขึ้นมา
“ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก สัญญาด้วยเกียรติลูกผู้ชายเลย เอาหมอนข้างนี่ไว้ตรงกลางก็ได้”
ฉันยังคงไม่ไว้ใจเขาอยู่ดี
“เอาละๆ เดี๋ยวผมนอนที่พื้นเอง ทนหนาวหน่อยจะเป็นไรไป” เขาทำท่าจะขนหมอนไปวางบนพื้น พื้นที่ทั้งแข็งและเย็นเฉียบ
“เอ่อ…ฉันเชื่อคุณค่ะ เอาหมอนข้างนี่ไว้ตรงกลางก็ได้” ฉันพูดพลางก้มหน้า รู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก
“คุณเชื่อผมได้น่า นอนเถอะ” แล้วเขาก็ทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวเหมือนเด็กๆ
ฉันนอนลงบ้างและเริ่มรู้สึกว่าง่วงเหลือเกิน
“อืม…คุณนรินทร์คะ ทำไมบนเวทีคุณไม่พูดอะไรเลยล่ะไหนบอกว่าจะแกล้งคุณจิทัศน์”
เขาหาวเป็นนาน
“คือ…อยู่ดีดีผมก็รู้สึกตื่นเต้นบอกไม่ถูก ถ้าจะต้องพูดอะไรเลี่ยนๆน่ะ นอนเถอะน่า พรุ่งนี้มีธุระกันแต่เช้า”
“ธุระอะไรคะ?”
เขาหลับตาพริ้มอีกครั้ง “ก็จดทะเบียนสมรสไงจ๊ะที่รัก”



ลายเส้น
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 พ.ค. 2555, 22:22:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 31 พ.ค. 2555, 22:22:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1826





<< ชุดแต่งงาน   สมบทบาท >>
agentaja 1 มิ.ย. 2555, 14:02:46 น.
เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นเนี่ยนะ สิดี ทำไมคิดแต่เรื่องเงินเดือนมีเรื่องให้คิดมากกว่านั้นตั้งเยอะ 555
รอตอนต่อไปแบบใจจดใจจ่อนะคะ


goldensun 4 มิ.ย. 2555, 22:37:34 น.
ย้อนมาเก็บตอนเก่า พลาดงานแต่งได้ไง ถ้าสิดีไม่คิดมาก คงไม่เครียดอย่างนี้ และอาจมองนรินทร์ได้ทะลุ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account