แรกรักแต่ปางบรรพ์
เรื่องราวยุคก่อนสุโขทัย เป้เนนิยายจินตนาการทั้งสิ้น มิอาจนำไปอ้างอิงประวัติศาสตร์ใดๆได้
Tags: จงรัก ภักดี

ตอน: ยอมรับชะตากรรม


กาสาดื่มน้ำตามข้าวที่กินทุกคำเพื่อให้อยู่ท้อง นางอดคิดด้วยความสังเวชใจเสียไม่ได้นางมีเพียงชีวิตเดียวยิ่งหิวถึงเพียงนี้ แล้วเจ้านางอมราเล่าจะหิวสักเพียงใด พระนางมีอีกชีวิตหนึ่งที่ต้องการอาหาร
ความเป็นห่วงนายมีมากดังนั้นกาสาจึงเกิดความคิดขึ้นมาได้ คนเมื่อถึงคราวอับจน หนทางสุดท้ายที่คนดีเลือกคือ การเป็นขโมยเมื่อยามไปรับถาดอาหารบางคราวแม่ครัวเผลอนางจึงแอบลักขโมยผลไม้ติดชายพกไปโดย นางแม่ครัวจับไม่ได้
แม้มีความละอายด้วยมิเคยทำชั่ว หากเพื่อผู้เป็นที่รักแล้วนางฝืนใจทำได้ในที่สุด
เมื่อเห็นเจ้าอมราเสวยด้วยสีพระพักตร์แจ่มใสกับการได้เสวยผลไม้ที่ทรงโปรด นางก็ดีใจนัก
“ยิ้มอะไรกัน กาสา”
“แม่เจ้าเสวยให้มากไว้เพคะ พระหน่อเจ้าจะได้แข็งแรง”
“กาสา” พระนางเอ่ยแทบไม่ลอดพระโอษฐ์ฝืดพระศอ
“แม่เจ้าเป็นอะไรหรือเพคะ”
“ไม่” ทรงตัดบท
กาสาย่อมเห็นว่าทรงเปลี่ยนไปมากแล้ว พระอารมณ์ดุร้ายคลายลงจนไม่มีเหลือ เวลานี้อาจจะทรงเปลี่ยนไปแล้วเพราะความยากแค้นที่ได้รับ
หากทีฆายุเจ้าทรงทราบว่าทรงครรภ์ คงจะดีพระทัย และเจ้านางจะสบายดังเดิม กาสาจึงทูลอย่างเกรงๆว่า
“ทูลบอกพ่อเจ้านะเพคะแม่เจ้า เรื่องครั้งหลังจะได้ทรงเมตตา”
“เอ็งกลัวลำบากก็ทิ้งข้าไปเถอะกาสา เอ็งยังสาวยังสวยคงมีคนเลี้ยงดูเอ็งให้ได้ดี”
“แม่เจ้าขอประทานอภัยเจ้าแม่เจ้า ข้าน้อยทูลด้วยความเป็นห่วง หากได้คิดถึงความสบายของตัวเองไม่เจ้าแม่เจ้า”
“เอาเถอะกาสา ข้าก็ไม่มีเจตนาประชดหรือขับไล่เอ็งดอก ข้าเห็นใจเอ็งเท่านั้นต้องลำบากไปกับข้าข้าจึงได้แนะนำไป”
“แม่เจ้า ชีวิตของข้าน้อยเป็นข้าละอองธุลีพระบาท หากเจ้าอยู่ก็อยู่ด้วย หากเจ้าสิ้นก็สิ้นด้วยเพคะ”
“ข้า ” พระนางรู้สึกตื้นตันขึ้นมาจนเจ็บพระอุระ “ข้าขอบใจ ”
“แม่เจ้า .” น้ำตานางกำนัลหยดหยาดแล้วรีบปาดทิ้งโดยเร็ว เจ้าอมราไม่ทรงโปรด ความอ่อนแอ
“ร้องไห้เถิดกาสา เราร้องไห้กันเสียให้พอในเพลานี้ แล้วถึงวันพรุ่งพวกเราจักไม่มีให้น้ำตารินไหล
ออกมาอีกแล้ว”
พระนางอมราวางพระหัตถ์ลงบนเรือนผมนางกำนัลบางเบา จากนั้นพระนางปล่อยให้น้ำพระเนตรรินไหลเงียบงัน หากพระทัย แทบขาดลงแล้วเวลานี้
ทีฆายุเจ้าพระนามนี้อึงอนไปทั้งทรวง คิดถึง ห่วงหาและ แค้นพระทัยเหลือเกิน ทั้งรักทั้งแค้น หากรักนั้นมีมากในพระหน่อเจ้าในพระครรภ์ นี่คือความผูกพันดั่งเป็นอนุสรณ์
พระนางเคยเป็นแม่ยั่วหัว ซึ่งพ่อเจ้าประทานพระหน่อเนื้อเชื้อไขมาให้ พระนางจะดูแลอย่างเงียบๆเท่าที่จะทำได้ เจ้านางอมราทรงตั้งปณิธานอย่างแรงกล้า
ต่อเมื่อพระหน่อประสูติเมื่อใด พระนางจะนำถวายแล้วลาตายจากกันทันที!

เจ้านางขวัญหล้า เข้าเฝ้าพ่อเจ้าทีฆายุที่ตำหนักประทับ
“พ่อเจ้าเพคะ” พระนางสวมกอดวรกายสูงใหญ่ เหม่อพระเนตรออกนอกพระตำหนักแกล
“ขวัญหล้าเหน็บหนาวยิ่งเพคะพ่อเจ้า”
“ไปนอนก่อน ข้ายังไม่ง่วง”
“พ่อเจ้า เพียงสิ้นวสันต์ฤดูก็สิ้นเมตตาขวัญหล้าแล้วหรือเพคะ”
“ขวัญหล้า หากข้าพูดคำใดแล้วเจ้าจงฟัง อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำ”
“เพคะพ่อเจ้า” เจ้านางขวัญหล้าพระกรตกลง เสด็จเข้าบรรทมโดยลำพังด้วยความเงียบเหงาเหลือแสน
พระนางเคยได้รับไออุ่นจากพ่อเจ้า หากบัดนี้พ่อเจ้ากลับมิได้เมตตาปราณีดังแต่ก่อน มิหนำซ้ำยังเย็นชาจนน่ากลัว
หรือพระนางกำลังทิ้งความสาวความสวยให้อยู่แต่บนแท่นบรรทมเพียงลำพังแล้วกระมัง?
.
กาสาถือครุน้ำส่วยส่งจากโรงครัวไปที่ตำหนัก ท่านสิงห์เหลือบเห็นร่างกายที่เคยได้สัดส่วนต้องผ่ายผอมเพราะตรากตรำงานหนัก ก็ให้นึกสงสารอีกฝ่ายเป็นอันมาก ท่านจึงได้เรียกให้ทหารช่วยเหลือ แต่นางปฏิเสธความปรารถนาดีจนสิ้น
“อย่าได้เข้ามาช่วยข้าน้อยเลยนายทหาร”
ท่านสิงห์สงสัยยิ่งนักจึงถามเอาความ
“ทำไมเล่ากาสา ไยไม่ให้ผู้ใดช่วยเหลือ”
“ข้าน้อยต้องป้องกันเกียรติของเจ้านางเหนือชีวิตเจ้าค่ะ ท่านสิงห์ เพราะตำหนักเป็นที่ต้องห้าม ท่านสิงห์คงได้ทราบจารีต ผิว่าเจ้านางของข้าน้อยไร้ซึ่งยศเกียรติแล้วก็ตาม แต่เจ้านางเป็นสตรีสูงศักดิ์ของเมืองคราม ข้าน้อยมิอาจให้ บุรุษกรายใกล้แม้เพียงเงาหลังคาตำหนักเจ้าค่ะ”
ท่านสิงห์พยักหน้าคมคายของเขาอย่างเข้าใจความจำเป็นของกาสา แต่อดห่วงอีกฝ่ายไม่ได้จึงเอ่ยปากถามอีกว่า
“แม่ยั่วหัวเล่า สบายดีอยู่รึกาสา หรือพระองค์ประชวรไป”
“ไม่เจ้าค่ะ ทรงสบายดี”กาสาปดเพราะเกรงเจ้านางทรงกริ้ว
“แต่เจ้าเองยังผ่ายผอมไปมากจนผิดตา”
“อันธรรมดาชีวิตทาส ย่อมเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ” นางกล่าวแล้วก็ให้รื้นน้ำตาขึ้นมาอีก จากนั้นจึงฝืนหน้าหิ้วน้ำในครุกลับตำหนัก
ท่านสิงห์ทอดสายตามองตามร่างนางข้าไทซึ่งหิ้วน้ำหนักจนเรียวแขนของนางตึง ราวกับจะขาดเสียให้ได้ แม่ทัพใหญ่ของธารปุระสะท้อนในอกด้วยหัวใจที่เต็มตื้น อยากช่วยเหลือนางให้มากกว่านี้ แต่มิอาจขัดราชอาญาขององค์เหนือหัวที่ท่านเองบูชายิ่งชีวิต
นับแต่ต้องพระราชอาญา ไม่มีใครได้พบเจ้านางอมราเสียสักคนเดียว ไม่มีใครได้ล่วงรู้ความทุกข์ยาก ซึ่งหากจะมองผ่านนางข้าไทซึ่งซูบเซียว อาจคาดเดาได้ว่าเจ้านางอมราคงได้รับความยากแค้นไม่น้อย
กาสาหิ้วน้ำสะอาดขึ้นตำหนักเพื่อให้เจ้านางได้สรง และต้มให้เสวย นางทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำอย่างนี้ทุกวัน เมื่อจัดการงานแล้วจึงเชิญเจ้านางลงสรง
“กาสา ต่อไปเรื่องอาบน้ำนั้นข้าจะจัดการเอง เจ้าพักเสียบ้างเถิด”
“อย่าได้ลำบากพระวรกายเลยเพคะ เป็นหน้าที่ของข้าน้อย”
“เราจนยากแล้ว จะให้ข้าเอาแต่สบายถ่ายเดียวไม่ได้ดอกกาสา”
“แม่เจ้า” กาสาทรุดกายลง กราบพระบาท ก่อนยกพระบาทนั้นวางเหนือหัวของตน
“ทำเยี่ยงนั้นหาได้ไม่เพคะแม่เจ้า หากจะให้แม่เจ้าต้องลำบากมากกว่านี้ ให้ข้าน้อยตายเสียดีกว่าเพคะ”
“ข้ามีความลำบากอันใดกันกาสา ข้าได้แต่นั่งดูเจ้าทำงานไม่ได้หยุดหย่อน จนข้าเองได้รู้ซึ้งถึงคำว่าทาสแล้ว”
“แม่เจ้าต้องนอนแท่นพระที่หยาบกระด้าง ของเสวยน้อยนิด แม้แต่จะวางองค์ให้สำราญยังไม่มีโอกาส หากต้องลำบากกว่านี้กาสามิอาจทนเห็นอีกแล้วเพคะแม่เจ้า”
เจ้านางอมราทอดพรเนตรมองทาสผู้ซื่อสัตย์ ก่อนตรัสวออกมาแผ่วเบา
“เจ้านี้เองคือเพื่อนตายของข้าอย่างแท้จริงแล้วกาสา”
กาสาปล่อยน้ำตาร่วงริน ก่อนรีบปาดเช็ดออกโดยเร็ว เพราะแม่เจ้าของตนนั้นไม่โปรดความอ่อนแอ หากเมื่อปาดทิ้งมันกลับหลั่งรินลงมาใหม่เหมือนกลั่นแกล้ง สุดท้ายเจ้านางอมราทรุดพระวรกายลงโอบร่างนางข้าไทมาไว้ในอ้อมแขน
“แม่เจ้า ข้าน้อยสมควรจะโดนเฆี่ยนตีที่ไม่หลาบจำในคำสั่งสอนของแม่เจ้า”
“ร้องมาเถอะกาสา ข้าไม่โกรธเจ้าดอก ข้าเข้าใจชีวิตของคนมากแล้ว” พระนางตรัสออกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ทรงเป็นนางกษัตริย์ที่เอาแต่พระทัย ไม่เคยใส่ใจผู้ต่ำต้อยกว่า หากเมื่อยามยากแค้นแสนเข็ญเวลานี้แล้ว พระนางได้รู้สึกองค์เองว่า ชีวิตทาสต่างเมืองเช่นพระนาง แม้จะมีฐานันดรที่สูงศักดิ์ แต่ในเวลานี้ศักดิ์นั้นได้ชูสูงก็เพียงที่กักขังเท่านั้น แต่ความเป็นอยู่คงยากไร้ไม่แตกต่างจากนักโทษจำตรวนสักเท่าใด
นี่หรือที่กล่าวกันว่า ผู้ใดใกล้ผู้มีอำนาจ ผู้นั้นยิ่งต้องระวังตัวมากกว่าใกล้ศัตรูตัวฉกาจหลายร้อยเท่า จะเป็นจริง!!

พ่อเจ้าประทับนั่งทอดพระเนตรดูท่านสิงห์น้าวธนูลองความตึงหย่อนของคันสาย หากในพระทัยลอยคว้างไปถึงตำหนักที่กักขังนางในดวงพระหฤทัย
หากลอดสุ่มทุมพุ่มไม้นี่ไปจะถึงตำแหนักท้ายอุทยาน ใกล้เพียงนี้เอง แต่ดูราวกับมีภูเขาสูงชันกั้นขวางกระนั้น ทีฆายุพ่อเจ้า เผลอถอนพระทัยหนัก ท่านสิงห์เหลือบสายตามองมาพอดี ท่านแม่ทัพพาร่างสูงกำยำเดินเข้าไปใกล้ แล้วจึงได้เดินเข่าเข้าไปเดฝ้าต่อเบื้องพรำพักตร์ กราบทูลถามด้วยความเป็นห่วง
“พ่อเจ้าไม่สำราญพระทัยเลยเจ้า พ่อเจ้า”
สิ้นคำถาม พ่อเจ้าหยักมุมพระโอษฐ์หนา ราวกับเย้ยหยันพระองค์เอง ที่ไม่อาจลืมเจ้านางอมราได้ ทรงแค่นเสียงออกมาพอได้ยินตามลำพังว่า
“น่าขันใช่หรือไม่พี่ข้า ทีฆายุผู้ยิ่งใหญ่ น้ำใจมาพ่ายสตรีต่างเมือง”
“พ่อเจ้า อันธรรมดาของมนุษย์ชายหญิงย่อมมีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันกัน บุรุษก็พ่ายแพ้ด้วยแรงรักมิใช่น้อย พ่อเจ้าเป็นเจ้าแผ่นดิน ดำรัสเดียวพระทัยที่หายไปก็จักได้กลับคืน”
“เป็นเจ้าแผ่นดิน เมื่อได้เอ่ยสิ่งใดไปแล้ว แม้เพียงคำเดียว จะน้อยหรือมาก ก็มิอาจจะคืนกลับคำได้”
ท่านสิงห์ได้แต่นิ่งอึ้ง ก่อนกราบทูลตามความจริงที่ได้เห็นแก่สายตาว่า
“นางข้าไทผอมเหลือเกิน แต่นางไม่เอ่ยถึงพระนางเจ้าซึ่งอยู่บนตำหนัก”
ทีฆายุพ่อเจ้าหวั่นไหวพระทัย ข้าไทซูบผอม แล้วอมราเทวีเล่าอยู่สบายดีหรือ ทำไมเล่า ทำไมนางไม่แผลงฤทธิ์อย่างที่เคยเป็นมา นางอยู่อย่างเงียบงันตามคำถวายสัตย์ว่าภักดี
อมรา น้ำใจเจ้าทำด้วยหินผาหรือไร เจ้าจะให้กษัตริย์ไปงอนง้อเจ้าหรือ ข้าจะมีหน้าอยู่เหนือชีวิตผู้คนได้หรืออมรา ทำไมเล่า ทำไมเจ้าไม่ละทิฐินั้นแล้วคืนกลับมาหาพี่ แม้เพียงตำแหน่งเล็กๆ พี่ก็จักมีให้เจ้า จะคืนสุขให้เจ้าได้อมรา
ทรงได้แต่ดำริ หากการะกระทำนั้นเล่ามิอาจเป็นจริง ไม่มีเหตุอันใดที่จะคืนคำได้ พระทัยยิ่งถูกบีบคั้นแทบประคองพระวรกายไว้ไม่อยู่
กาสา แอบหยิบผลไม้เปรี้ยวใส่ชายพก ซุกซ่อนดังที่เคยทำ แต่ครั้งนี้กาสาไม่โชคดีดังที่เคย เพราะนางแม่ครัวจับได้จึงมีปากเสียงกัน ลงท้ายนางแม่ครัวตบตี กาสาจนกลิ้งไป
“อีชาวเมืองครามนี้ขี้ขโมยนัก ของข้าหายทุกวันที่แท้อีทาสต่างเมืองนี้เองที่ลักขโมยไป ขอตบให้หายแค้นเถอะ นางถลันเข้ามา กาสาไม่ต่อกรด้วย หากตากหน้าของโดยดี
“คุณท้าวเจ้าขา เมตตาข้าน้อยสักครั้ง ส้มสุกลูกไม้เปรี้ยวๆ บรรดานี้ คุณท้าวก็มิได้ให้ใครมิใช่หรือเจ้าค่ะ ข้าน้อยขอแบ่งปันสักสามผลเถิด”
ยายแม่ครัวไม่แบ่งปันให้ แล้วยังใจดำเข้ามาแย่งผลไม้สุกทิ้งขว้างเสียอีก กระนั้นกาสาไม่เห็นแก่ความสกปรก นางนึกเสียดายมาก จึงรีบไปเก็บผลไม้ที่ตกเปื้อนฝุ่นปัดไปมา
“เอ้า เว้ย นังคนต่างเมือง ตะกละเยี่ยงหมา ของตกดินทิ้งขว้างมันยังขืนเอา โยนให้หมามันอีก” นางแม่ครัวเยาะเย้ยถากถาง แล้วโยนผลไม้ลงพื้นอีกสอง-สามผล
กาสาตามเก็บด้วยความหดหู่ใจ นางไม่อาจปล่อยให้ผลไม้ที่แม่ครัวเห็นว่าไร้ค่า ได้ตกหล่นเสียหายไปต่อหน้าต่อตาได้ เพราะบัดนี้ ผลไม้นั้นคืออาหารที่ดีเลิศสำหรับนางและเจ้าเหนือหัวของนาง ผลไม้ผลหนึ่งกลิ้งไปอยู่แทบเท้าชายร่าสูงกำยำ กาสาขยับตามไปเก็บ
หากเมื่อเงยขึ้นมองพบว่าเป็นท่านสิงห์ กาสารีบชะงักมือด้วยความอับอาย นางก้มหน้าหมุนกายกลับไปไปหยิบถาดอาหาร ทำท่าผละจากไป
แต่เพราะท่านสิงห์เห็นความผิดปกติ กาสาเก็บของกิน อีกทั้งถาดอาหารนั้นใส่เพียงสามถ้วย เป็นเรื่องที่ไม่ควรเป็น ท่านสิงห์ไม่อาจทนนิ่งเฉยได้ ท่านเรียกรั้งนางกำนัลตกอับ
“กาสา หยุดก่อนทำไมจึงเก็บผลไม้ที่ตกพื้นด้วยเล่า แล้วนั่นอาหารของใคร”
ท่านสิงห์กวาดตามองอาหารในภาชนะที่เห็นว่าชั้นทาสได้ใช้
“ของแม่เจ้าท่าน”นางตอบ พลางประคองถาดอาหารเดินจากไป สภาพของนางยิ่งซูบไปกว่าคราที่ท่านสิงห์เห็นนางหิ้วน้ำเสียอีก
“กาสาเจ้าเชิญเครื่องเสวยมานี่บัดเดี๋ยวนี้ก่อน” ท่านสิงห์สั่งเสียงดังโกรธจนกายสั่น ใบหน้าที่เคยเรียบเฉย ของท่านแสดงความดุดันชัดเจน กาสาเข้าใจว่าตนเองมีความผิดนางจึงรับกล่าวแกตัวด้วยความเกรงกลัวนัก
“ท่านสิงห์ หากข้าน้อยมีผิดที่เก็บผลไม้ไป ข้าน้อยจักเอาคืนก็ได้เจ้าค่ะ เครื่องเสวยสามถ้วยนี้ หากมากไปข้าน้อยจะคืนให้ แม้โทษของข้าน้อยมีผิดสิ่งใดได้โปรดงดก่อน ให้ข้าน้อยได้นำพระกระยาหารนี้ไปถวายแม่เจ้าก่อน หลังจากนั้นความผิดที่ข้าน้อยได้ขโมยผลไม้ หรือทำผิดกฎชาวเมืองธารปุระทั้งหมดทั้งสิ้น ข้าน้อยจะมารับโทษทันธ์ขอเพียงให้ไปถวายพระกระยาหารก่อน แม่เจ้าทรงรอนานเกินกว่าทุกทีแล้วเจ้าท่าน”
“หยุดเถอะกาสา ข้าหามีความโกรธเจ้าไม่ เจ้าเชิญเครื่องเสวยน้อยเช่นนี้ทุกวันหรือส้มสุกลูกไม้ เจ้าต้องลักขโมยจึงเอาไปได้หรือ”
กาสาอดสูใจจนไม่สามารถประคองถาดไว้ได้ท้ายที่สุด นางปล่อยของในมือร่วงหล่นจากมือ
“เมื่อคำขอของข้าน้อยไม่เป็นผลแล้วเชิญท่านลงโทษข้าน้อยเถิดท่านสิงห์ ข้าน้อยหามีปัญญาตอบโต้ท่านอีกแล้ว”
“กาสา ข้าหาได้โกรธขึงต่อการกระทำของเจ้าไม่ แต่ข้าจะลงโทษอีแม่ครัวต่างหาก มันกล้าดีอย่างไรจึงรังแกพระแม่เจ้าดังนี้ เฮ้ย ทหารลากนางแม่ครัวไปตบปากให้หนักให้มันกินข้าวปลาไม่ได้ แล้ว.อ้ายอีคนใดกระทำการเหยียดหยามผู้ที่ได้ชื่อ พระเทวี ข้าจะกราบทูลให้มีโทษตัดหัวทุกคน”
ทหารทำความคำสั่งโดยลากนางแม่ครัวใจร้ายไปตบปากไม่ยั้งมือ
กาสามองการลงโทษแม่ครัวด้วยใจเต้นระทึก เสียงท่านสิงห์สั่งว่า
“กาสา ตักอาหารไปจนพอใจ แล้วใช้ถาดเครื่องทรงเสวยดังเดิมเถิด”
“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ” กาสารีบไปตักอาหารเสียมากมาย นางขนผลไม้ไปมากจนเดินตัวเอียง ท่านสิงห์มองนางด้วยความเวทนานัก เขาจะช่วยถือไปก็มิได้ ด้วยเป็นชายมิอาจเข้าไปเขตกักขังเจ้านางอมรา
พระแม่เจ้าผู้ที่ได้ชื่อว่าไม่เกรงต่อความตายนั้นเหตุใดจึงยอมเงียบอยู่แต่ในพระตำหนัก ไม่ตอบโต้ออกมาด้วยโดนข่มเหงน้ำใจมากถึงเพียงนี้แล้ว ทั้งสองทนต่อการข่มเหงนี้มานานเพียงใดแล้วหนอ!
………………
ฝ่ายเจ้านางอมราแปลกพระทัยกับพระกระยาหารมื้อนั้น กาสาจึงทูลถวายจนสิ้นเว้นเรื่องขโมยผลไม้นางไม่ทูลบอก เพราะถ้าแม่เจ้าทรงทราบกาสาต้องตายสถานเดียว ด้วยว่าศักดิ์ศรีของความเป็นคนเหนือคน ย่อมยอมอดอย่างเสือ ดีกว่าอิ่มอย่างสุนัขจรจัดที่คุ้ยเขี่ยอาหารหรือลักขโมย
มื้อแรกในหลายเดือนที่กาสาได้กินอิ่ม และนอนหลับอย่างเป็นสุข นางมีความซาบซึ้งในน้ำใจเมตตาของท่านสิงห์ยิ่งนัก หากตัวเป็นทาสและนักโทษ จึงมิอาจคิดเอื้อมแม้แต่จะฝันถึงท่านสิงห์ในทางอื่นใดเลย
หากเปรียบดังกระต่ายหมายจันทร์นางยังละอายที่คิดแต่ว่าแม้กระต่ายยังมีค่ากว่านางมากนัก นางเป็นเพียงเศษธุลีเท่านั้นเองมิอาจหาค่าสิ่งใดได้เลย
ท่านสิงห์มีอำนาจราชศักดิ์ ท่านย่อมมีท้าวนางเป็นคู่เคียง อีกทั้งคงมีนางเล็กๆห้อมล้อมอยู่ไม่น้อย
“กาสาเอ๊ย แม้แต่คิดเอ็งยังไม่ควรคิดเลย”
นางเตือนตัวเองก่อนข่มตาให้หลับลง



นางแก้ว
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 มิ.ย. 2555, 10:11:43 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 มิ.ย. 2555, 10:11:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1946





<< แตกหัก   กษัตริย์ไม่อาจคืนคำ >>
Zephyr 2 มิ.ย. 2555, 14:15:34 น.
ฮือ ท่านสิงห์รักกาสาเถอะนะ
ชักสงสารแม่เจ้าตงิดๆ สงสารเด็กด้วยอ่ะ ไม่รู้เรื่องไรกะเค้าเลย เหมือนโดนทำโทษไปด้วย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account