เพลงมาร
'เพลงมาร' จุดเริ่มต้นของเรื่องราวการตายอย่างมีเงื่อนงำ หลายชีวิตที่จากไป ล้วนเกี่ยวโยงกับมัน
ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
ร่วมกันค้นหาความจริงเกี่ยวกับความตาย เสียงเพลง และหญิงสาวผู้เกิดมาพร้อมเสียงขับร้องแสนหวาน หากแฝงเร้นด้วยมรณกรรม และ คำสาปแช่ง
Tags: เพลง ความตาย อาถรรพ์ อุปรากร ลี้ลับ
ตอน: องก์ที่ ๘
++++++++++++++++
ครูอินทร์พาทองธารและสาลี่ไปพบกับลูกศิษย์ลูกหาที่เคยร่ำเรียนกับเขามาตั้งแต่ยังเล็ก บางคนเป็นรุ่นพี่ บางคนเป็นรุ่นน้อง ตัวนักร้องสาวเองพอเดินไปทางไหน ทางนั้นก็มีแต่เสียงสรรเสริญเยินยอ บ้างก็พูดถึงผลงานที่หล่อนเคยแสดงเอาไว้บนเวที บางคนก็กล่าวถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ทำให้หล่อนคล้ายนางฟ้านางสวรรค์
ทว่าไม่มีใครพูดถึงคดีความของหล่อนในหน้าหนังสือพิมพ์สักคนเดียว
ก็อย่างว่า...เรื่องแบบนี้พูดลับหลังมันคงจะสนุกกว่าการพูดต่อหน้าเจ้าตัวเป็นไหนๆ ทันทีที่ลับแผ่นหลัง บรรดาแขกเหรื่อผู้มีระดับก็คงหยิบเรื่องอื้อฉาวมาพูดกันจนโขมงโฉงเฉง
ครั้นผ่านพ้นบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องเหล่านั้นมาได้ ครูอินทร์ก็พาทองธารมาพบกับเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกัน ซึ่งเขาได้เตือนความจำหล่อนว่าเคยร่วมเรียนชั้นในสมัยมัธยมศึกษาตอนต้น ก่อนที่หล่อนจะสอบเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล
"เด็กๆ มาทักทายเพื่อนเก่าหน่อยเร็ว" ผู้เป็นครูโบกมือเรียกกลุ่มแขกเหรื่อที่รวมตัวให้มาหา
ที่เด่นสุดเห็นจะเป็นสาวเจ้าเนื้อหนึ่งเดียวในกลุ่ม ฝ่ายนั้นสวมเดรสสีแดงกระโปรงคลุมเข่า คาดเอวด้วยเข็มขัดสีขาวสายใหญ่ ใบหน้าเต็มอิ่มดูกลมมนเมื่อสวมวิกผมบ๊อบสั้นหั่นหน้าม้า มีหมวกใบเล็กที่ทำจากลูกไม้ ขนนกและริบบิ้นประดับอยู่บนหัว
ส่วนฝ่ายชาย คนหนึ่งสวมชุดสูทภูมิฐานสีขาวสะอาด ผิดจากอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
คนแรกที่ทองธารเห็นแล้วจำได้ติดตาคงไม่พ้นนายตำรวจหนุ่มที่เคยบุกไปหลังโรงละครเพื่อสอบสวนหล่อนเกี่ยวกับคดีการตายของแม่เลี้ยง เห็นรอยยิ้มกับประกายนัยน์ตาหน้าเป็น ทองธารก็นึกฉุนขึ้นมาทันที
หญิงสาวมองกวีนับแต่หัวจรดเท้า เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวแขนยาวลายตาราง กางเกงที่สวมเป็นทรงเดฟสีเขียวใบมะม่วง ที่หูกางเกงติดสายหนังเกี่ยวพาดไหล่ทั้งสอง เพิ่มความน่าขันด้วยหมวกทรงสูงอย่างนักมายากล
นักร้องสาวเสหน้าออกไม่แยแส แม้จะล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายยิ้มให้เมื่อพบกัน
จากนั้นหล่อนก็หันไปพิจารณาชายหนุ่มอีกคน เขาอยู่ในชุดลายสก็อตสีเหลืองทางน้ำเงิน เดินตามหลังกลุ่มเพื่อน ร่างนั้นสูงกว่าหล่อนเล็กน้อย ก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่แยแสว่าหล่อนจะมองหรือไม่
มีบางอย่างที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงละไอหมอกที่ลอยอวลอยู่รอบๆ ตัวเขา กลิ่นดอกไม้หอมยะเยือกที่วูบผ่านราวถูกสายลมหอบหิ้ว จวบเมื่อชายหนุ่มนั้นแหงนหน้าขึ้นมา ได้เห็นใบหน้าขาวสะอาดกับเส้นขอบงามราวตวัดด้วยพู่กันจีน นักร้องสาวจึงยิ้มให้
ทองธารทำความรู้จักเพื่อนทีละคน ตั้งแต่ชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวสะอาดตา การวางท่าดูเป็นคุณชาย การพูดจาของเขาเฉียบคมอย่างนักธุรกิจ กิริยาการจับแก้วค็อกเทลบอกให้รู้ว่าเป็นพวกติดความหรูหรา นัยน์ตามีประกายเจ้าชู้ที่สามารถแสดงออกมาได้อย่างพอเหมาะพอดี
คนประเภทนี้ หล่อนรู้จักมามากแล้ว
"นี่...เดชา" ครูอินทร์แนะนำ "ทายาทเจ้าของโรงแรมหรูระดับห้าดาวของภูเก็ตเชียว เห็นว่าตอนนี้กำลังจะเปิดโรงแรมอีกที่หนึ่งใช่ไหม เจ้าเด..."
ชายหนุ่มน้อมตัวแล้วยิ้มที่มุมปาก มือที่ถือแก้วค็อกเทลชูขึ้นเป็นเชิงยอมรับ จากนั้นสายตาก็เลื่อนมามองทองธารอย่างจงใจ ประกายวูบไหวเด่นชัดแทบไม่ต้องค้นหา
"ตอนนี้ผมมีโรงแรมใหม่ที่เกาะส่วนตัวครับ" นักธุรกิจหนุ่มออกตัวจนกวีที่ยืนข้างๆ แบะปากหมั่นไส้ "เป็นเกาะที่พ่อของผมซื้อไว้นานแล้ว เรามักใช้เป็นที่พักตากอากาศกัน แต่มาช่วงหลังผมอยากทำให้ธุรกิจของพ่องอกเงยและแปลกใหม่ ผมก็เลยลงทุนสร้างโรงแรมบนเกาะส่วนตัว เพิ่งเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ เป็นโรงแรมหรูระดับห้าดาว มีทุกอย่างครบครัน ตั้งแต่ภัตตาคาร สปา เลาจน์บาร์ แม้แต่โรงละครสำหรับการแสดงใหญ่ๆ อย่างละครเวที ละครเพลงอุปรากร โขน คอนเสิร์ตก็มีนะครับ พวกนี้ใช้รับรองแขกพิเศษเท่านั้น อีกสักพักคงเปิดให้ใช้บริการครับ หวังว่าครูอินทร์แล้วก็เพื่อนๆ คงไปอุดหนุน"
ตรงคำว่า 'เพื่อนๆ' ดูเหมือนเดชาจงใจหันมามองทองธารเป็นพิเศษ
"ผมจะต้อนรับเป็นพิเศษเลยล่ะครับ"
"อย่างนั้นก็ดีสิ" ครูอินทร์เดินเข้าไปโอบบ่าผู้เป็นลูกศิษย์แล้วยิ้มภาคภูมิ "อย่างนี้ต้องลดราคาเป็นพิเศษเลยรู้ไหมเจ้าเด"
ชายหนุ่มยิ้มแป้น ก่อนจะหันไปมองทองธาร และคงอยากเอ่ยอะไรสักอย่างกับหญิงสาวกระมัง หากไม่ติดว่ามีคำถามหนึ่งชิงตัดหน้า
"แล้วโรงแรมชื่ออะไรหรือ...เดซี่"
เดชาหน้าตึงในเดี๋ยวนั้น ครั้นตวัดหางตามองคนถาม ก็พบหญิงสาวในเดรสสีแดงกระโปรงคลุมเข่ากำลังจิบค็อกเทลอย่างสบายอารมณ์ ขณะจิบก็ชายตาอย่างไม่กริ่งเกรง ไม่ห่างกัน...กวีกำลังกลั้นหัวเราะ ก่อนจะเยี่ยมหน้ามองเดชาผ่านสาวเจ้าเนื้อพลางส่งเสียงดัดจริตสำทับคำถามนั้น ทำเอาทองธารแทบหลุดหัวร่อ
"ชื่ออะไรหรือจ๊ะ...เด...ซี่"
สาลี่เป็นคนแรกที่หัวเราะลั่น วิกผมทรงอัฟโฟรหวิดหลุดจากหัว ทำเอาหน้าขาวสะอาดของเดชาแดงจัดเหมือนดื่มค็อกเทลไปสักสิบแก้ว ทุกคนหันมองผู้จัดการสาวด้วยความคาดไม่ถึง แม้แต่ครูอินทร์ที่เป็นคนกลางก็ดูอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
นักร้องสาวหันมองเหตุการณ์กึ่งกังวลกึ่งขำขัน ทว่าเพราะไม่อยากให้เหตุการณ์บานปลาย จึงถองสาลี่เบาๆ ให้อีกฝ่ายเงียบเสียง ก่อนที่แก้วค็อกเทลในมือนักธุรกิจหนุ่มจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
"กาลาเตีย โฮเตล" เดชาเค้นเสียงลอดไรฟัน
"เอ...ชื่อโรงแรมคุ้นหูจัง" ฝ่ายหญิงสาวชุดแดงทำท่าครุ่นคิด "เครือเดียวกับโพไซดอน...คาลิปโซ...หรือว่าคลีโอพัตรา อะไรพวกนั้นหรือเปล่า"
คำถามดังกล่าวทำให้นายตำรวจหนุ่มที่ยืนไม่ห่างตาโตลุกวาว เยี่ยมหน้ามองเดชาอีกครั้งก่อนจะจีบปากล้อเลียนอย่างที่เคยเป็น
"น่าสนใจนะ ว่าแต่แกทั้งอาบ...ทั้งอบ...ทั้งนวด ด้วยตัวเองหรือเปล่าวะ...เดซี่"
นักธุรกิจหนุ่มหน้าแดงจัด หันขวับเตรียมวางมวย หากโชคยังดีที่ครูอินทร์ยืนขวางไว้ ก่อนจะหันไปตวาดชายหนุ่มและหญิงสาวตัวก่อเรื่อง
"หยุดได้แล้วนะ" แม้จะพยายามทำให้ดูขึงขัง หากทองธารดูออกว่าลุงของหล่อนไม่ได้คิดจริงจัง "พวกเธอสามคนนี่มันจริงๆ เลย อยู่กับใครก็มีแต่เรื่อง"
คราวนี้ชายหนุ่มในชุดลายสก็อตสีเหลืองซึ่งอยู่นอกวงหันมองครูอินทร์พลางขมวดคิ้ว ทองธารสังเกตโดยตลอด ขณะที่คนอื่นปะทะคารม มีเพียงชายหนุ่มนัยน์ตายิบหยีคนนี้เท่านั้นที่นิ่งเงียบ เขาไม่ได้ร่วมวงสนทนา แต่มาถูกเหมารวม ก็คงจะงงเป็นไก่ตาแตก
"มิน่าเล่า..." ครูอินทร์พูดเพียงเท่านั้นแล้วส่ายหน้า ในขณะที่เดชาซึ่งยืนอยู่ข้างหลังต่อให้ด้วยความโมโห
"แน่ล่ะครับครู ตัวอันตรายมันก็ต้องอยู่กันได้อยู่แล้ว คนหนึ่งก็ยายปากปลาร้า อีกคนก็ไอ้นักเลงหัวไม้ ส่วนอีกคนก็ตัว..." เดชาจ้องหน้าเรียงสาธยายเป็นรายคน ตั้งแต่หญิงสาวในชุดแดง นายตำรวจหนุ่มในชุดเขียว ทว่าพอมาถึงชายหนุ่มในชุดสีเหลือง นักธุรกิจหนุ่มกลับอึกอัก "เอ่อ...ก็ตัว..."
"ตัวอะไร!" กวีเดินมายืนอยู่หน้าเพื่อนสาว สีหน้าเอาเรื่อง "พูดให้ดีนะเว้ยไอ้เด!"
เดชานิ่งอั้นเมื่อถูกรุกถาม พยายามหลบหลังครูอินทร์ราวเด็กที่ทำผิดแล้วพยายามหาคนปกป้อง ทว่าแม้แต่ครูอินทร์ที่พยายามปรามนายตำรวจหนุ่มก็หันมองเขาด้วยสายตาตำหนิกับคำพูดเมื่อครู่ หญิงสาวในชุดแดงมีสีหน้าถมึงทึงทันควัน
เพียงชายหนุ่มที่ทองธารเฝ้ามองอย่างเงียบๆ เท่านั้น เขาถอนใจแล้วก้มหน้าลง
ฉับพลันนักร้องสาวก็นึกได้ทันทีว่าทั้งสามคนในชุดหลากสีราวไฟจราจรคือใคร สมัยที่ยังเรียนเคยได้ยินเพื่อนๆ เรียกขานกัน
'๓ อันตราย'
อันตรายแรกที่พวกเพื่อนๆ มักกล่าวถึงคือเด็กชายกวี จิตมั่นคง เด็กชายรูปร่างสูงใหญ่ นักกีฬาประจำโรงเรียน ฝีมือดีเลิศ แต่ไม่สามารถทำงานร่วมทีมกับคนอื่นได้ ส่วนใหญ่จึงมักลงแข่งขันประเภทเดี่ยวเป็นหลัก
เขามักมีปากเสียงกับรุ่นพี่และรุ่นน้อง รวมถึงหัวหน้าทีมเป็นประจำ นิสัยที่กวนโมโหคนได้เป็นอย่างดีก็คือ หน้าเป็น หน้ามึนและหน้าด้าน ถ้าใครคิดจะมีเรื่องกับเขา มีแต่ตายกับตาย เพราะเด็กชายกวีเป็นบุคคลประเภทความดันทุรังสูง ไม่เคยมีคำว่า 'แพ้' ในสารานุกรม นอกเสียจากคำว่า 'พักยก'
อันตรายอย่างที่สองที่เพื่อนๆ มักกล่าวถึง คือเด็กหญิงปุณฑริกผู้มีปากเป็นตำนาน หล่อนได้ดีเลิศวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่นและภาษาจีน ทุกภาษาหล่อนสามารถเลือกเฟ้นคำด่าได้อย่างเจ็บแสบ หากยังคงสุภาพ ไร้คำหยาบคาย เป็นตัวแทนพูดสุนทรพจน์ โต้วาทีและพิธีกรประจำโรงเรียน ในการแข่งขันต่างๆ ที่ต้องใช้การพูดเชือดเฉือน เด็กหญิงปุณฑริกสามารถใช้ปากฆ่าฝ่ายตรงข้ามตายคาสังเวียนมาหลายศพ
มีหลายครั้งที่ปรปักษ์ซึ่งเป็นบุคคลประเภทการแข่งขันจบ แต่คนไม่จบ ตั้งใจดักตีหัวหล่อน แต่โชคไม่เข้าข้างพวกเขานัก เพราะคนที่อยู่ข้างๆ เด็กหญิงก็คือ 'อันตรายอย่างที่หนึ่ง' ที่พวกเขากลัวกันนัก แต่ถึงไม่มีอันตรายที่หนึ่ง ก็ใช่ว่าใครจะทำ 'อันตรายอย่างที่สอง' ได้ง่ายๆ
และอันตรายอย่างสุดท้าย...เป็นสิ่งที่คนร่ำลือกันจนหนาหูว่า 'โคตรอันตราย' ทองธารรู้จักเด็กชายคนนั้นอย่างผิวเผิน ว่ากันว่าเขาเป็นตัวนำพาความโชคร้ายมาสู่คนใกล้ชิด หากหญิงสาวไม่สู้จะเชื่อถือนัก กระทั่งมาได้ยินเพื่อนคนหนึ่งพูดถึงเรื่องราว 'ความโชคร้าย' ที่เกิดจากเด็กชายดารุจ
เรื่องเล่าว่า...เพื่อนนักเรียนชายคนหนึ่งไม่เชื่อเสียงร่ำลือในความโชคร้ายนั้น พอเห็นเด็กชายดารุจถูกเพื่อนแกล้งจนรองเท้านักเรียนหาย ต้องเดินเท้าเปล่ากลับบ้านพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น เพื่อนนักเรียนคนดังกล่าวก็อาสาให้ซ้อนท้ายจักรยาน แต่เหตุร้ายกลับมาเกิดเมื่อเจ้าของรถกำลังเดินทางกลับบ้าน หลังส่งเด็กชายดารุจเป็นที่เรียบร้อย
กลางถนนสายใหญ่ อยู่ๆ รถจักรยานของเขากลับสายเบรกขาดกะทันหัน ไม่สามารถหยุดรถได้ จนถูกรถพ่วงเฉี่ยวกระเด็น ลอนไปตกบนเกาะกลางถนน ยังดีว่าอวัยวะที่หักเป็นแค่ขา
ไม่ใช่...คอ
นับแต่นั้น เพื่อนนักเรียนคนดังกล่าวก็ไม่กล้าแวะเวียนใกล้เด็กชายดารุจอีก แม้เด็กชายดารุจจะฝากของไปเยี่ยม เขาก็ปฏิเสธที่จะรับของนั้น
"ที่แท้ก็ดารุจนี่เอง" ทองธารยิ้มแย้ม เดินเข้าไปจับมือชายหนุ่ม ความรู้สึกบางอย่างบ่งบอกให้หญิงสาวรู้ว่าเขาผู้นี้มีชีวิตที่น่าสงสารและชะตากรรมแสนรันทดไม่ต่างไปจากหล่อนนัก
"ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีนะ" นักร้องสาวแทบไม่สนใจลุงที่กำลังกำราบลูกศิษย์
"เราสบายดี เอ่อ...น้ำล่ะ" ดารุจอ้ำอึ้ง สีหน้าครุ่นคิด เห็นได้ชัดว่าเขาคงไม่ได้รับการทักทายอย่างนี้เท่าไรนัก "เราเห็นข่าวน้ำในหนังสือพิมพ์ ยังเป็นห่วงว่าจะเป็นยังไงบ้าง"
อยู่ๆ ในอกก็วูบไหว ดารุจถือเป็นคนแรกในบรรดาศิษย์เก่าที่พูดถึงปัญหาที่หญิงสาวกำลังเผชิญ ทั้งยังแสดงความเป็นห่วงเป็นใย แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นเพียงคำทักทายที่ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง หากก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความประทับใจเล็กๆ
+++++++++++++++
ก็เป็นอันทราบกันว่า 'วงโนเนต' หรือวงดนตรีกลุ่มร่วมประเลงขนาดเล็ก สำหรับนักดนตรี ๙ คนที่มาบรรเลงคณะเครื่องสาย ทั้งไวโอลิน วิโอลา เชลโล และดับเบิลเบส ในบทเพลงโฟร์ ซีซันส์ ของ อันโตนิโอ วิวัลดี เหล่านั้นถูกจัดจ้างมาโดยนายเดชา นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของโรงแรมหรูแห่งใหม่บนเกาะส่วนตัวที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะภูเก็ต
เขากล่าวขอบพระคุณครูอินทร์หน้าสนามหญ้าซึ่งจัดเป็นพื้นที่การแสดง พร่ำพรรณนา โอ้อวดงานเลี้ยงหรูหราที่จัดขึ้นเพื่อเป็นของขวัญแก่ครูอินทร์ผู้เป็นที่รัก แทนงานเลี้ยงโต๊ะจีนแสนธรรมดาที่จัดมาแล้ว ๔ ปี ข้อนี้ทำเอาแขกเหรื่อหลายคนเบือนหน้าหนีไปตามกัน
ครั้นสุนทรพจน์อันแสนน่าเบื่อจบลง เดชาก็ปล่อยให้วงโนเนตบรรเลงเพลงแสดงฝีมือต่อไป ส่วนตัวเขาเดินกลับมาหาหญิงสาว พยายามชวนคุยเรื่องต่างๆ
"ผมมีโอกาสได้ไปชมฝีมือการแสดงของน้ำที่ฝรั่งเศสถึงสองหนเชียวนะครับ ต้องยอมรับว่าฝีมือเยี่ยมจริงๆ" เดชาแทบไม่ห่างจากทองธาร ไม่ว่าหล่อนจะเดินไปทางไหน ต้องการอะไร นักธุรกิจหนุ่มดูจะเป็นคนจัดหาให้เสมอ
ไม่ไกลกันมีนายตำรวจหนุ่มคอยคุมเชิงจับตาหล่อนอยู่ราวกับหล่อนเป็นผู้ร้ายที่ต้องควบคุมเข้มงวด ทว่าก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่หนีบสาลี่มาด้วย ผู้จัดการสาวจึงคอยประกบติดชิดนายตำรวจ กันไม่ให้อีกฝ่ายถึงตัวหล่อนได้โดยง่าย
พูดกันตามความเป็นจริง ในบรรดาชายหนุ่มรุ่นเดียวกัน ทองธารให้ความสนใจดารุจที่กำลังยืนดูการแสดงอีกฟากหนึ่งมากกว่า เขาแทบไม่ได้มองหล่อนแม้แต่นิด เพียงบางครั้งเท่านั้นที่สายตากลับสบประสานแล้วนิ่งค้างไปชั่วครู่ จากนั้น...ทั้งเขาและหล่อนต่างก็ยิ้มให้กันน้อยๆ ก่อนทอดสายตามองวงโนเนตบรรเลงดนตรีต่อไป
ผู้เป็นลุงแนะนำตัวดารุจให้หล่อนฟังอย่างคร่าวๆ ว่า ปัจจุบันเขาทำงานเป็นบรรณารักษ์ ประจำที่หอสมุดแห่งชาติวัดเจริญสมณกิจ ที่ภูเก็ต ชายหนุ่มมีความชำนาญเกี่ยวกับการซ่อมหนังสืออย่างดีเยี่ยม หนังสือเก่าหลายๆ เล่มของผู้เป็นลุง เมื่อชำรุดก็ส่งไปให้ดารุจช่วยซ่อม ปรากฏว่าได้กลับคืนมาในสภาพสวยงามอย่างคาดไม่ถึง
ตัวหญิงสาวเองชอบอ่านหนังสือเป็นทุนเดิม ว่างจากงานขับร้องและการแสดงก็มักหาโอกาสไปร้านหนังสือบ่อยๆ ไม่มีอะไรมีความสุขมากไปกว่าการได้อ่านหนังสือใต้ร่มไม้ พร้อมชาดอกมะลิหอมกรุ่นวางไว้ข้างๆ
ครั้นได้มาเจอผู้ใกล้ชิดหนังสือ จึงอยากหาโอกาสคุยด้วย ยิ่งรับรู้ว่าอีกฝ่ายมีปมปัญหาบางอย่างที่ต้องเก็บงำไม่ต่างจากหล่อน หญิงสาวก็คล้ายได้พบเพื่อนร่วมชะตาชีวิตไม่ต่างจากตน
อาจเรียกได้ว่า เป็นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
"ครั้งแรกก็ตอนที่น้ำเล่นเรื่อง 'มาดาม บัตเตอร์ฟลาย' ของปุชชินี จำได้ว่าน้ำเล่นเป็นโจโจ้ซัง เสียงโซปราโนของน้ำเพราะเหลือเกิน" เดชายังคงชวนหล่อนพูดคุยต่อไป ขณะที่ทองธารลอบมองบรรณารักษ์หนุ่มเป็นระยะ "แล้วรอบที่สองก็ตอนที่เล่นเป็นควีน ออฟ เดอะ ไนท์ ใน เดอะ เมจิก ฟลุท ที่เมืองออร์เลอ็อง แคว้นซ็องทร์ ยอมรับเลยครับว่าฝีมือดีมาก นักวิจารณ์ที่ฝรั่งเศสยังชมไม่ขาดปากเลย"
นักธุรกิจหนุ่มยังคงพูดพล่ามต่อไปไม่รู้จบ คอยตามหล่อนแจประหนึ่งเงาตามตัว จะไปไหน ทำอะไร ก็คอยบริการ บางครั้งแค่หล่อนชำเลืองมองบริกรซึ่งถือถาดค็อกเทลเดินผ่าน เขาก็รีบรี่ไปหยิบมาให้ ทั้งที่แท้จริงหญิงสาวไม่ต้องการแม้สักนิด
เรื่องที่ชวนคุยส่วนมากก็เป็นเรื่องศิลปะการแสดง บทเพลงคลาสสิก จนถึงความชื่นชมที่มีต่ออุปรากรของนักประพันธ์เพลงเลื่องชื่อทั้งหลาย อย่าง 'จาโกโม ปุชชินี' ที่เขากล่าว พลางชำเลืองไปยักคิ้วหลิ่วตาให้นายตำรวจหนุ่ม ราวจะข่มขวัญด้วยภูมิความรู้และความหรูหรานั้น ก็เป็นคีตกวีขาวอิตาลีที่มีชื่อเสียงในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ผู้แต่งอุปรากร ๒ องก์ อย่าง 'มาดาม บัตเตอร์ฟลาย' ก่อนมีการพัฒนาปรับปรุงจนกลายเป็นอุปรากร ๓ องก์อย่างในปัจจุบัน
ซึ่งทองธารเองก็เคยได้รับเกียรติร่วมแสดงเป็นโจโจ้ซัง เมื่อตอนเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส
มันเป็นเรื่องราวความรักอันแสนเศร้าของหญิงสาวชาวญี่ปุ่น บุตรีแห่งซามูไรที่ถูกมรสุมชีวิตพัดพาให้ต้องกลายเป็นเกอิชา หล่อนยึดถือการสมรสเป็นข้อผูกพันชีวิต กระทั่งได้พบรักกับพิงเคอร์ตัน นายเรืออเมริกัน หล่อนจึงยอมสละสิ้นทุกสิ่งอย่างเพื่อแลกมาด้วยความจงรักภักดีของสามี
ศาสนา...ความเชื่อ...ญาติมิตร
แต่อนิจจา เมื่อพิงเคอร์ตันกลับสู่บ้านเกิด เขาได้สมรสใหม่ ทิ้งให้โจโจ้ซังต้องรอคอยอย่างมีความหวังพร้อมบุตรชายของหล่อน จวบวันที่พิงเคอร์ตันเดินทางมาญี่ปุ่นพร้อมภรรยาชาวอเมริกัน พร้อมส่งคนมาเพื่อขอให้โจโจ้ซังยกบุตรชายให้เป็นกรรมสิทธิ์ของตน
โจโจ้ซังยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสงบ ยินยอมมอบบุตรชายให้แก่สามีตามคำขอ กระทั่งล่ำลาบุตรเป็นที่เรียบร้อย ผูกตาแล้วมอบธงชาติอเมริกัน หญิงสาวจึงใช้มีดที่บิดาเคยกระทำอัตวินิบาตกรรมปลิดชีพตนเอง เสียงกรีดร้องรำพันสูงในฉากสุดท้าย...ทองธารจำได้ดี
'พึงตายไว้เกียรติตน อย่ามีชนม์เมื่อเกียรติมลาย'
นักร้องสาวเข้าใจความพยายาม 'หว่านพืชเพื่อหวังผล' ของเดชา ทว่าหล่อนไม่ใช่ผลหมากรากไม้ที่จะผลิดอกออกช่อเพราะปุ๋ยบำรุงประเภทที่นักธุรกิจหนุ่มกำลังหว่านหรอก
"โชคดีนะครับที่เป็นน้ำ ผมถึงคุยได้รู้เรื่อง" พูดพลางบุ้ยใบ้ไปทางกวีที่ยืนขบปากเคี้ยวฟัน ไม่ห่างกันมีสาลี่คอยยืนคุมเชิง "เกิดคุยกับพวกนั้นคงไม่รู้เรื่องหรอกครับ"
นักร้องสาวยิ้มให้น้อยๆ ไม่กล่าวอะไรต่อ
"เออ...ว่าแต่เรื่องข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์นั่น น้ำอย่าใส่ใจเลยครับ พวกนักข่าวก็อย่างนี้ เขียนข่าวส่งเดช ขอแต่ให้มีข่าวขาย ยังไงขอให้รู้นะครับว่าผมเอาใจช่วยเสมอ" เดชาส่งสายตาหวานฉ่ำให้กำลังใจ "เห็นคุณบายออกข่าวว่าเปลี่ยนตัวนักแสดง เพราะน้ำกำลังมาเคลียร์ปัญหา แต่ผมรู้นะ คงเพราะพิษข่าวน้ำถึงไม่ได้ไปเล่นละครเพลง เอาอย่างนี้สิครับ ผมกำลังจะเปิดตัวกาลาเตีย โฮเตล อีก ๒ - ๓ เดือนข้างหน้า คิดว่าจะเปิดตัวด้วยละครเพลงสักเรื่อง ถ้าน้ำจะให้เกียรติ..."
"ถ้าเป็นเรื่องงาน คุยกับพี่สาลี่จะสะดวกกว่านะคะ" ทองธารชิงตัดบท "พี่สาลี่จะช่วยเรื่องการจัดตารางเวลาและก็ดูเรื่องการรับงานที่เหมาะสม"
เดชาเงียบไปครู่หนึ่ง พลอยทำให้บทเพลงจากวงโนเนตแจ่มใสขึ้น เสมือนหนึ่งแผ่นฟ้าที่เมฆหมอกมืดดำคลี่คลายออก เสียงเครื่องสายเสียดสีสอดแทรกแว่วหวาน ฟังแล้วสบายใจ สบายอารมณ์ ทว่าก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะวินาทีถัดมา เดชาก็พูดอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แทบไม่ได้นิ่งฟังเพลงบรรเลงที่เขาให้วงโนเนตแสดงให้ทุกคนชม
กระทั่งบทเพลงจบลง หญิงสาวจึงชี้ชวนให้เขาหันไปสนใจการแสดงชุดต่อไปของกวีและผองเพื่อน เผื่อจะทำให้เขาเงียบได้อีกสักพัก ทว่าทันทีที่นักธุรกิจหนุ่มเห็น เขาก็วิจารณ์ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มการแสดง
"การแสดงหยาบๆ ผมว่าดูไปก็ทำให้เสียอรรถรส" ชายหนุ่มพูดพลางแบะปาก "รสนิยมคนพวกนี้ต่างจากพวกเราครับ ฟังแต่เพลงลูกทุ่ง พูดถึงแต่เรื่องท้องไร่ท้องนา ผมคนหนึ่งล่ะครับที่ทนฟังอะไรบ้านๆ แบบนั้นไม่ได้"
สาลี่เดินมายืนข้างนักร้องสาวหลังจากกวีแยกไปเตรียมตัว ได้ยินเข้าก็ขมวดคิ้ว หันมองเดชาด้วยความคาดไม่ถึง
"แล้วอย่างไหนถึงเรียกว่าไม่บ้านล่ะคะ" ทองธารถาม สายตายังจับจ้องกวี ปุณฑริกและดารุจที่กำลังเตรียมอุปกรณ์เครื่องดนตรี
"ก็อย่างเมื่อครู่สิครับ" เดชาตอบฉาดฉาน "เพลงคลาสสิก โอเปรา บัลเลต์...อย่างนี้สิครับถึงน่าดู"
หญิงสาวพยักพเยิดดวงหน้าน้อยๆ ชำเลืองมองผู้จัดการสาวที่ยืนข้างๆ เห็นอีกฝ่ายยักไหล่พลางแบะปาก ก็พอทราบว่าคิดไม่ต่างจากหล่อน
ทองธารยังคงสงวนท่าที พยายามไม่ให้อีกฝ่ายล่วงรู้ว่าหล่อนชักระอาเขาเต็มทน
'คนอย่างคุณ ไม่ใช่พวกศิวิไลซ์อะไรอย่างปากพูดเลย ดีแต่โอ้อวดจนน่ารำคาญ' นักร้องสาวจินตนาการ พลางเหยียดยิ้มลำพัง 'มีอย่างที่ไหน บอกว่าชอบเพลงคลาสสิก เป็นคนที่มีรสนิยมชั้นสูง ขอโทษเถอะนะ...ช่วงวงโนเนตกำลังบรรเลงเพลง ฉันได้ยินแต่เสียงพูดของคุณอยู่คนเดียว รู้อะไรหรือเปล่า...เสียงของคุณมันน่ารำคาญมากถึงมากที่สุด ทำให้เสียงเพลงแปดเปื้อน เป็นรอยด่างดำของงานศิลป์ ไม่ต่างจากเชื้อราบนหน้ากากอนามัย'
พูดจบก็ตบหน้าส่งท้าย 'แล้วฉันจะบอกอะไรให้เอาบุญ ประดับโลกทัศน์อันเล็กแคบในกะโหลกศีรษะที่มีไว้ห่อหุ้มเนื้อสมองอันน้อยนิดของคุณ อุปรากรหรือโอเปราของคนชั้นสูงนั่นน่ะ เผยแพร่และพัฒนาได้ก็เพราะเปิดโรงละครสาธารณะของชนชั้นกลาง ไม่ได้ฝังตัวเฉพาะในราชสำนัก'
แล้วเดชาก็คงนิ่งอั้น หน้าเหวอ ก่อนที่หล่อนจะปล่อยตอนจบอันแสนเจ็บปวด
'อีกอย่าง...กรุณาจำไว้ด้วยว่า อย่าเอามาตรฐานหรือรสนิยมของวัฒนธรรมหนึ่ง ไปประเมินคุณค่าทางศิลปะอีกวัฒนธรรมหนึ่งเด็ดขาด ไอ้หน้าเชื้อโรค!'
สบถพร้อมยกชายกระโปรง ก่อนกระแทกส้นสูงลงหัวแม่เท้าอีกฝ่ายเป็นรางวัล
เสียงหวีดร้องของนักธุรกิจหนุ่มจอมโวในความคิดดังลั่นระคนเสียงหัวเราะจริงๆ ของหญิงสาว ทุกสายตาจับจ้องด้วยความสงสัย หากทองธารก็เพียงยิ้มละไมเป็นคำตอบ แล้วนิ่งชมการแสดงต่อไป แล้วกระหยิ่มยิ้มกับจินตนาการที่หล่อนรังสรรค์เพียงผู้เดียว
++++++++++++++++++++++
ครูอินทร์พาทองธารและสาลี่ไปพบกับลูกศิษย์ลูกหาที่เคยร่ำเรียนกับเขามาตั้งแต่ยังเล็ก บางคนเป็นรุ่นพี่ บางคนเป็นรุ่นน้อง ตัวนักร้องสาวเองพอเดินไปทางไหน ทางนั้นก็มีแต่เสียงสรรเสริญเยินยอ บ้างก็พูดถึงผลงานที่หล่อนเคยแสดงเอาไว้บนเวที บางคนก็กล่าวถึงเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ทำให้หล่อนคล้ายนางฟ้านางสวรรค์
ทว่าไม่มีใครพูดถึงคดีความของหล่อนในหน้าหนังสือพิมพ์สักคนเดียว
ก็อย่างว่า...เรื่องแบบนี้พูดลับหลังมันคงจะสนุกกว่าการพูดต่อหน้าเจ้าตัวเป็นไหนๆ ทันทีที่ลับแผ่นหลัง บรรดาแขกเหรื่อผู้มีระดับก็คงหยิบเรื่องอื้อฉาวมาพูดกันจนโขมงโฉงเฉง
ครั้นผ่านพ้นบรรดารุ่นพี่รุ่นน้องเหล่านั้นมาได้ ครูอินทร์ก็พาทองธารมาพบกับเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกัน ซึ่งเขาได้เตือนความจำหล่อนว่าเคยร่วมเรียนชั้นในสมัยมัธยมศึกษาตอนต้น ก่อนที่หล่อนจะสอบเข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล
"เด็กๆ มาทักทายเพื่อนเก่าหน่อยเร็ว" ผู้เป็นครูโบกมือเรียกกลุ่มแขกเหรื่อที่รวมตัวให้มาหา
ที่เด่นสุดเห็นจะเป็นสาวเจ้าเนื้อหนึ่งเดียวในกลุ่ม ฝ่ายนั้นสวมเดรสสีแดงกระโปรงคลุมเข่า คาดเอวด้วยเข็มขัดสีขาวสายใหญ่ ใบหน้าเต็มอิ่มดูกลมมนเมื่อสวมวิกผมบ๊อบสั้นหั่นหน้าม้า มีหมวกใบเล็กที่ทำจากลูกไม้ ขนนกและริบบิ้นประดับอยู่บนหัว
ส่วนฝ่ายชาย คนหนึ่งสวมชุดสูทภูมิฐานสีขาวสะอาด ผิดจากอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
คนแรกที่ทองธารเห็นแล้วจำได้ติดตาคงไม่พ้นนายตำรวจหนุ่มที่เคยบุกไปหลังโรงละครเพื่อสอบสวนหล่อนเกี่ยวกับคดีการตายของแม่เลี้ยง เห็นรอยยิ้มกับประกายนัยน์ตาหน้าเป็น ทองธารก็นึกฉุนขึ้นมาทันที
หญิงสาวมองกวีนับแต่หัวจรดเท้า เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวแขนยาวลายตาราง กางเกงที่สวมเป็นทรงเดฟสีเขียวใบมะม่วง ที่หูกางเกงติดสายหนังเกี่ยวพาดไหล่ทั้งสอง เพิ่มความน่าขันด้วยหมวกทรงสูงอย่างนักมายากล
นักร้องสาวเสหน้าออกไม่แยแส แม้จะล่วงรู้ว่าอีกฝ่ายยิ้มให้เมื่อพบกัน
จากนั้นหล่อนก็หันไปพิจารณาชายหนุ่มอีกคน เขาอยู่ในชุดลายสก็อตสีเหลืองทางน้ำเงิน เดินตามหลังกลุ่มเพื่อน ร่างนั้นสูงกว่าหล่อนเล็กน้อย ก้มหน้าก้มตาเดิน ไม่แยแสว่าหล่อนจะมองหรือไม่
มีบางอย่างที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงละไอหมอกที่ลอยอวลอยู่รอบๆ ตัวเขา กลิ่นดอกไม้หอมยะเยือกที่วูบผ่านราวถูกสายลมหอบหิ้ว จวบเมื่อชายหนุ่มนั้นแหงนหน้าขึ้นมา ได้เห็นใบหน้าขาวสะอาดกับเส้นขอบงามราวตวัดด้วยพู่กันจีน นักร้องสาวจึงยิ้มให้
ทองธารทำความรู้จักเพื่อนทีละคน ตั้งแต่ชายหนุ่มในชุดสูทสีขาวสะอาดตา การวางท่าดูเป็นคุณชาย การพูดจาของเขาเฉียบคมอย่างนักธุรกิจ กิริยาการจับแก้วค็อกเทลบอกให้รู้ว่าเป็นพวกติดความหรูหรา นัยน์ตามีประกายเจ้าชู้ที่สามารถแสดงออกมาได้อย่างพอเหมาะพอดี
คนประเภทนี้ หล่อนรู้จักมามากแล้ว
"นี่...เดชา" ครูอินทร์แนะนำ "ทายาทเจ้าของโรงแรมหรูระดับห้าดาวของภูเก็ตเชียว เห็นว่าตอนนี้กำลังจะเปิดโรงแรมอีกที่หนึ่งใช่ไหม เจ้าเด..."
ชายหนุ่มน้อมตัวแล้วยิ้มที่มุมปาก มือที่ถือแก้วค็อกเทลชูขึ้นเป็นเชิงยอมรับ จากนั้นสายตาก็เลื่อนมามองทองธารอย่างจงใจ ประกายวูบไหวเด่นชัดแทบไม่ต้องค้นหา
"ตอนนี้ผมมีโรงแรมใหม่ที่เกาะส่วนตัวครับ" นักธุรกิจหนุ่มออกตัวจนกวีที่ยืนข้างๆ แบะปากหมั่นไส้ "เป็นเกาะที่พ่อของผมซื้อไว้นานแล้ว เรามักใช้เป็นที่พักตากอากาศกัน แต่มาช่วงหลังผมอยากทำให้ธุรกิจของพ่องอกเงยและแปลกใหม่ ผมก็เลยลงทุนสร้างโรงแรมบนเกาะส่วนตัว เพิ่งเสร็จเมื่อไม่นานมานี้ เป็นโรงแรมหรูระดับห้าดาว มีทุกอย่างครบครัน ตั้งแต่ภัตตาคาร สปา เลาจน์บาร์ แม้แต่โรงละครสำหรับการแสดงใหญ่ๆ อย่างละครเวที ละครเพลงอุปรากร โขน คอนเสิร์ตก็มีนะครับ พวกนี้ใช้รับรองแขกพิเศษเท่านั้น อีกสักพักคงเปิดให้ใช้บริการครับ หวังว่าครูอินทร์แล้วก็เพื่อนๆ คงไปอุดหนุน"
ตรงคำว่า 'เพื่อนๆ' ดูเหมือนเดชาจงใจหันมามองทองธารเป็นพิเศษ
"ผมจะต้อนรับเป็นพิเศษเลยล่ะครับ"
"อย่างนั้นก็ดีสิ" ครูอินทร์เดินเข้าไปโอบบ่าผู้เป็นลูกศิษย์แล้วยิ้มภาคภูมิ "อย่างนี้ต้องลดราคาเป็นพิเศษเลยรู้ไหมเจ้าเด"
ชายหนุ่มยิ้มแป้น ก่อนจะหันไปมองทองธาร และคงอยากเอ่ยอะไรสักอย่างกับหญิงสาวกระมัง หากไม่ติดว่ามีคำถามหนึ่งชิงตัดหน้า
"แล้วโรงแรมชื่ออะไรหรือ...เดซี่"
เดชาหน้าตึงในเดี๋ยวนั้น ครั้นตวัดหางตามองคนถาม ก็พบหญิงสาวในเดรสสีแดงกระโปรงคลุมเข่ากำลังจิบค็อกเทลอย่างสบายอารมณ์ ขณะจิบก็ชายตาอย่างไม่กริ่งเกรง ไม่ห่างกัน...กวีกำลังกลั้นหัวเราะ ก่อนจะเยี่ยมหน้ามองเดชาผ่านสาวเจ้าเนื้อพลางส่งเสียงดัดจริตสำทับคำถามนั้น ทำเอาทองธารแทบหลุดหัวร่อ
"ชื่ออะไรหรือจ๊ะ...เด...ซี่"
สาลี่เป็นคนแรกที่หัวเราะลั่น วิกผมทรงอัฟโฟรหวิดหลุดจากหัว ทำเอาหน้าขาวสะอาดของเดชาแดงจัดเหมือนดื่มค็อกเทลไปสักสิบแก้ว ทุกคนหันมองผู้จัดการสาวด้วยความคาดไม่ถึง แม้แต่ครูอินทร์ที่เป็นคนกลางก็ดูอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
นักร้องสาวหันมองเหตุการณ์กึ่งกังวลกึ่งขำขัน ทว่าเพราะไม่อยากให้เหตุการณ์บานปลาย จึงถองสาลี่เบาๆ ให้อีกฝ่ายเงียบเสียง ก่อนที่แก้วค็อกเทลในมือนักธุรกิจหนุ่มจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
"กาลาเตีย โฮเตล" เดชาเค้นเสียงลอดไรฟัน
"เอ...ชื่อโรงแรมคุ้นหูจัง" ฝ่ายหญิงสาวชุดแดงทำท่าครุ่นคิด "เครือเดียวกับโพไซดอน...คาลิปโซ...หรือว่าคลีโอพัตรา อะไรพวกนั้นหรือเปล่า"
คำถามดังกล่าวทำให้นายตำรวจหนุ่มที่ยืนไม่ห่างตาโตลุกวาว เยี่ยมหน้ามองเดชาอีกครั้งก่อนจะจีบปากล้อเลียนอย่างที่เคยเป็น
"น่าสนใจนะ ว่าแต่แกทั้งอาบ...ทั้งอบ...ทั้งนวด ด้วยตัวเองหรือเปล่าวะ...เดซี่"
นักธุรกิจหนุ่มหน้าแดงจัด หันขวับเตรียมวางมวย หากโชคยังดีที่ครูอินทร์ยืนขวางไว้ ก่อนจะหันไปตวาดชายหนุ่มและหญิงสาวตัวก่อเรื่อง
"หยุดได้แล้วนะ" แม้จะพยายามทำให้ดูขึงขัง หากทองธารดูออกว่าลุงของหล่อนไม่ได้คิดจริงจัง "พวกเธอสามคนนี่มันจริงๆ เลย อยู่กับใครก็มีแต่เรื่อง"
คราวนี้ชายหนุ่มในชุดลายสก็อตสีเหลืองซึ่งอยู่นอกวงหันมองครูอินทร์พลางขมวดคิ้ว ทองธารสังเกตโดยตลอด ขณะที่คนอื่นปะทะคารม มีเพียงชายหนุ่มนัยน์ตายิบหยีคนนี้เท่านั้นที่นิ่งเงียบ เขาไม่ได้ร่วมวงสนทนา แต่มาถูกเหมารวม ก็คงจะงงเป็นไก่ตาแตก
"มิน่าเล่า..." ครูอินทร์พูดเพียงเท่านั้นแล้วส่ายหน้า ในขณะที่เดชาซึ่งยืนอยู่ข้างหลังต่อให้ด้วยความโมโห
"แน่ล่ะครับครู ตัวอันตรายมันก็ต้องอยู่กันได้อยู่แล้ว คนหนึ่งก็ยายปากปลาร้า อีกคนก็ไอ้นักเลงหัวไม้ ส่วนอีกคนก็ตัว..." เดชาจ้องหน้าเรียงสาธยายเป็นรายคน ตั้งแต่หญิงสาวในชุดแดง นายตำรวจหนุ่มในชุดเขียว ทว่าพอมาถึงชายหนุ่มในชุดสีเหลือง นักธุรกิจหนุ่มกลับอึกอัก "เอ่อ...ก็ตัว..."
"ตัวอะไร!" กวีเดินมายืนอยู่หน้าเพื่อนสาว สีหน้าเอาเรื่อง "พูดให้ดีนะเว้ยไอ้เด!"
เดชานิ่งอั้นเมื่อถูกรุกถาม พยายามหลบหลังครูอินทร์ราวเด็กที่ทำผิดแล้วพยายามหาคนปกป้อง ทว่าแม้แต่ครูอินทร์ที่พยายามปรามนายตำรวจหนุ่มก็หันมองเขาด้วยสายตาตำหนิกับคำพูดเมื่อครู่ หญิงสาวในชุดแดงมีสีหน้าถมึงทึงทันควัน
เพียงชายหนุ่มที่ทองธารเฝ้ามองอย่างเงียบๆ เท่านั้น เขาถอนใจแล้วก้มหน้าลง
ฉับพลันนักร้องสาวก็นึกได้ทันทีว่าทั้งสามคนในชุดหลากสีราวไฟจราจรคือใคร สมัยที่ยังเรียนเคยได้ยินเพื่อนๆ เรียกขานกัน
'๓ อันตราย'
อันตรายแรกที่พวกเพื่อนๆ มักกล่าวถึงคือเด็กชายกวี จิตมั่นคง เด็กชายรูปร่างสูงใหญ่ นักกีฬาประจำโรงเรียน ฝีมือดีเลิศ แต่ไม่สามารถทำงานร่วมทีมกับคนอื่นได้ ส่วนใหญ่จึงมักลงแข่งขันประเภทเดี่ยวเป็นหลัก
เขามักมีปากเสียงกับรุ่นพี่และรุ่นน้อง รวมถึงหัวหน้าทีมเป็นประจำ นิสัยที่กวนโมโหคนได้เป็นอย่างดีก็คือ หน้าเป็น หน้ามึนและหน้าด้าน ถ้าใครคิดจะมีเรื่องกับเขา มีแต่ตายกับตาย เพราะเด็กชายกวีเป็นบุคคลประเภทความดันทุรังสูง ไม่เคยมีคำว่า 'แพ้' ในสารานุกรม นอกเสียจากคำว่า 'พักยก'
อันตรายอย่างที่สองที่เพื่อนๆ มักกล่าวถึง คือเด็กหญิงปุณฑริกผู้มีปากเป็นตำนาน หล่อนได้ดีเลิศวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่นและภาษาจีน ทุกภาษาหล่อนสามารถเลือกเฟ้นคำด่าได้อย่างเจ็บแสบ หากยังคงสุภาพ ไร้คำหยาบคาย เป็นตัวแทนพูดสุนทรพจน์ โต้วาทีและพิธีกรประจำโรงเรียน ในการแข่งขันต่างๆ ที่ต้องใช้การพูดเชือดเฉือน เด็กหญิงปุณฑริกสามารถใช้ปากฆ่าฝ่ายตรงข้ามตายคาสังเวียนมาหลายศพ
มีหลายครั้งที่ปรปักษ์ซึ่งเป็นบุคคลประเภทการแข่งขันจบ แต่คนไม่จบ ตั้งใจดักตีหัวหล่อน แต่โชคไม่เข้าข้างพวกเขานัก เพราะคนที่อยู่ข้างๆ เด็กหญิงก็คือ 'อันตรายอย่างที่หนึ่ง' ที่พวกเขากลัวกันนัก แต่ถึงไม่มีอันตรายที่หนึ่ง ก็ใช่ว่าใครจะทำ 'อันตรายอย่างที่สอง' ได้ง่ายๆ
และอันตรายอย่างสุดท้าย...เป็นสิ่งที่คนร่ำลือกันจนหนาหูว่า 'โคตรอันตราย' ทองธารรู้จักเด็กชายคนนั้นอย่างผิวเผิน ว่ากันว่าเขาเป็นตัวนำพาความโชคร้ายมาสู่คนใกล้ชิด หากหญิงสาวไม่สู้จะเชื่อถือนัก กระทั่งมาได้ยินเพื่อนคนหนึ่งพูดถึงเรื่องราว 'ความโชคร้าย' ที่เกิดจากเด็กชายดารุจ
เรื่องเล่าว่า...เพื่อนนักเรียนชายคนหนึ่งไม่เชื่อเสียงร่ำลือในความโชคร้ายนั้น พอเห็นเด็กชายดารุจถูกเพื่อนแกล้งจนรองเท้านักเรียนหาย ต้องเดินเท้าเปล่ากลับบ้านพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น เพื่อนนักเรียนคนดังกล่าวก็อาสาให้ซ้อนท้ายจักรยาน แต่เหตุร้ายกลับมาเกิดเมื่อเจ้าของรถกำลังเดินทางกลับบ้าน หลังส่งเด็กชายดารุจเป็นที่เรียบร้อย
กลางถนนสายใหญ่ อยู่ๆ รถจักรยานของเขากลับสายเบรกขาดกะทันหัน ไม่สามารถหยุดรถได้ จนถูกรถพ่วงเฉี่ยวกระเด็น ลอนไปตกบนเกาะกลางถนน ยังดีว่าอวัยวะที่หักเป็นแค่ขา
ไม่ใช่...คอ
นับแต่นั้น เพื่อนนักเรียนคนดังกล่าวก็ไม่กล้าแวะเวียนใกล้เด็กชายดารุจอีก แม้เด็กชายดารุจจะฝากของไปเยี่ยม เขาก็ปฏิเสธที่จะรับของนั้น
"ที่แท้ก็ดารุจนี่เอง" ทองธารยิ้มแย้ม เดินเข้าไปจับมือชายหนุ่ม ความรู้สึกบางอย่างบ่งบอกให้หญิงสาวรู้ว่าเขาผู้นี้มีชีวิตที่น่าสงสารและชะตากรรมแสนรันทดไม่ต่างไปจากหล่อนนัก
"ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีนะ" นักร้องสาวแทบไม่สนใจลุงที่กำลังกำราบลูกศิษย์
"เราสบายดี เอ่อ...น้ำล่ะ" ดารุจอ้ำอึ้ง สีหน้าครุ่นคิด เห็นได้ชัดว่าเขาคงไม่ได้รับการทักทายอย่างนี้เท่าไรนัก "เราเห็นข่าวน้ำในหนังสือพิมพ์ ยังเป็นห่วงว่าจะเป็นยังไงบ้าง"
อยู่ๆ ในอกก็วูบไหว ดารุจถือเป็นคนแรกในบรรดาศิษย์เก่าที่พูดถึงปัญหาที่หญิงสาวกำลังเผชิญ ทั้งยังแสดงความเป็นห่วงเป็นใย แม้จะรู้ดีว่ามันเป็นเพียงคำทักทายที่ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง หากก็อดไม่ได้ที่จะเกิดความประทับใจเล็กๆ
+++++++++++++++
ก็เป็นอันทราบกันว่า 'วงโนเนต' หรือวงดนตรีกลุ่มร่วมประเลงขนาดเล็ก สำหรับนักดนตรี ๙ คนที่มาบรรเลงคณะเครื่องสาย ทั้งไวโอลิน วิโอลา เชลโล และดับเบิลเบส ในบทเพลงโฟร์ ซีซันส์ ของ อันโตนิโอ วิวัลดี เหล่านั้นถูกจัดจ้างมาโดยนายเดชา นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของโรงแรมหรูแห่งใหม่บนเกาะส่วนตัวที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะภูเก็ต
เขากล่าวขอบพระคุณครูอินทร์หน้าสนามหญ้าซึ่งจัดเป็นพื้นที่การแสดง พร่ำพรรณนา โอ้อวดงานเลี้ยงหรูหราที่จัดขึ้นเพื่อเป็นของขวัญแก่ครูอินทร์ผู้เป็นที่รัก แทนงานเลี้ยงโต๊ะจีนแสนธรรมดาที่จัดมาแล้ว ๔ ปี ข้อนี้ทำเอาแขกเหรื่อหลายคนเบือนหน้าหนีไปตามกัน
ครั้นสุนทรพจน์อันแสนน่าเบื่อจบลง เดชาก็ปล่อยให้วงโนเนตบรรเลงเพลงแสดงฝีมือต่อไป ส่วนตัวเขาเดินกลับมาหาหญิงสาว พยายามชวนคุยเรื่องต่างๆ
"ผมมีโอกาสได้ไปชมฝีมือการแสดงของน้ำที่ฝรั่งเศสถึงสองหนเชียวนะครับ ต้องยอมรับว่าฝีมือเยี่ยมจริงๆ" เดชาแทบไม่ห่างจากทองธาร ไม่ว่าหล่อนจะเดินไปทางไหน ต้องการอะไร นักธุรกิจหนุ่มดูจะเป็นคนจัดหาให้เสมอ
ไม่ไกลกันมีนายตำรวจหนุ่มคอยคุมเชิงจับตาหล่อนอยู่ราวกับหล่อนเป็นผู้ร้ายที่ต้องควบคุมเข้มงวด ทว่าก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่หนีบสาลี่มาด้วย ผู้จัดการสาวจึงคอยประกบติดชิดนายตำรวจ กันไม่ให้อีกฝ่ายถึงตัวหล่อนได้โดยง่าย
พูดกันตามความเป็นจริง ในบรรดาชายหนุ่มรุ่นเดียวกัน ทองธารให้ความสนใจดารุจที่กำลังยืนดูการแสดงอีกฟากหนึ่งมากกว่า เขาแทบไม่ได้มองหล่อนแม้แต่นิด เพียงบางครั้งเท่านั้นที่สายตากลับสบประสานแล้วนิ่งค้างไปชั่วครู่ จากนั้น...ทั้งเขาและหล่อนต่างก็ยิ้มให้กันน้อยๆ ก่อนทอดสายตามองวงโนเนตบรรเลงดนตรีต่อไป
ผู้เป็นลุงแนะนำตัวดารุจให้หล่อนฟังอย่างคร่าวๆ ว่า ปัจจุบันเขาทำงานเป็นบรรณารักษ์ ประจำที่หอสมุดแห่งชาติวัดเจริญสมณกิจ ที่ภูเก็ต ชายหนุ่มมีความชำนาญเกี่ยวกับการซ่อมหนังสืออย่างดีเยี่ยม หนังสือเก่าหลายๆ เล่มของผู้เป็นลุง เมื่อชำรุดก็ส่งไปให้ดารุจช่วยซ่อม ปรากฏว่าได้กลับคืนมาในสภาพสวยงามอย่างคาดไม่ถึง
ตัวหญิงสาวเองชอบอ่านหนังสือเป็นทุนเดิม ว่างจากงานขับร้องและการแสดงก็มักหาโอกาสไปร้านหนังสือบ่อยๆ ไม่มีอะไรมีความสุขมากไปกว่าการได้อ่านหนังสือใต้ร่มไม้ พร้อมชาดอกมะลิหอมกรุ่นวางไว้ข้างๆ
ครั้นได้มาเจอผู้ใกล้ชิดหนังสือ จึงอยากหาโอกาสคุยด้วย ยิ่งรับรู้ว่าอีกฝ่ายมีปมปัญหาบางอย่างที่ต้องเก็บงำไม่ต่างจากหล่อน หญิงสาวก็คล้ายได้พบเพื่อนร่วมชะตาชีวิตไม่ต่างจากตน
อาจเรียกได้ว่า เป็นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
"ครั้งแรกก็ตอนที่น้ำเล่นเรื่อง 'มาดาม บัตเตอร์ฟลาย' ของปุชชินี จำได้ว่าน้ำเล่นเป็นโจโจ้ซัง เสียงโซปราโนของน้ำเพราะเหลือเกิน" เดชายังคงชวนหล่อนพูดคุยต่อไป ขณะที่ทองธารลอบมองบรรณารักษ์หนุ่มเป็นระยะ "แล้วรอบที่สองก็ตอนที่เล่นเป็นควีน ออฟ เดอะ ไนท์ ใน เดอะ เมจิก ฟลุท ที่เมืองออร์เลอ็อง แคว้นซ็องทร์ ยอมรับเลยครับว่าฝีมือดีมาก นักวิจารณ์ที่ฝรั่งเศสยังชมไม่ขาดปากเลย"
นักธุรกิจหนุ่มยังคงพูดพล่ามต่อไปไม่รู้จบ คอยตามหล่อนแจประหนึ่งเงาตามตัว จะไปไหน ทำอะไร ก็คอยบริการ บางครั้งแค่หล่อนชำเลืองมองบริกรซึ่งถือถาดค็อกเทลเดินผ่าน เขาก็รีบรี่ไปหยิบมาให้ ทั้งที่แท้จริงหญิงสาวไม่ต้องการแม้สักนิด
เรื่องที่ชวนคุยส่วนมากก็เป็นเรื่องศิลปะการแสดง บทเพลงคลาสสิก จนถึงความชื่นชมที่มีต่ออุปรากรของนักประพันธ์เพลงเลื่องชื่อทั้งหลาย อย่าง 'จาโกโม ปุชชินี' ที่เขากล่าว พลางชำเลืองไปยักคิ้วหลิ่วตาให้นายตำรวจหนุ่ม ราวจะข่มขวัญด้วยภูมิความรู้และความหรูหรานั้น ก็เป็นคีตกวีขาวอิตาลีที่มีชื่อเสียงในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ผู้แต่งอุปรากร ๒ องก์ อย่าง 'มาดาม บัตเตอร์ฟลาย' ก่อนมีการพัฒนาปรับปรุงจนกลายเป็นอุปรากร ๓ องก์อย่างในปัจจุบัน
ซึ่งทองธารเองก็เคยได้รับเกียรติร่วมแสดงเป็นโจโจ้ซัง เมื่อตอนเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส
มันเป็นเรื่องราวความรักอันแสนเศร้าของหญิงสาวชาวญี่ปุ่น บุตรีแห่งซามูไรที่ถูกมรสุมชีวิตพัดพาให้ต้องกลายเป็นเกอิชา หล่อนยึดถือการสมรสเป็นข้อผูกพันชีวิต กระทั่งได้พบรักกับพิงเคอร์ตัน นายเรืออเมริกัน หล่อนจึงยอมสละสิ้นทุกสิ่งอย่างเพื่อแลกมาด้วยความจงรักภักดีของสามี
ศาสนา...ความเชื่อ...ญาติมิตร
แต่อนิจจา เมื่อพิงเคอร์ตันกลับสู่บ้านเกิด เขาได้สมรสใหม่ ทิ้งให้โจโจ้ซังต้องรอคอยอย่างมีความหวังพร้อมบุตรชายของหล่อน จวบวันที่พิงเคอร์ตันเดินทางมาญี่ปุ่นพร้อมภรรยาชาวอเมริกัน พร้อมส่งคนมาเพื่อขอให้โจโจ้ซังยกบุตรชายให้เป็นกรรมสิทธิ์ของตน
โจโจ้ซังยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสงบ ยินยอมมอบบุตรชายให้แก่สามีตามคำขอ กระทั่งล่ำลาบุตรเป็นที่เรียบร้อย ผูกตาแล้วมอบธงชาติอเมริกัน หญิงสาวจึงใช้มีดที่บิดาเคยกระทำอัตวินิบาตกรรมปลิดชีพตนเอง เสียงกรีดร้องรำพันสูงในฉากสุดท้าย...ทองธารจำได้ดี
'พึงตายไว้เกียรติตน อย่ามีชนม์เมื่อเกียรติมลาย'
นักร้องสาวเข้าใจความพยายาม 'หว่านพืชเพื่อหวังผล' ของเดชา ทว่าหล่อนไม่ใช่ผลหมากรากไม้ที่จะผลิดอกออกช่อเพราะปุ๋ยบำรุงประเภทที่นักธุรกิจหนุ่มกำลังหว่านหรอก
"โชคดีนะครับที่เป็นน้ำ ผมถึงคุยได้รู้เรื่อง" พูดพลางบุ้ยใบ้ไปทางกวีที่ยืนขบปากเคี้ยวฟัน ไม่ห่างกันมีสาลี่คอยยืนคุมเชิง "เกิดคุยกับพวกนั้นคงไม่รู้เรื่องหรอกครับ"
นักร้องสาวยิ้มให้น้อยๆ ไม่กล่าวอะไรต่อ
"เออ...ว่าแต่เรื่องข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์นั่น น้ำอย่าใส่ใจเลยครับ พวกนักข่าวก็อย่างนี้ เขียนข่าวส่งเดช ขอแต่ให้มีข่าวขาย ยังไงขอให้รู้นะครับว่าผมเอาใจช่วยเสมอ" เดชาส่งสายตาหวานฉ่ำให้กำลังใจ "เห็นคุณบายออกข่าวว่าเปลี่ยนตัวนักแสดง เพราะน้ำกำลังมาเคลียร์ปัญหา แต่ผมรู้นะ คงเพราะพิษข่าวน้ำถึงไม่ได้ไปเล่นละครเพลง เอาอย่างนี้สิครับ ผมกำลังจะเปิดตัวกาลาเตีย โฮเตล อีก ๒ - ๓ เดือนข้างหน้า คิดว่าจะเปิดตัวด้วยละครเพลงสักเรื่อง ถ้าน้ำจะให้เกียรติ..."
"ถ้าเป็นเรื่องงาน คุยกับพี่สาลี่จะสะดวกกว่านะคะ" ทองธารชิงตัดบท "พี่สาลี่จะช่วยเรื่องการจัดตารางเวลาและก็ดูเรื่องการรับงานที่เหมาะสม"
เดชาเงียบไปครู่หนึ่ง พลอยทำให้บทเพลงจากวงโนเนตแจ่มใสขึ้น เสมือนหนึ่งแผ่นฟ้าที่เมฆหมอกมืดดำคลี่คลายออก เสียงเครื่องสายเสียดสีสอดแทรกแว่วหวาน ฟังแล้วสบายใจ สบายอารมณ์ ทว่าก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะวินาทีถัดมา เดชาก็พูดอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แทบไม่ได้นิ่งฟังเพลงบรรเลงที่เขาให้วงโนเนตแสดงให้ทุกคนชม
กระทั่งบทเพลงจบลง หญิงสาวจึงชี้ชวนให้เขาหันไปสนใจการแสดงชุดต่อไปของกวีและผองเพื่อน เผื่อจะทำให้เขาเงียบได้อีกสักพัก ทว่าทันทีที่นักธุรกิจหนุ่มเห็น เขาก็วิจารณ์ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มการแสดง
"การแสดงหยาบๆ ผมว่าดูไปก็ทำให้เสียอรรถรส" ชายหนุ่มพูดพลางแบะปาก "รสนิยมคนพวกนี้ต่างจากพวกเราครับ ฟังแต่เพลงลูกทุ่ง พูดถึงแต่เรื่องท้องไร่ท้องนา ผมคนหนึ่งล่ะครับที่ทนฟังอะไรบ้านๆ แบบนั้นไม่ได้"
สาลี่เดินมายืนข้างนักร้องสาวหลังจากกวีแยกไปเตรียมตัว ได้ยินเข้าก็ขมวดคิ้ว หันมองเดชาด้วยความคาดไม่ถึง
"แล้วอย่างไหนถึงเรียกว่าไม่บ้านล่ะคะ" ทองธารถาม สายตายังจับจ้องกวี ปุณฑริกและดารุจที่กำลังเตรียมอุปกรณ์เครื่องดนตรี
"ก็อย่างเมื่อครู่สิครับ" เดชาตอบฉาดฉาน "เพลงคลาสสิก โอเปรา บัลเลต์...อย่างนี้สิครับถึงน่าดู"
หญิงสาวพยักพเยิดดวงหน้าน้อยๆ ชำเลืองมองผู้จัดการสาวที่ยืนข้างๆ เห็นอีกฝ่ายยักไหล่พลางแบะปาก ก็พอทราบว่าคิดไม่ต่างจากหล่อน
ทองธารยังคงสงวนท่าที พยายามไม่ให้อีกฝ่ายล่วงรู้ว่าหล่อนชักระอาเขาเต็มทน
'คนอย่างคุณ ไม่ใช่พวกศิวิไลซ์อะไรอย่างปากพูดเลย ดีแต่โอ้อวดจนน่ารำคาญ' นักร้องสาวจินตนาการ พลางเหยียดยิ้มลำพัง 'มีอย่างที่ไหน บอกว่าชอบเพลงคลาสสิก เป็นคนที่มีรสนิยมชั้นสูง ขอโทษเถอะนะ...ช่วงวงโนเนตกำลังบรรเลงเพลง ฉันได้ยินแต่เสียงพูดของคุณอยู่คนเดียว รู้อะไรหรือเปล่า...เสียงของคุณมันน่ารำคาญมากถึงมากที่สุด ทำให้เสียงเพลงแปดเปื้อน เป็นรอยด่างดำของงานศิลป์ ไม่ต่างจากเชื้อราบนหน้ากากอนามัย'
พูดจบก็ตบหน้าส่งท้าย 'แล้วฉันจะบอกอะไรให้เอาบุญ ประดับโลกทัศน์อันเล็กแคบในกะโหลกศีรษะที่มีไว้ห่อหุ้มเนื้อสมองอันน้อยนิดของคุณ อุปรากรหรือโอเปราของคนชั้นสูงนั่นน่ะ เผยแพร่และพัฒนาได้ก็เพราะเปิดโรงละครสาธารณะของชนชั้นกลาง ไม่ได้ฝังตัวเฉพาะในราชสำนัก'
แล้วเดชาก็คงนิ่งอั้น หน้าเหวอ ก่อนที่หล่อนจะปล่อยตอนจบอันแสนเจ็บปวด
'อีกอย่าง...กรุณาจำไว้ด้วยว่า อย่าเอามาตรฐานหรือรสนิยมของวัฒนธรรมหนึ่ง ไปประเมินคุณค่าทางศิลปะอีกวัฒนธรรมหนึ่งเด็ดขาด ไอ้หน้าเชื้อโรค!'
สบถพร้อมยกชายกระโปรง ก่อนกระแทกส้นสูงลงหัวแม่เท้าอีกฝ่ายเป็นรางวัล
เสียงหวีดร้องของนักธุรกิจหนุ่มจอมโวในความคิดดังลั่นระคนเสียงหัวเราะจริงๆ ของหญิงสาว ทุกสายตาจับจ้องด้วยความสงสัย หากทองธารก็เพียงยิ้มละไมเป็นคำตอบ แล้วนิ่งชมการแสดงต่อไป แล้วกระหยิ่มยิ้มกับจินตนาการที่หล่อนรังสรรค์เพียงผู้เดียว
++++++++++++++++++++++
นาถลดา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มิ.ย. 2555, 08:30:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มิ.ย. 2555, 08:30:41 น.
จำนวนการเข้าชม : 1421
<< องก์ที่ ๗ | องก์ที่ ๙ >> |