ซีรีย์เมีย-อัพ-เมียราคี
“เธอรู้หรือเปล่าว่าเธอทำให้ฉันเป็นทุกข์ขนาดไหน”
“เธอคงสะใจแล้วสินะ ที่เห็นฉันเป็นแบบนี้”
ร่างบางส่ายหน้าปฏิเสธ
“ฮึ่ม...งั้นเธอคงอยากให้ฉันมีความสุข”
“งั้นก็ถอดเสื้อผ้าของเธอออกให้หมดสิ ฉันจะได้เชื่อว่าเธออยากให้ฉันมีความสุข”
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ซีรีย์เมีย-เมียสุดสวาท-ตอนที่๕ เงาในกระจก

ตอนที่๕ เงาในกระจก


อาหารเที่ยงวันนี้ เหมือนจะอร่อยสู้มื้อค่ำเมื่อคืนไม่ได้ แม้จะดูหรูและมีราคา อยู่ในภัตตาคารห้าดาวเหมาะกับเกียรติทายาทคนโตของหิรัญยศเจริญกุล ทว่าอาหารกลับเหลือเต็มโต๊ะ เพราะผู้รับประทานยื่นช้อนตักแค่ไม่กี่อย่าง และเขี่ยไปเรื่อย คล้ายไม่อยากทาน

“อาหารไม่ถูกปากหรือไง ทำไมกินน้อยจัง” คริษฐ์จ้องมองอยู่นาน แล้วก็สังเกตเห็นว่า คุณแม่ของลูกไม่ได้กินอาหารที่เขาสั่งมาเลย ทั้งอาหารทะเล อาหารพื้นบ้าน และอาหารฝรั่ง เธอก็ไม่กิน ทำแค่ยื่นช้อนตักโน้นตักนี่ไปเรื่อย แต่ไม่ได้ตักเข้าปาก

“รู้สึกอิ่ม กินไม่ลง” คาร่าตอบสะบัด เหมือนอยากปัดคำถามของสามีไปไกลๆ มากกว่าที่จะอยากตอบ

“ยังไม่ได้กินอะไรเลย แล้วจะอิ่มได้ยังไง...” คริษฐ์ชะงักเล็กน้อย พร้อมถอนหายใจ แล้วมองหน้าเธอก่อนพูดต่อ “จะให้ฉันทำยังไง เธอถึงจะยอมลืมเรื่องบ้าบอพวกนั้น ว่ามาสิ อยากให้ฉันทำยังไง ก็ว่ามา” เขาเหมือนจะพูดกับเธอ แต่ก็หันตักโน้นตักนี่ให้ลูกไปด้วย พร้อมกับอมยิ้มให้แก เพื่อไม่ให้แกสนใจเรื่องของพ่อแม่ที่แกไม่เข้าใจ

แต่นั่นกลับทำให้คาร่ามองว่าเขาไม่ได้สนใจที่จะคุยกับเธอเท่าไรนัก เพียงแค่อยากปัดปัญหาให้มันจบๆ ไป แค่นั้น เธอไม่เคยสำคัญสำหรับเขา

คาร่าคิดแล้วเหลือบตามองสามีกับลูก เธอรู้ว่าเขารักลูก เขาห่วงความรู้สึกของลูก เขาถึงไม่ทำหรือปฏิบัติเหมือนเมื่อก่อนนี้อีก แต่ยังไงเขาก็ยังละเลยเธออยู่ดี ซึ่งไม่ต่างไปจากหลายปีที่ผ่านมา ที่เขามักจะโทรมาคุยกับลูกเสมอ แต่ไม่เคยคุยกับเธอเกินสี่คำ ‘สบายดีนะ’ จบ...มันจบแค่นั้น และทุกอย่างที่เขาทำอยู่นี้ ที่เขากลับมา ที่มาซื้อบ้าน มาพาไปอยู่ด้วย คงเพราะเขาทำเพื่อลูก เพื่อลูกเท่านั้นใช่ไหม...

เธอกัดริมฝีปากเบื้องล่างของตัวเองแรงๆ โดยไม่สนถึงความเจ็บ ขณะที่ฝืนกลืนก้อนแข็งๆ ในลำลง ข่มน้ำตาที่กำลังจะไหล แล้วรีบวางช้อน ก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ขอตัวไปเข้าห้องน้ำนะคะ เดี๋ยวมาค่ะ” พยายามฝืนเสียงไม่ให้สั่นบอกสามีกับลูก แล้วก็รีบเดินไปทันที โดยไม่สนใจรอคำอนุญาต แต่ลูกน้อยก็จะไปด้วย แกจึงรีบลงจากเก้าอี้ตัวเองแล้ววิ่งเร็วๆ ตาม

“นึงนึกไปด้วย”

“ค่ะ” คาร่ายื่นมือจูงมือลูกแล้วพาไป ทิ้งให้สามีนั่งถอนหายใจยาวๆ มองตามไปอย่างไม่เข้าใจเธอ

“จะเว้นไม่หน้าบูดใส่กันสักวันไม่ได้เลยหรือไง” คริษฐ์พึมพำ มองตามไปอย่างเหนื่อยใจ ก่อนตัดสินใจเช็คบิล แล้วค่อยนั่งรอคุณแม่และคุณลูกไปพลางๆ แต่เพียงแค่ไม่กี่นาทีให้หลัง คุณแม่กับคุณลูกก็เดินกลับมาหาเขาที่โต๊ะด้วยสีหน้าที่แลจะบูดกว่าเก่า

“กุ้งตัวโตๆ ไปไหน” คุณลูกสาวอุทานขึ้นก่อนคุณแม่ แกมองหน้าคุณพ่อสลับกับโต๊ะที่ว่างเปล่าอย่างสงสัยปนสับสน ไม่เข้าใจว่าไปเข้าห้องน้ำแค่แป๊บเดียวกลับมา ทำไมอาหารถึงหายหมดโต๊ะ

“เอ่อ...คุณพ่อคิดว่านึงนึกกับคุณแม่ไม่กินแล้ว เลยสั่งเก็บโต๊ะค่ะ คุณพ่อขอโทษนะคะ” เมื่อถูกลูกซักถามแบบนี้ พร้อมกับสายตาคมงามของคุณแม่ของลูกที่จิกมองอย่างตำหนิ คุณพ่อจึงต้องรีบลุกมานั่งยองๆ ตรงหน้าลูก แล้วเอ่ยขอโทษ

เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้ารับเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าแกยกโทษให้ ก่อนจะรับกอดคอคุณพ่อ “เรากลับบ้านกันยัง” แกปรับสีหน้าเป็นยิ้มแย้มซักถาม ทำให้คุณพ่อโล่งใจ

“ค่ะ เราจะกลับบ้านกันแล้ว” เขาอมยิ้มบอกลูก ก่อนจะอุ้มแกแล้วยืนขึ้น “กลับบ้านกัน” ใบหน้าคม หันมายิ้มบอกคุณแม่ของลูก ทำเหมือนก่อนหน้า และตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไร ว่าจบก็พาลูกเดินนำไปทันที ไม่แม้แต่จะรอหรือสนหน้าบึ้งตึงของคุณแม่ของแก

คาร่าเม้มปาก ไม่พอใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เขาทำเหมือนตาบอด มองไม่เห็นความขุ่นเคืองของเธอ แต่จะให้เธอไปโวยวายให้เขาสนใจ มันก็ไม่ใช่เรื่อง หนำซ้ำลูกอยู่ด้วย สิ่งที่เธอทำได้ จึงเป็นแค่เพียงก้าวตามไป



ความเงียบปกคลุมตลอดทางที่นั่งรถมายังบ้านศริตวรรธน์ เพราะเด็กน้อยกินอิ่ม พอขึ้นรถได้สักพักก็หลับ จึงเหลือแต่ผู้ใหญ่ทั้งสอง แต่ต่างคนต่างไม่รู้จะพูดอะไร แถมเสี่ยงกับการที่จะต้องทะเลาะกันด้วย จึงไม่มีใครคิดชวนคุยอะไรกระทั่งถึงที่หมาย

“ไปเอาเอกสารงานของเธอมาสิ ฉันจะอยู่ในนี้เฝ้าลูก” น้ำเสียงของเขาเหมือนจะเย็นและชากว่าก่อนหน้าและเมื่อวาน มันบ่งบอกถึงความห่างเหินที่ดูจะห่างไปเรื่อยๆ ทำให้คาร่ารู้สึกเจ็บมากกว่าตอนที่เขาไม่อยู่ เธอจึงไม่ลังเลใดๆ ที่จะรีบออกจากรถ เพื่อหลบลี้จากความเจ็บปวดนี้

“ค่ะ” คาร่าตอบสั้นๆ แล้วก้าวออกจากรถตรงไปเอาเอกสารงานบนหเองทันที เดินเข้าไปเร็วๆ และเมื่อพบผู้ใหญ่ หรือญาติของเขา เธอก็ทักตามธรรมดา

“ตาริดมาส่งเหรอ แล้วนึงนึกล่ะ” คุณหญิงจันทรามาสไถ่ถามหลังรับไหว้หลานสะใภ้

“อยู่กับคุณริดในรถค่ะ” คาร่าเอ่ยตอบหญิงมากวัยไปเบาๆ พร้อมกับยิ้มจืดๆ พยายามที่สุด เพื่อไม่ให้คนชรารู้ว่า เธอกำลังงอนสามี

“แล้วทำไมไม่เข้ามาด้วย ตาริดนะ จริงๆ เลย” คุณหญิงพึมพำเสียงค่อย แต่ก็หลิ่วตามองหลานสะใภ้ที่นั่งบนพื้นตรงหน้าตัวเองอย่างสงสัย ก่อนจะกวักมือเรียกเบาๆ ให้หลานสะใภ้เข้ามาหาใกล้ๆ

คาร่าไม่ขัดขืน รีบคลานเข่าไปหาผู้มีพระคุณของตัวเองทันที แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปสะอื้น ซุกหน้าร้องไห้กับตักอบอุ่นของคนมากวัย

“คุณริดยังเฉยชากับคาร่าเหมือนเดิมค่ะคุณหญิง สามปีก่อนเป็นยังไง ตอนนี้เขาก็ยังเป็นแบบนั้น เขาไม่รักคาร่าแล้วเขาจะกลับมาหาคาร่าทำไมคะ มาพาไปอยู่กับเขาทำไม”

“แล้วทำไมเราไม่ถามเขาแบบนี้ล่ะหือ” คุณหญิงอมยิ้มส่ายหน้า แล้วย้อนหลานสะใภ้อย่างเอ็นดู พร้อมกับลูบศีรษะบนตักตัวเองไปพลางๆ นึกขำปนสงสารที่หลายสะใภ้ไม่รู้เลยว่า ไอ้เจ้าหลานชายตัวดีของนางน่ะ คลั่งรักเธอมากเท่าไร

“คาร่าไม่กล้า...” เธอขานตอบ แต่ก็สะอื้นอีก ทำให้หญิงชราฉีกยิ้มกว้างกว่าเก่า

“ถ้าอย่างนั้น ฉันถามให้เอาไหม” คุณหญิงอมยิ้มเสนอมา คาร่าจึงรียเงยหน้าขึ้นมาส่ายแรงๆ ปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรค่ะ คาร่าจะถามเอง” ดวงหน้าสวยแดงนิด เมื่อฉุกคิดได้ว่า ถ้าให้คุณหญิงถามให้ ท่านก็จะถามต่อหน้าทุกคน ซึ่งคนที่จะต้องอายที่สุดก็ต้องเป็นเธอ

“แล้วเรากล้าเหรอ...หือ” แววตาขบขันของหญิงมากวัยมองเธออย่างหยอกเย้า ยิ่งทำให้คาร่านึกเขิน

“คาร่าไม่อยากรู้แล้ว” เธอก้มหน้าลงกัดริมฝีปากตัวเอง ทำตัวเหมือนเด็กหญิงตัวน้อยๆ อีกครั้ง คุณหญิงจึงอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้างกว่าเก่า เมื่อได้เห็นความไร้เดียงสาเช่นนี้ของเธออีกหน เด็กในอุปการะของนาง คนน่ารักน่าเอ็นดูที่นางเลี้ยงมาเองกับมือ

“แต่ฉันอยากรู้” คุณหญิงขำเบาๆ ก่อนจะเรียกแม่บ้านคนสนิทของตัวเองมา แล้วให้ไปเรียกหลานชายตัวแสบเข้ามาหานางในห้องรับแขก

“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ การกระทำดังกว่าคำพูด และสิ่งที่คุณริดทำ มันก็บอกอยู่แล้วว่า คุณริดไม่เคยรักคาร่าเลย” เธอพึมพำอีก หลังคนสนิทของคุณหญิงออกไปแล้ว

คุณหญิงได้ยิน แต่ไม่สนใจ เพราะนางเชื่อสายตาของนางและเชื่อคำพูดของหลานชาย “เดี๋ยวเราก็รู้” ทั้งรอยยิ้มและแววตาของคนชรา ทำให้คาร่าหวั่นใจ เพราะเหมือนท่านจะเชื่อเหลือเกินว่าหลานชายของท่านรักเธอ

และแล้วเพียงแค่ไม่กี่นาที ร่างสูงโปร่งก็อุ้มลูกสาวตัวน้อยที่หลับแล้วเข้ามาหาเธอกับคุณยายของเขาในห้องรับแขก เขามีสีหน้าตื่นๆ คล้ายเขาจะตกใจอะไรสักอย่าง

“มีเรื่องอะไรกันครับ” คริษฐ์สลับมองหน้าภรรยาตัวเองกับคุณยายของตัวเองอย่างสงสัย อยากรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ทำไมต้องรีบไปเรียกเขาให้เข้ามา ก่อนจะเอาลูกสาวไปวางนอนลงที่โซฟาตัวยาว แล้วค่อยหันมารอคำตอบให้คำถามตัวเอง

คาร่าเม้มปาก ไม่คิดตอบ แต่คุณหญิงกลับเอ่ยคำถามของนางมาแทนที่จะตอบคำถามของหลาน “คาร่าบอกว่าริดไม่เคยรักคาร่าเลย จริงไหม” คนชราถามด้วยรอยยิ้มที่ปริกว้าง แต่มันกลับทำให้คนสาวอยากมุดดินหนี

“เหรอครับ” คริษฐ์ขานคำคุณยายของเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับหรี่ตามองภรรยาอย่างต้องการคำตอบ อยากรู้จริงๆ ว่าเธอพูดแบบนั้นจริงเหรอ

“ยายจะโกหกริดไปทำไม ก็คาร่ามาร้องไห้อยู่นี่ บอกว่าริดไม่รัก” คุณหญิงตอบไปอีก ยิ่งทำให้คาร่าอาย เธอไม่ควรเลยที่จะมาระบายแบบนั้นให้คุณหญิงฟัง รู้ๆ อยู่ว่าคุณหญิงเป็นคนตรงๆ พูดแบบตรงๆ เท่านั้น และนี่แหละคือผลของความไม่ยั้งคิดของเธอ เธอต้องอายคนเดียวแบบนี้

คาร่านึกโกรธตัวเอง ที่เผลอไปแบบนั้น จนตัวเองต้องอายแบบนี้ แต่ก่อนที่เธอจะคิดอะไรได้ หรือปฏิเสธอะไรไป ร่างสูงก็คลานเข่าเข้ามาใกล้ตัวเธอที่นั่งชิดปลายเท้าของคุญหญิงแล้ว

“ผมขออนุญาตนะครับคุณยาย” เขาเอ่ยเบาๆ ก่อนจะยื่นมือฉุดแขนบางให้ลุกออกจากพื้นที่นั่งพับขาอยู่ “ไปคาร่า” เขาพูดกับเธอแล้วค่อยหันกลับมาวานคุณยายของเขาอีกครั้ง “ผมฝากนึงนึกนะครับ” ใบหน้าคมกล่าวนิ่งๆ ไม่แสดงกิริยาอะไรออกมา

คุณหญิงอมยิ้มนิดๆ แล้วพยักหน้าให้ “โตๆ กันแล้ว ไม่ใช่เด็กเหมือนเมื่อก่อนนี้แล้ว มีอะไรไม่เข้าใจกัน ก็หันหน้าพูดกัน คุยกันให้เข้าใจ อย่าให้ยายต้องคอยแก้ปัญหาให้ ยายแก่แล้ว”

“ครับ” คริษฐ์ผงกศีรษะรับคำคุณยายของเขา ก่อนจะดึงภรรยาให้ไปกับเขา

ร่างบางอายจนไม่รู้จะทำยังไง จึงยอมไปกับสามีโดยดี ก้าวเร็วๆ ตามแรงดึงของเขา แล้วแค่ครู่เดียว ทั้งตัวเองและเขาก็ขึ้นมาถึงบนห้องนอนตัวเอง หากแทนที่เขาจะพูดถึงเรื่องที่คุณยายของเขาเพิ่งถาม เขากลับให้เธอรีบเก็บเอกสารงาน

“เอกสารของเธออยู่ไหนล่ะ รีบเก็บสิ” อีกครั้งที่เขาทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไร ความรู้สึกเขินอายก่อนหน้าของเธอจึงกระเจิงหาย แต่กลับแทนที่ด้วยความโกรธ เพราะสมองมันบอกกับเธออีกครั้งว่า เขาไม่สนใจ ไม่แม้แต่จะสนใจ

มือน้อยกำแน่น ขอบตาร้อนระอุ อยากจะหันไปตะโกนใส่หน้าเขา อยากจะตบให้ใบหน้าหล่อๆ น่าหลงใหลนั้นหันขวา ให้เขารับรู้บ้างว่า...เธอเจ็บ

แต่เธอก็ทำได้แค่คิด แต่ไม่กล้ากระทำไป เพราะรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์อะไรกับคนที่ไม่รักกัน จึงตรงไปเก็บงานทุกแฟ้มของตัวเอง

ทว่าขณะที่กำลังจัดแฟ้มงาน กลับรู้สึกว่าเขาจะเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่เธอก็ไม่สน ไม่อยากสน กระทั่งลมหายใจอุ่นๆ ของเขามาพ่นรดที่ข้างหูของเธอเบาๆ

“อยากให้ฉันช่วยไหม” เขากระซิบเสียงแผ่วจนเธอรู้สึกเสียวซ่านไปทั้งร่าง ต้องรีบขยับห่าง แต่มือแกร่งกลับรีบเอื้อมมาล็อกเอวคอดเธอไว้ พร้อมคางสากรีบยึดบ่าเธอ “จริงเหรอ ที่คุณยายบอกว่า เธอฟ้องคุณยายว่าฉันไม่รัก”

คำพูดของเขา ทำให้ความรู้สึกของคาร่าหันชนกัน มันไม่รู้จะอายหรือโกรธดี จึงทั้งอายทั้งโกรธ และทั้งโมโหที่เขามาถามเอาป่านนี้ มือน้อยจึงรีบวางแฟ้มงานลงแล้วรีบแกะมือเขาออกจากเอวตัวเอง

“ฉันไม่ได้พูด” เธอปฏิเสธเสียงแข็ง สลัดเขาหลุด แล้วหันกลับไปเก็บแฟ้มงานต่อทันที

“แล้วไป” คริษฐ์เปรยออกมา เขาก็ไม่สนเหมือนกัน ถ้าเธอไม่ได้พูด ทำให้คาร่ากัดริมฝีปากอีก แต่เธอจะแสดงออกให้เขารู้ไม่ได้ ว่าเธอไม่พอใจ จึงรีบจัดแฟ้มงานอีกครั้ง ก่อนจะกอดแฟ้มงานทั้งหมดไว้ในอก

“เสร็จแล้วค่ะ เราไปกันได้แล้ว” เธอพูด พยายามทำหน้าเรียยเฉยให้ได้เช่นเขา แต่ร่างสูงกลับเดินมาชิด แล้วดึงแฟ้มงานเหล่านั้นออก

“เดี๋ยวสิ ฉันยังไม่อยากไปเลย” เขาเอ่ยเสียงเบาอีก เบาบางเกือบเป็นกระซิบ ทำยังกับว่ากลัวคนอื่นจะได้ยิน ทั้งที่ในห้องนี้มีแค่เขากับเธอ

คาร่ากะพริบตาข้องใจ จ้องหน้าเขา ทำไมเขาถึงยังไม่อยากไป ทั้งที่มันไม่มีอะไรแล้ว แต่เมื่อแฟ้มงานตัวเองถูกเขาดึงออกจนหมด แล้วเอากลับไปวางไว้บนโต๊ะตัวเก่าที่มันวาง เธอจึงได้เข้าใจ

ร่างสูงวางแฟ้มงานทั้งหมดของเธอไว้บนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างๆ แฟ้มงาน ก่อนกวักมือเรียกให้เธอเข้ามาหา แต่คาร่าไม่มา เขาจึงต้องยื่นมือไปดึงเธอมา

“ฉันคิดถึงห้องนี้” เขาเอ่ยเสียงเบาเท่าเก่า พร้อมดึงเธอเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าของตัวเอง “เธอล่ะ” เขาถามอีก แต่คาร่าไม่ตอบ เขาจึงต้องทวนอีกครั้ง “เอาใหม่ ฉันไม่ได้คิดถึงห้องนี้ แต่ฉันคิดถึงตอนที่เราอยู่ในห้องนี้ด้วยกัน...ทุกคืน”

ท่อนสุดท้ายที่เขาเน้น ทำให้คาร่าหน้าแดง ความคิดมันทวนทันทีให้จำเรื่องในอดีต ทุกคืนที่เขาปีนหน้าต่างมาหา ทุกคืนที่กระดาษบนโต๊ะนี้ต้องกระจายไปทั่วห้อง ทุกคืนที่เธอต้องอาบน้ำหลายครั้งเพราะ...เขา

ความคิดทำให้เธอรู้สึกร้อนไปทั่วร่าง และยิ่งเขาจับมือเธอ ค่อยๆ ลูบหลังมือ ยิ่งทำให้เธออยากจะข่มตา แล้วหันหลังหนีสิ่งที่เขาต้องการทวนให้เธอจำ เพราะเธอไม่ต้องการรับรู้ ไม่อยากจำมัน แต่ในขณะเดียวกัน เขากลับค่อยๆ ดึงเธอสู่อ้อมกอดของเขา แล้วซุกหน้ากับซอกคองาม หากก็ไม่ทำอะไรเกินนั้น แค่ซุกไว้เฉยๆ

“คาร่า...ถ้าฉัน...ถ้าฉันคิดถึงเธอจะได้ไหม” เสียงของเขาเบาลงอีก จนกลายเป็นกระซิบ แต่ประโยคความเหล่านี้กลับทำให้เธอน้ำตาคลอ

แค่เขากอดเธอ ก็ทำให้เธออยากจะร้องไห้ เพราะความคิดถึงที่สุมอยู่เต็มหัวใจ แล้วจะไม่ให้เธอน้ำตาคลอได้ยังไง ในเมื่อเขาพูดสิ่งที่หัวใจของเธอคร่ำครวญ

“คิดถึง...ฉันหมายถึงคิดถึงจริงๆ ไม่ใช่อะไร ไม่ใช่ความหมายแบบอื่น” เขารีบอธิบายพร้อมผละห่างจากเธอ เมื่อเห็นเธอเงียบกับคำสารภาพของเขา จึงต้องรีบบอก กลัวเธอจะเข้าใจผิด คิดว่าเขาคิดถึงเธอในแบบนั้น ในแบบที่อยากจะพาเธอขึ้นเตียงอย่างเดียว

แต่กระนั้นคาร่าก็ยังเงียบ เธอทำแค่ยืนนิ่งๆ มองต่ำ ไม่กล้ามองหน้าเขาในตอนนี้ เพราะกลัวจะร้องไห้ออกมา คริษฐ์จึงปล่อยเธอออกจากอ้อมกอด คิดว่าเธอคงไม่อนุญาตให้เขาคิดถึงเธอ และไม่อยากให้เขากอด

“เรา..ไปกันดีกว่านะ นานเลย” เขาอมยิ้มจืดๆ ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะตอนนี้รู้สึกโหวงๆ ในใจ ก่อนหน้าคิดว่า สิ่งที่คุณยายพูดเป็นเรื่องจริง จึงถือวิสาสะดึงเธอมากอด แต่ปฏิกิริยาของเธอในตอนนี้ มันบอกชัดเจนแล้วว่า ไม่จริง เธอไม่ได้สนหรอกว่าเขาจะรักเธอหรือไม่ เพราะเธอไม่รักเขา แต่เธอรักคนอื่น เมื่อก่อนนี้ เขาเอาแต่ใจเกินไป จึงไม่เคยสน แต่เขาก็รู้อยู่เสมอ เพราะเธอมักร้องไห้ตลอด ทุกครั้งที่เขากอด หอม หรือแม้แต่ตอนนอนด้วยกัน ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา เธอคงทรมานมาก

คริษฐ์คิดในใจ แล้วมองหน้าคาร่า ขณะที่ริมฝีปากหยักสั่นระริกด้วยความเจ็บที่จุกในหัวใจ เขาจึงต้องขบปากแน่นเพื่อไม่ให้ริมฝีปากสั่น ก่อนจะหันเดินนำไป เพราะไม่ว่าเขาพูดอะไร เธอก็ยังเฉยเหมือนเก่า เธอคงรังเกียจเขามาก รังเกียจและเกลียดเขาเหมือนอย่างคำที่เธอเคยพูดเมื่อเจ็ดปีก่อน ตอนที่เขาคร่าความสาวของเธอ

แต่เขากลับไม่รู้เลยว่า หัวใจของเธออยู่ในกำมือเขา แค่เขาหันแล้วเดินจากไป ก็เหมือนเขาบีบหัวใจของเธอทั้งดวงเต็มแรง จนเธอเจ็บและเหน็บ แทบจะหยุดหายใจให้ได้

“คุณริด...” เสียงหวานสั่นคลอนลอดผ่านกลีบปากงาม พร้อมๆ กับร่างบางที่หันมองตามหลังแกร่ง แต่เธอกลับไม่กล้าเลยที่จะเรียกฉุดเขาเอาไว้ ไม่กล้าที่จะบอกไปว่า...คิดถึงเขาเหลือเกิน จนสุดท้าย ต้องปล่อยให้เขาเดินออกไป แล้วตัวเองค่อยนั่งลงร้องไห้ซุกหน้ากับเข่า

อีกครั้งที่ไม่พูดกัน ปล่อยให้ความเงียบเข้ามาแทรกกลางจนถึงบ้าน ต่างฝ่ายต่างก็ไปอาบน้ำแล้วก็พาลูกเข้านอน ไม่มีการทะเลาะหรือพูดคุยกันเหมือนเมื่อวานอีก ดูคล้ายความห่างเหินจะลึกและหนาขึ้นเรื่อยๆ และเธอก็เจ็บยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา เพราะเขาไม่รัก แต่ก็ไม่มายุ่งเกี่ยวด้วยอีก แถมไม่แคร์และไม่แยแสใดๆ

คาร่าเดินไปเดินมาทั่วห้อง แกล้งทำเป็นหาที่วางแฟ้มงานตัวเองไม่ได้ จึงย้ายแฟ้มงานไปโน้นมานี่ เพื่อถ่วงเวลารอให้เขาเข้ามานอน แต่ก็เปล่า...มันว่างเปล่า เขาไม่เข้ามา แม้จะผ่านไปจนถึงเที่ยงคืนแล้วแต่เขาก็ไม่มา ไม่เข้ามาจนเธอแทบอยากจะอาละวาด อยากโยนแฟ้มงานของตัวเองให้เกลื่อนห้อง อยากทำลายห้องนี้ ห้องที่เขาว่า ‘ห้องของเรา’ แต่เขากลับลืมไปว่า ถ้าเป็นห้องของเราจริง เราก็ต้องอยู่ด้วยกัน ไม่ใช่แบบนี้ ที่มีเธออยู่คนเดียว!

ริมฝีปากบางสั่นระริก ลมหายใจของเธอพ่นเข้าออกแรงๆ ขณะที่รู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจของตัวเองถูกบีบและรัดจนหดตัวเหลือแค่นิดเดียว แถมเย็นเยือกชาไปหมดทั้งร่าง เพราะความเจ็บของมัน

“ปล่อยฉันไปจากความทรมานนี้ที...” เธอกระซิบเสียงแผ่ว แล้วข่มตาลง เพื่อกันไม่ให้น้ำตามันไหล ฝืนกลืนความเจ็บปวดของหัวใจ พยายามไม่อ่อนแอ เพราะรู้ว่า...ไม่มีค่าอะไร แต่ใจ...เธออยากไปจากความทรมานนี้จริงเหรอ...

คาร่าค่อยๆ เดินไปทิ้งตัวลงนอนที่เตียง เตียงที่กว้างพอให้คนสี่คนนอน แล้วสะอื้นออกมาอีก มันไม่จริงเลยสักนิด ที่เธออยากไปจากความเจ็บปวดเหล่านี้ ไม่จริงเลยสักนิดที่เธอจะอยากเดินคนละทางกับเขา แม้อยู่กับเขาแล้วมันจะเจ็บ แต่เธอก็ยังเห็นหน้าเขา มันยังดีเสียกว่าไม่เห็นหน้ากัน แล้วต้องแยกคนละทาง ให้เขาไปเป็นของคนอื่น ให้คนอื่นมาอยู่ในฐานะภรรยาของเขา มีชื่ออยู่เคียงคู่เขา แบบนั้นเหรอเธอจะทนได้ ไม่มีทาง...ไม่มีวันที่จะทนได้ เพราะว่า...เธอเป็นของเขาและเขาเป็นของเธอ

“คาร่าอยากมีคุณไว้เป็นของคาร่าคนเดียว แต่รู้ดีว่าทำไม่ได้ จึงไม่เคยคิดที่จะยึดคุณไว้ และไม่ได้หวังเป็นที่หนึ่งของคุณ ต่อให้เป็นที่ร้อยที่ล้าน หรือที่เท่าไรก็ได้ แค่คุณยังมองมา ยังหันมามอง แค่นั้น...แค่นั้นคาร่าก็พอใจมากแล้ว...” เธอสะอื้นหนักๆ แล้วดึงหมอนของเขามาปิดหน้าตัวเองร้องไห้ อยากให้เขารู้เหลือเกินว่าเธอรักเขาเพียงใด อยากให้เขารู้โดยที่เธอไม่ต้องพูดไป แล้วสะอื้นอีก แต่เพียงแค่ครู่เดียว เธอก็ต้องหยุดร้องไห้โดยพลัน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ของใครบางคนย่างเข้ามาในห้อง

“คุณริด...” เธอรีบดึงหมอนออกแล้วลุกขึ้นมาดู เพราะคิดว่าคงต้องเป็นเขา พยายามหยุดเสียงสะอื้นด้วยความดีใจที่สุดท้ายเขาก็มา แต่กลับยิ้มไม่ออก เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยนั้น

“ร้องไห้เหรอ” เขาซักถามทันทีเหมือนจะห่วงใย แต่มันกลับแฝงไว้ด้วยความว่างเปล่าจนเธอรู้สึกว่า ไม่ได้ตั้งใจจะถามเลย จึงไม่คิดที่จะตอบรับ ตรงข้ามล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แล้วพลิกหันหน้าหนีไปอีกทาง เพื่อหลบหน้าเขา

“ถ้าหากว่า...” เขาถามมาอีก เมื่อเห็นเธอไม่ตอบ พร้อมกับนั่งลงข้างๆ ที่ขอบเตียง แล้วชะงักเล็กน้อย เมื่อรู้สึกเจ็บกับคำพูดที่ตัวเองกำลังจะพูดออกไป

แต่การกระทำนั้นกลับทำให้คาร่าหันความสนใจให้คำพูดของเขามากขึ้น แม้จะไม่หันมา แต่เธอก็รอฟังอย่างตั้งใจ

“มันเจ็บมากเลยเหรอ ที่เธอต้องอยู่กับฉัน” ก่อนหน้าอยากจะบอกว่าให้แยกกันอยู่ ถ้าอยู่ไปแล้วทรมาน แต่รู้ว่าตัวเองต้องเจ็บกับการตัดสินใจนั้น จึงเปลี่ยนเป็นถามเธอแทน และนั่นก็ทำให้ร่างบางต้องลุกขึ้นมาประจันหน้ากับเขา มองเขาเหมือนได้ยินที่เขาพูดไม่ชัด คริษฐ์จึงกลืนก้อนแข็งๆ ในลำคอลงก่อนย้ำอีกครั้งให้เธอได้ยินชัดๆ

“เจ็บมากไหม ที่ฉันบังคับเธอให้อยู่กับฉันแบบนี้” ในน้ำเสียงและแววตาที่เธอมักจะคิดเสมอว่ามันเปล่าว่าง บัดนี้เธอกลับรู้สึกเหมือนกับว่า ภายใต้ความว่างเปล่านั้น มันแฝงไว้ด้วยความเศร้าและความเจ็บปวดที่ไม่แพ้เธอ

“มากไหม” เขาย้ำอีกครั้ง เมื่อเธอยังคงเงียบ พร้อมค่อยๆ ยื่นมือถือวิสาสะมาปาดน้ำตาที่แก้มเธอออก คาร่าจึงยอมพยักหน้าตอบเขา

“อืม” คริษฐ์ฝืนยิ้มแล้วขานรับรู้ ก่อนจะผละมือห่างจากแก้มเธอ “เมื่อไรที่เธอพร้อม บอกฉันได้เลยนะ ฉันจะไม่บังคับเธออีก” น้ำคำของเขาเหมือนสามีที่แสนดี ที่พร้อมจะให้อิสรภาพเมียทุกอย่าง แต่คาร่ากลับสับสนไม่เข้าใจ

เธอช้อนตามองเขา น้ำตาที่มีและเสียงสะอื้นเหือดหายไปหมด เหลือแต่คำถามที่อยากถามว่าเขาหมายความว่ายังไง แต่ร่างสูงกลับรีบลุกขึ้น แล้วเดินอ้อมเตียงไปเก็บหมอนตัวเอง

“ฝันดีนะ” สั้นๆ ที่เขาพูด พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ แล้วหันเดินจะออกจากห้องไปอีก ทำให้ความคิดของคาร่าต้องทำงานฉับไว ปะติดปะต่อคำพูดของเขาเพื่อให้ได้คำตอบที่ตัวเองต้องการ

“คุณหมายความว่าคุณจะหย่ากับฉันงั้นเหรอ...” เธออุทานออกมาทันทีที่คิดออก แต่คำอุทานมันช่างดังจนหัวใจของเขาสะดุด เจ็บแปลบขึ้นมา เมื่อได้ฟังคำว่า ‘หย่า’ เขาจึงต้องหยุดเดิน แล้วหันกลับมาตอบเธอ

“อืม...ถ้าเธอพร้อม” เหมือนเขาย้ำความเจ็บให้ตัวเอง แต่ก็ต้องพูดไป เพราะเมียรักของเขาต้องการความมั่นใจ

“ถ้าฉันพร้อม...” เธอทวนคำเขา แล้วมองหน้าเขา รู้สึกเหมือนความเจ็บจะวิ่งพล่านจากหน้าอกขึ้นมายังสมอง เมื่อเห็นเขาพยักหน้ายืนยันให้อีกครั้ง ความโกรธจึงแผ่ซ่านไปทั่วทุกโสตความคิด จนมือบางสั่นรัวขึ้นมา อยากตบหน้าเขา ผู้ชายบ้าที่ยืนหัวโด่งมองเธอ ให้เขาสำนึกและรับรู้ทีว่า เขาได้ทั้งกายและหัวใจของเธอ แต่ที่เธอร้องไห้ เพราะเขาเฉยชา ที่เธอมีน้ำตาเพราะเขาไม่สนใจ และที่เธอเคยขอหย่าไป ก็แค่เพราะว่า...อยากเรียกร้องความสนใจจากเขา!

แต่คาร่าไม่ได้ทำตามสิ่งที่คิด และไม่สนใจที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจความรู้สึกของเธอ ตรงข้ามลุกออกจากเตียงแล้วเดินตรงไปหาเขา

“แล้วคุณคิดว่าใครคะ ที่เหมาะสมกับฉันกว่า...คุณพิชญ์หรือพี่ผา” คาร่าเดินมายืนอยู่ตรงหน้าสามี ยกมือปาดน้ำตาที่ยังเปียกแก้มออก แล้วซักถามไปเสียงเบาอย่างใจเย็นที่สุด เพราะอยากรู้นักว่าเขาจะมีปฏิกิริยาแบบไหน หึงไหม...ถ้าเธอจะไปเป็นของคนอื่น คนอีกคนที่ไม่ใช่เขา

แล้วก็ได้ผล เมื่อรอยยิ้มนิดๆ ของคริษฐ์ค่อยๆ หายไป แต่เขายังไม่แสดงกิริยาอะไรออกมา คาร่าจึงต้องขยับไปชิดมากขึ้น

“ถ้าพูดถึงฐานะ ฉันเหมาะกับพี่ผามากกว่า และตอนนี้ฐานะพี่ผาก็ไม่เลว เป็นถึงทนายความ แต่ฐานะคุณพิชญ์ก็ไม่เลวเหมือนกัน จะว่าไป ดีกว่าคุณและพี่ผาอีก คุณคิดว่าไงคะ” มือน้อยค่อยๆ วางลงบนอกเสื้อของสามี พร้อมกับดวงหน้าหวานที่เงยขึ้นมองเขา ห่างลงไปแค่ไม่กี่เซ็น หากเขาก้มลงริมฝีปากก็จะประทับลงบนกลีบปากบางของเธออย่างประจวบเหมาะ แต่เขาไม่ทำ เพราะเขากำลังเริ่มเดือดพล่านกับคำถามชวนขอความเห็นของเธอ

“มันคือชีวิตของเธอคาร่า ถ้าเราหย่ากันแล้ว เธอจะเลือกใครก็แล้วแต่เธอ” ความไม่พอใจมันสุมขึ้นในอกกว้างบึกบึนที่เต้นถี่ภายใต้มือบางของภรรยา แต่ร่างสูงก็ยังคงเก็บอารมณ์ ไม่แสดงออกมา แถมคำพูดคำจาก็ยังทำให้เธอขุ่นเคือง เพราะเขาเล่นพูดเหมือนไม่สนว่าเธอจะไปได้กับใคร คนไหน ยังไง

แต่เมื่อเขาเก็บอารมณ์เก่ง ทำไมเธอจะทำบ้างไม่ได้ คาร่าจึงขานเบาๆ เหมือนไม่สนใจเช่นกัน “เหรอคะ” เธอกล่าวจบก็ถอยห่างจากร่างสามี กลับไปยังเตียงนอน แล้วนั่งลงที่ปลายเตียง แกล้งทำท่าคิดไปพลางๆ ด้วยก่อนพูดต่อ “งั้นคุณก็คงไม่ถืออะไรใช่ไหมคะ ถ้าคืนพรุ่งนี้ ฉันจะไปค้างที่บ้านพี่ผา หรือที่คอนโดของคุณพิชญ์”

“ฉันไม่ถือหรอก แต่ขอเป็นหลังเราหย่ากันได้ไหม เพราะฉันไม่อยากเป็นขี้ปากชาวบ้าน” เสียงแหลมเริ่มสั่น แต่ปากก็ยังแข็ง และยังกล้าที่จะพูดแบบนั้นออกมา ทำให้คาร่าอยากจะโยนหมอนใส่หน้าเขา แต่เธอก็ต้องอดทนไว้ เพื่อเล่นเกมป่วนประสาทนี้กับเขาให้จบ

“ไม่สำคัญมั้งคะ เพราะเราก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันมาสามปีแล้ว ใครๆ ก็คงคิดว่าเราหย่ากันแล้ว และที่สำคัญ เรายังไม่มีพิธีแต่งงานอย่างเป็นทางการเลย แค่พากันไปจดทะเบียน แค่นั้นเอง คนที่รู้ว่าเราแต่งงานกันแล้วมีแค่ไม่กี่คน” ความจริงที่เธอขุดมา ทำให้คริษฐ์อยากจะเหวี่ยงหมอนตัวเองในมือออกไปสักที่ไกลๆ เพื่อระบาย แต่ก็ไม่ทำ เพราะรู้ว่ามันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น

“งั้นแล้วแต่เธอ จะทำอะไรก็แล้วแต่เธอ” น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น ความไม่พอใจเริ่มเผยออกมาบ้าง แต่ยังไม่สาแก่ใจอีกฝ่าย หนำซ้ำเขาเริ่มหันแล้วจะออกจากห้องไปอีก เธอจึงต้องหาทางทำให้เขาอยู่

“แล้วคุณจะไม่แนะนำฉันหน่อยเหรอคะ ว่าผู้ชายชอบแบบไหนบ้าง ฉันด้อยประสบการณ์ค่ะ ฉันไม่รู้ว่าต้องทำแบบไหนผู้ชายถึงจะชอบ”

คริษฐ์เริ่มรู้สึกว่าเลือดขึ้นหน้า เขาค่อยๆ ข่มตาแล้วหันกลับมามองเธอ เมื่อได้ยินคำถามเหล่านั้น แต่ก็ยังพยายามอดทน

“ผู้ชายส่วนมากชอบเหมือนกันหมด” เขาตอบสะบัด ไม่ได้อยากตอบเลย แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อมันคือความต้องการของเธอ

“แบบไหนคะ แบบ...ที่ฉันเคยทำกับคุณเหรอคะ”

เหมือนคำถามประโยคนี้จะกระชากหัวใจเขาอย่างแรง คริษฐ์จุกทันที แต่ฝ่ายถามกลับทำเหมือนไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าคำถามตัวเองเฉือนใจเขา และเมื่อเขาไม่ตอบ เธอก็เริ่มพูดต่อไปทันที

“ตอนนั้น...ฉันจำได้ว่าคุณชอบให้ฉันจูบ...” มือบางยกขึ้น แล้วค่อยๆ ถูริมฝีปากตัวเองเบาๆ “...จูบปากคุณ คุณชอบให้ฉันจูบปากคุณ และคอ...” เธอชะงักอีก พร้อมกับเปิดอกเสื้อนอนสีหวานเนื้อผ้าบางๆ ของตัวเองออก แล้วเลื่อนมือต่ำลงมาลูบที่ลำคอจนถึงที่หน้าอกอวบอิ่ม “และตรงนี้...หน้าอกคุณ ฉันจำได้ และก็...” มือบางลูบต่ำลงไปอีกกระทั่งถึงที่หน้าท้องเบนราบของตัวเอง “และตรงนี้...” เธอชี้มือบอกเขา สายตาจ้องมองเขา แต่มือกลับค่อยๆ ลดลงไปอีกเรื่อยๆ จนมันอยู่ท่ามกลางหว่างขางาม “ตรงนี้...คุณชอบที่สุด ไม่ใช่เหรอคะ” เสียงหวานที่เย็นเยือกราวน้ำแข็ง หากมันกลับแฝงด้วยเปลวเพลิงที่หลอมทั้งกายและใจของเขา จนคริษฐ์รู้สึกว่า เลือดในกายฉีดพลุ่งพล่าน เขาขบริมฝีปากแน่นเป็นเส้นตรง ก่อนตัดสินใจตรงกลับมาหาเธอที่เตียง

“อยากให้ฉันสาธิตให้ดูไหม จะได้ไม่ต้องเดามั่วๆ” เขาเอาหมอนตัวเองกลับมาวางที่ของมัน แล้วอ้อมเดินไปปิดไฟในห้อง ก่อนจะกลับมาหาเธอ และนั่นกลายเป็นบทสนทนาบทแรกที่ดึงพระอาทิตย์มาผูกกับพระจันทร์





เทียมทราย
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 พ.ค. 2555, 23:53:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.ย. 2555, 12:36:56 น.

จำนวนการเข้าชม : 1547





<< ซีรีย์เมีย-เมียสุดสวาท-ตอนที่๔ กระจกที่แฝงเงา   ซีรีย์เมีย-เมียสุดสวาท-ตอนที่๖ เงาที่เปล่งแสง >>
Zephyr 2 มิ.ย. 2555, 11:50:25 น.
เพราะอดีตของนายไง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account